“สวยเป๊ะปัง อลังค์เว่อร์ ” ทุกมุมมอง ด้วยดีไซน์รูปหน้า ให้ได้ครบทั้ง 3 มิติความงาม ตามหลัก Golden Ratio
Golden Ratio คืออะไร
Golden ratio (ทฤษฎีสัดส่วนทองคำ) เป็นหลักการที่มีการยอมรับกันทั่วโลก เป็นสัดส่วนที่ทางนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อว่าลีโอนาโด ฟีโบนัชชี เป็นคนออกแบบ โดยเชื่อว่า Golden Ratio เป็นสิ่งที่ช่วยให้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด ภาพถ่าย โลโก้ หรือแม้กระทั่งใบหน้านั้น ดูสมส่วนสวยงามที่สุด ซึ่ง Golden Ratio นั้น ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมายว่าสามารถใช้วัดสัดส่วนความสวยได้จริง แพทย์ดีไซน์ใบหน้า ก็ใช้ Golden Ratio มาวัดสัดส่วนใบหน้า เพื่อความเพอร์เฟคของใบหน้าก็ทำให้รู้แล้วว่าใบหน้าของเราสวยเพอร์เฟคทุกมุมมองหรือยัง
ถ้ายัง แพทย์ก็จะมีการวัดสัดส่วนบนใบหน้า โดยยึดหลัก Golden Ratio เหมือนกันโดยใช้รูปหน้าตรง ดีไซน์หรือแก้ปัญหาที่ด้อยของเรา แบบ 2 มิติก่อน คือ แนวยาว และแนววขวางก่อน ว่าดูดีขึ้นได้หรือยัง ถ้ายังไม่เป๊ะปัง ก็จะพิจารณามิติที่ 3 แนวลึกด้วย ดังนี้
1.ด้านแนวขวางหรือแนวยาว: จะขีดเส้นเป็นแนวขวาง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.1.โครงหน้าส่วนบน (Upper Part) : จะนับจากแนวเส้นผมด้านหน้า ถึงกึ่งกลางตา
1.2.โครงหน้าส่วนกลาง (Middle Part) : จะนับจากแนวกึ่งกลางตา ถึงฐานจมูก
1.3.โครงหน้าส่วนล่าง (Lower Part) : จะนับจากฐานจมูก ถึงปลายคาง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
ซึ่งการแบ่งแบบนี้ จะบ่งบอกว่าสัดส่วนของใบหน้าคนไข้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยพบว่าสัดส่วนใบหน้าที่เหมาะสม ควรจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 33.33 % หรือเท่าๆ กันทั้ง 3 ส่วน ด้วยอัตราส่วน 1:1:1 ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ คนไข้อยากจะเสริมคาง ถ้าเราวัดสัดส่วนพบว่าโครงหน้าส่วนล่างสั้นกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงจะพิจารณาเสริมคางให้ยาวขึ้น อาจจะด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือฉีดเสริมด้วยฟิลเลอร์ นอกจากนี้อาจจะใช้ประเมินภาวะหางคิ้วตก หางตาตก หนังตาตก ด้วยหรือไม่ จะแก้ไขด้วยการร้อยไหมละลาย หรือทำ Ulthera ก็ต้องดูตามความเหมาะสม
2. ด้านแนวดิ่งหรือด้านกว้าง : :จะขีดเส้นในแนวดิ่ง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน เพราะจะประเมินว่า องค์ประกอบของใบหน้า ไม่ว่าจะสัดส่วนคิ้ว ตา จมูก ปีกจมูก หรือโหนกแก้ม ได้สัดส่วนหรือไม่ มีรูปหน้าที่กลมเกินไป หรือหน้าเรียวเล็กเกินไป แล้วจะแก้ไขอย่างไร อาทิเช่น
2.1 ถ้าปีกจมูกโตเกินไป อาจจะฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก
2.2 ถ้ารูปหน้าที่กลมเกินไปมีสาเหตุจากอะไร
– ถ้าจากกล้ามเนื้อก็ต้องฉีดโบทอกซ์ลดกรามให้เล็กลง
– ถ้าจากไขมันที่แก้มมากก็อาจจะฉีดสลายไขมันที่แก้มให้ลดลงด้วยตัวยาสลายไขมัน
– ถ้าจากการหย่อนคล้อย ก็ต้องดูว่าเกิดหย่อนคล้อยในชั้นไหน ก็อาจจะยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่ โบทอกซฺ์ยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกกระชับ หรืออาจจะรร้อยไหมยกกระชับ หรือ ทำ RF, Thermage ,Ulthera เป็นต้น
2.3 ถ้ารูปหน้าสองข้างไม่เท่ากัน จะปรับอย่างไร ให้เท่ากัน โดยอาจจะใช้การฉีดโบทอกซ์ปรับรูปหน้า หรือเติมด้วยฟิลเลอร์เพิ่มส่วนที่พร่องให้สมมาตรมากขึ้น
3. ด้านลึก: ในที่นี้ หมายถึงการประเมินสภาพใบหน้าทุกชั้นผิว ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้
3.1.ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis): เป็นชั้นของเซลล์บุผิวของกล้ามเนื้อลาย ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง สิว ที่ไม่รุนแรง ปัญหาไม่มาก ก็อาจจะแค่ทาครีมรักษา แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจจะช่วยด้วยการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ หรือเลเซอร์
3.2.ผิวหนังชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้( Dermis): ผิวหนังชั้นนี้ จัดเป็นชั้นที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ของคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียงโยงใยเป็นร่างแห มีหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ ฯลฯ เป็นชั้นที่เกิดปัญหาด้านผิวพรรณได้มากมาย เช่น ถ้าเกิดรอยหลุม ฝ้าลึก กระลึก สิวเรื้อรังอักเสบรุนแรง รอยแดงเส้นเลือด แพทย์ก็จะพิจารณาว่าควรจะรักษาด้วยการทำเลเซอร์ที่จำเพาะต่อปัญหา หรือถ้าเกิดการพร่องไปของปริมาณเนื้อที่ลดลง จากการลดลงของคอลลาเจน เช่น ร่องแก้มลึก ร่องตาลึก ก็อาจจะฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม หรือฉีดเสริมจมูกกรณีที่ต้องการให้จมูกโด่งขึ้น
3.3.ชั้นไขมัน ( Subcutaneous Fat): ชั้นนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบ มักจะเกิดจากไขมันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ถ้าไขมันมาก เราก็จะฉีดสลายไขมันให้เล็กลงด้วยยาที่เรียกว่า Mesofat แต่ถ้าไขมันน้อยเกินไป จากอายุมากขึ้น ก็อาจจะฉีดเติมไขมันหรือฟิลเลอร์
3.4.ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscles): ชั้นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าไม่กระชับ หน้าบานจากกล้ามเนื้อโตเกินไป ตรงนี้ส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์เป็นหลัก