เลี่ยงแดด ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง เลี่ยงไม่ได้ กินอาหารและวิตามิน ช่วยป้องกันได้
มะเร็งผิวหนัง จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นจากสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน การทำลายชั้นบรรยากาศมากขึ้น ส่งผลให้แสงอัลตราไวโอเลตผ่านลงมาถึงผิวโลกได้มากขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์เราตามมามากขึ้น
แสงอุตราไวโอเลต โดยเฉพาะ UVA,UVB จากการศึกษาในแง่พันธุกรรมพบว่า ทำให้สารพันธุกรรม DNA มีการเปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นการป้องกัน ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาครีมกันแดด การใส่หมวกหรือแว่นกันแดดป้องกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปัจจุบันได้มีสารหรือตัวยาหลายตัวที่ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ดังนี้
1. วิตามินเอ และสารอนุพันธ์เรตินอยด์ : – พบว่ามีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด โดยวิตามินเอจะไปยับยั้งหรือสามารถไป ย้อนกลับกระบวนการเกิดของมะเร็งผิวหนังและหนังแก่ก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว: – พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ(Good-fats) สามารถลดอัตรากรเกิดใหม่ของรอยโรคก่อนมะเร็ง(Actinic keratose) หรือมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ชาเขียว(Green Tea) : – จัดเป็นเครื่องดื่มที่นิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสารประกอบเป็นกลุ่มต้านอนุมูลอิสระ โดยได้มีการศึกษาพบว่าสารสกัดที่สำคัญจากชาเขียว ชื่อว่า ECGC (Epigallocatechin-3-gallate) สามารถป้องกันการเกิดมะเร็วผิวหนังได้ ทั้งในรูปของยากินและยาทา ได้มีการทดลองทาโลชั่นสารสกัดจากชาเขียว พบว่า ณ ความเข้มข้น 10% ของสารสกัด ใช้ทาก่อนออกแดด 30 นาที สามารถป้องกันแสงอุตราไวโอเลตได้นานถึง 48-72 ชั่วโมง
4. ถั่วเหลือง (soybean): – ในถั่วเหลือง เราพบว่ามีสาร Genistein ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสารIsoflavones ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีผลต่อการเจริญเติบโตของแซลล์ และควบคุมการทำงานของแซลล์มะเร็ง นอกจากนี้สาร Genistein ยังมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. แอสไพรินและยาลดการอักเสบ(NSAID): – โดยพบว่ายามีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclo-oxygenase (COX) ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจและอยู่ในการวิจัยขณะนี้