สิวอักเสบ (Inflammatory acne ) เจ็บสิว เรื่องสิวที่อาจจะเกิดปัญหาผิวที่แก้ยาก
สิวอักเสบ (Inflammatory acne ) คืออะไร
คือการที่สิวอุดตัน ที่ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Propionibacterium acne( P.acne) แล้วแบคทีเรียนี้ ปล่อยเอนไซม์ที่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ โดยมีความรุนแรงแตกต่างกัน แล้วแต่จำนวนเชื้อ และขนาดของสิวที่อุดตัน แล้วมีการเรียกชื่อแตกต่างกัน บางคนอาจแบ่งเป็นประเภทตามลักษณะของสิวอักเสบดังนี้
ประเภทของสิวอักเสบ แบ่งได้เป็น
1.สิวนูนแดง (Papule)- มักไม่เกิดแผลเป็นเมื่อหาย
2.สิวหัวหนอง ( Pustule)-มักไม่เกิดแผลเป็นเมื่อหาย
3.สิวหัวช้าง (acne conglobata)-มักเกิดแผลเป็นเมื่อหาย
4.สิวซีสต์ (acne cyst) -มักเกิดแผลเป็น เมื่อหาย
5.สิวตุ่มนูนหนอง(Papulopustular acne )-มักเกิดแผลเป็นเมื่อหาย
ผลข้างเคียงจากการเกิดสิวอักเสบ มักเกิดได้บ่อย ถ้าไม่รีบรักษา คือ
1. รอยดำจากสิว
2. รอยแดงช้ำ ซึ่งอยู่ได้นาน เป็นเดือนๆ
3. รอยหลุมจากสิว เกิดได้ในสิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวตุ่มนูนหนอง รอยหลุมเกิดแล้วมักจะรุนแรง ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ไม่ได้ 100%
การรักษาสิวอักเสบแบบใช้ยา
1. ยาทาสิว ที่ใช้กันบ่อยๆ ก็คือ
1.1 Benzoyl peroxide – เป็นตัวยาที่ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย P.acne และลดการอักเสบได้ดี 50-70 % ของสิวอักเสบ โดยมักใช้ทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก เนื่องจากมีการระคายเคือง
1.2 Azeleic aicd – มักใช้ในรูปยาทา 20 % Azeleic acid( Skinoren) มักใช้ในระยะแรก แต่อาจระคายเคืองได้
2. ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อสิว มีใช้หลายตัว ได้แก่ Tetracycline ,Doxycycline ,Minocycline ,Erythromycin,Clindamycin,Co-trimoxazole
3. ยาคุมกำเนิด เช่น Dian-21 มักใช้เฉพาะในผู้หญิง เพื่อควบคุมการเกิดสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ ไม่แนะนำในผู้ชาย เพราะมีผลข้างเคียง ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ และทำให้นมโต ที่เรียกว่า ภาวะ Gynecomastia
4. ยารับประทานต้านฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน คือ spironolactone ปัจจุบันไม่นิยมใช้ เพราะมีผลข้างเคียงคล้ายยาคุมกำเนิด
5. ยากลุ่มวิตามินเอ ( Retinoids ) เช่น Roaccutane,Isotane,Acnotin เป็นยาแรง มักจะใช้เป็นด่านสุดท้าย ยาค่อนข้างมีราคาแพง มีผลข้างเคียงต่อตับ และระดับไขมันในเลือด ที่สำคัญห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์
6. การฉีดสิว ทำให้สิวหายได้เร็ว ควรกระทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดรอยหลุมจากผลของยาได้
การรักษาสิวอักเสบแบบไม่ใช้ยา เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยา
1. มาสค์หน้ารักษาสิว : ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ หรือสมุนไพร หรือ ยีสต์บางชนิดทีสรรพคุณฆ่าเชื้อสิวได้ แต่การมาสค์หน้ารักษาสิว จะได้ผลดีระดับหนึ่ง เฉพาะสิวหัวแดง(Papule) กับ สิวหัวหนอง ( Pustule) ส่วนสิวอักเสบที่รุนแรงมักจะไม่ได้ผล และบางทีก็เสี่ยงกับการแพ้สารสกัดหรือสมุนไพรบางอย่าง
2. การรักษาสิวอักเสบด้วยคลื่นแสง พบว่าแสงสีน้ำเงิน ความยาวช่วงคลื่นที่ 407-420 nm. สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ ( P.acnes) ไม่แพ้กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) โดยได้รับการยอมรับจาก FDA ของอเมริกา ว่ารักษาได้ผลประมาณ 55-60%
3.เลเซอร์รักษาสิวอักเสบ: ปัจจุบันเลเซอร์รักษาสิว ที่นิยมใช้กันในคลินิกรักษาสิว ก็คือ V-Beam Laser เพราะแก้ปัญหาสิวอักเสบได้ทุกชนิด และยังรักษารอยแดง รอยดำจากสิว ทำให้ผิวหน้าเนียนในคราวเดียว การรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชียวชาญโดยเฉพาะ จึงจะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียงจากการทำเลเซอร์
LED light