มะเร็งผิวหนัง ( Skin Cancer ): ภัยมืด ที่เกิดจากการโดนแสงแดดจัด เป็นเวลานานๆ
มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยในคนไทยเมื่อเทียบกับแถบยุโรป อาจเป็นเพราะว่าคนไทยมีผิวคล้ำกว่า และมีสารเมลานินป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต (ultraviolet) จากแสงแดดได้ดีกว่า แต่ปัจจุบันพบโรคมะเร็วผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยยนไป ค่านิยมที่เปลี่ยนไป เช่น เริ่มชอบอาบแดดนานๆ เหมือนคนทางตะวันตก ชอบผิวมีแทนหรือคล้ำ มากกว่าสีผิวปกติของตนเอง
ชนิดของมะเร็งผิวหนัง
1. Basal cell carcinoma ถือเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด พบมากในชนชาติยุโรปและอเมริกา ในแถบเอเซียก็พบได้บ่อยเช่นกัน โดยจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบมากในช่วงอายุ 40-79 ปี อาการที่เห็นได้ชัดคือจะมีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง มีลักษณะผิวเรียบมัน และมักจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย ตุ่มเนื้อจากมะเร็งชนิดนี้จะโตช้า และจะโตไปเรื่อย ๆ จนอาจแผลแตกในที่สุด ทำให้มีเลือดออกและกลายเป็นแผลเรื้อรัง
2. Squamous cell carcinoma อาการของมะเร็งชนิดนี้จะเริ่มต้นจากตุ่มเนื้อสีชมพู หรือแดง และด้านบนอาจมีลักษณะเป็นขุย หรือตกสะเก็ด เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกแข็ง เลือดออกง่าย แผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
3. Melanoma เนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของมะเร็งชนิดนี้ เริ้มต้นจะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จะโตเร็ว ขอบเขตไม่เรียบและอาจมีสีไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ที่บริเวณแผลอาจตกสะเก็ดหรือมีอาการเลือดออกด้วยเช่นกัน
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
ส่วนใหญ่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และยังมีปัจจัยอื่นที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย อาทิ การสัมผัสกับสารพิษอันตรายเป็นเวลานาน หรือระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง ดังนี้
- มีผิวขาวซีด เนื่องจากผิวหนังมีเม็ดสีน้อยกว่า
- อยู่กลางแดดเป็นเวลานานจนเกินไป โดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือทาครีมกันแดด
- อาศัยอยู่ในแถบที่มีแสงแดดจัด หรืออยู่ในที่สูง
- มีไฝหรือขี้แมลงวันมากผิดปกติ
- ในครอบครัวมีประวัติว่าเคยเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมาก่อน
- มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นผู้ติดเชื้อ HIV
- ได้รับรังสีที่เป็นอันตรายติดต่อกันนาน ๆ
- มีประวัติการถูกสารเคมี เช่น สารหนู หรือสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน ๆ
การวินิจฉัย มะเร็งผิวหนัง จะอาศัยลักษณะรอยโรคที่พบ ตำแหน่งที่เป็น หรือการตัดชิ้นเนื้อไปดูเซลล์มะเร็งด้วยกล้องจุลทรรศน์
การรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
วิธีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังจะแบ่งไปตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ และชนิดของมะเร็งผิวหนังที่เป็น เนื่องจากวิธีการรักษาแต่ละชนิดจะให้ผลกับการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน โดยวิธีรักษามะเร็งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1.การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า
เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังที่มีขนาดของก้อนเนื้อมะเร็งค่อนข้างเล็ก โดยแพทย์จะทำใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายกับช้อนขนาดเล็กคว้านบริเวณที่เป็นเนื้อร้ายออก จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้ที่เนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีนี้อาจต้องทำติดต่อกัน 2 – 3 ครั้ง จึงจะสามารถนำเนื้อร้ายออกได้หมด
2. การรักษาด้วยการจี้เย็น
วิธีนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้กับมะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้น โดยจะนำไนโตรเจนเหลวมาจี้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็ง ผิวหนังบริเวณนั้นจะตกสะเก็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนสะเก็ดเหล่านั้นจะหลุดออก วิธีการรักษานี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นสีขาวเล็ก ๆ หลงเหลือไว้ที่ผิวหนัง
3. การผ่าตัดผิวหนัง
เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยจะทำการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หากบริเวณที่ผ่าตัดออกมีขนาดใหญ่ อาจนำผิวหนังจากส่วนอื่นมาปิดบริเวณแผลเพื่อทำให้แผลหายเร็วขึ้น และจะทำให้รอยแผลเป็นน้อยลงได้