เลเซอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร ทำไมต้องมีหลายเครื่อง เลือกยังไง ให้ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง

เวชศาสตร์ความงาม

9 กุมภาพันธ์ 2010


เลเซอร์(Laser) คืออะไร

Laser ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiations เลเซอร์ความงาม มีมากมาย หลายแบบ หลายยี่ห้อ แต่ที่เหมือนกันคือจะ ทำงานแตกต่างจากแสงทั่วๆไป โดย เลเซอร์เมื่อทำงาน จะมีพาพลังงานจำนวนมากไปด้วย ทำให้สามารถผลิตความร้อนได้ในปริมาณมากด้วยเช่นกัน สมบัติเด่น 4 ประการของแสงเลเซอร์ คือ

  1. มีทิศทางเดียวแน่นอน ( Collimated)
  2. มีความถี่เดียว เป็นแสงสีเดียว ( Monochromatic)
  3. มีเฟสเดียวกัน และ มีหน้าคลื่นเดียว (Coherent)
  4. มีความเข้ม/จ้าสูง 

เลเซอร์แต่ละแบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

เลเซอร์ด้านความงาม มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง แต่หลักๆ การทำงาน เลเซอร์แต่ละชนิดจะมีต้นกำเนิดของพลังงานลำแสงที่แตกต่างกัน จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยหลักที่แพทย์จะเลือกเลเซอร์ประเภทใด มาใช้ในการรักษาปัญหาด้านผิวหนัง หรือด้านความงาม จึงต้องเลือกจากปัจจัยหรือคุณสมบัติของเลเซอร์นั้นๆ ให้เหมาะสม หรือ พูดง่าย ถ้าจะรักษาด้วยเลเซอร์แล้ว คุณภาพหรือประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้ผลดีเพียงใด น่าพอใจมากน้อยแค่ไหน นอกจากยี่ห้อของเครื่องที่ได้มาตรฐานสากลแล้ว ยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้
1. Wavelenth ( ความยาวช่วงคลื่น ) : มีหน่วย เป็น นาโนเมตร(nm) ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดของเลเซอร์แต่ละประเภท เพราะความยาวช่วงคลื่น จะตัวกำหนดในเรื่องของการยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมายหรือปัญหาของผิวพรรณ ได้ถูกต้องและได้ผล เพราะปัญหาแต่ละอย่าง การรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องเลือกช่วงคลื่นที่ตรงกับปัญหานั้นๆ

2. Fluence ( พลังงาน ) : มีหน่วยเป็น จูลหรือมิลลิจูล( J/mJ ) โดยเมื่อแพทย์เลือกช่วงคลื่นของเลเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ต่อมาแพทย์จะเลือกพลังงานในการยิงเพื่อทำลายเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งถ้าใช้พลังงานมาก ก็ได้ผลมากกว่า แต่ก็เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า ตรงนี้แหละ คือความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำเลเซอร์ แต่ละคน จะเลือกพลังงานในการยิงให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของคนไข้ และสีผิวของคนไข้ โดยถ้าพลังงานมาก ก็เกิดผลข้างเคียงมาก สีผิวเข้ม ก็เกิดผลข้างเคียงมากกว่าสีผิวอ่อนกว่า
3. Pulse Duration ( ระยะเวลาในการยิงแต่ละครั้ง ) : มีหน่วยเป็น วินาที(sec) ถ้าใช้ระยะเวลาในการยิงนาน ก็จะได้พลังงานมาก ได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น เลเซอร์บางเครื่อง ก็สามารถแบ่งระยะเวลาการยิงเป็นช่วงๆ SubPulses เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอที่ต้องการ แต่มีความร้อนสะสมน้อย เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น วีบีมรุ่นแรก แบ่งพลังงานเป็น 4 ช่วง ต่อมาแบ่งเป็น 8 ช่วงเพื่อให้ยิงได้แรงขึ้น แต่ผลข้างเคียงลดลง

4.Spot size ( ขนาดหัวยิง ) : ขนาดมีผลต่อการกระจายของพลังงานเลเซอร์
– หัวยิงขนาดใหญ่ พลังงานก็ลงได้ลึกกว่าหัวยิงขนาดเล็ก แต่การกระจายของพลังงานที่ไม่ต้องการก็มากกว่า แพทย์จะเลือกใช้หัวยิง แล้วแต่บริเวณและความต้องการให้ลงลึกตื้นแค่ไหน หรือต้องการความแม่นยำแค่ไหน
5. Cooling System (ระบบการให้ความเย็น ) : เพราะเลเซอร์ ก็มีความร้อนเกิดขึ้น ดังนั้น ก่อนจะยิงเลเซอร์ ต้องเตรียมผิวหนังคนไข้ให้พร้อม เช่นอาจจะแปะหรือทายาชาทิ้งไว้ให้ชา หรือทำให้ผิวหนังของคนไข้มีความเย็นระดับหนึ่ง เพื่อมิให้เจ็บเกินไป ระหว่างที่ทำ หรือ มิให้ผิวหนังบริเวณที่ยิงเกิดรอยไหม้จากความร้อนของเลเซอร์ ซึ่งอาจจะมีหลายแบบ เช่น การใช้เจลเย็นทา,การใช้หัวยิงเลเซอร์ที่มีระบบ cooling อยู่แล้ว (เช่น วีบีมเลเซอร์ )หรือการพ่นไอเย็นจัด ระหว่างทำ เช่น เครื่อง Cooling Jet

6.Scanner Type (การปรับลำแสงเลเซอร์ ) : ในเลเซอร์บางประเภท เช่น กลุ่ม Fractional Laserจะเป็นการยิงลำแสงเป็นรูเล็กๆ โดยผ่านเครื่องกรองเลเซอร์ ซึ่งมีหลายแบบ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ใช้ตะแกรงกรองเลเซอร์ให้ผ่านเป็นรูเล็ก ๆจนพัฒนาเป็นเครื่อง scanner ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ ให้การกระจายของลำแสงเลเซอร์ละเอียด ไปทั่วๆ บริเวณแบบสุ่ม เพื่อลดความสะสมเฉพาะที่ จึงทำให้โอกาสเกิดรอยดำหรือผลข้างเคียงยิ่งน้อยลง เช่น Finescan 1550 ได้มีการปรับตรงนี้ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น
– ดังนั้น รพ.หรือคลินิกด้านความงาม ที่ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ จำเป็นต้องมีเครื่องเลเซอร์ไว้หลายประเภท แต่ละประเภทจึงมีลักษณะ เฉพาะ แตกต่างกัน เลเซอร์เครื่องเดียว ไม่สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณได้ทุกชนิด แพทย์จะต้องเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา ที่สำคัญ สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำเลเซอร์ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเลเซอร์แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่อาจทำให้การทำเลเซอร์กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน อันได้แก่ สีผิว บริเวณที่ทำ ความรุนแรงของปัญหา ฯลฯ

Related