Posted on

4 เทคฯ เช็คหน้าบาน ตรวจเองได้ สาเหตุจากอะไร แก้ไขยังไงให้ได้ผล หน้าวี ดูดี ดูเด็ก

ทำไมรูปหน้าเล็ก จึงดูหน้าเด็กอ่อนวัยกว่าหน้าบาน จริงหรือไม่  :

จริงครับ เพราะการที่รูปหน้าเราเล็ก เป็นวีเชฟ นอกจากจะถ่ายรูปดูดี ดูสวยทุกมุมมองแล้ว ยังช่วยให้ดูไม่แก่ง่ายด้วย สังเกตมั้ยครับว่า คนที่ตัวเล็ก รูปร่างเล็ก หน้าเล็ก จะดูอ่อนวัยกว่าคนที่หน้าบาน ตัวใหม่ เนื่องจากมีทฤษฎิว่าด้วยความชรา ที่พบว่า ใบหน้าของคนเรา เมื่อเวลาผ่านไป รูปหน้าของเราในวัยเยาว์ จะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหงายขึ้น ที่เรียกว่า Triangle of youth แต่พออายุมากขึ้น รูปหน้าเราจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยม หรือสามเหลี่ยมคว่ำลง ที่เรียกว่า ปิรามิดแห่งความชรา หรือ Triangle of aging
ดังนั้นถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้ดูวีเชฟหรือเปลี่ยนจากสามเหลี่ยมคว่ำลง ไปเป็นสามเหลี่ยมหงายขึ้นได้ เราจะดูเด็กอ่อนวัยขึ้น
การทำให้หน้าเล้กมีได้หลายหลายวิธี การแก้ไขก็ต้องแล้วแต่สาเหตุุที่ทำให้หน้าเราบาน

4 ก. 4 เทคนิค เช็คสาเหตุที่ทำให้หน้าบานและวิธีการแก้ไขให้หน้าเล็กลง

1. กล้ามเนื้อ : ถ้าท่านที่กล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่ อาจจะจากกรรมพันธุ์หรือจากพฤติกรรมการชอบเคี้ยวของแข็งๆ เหนียวๆ จนทำให้กล้ามเนื้อกรามโตขึ้น ที่เรียกว่า Massetter muscles hypertrophy หน้าท่านก็อาจจะบานขึ้นได้ แถมถ้าชอบเคี้ยวข้างเดียว อาจจะทำให้หน้าท่านบานไม่เท่ากันด้วย อย่างนี้ท่านก็ ควรจะพบแพทย์เพื่อฉีดโบทอกซ์ ปรับรูปหน้าให้กล้ามเนื้อเล็กลง

2. แก้ม : ถ้าท่านเป็นคนที่มีแก้ม จากไขมันสะสมมาแต่เด็ก จากการที่ไม่ควบคุมอาหาร ไมไ่ด้ออกกำลังกาย หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น แก้มท่านก็อาจจะใหญ่ขึ้นด้วยไขมันที่เพิ่มพูน หน้าท่านก็จะกลมแป้น ยิ้มตาหยีได้ ท่านก็สามารถจะแก้ไขด้วยการฉีด เมโสแฟต ลดแก้ม หลังฉีดก็จะควบคุมการอาหาร และออกกำลังกายเพื่อมิให้ไขมันกลับมาสะสมได้อีก

3. กรอบหน้าหย่อนคล้อย : ถ้าอายุมากขึ้น รูปหน้าท่านย่อมจะย่อนคล้อยเป็นธรรมดา หน้าท่านอาจจะเป็นจากสามเหลี่ยมเป็นสี่เหลี่ยม การแก้ไข ท่านก็อาจจะต้องยกกระชับหน้า อาจจะด้วยการฉีดลิฟท์กรอบหน้า หรือใช้เครื่องมือ เช่น Termage, HIFU,Ulthera เพื่อยกกระชับ หรืออาจจะฉีดโบทอกซ์ยกกระชับกรอบหน้า

4.กระดูกกราม : บางคนหน้าบาน จากโครงหน้ากรรมพันธุ็ กระดูกรามใหญ่ พวกนี้อาจจะแก้ไขด้วยการฉีด หรือใช้เครื่องมือให้หน้าเล็กลงได้ อาจจะต้องใช้การทำศัลยกรรมตัดกรามเท่านั้น

Posted on

ฉีดปากให้หน้าเปลี่ยน จะสายฝอหรือสายเกา ปากเราก็ “อวบอิ่ม ยิ้มสวย”

ฉีดปากให้อวบอิ่มยิ้มสวย

– เทรนด์ความงามตอนนี้ ไม่มีอะไรแรงยิ่งไปกว่า การฉีดเติมปากด้วยฟิลเลอร์ HA  เพราะริมฝีปาก เป็น 1 ในจุดศูนย์กลางบนใบหน้า ที่บ่งบอกถึงความมีเสน่ห์ ความเป็นตัวเรา และบ่งบอกอายุผิวได้ ปากที่ดูอวบอิ่ม ยิ้มสวย นอกจากจะง่ายในการทาลิปสติกแล้ว ยังทำให้ดูอ่อนวัย ดึงดูดสายตาทุกคนให้ยั่วยวนน่ามอง  เทรนด์ความงามตอนนี้ ไม่มีอะไรแรงยิ่งไปกว่า การฉีดฟิลเลอร์ปาก

เทรนด์การฉีดปากในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น

1. . Caucasian Style หรือปากสายฝอ : ดาราต้นแบบของสายนี้ ก็ได้แก่ Kylie Jenner,Kim-Kardashian,Angellina Jolie,Julia Robers,Scarlett Johansan ปากสายฝอ จะเน้นดูเซ็กซี่ น่าจุ๊บ เลือกลิปสติกได้หลากหลาย โดยปากจะดูเต็มๆ เน้นความอวบอิ่ม ทั้งริมฝีปากบนและล่าง ขนาดใกล้เคียงกัน ขอบปากต้องคมชัด ปากบนต้องเชิดขึ้นนิดๆ รูปปากแบบนี้ก็มีตั้งแต่ Full lips ,Heavy lower lip
2. Asian Style หรือปากสายเกา ดาราต้นแบบของสายนี้ ก็ได้แก่ Jeon Ji Hyun,Kim Tae Hee,Yoon Eun Hye ,Lee Ji Eun(IU), Song Hye Kyo ปากสายเกา จะดูอ่อนหวานละมุน ดูเป็นธรรมชาติ น่าทะนุถนอม แลดูอ่อนวัย รูปปากแบบนี้ก็มีตั้งแต่ Heavy lower lip,Bow Shaped lips ,Wide lips

ฉีดฟิลเลอร์ปาก นอกจากจะต้องการจะเปลี่ยน
ลุคตามเทรนด์แล้ว นำมาแก้ปัญหาอะไรได้อีกบ้าง?

1.ลดปัญหาริมฝีปากบางในคนสูงอายุ ซึ่งพบได้ปกติที่ริมฝีปากจะบางลง เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ทาลิปสติกได้ลำบาก ทาแล้วล้นขอบปาก
2.ลดปัญหาปากไม่รูป ขอบปากไม่ชัด ฟิลเลอร์ นอกจากจะฉีดเติมเต็มแล้ว ยังสามารถนำมาฉีดไล่บริเวณขอบปาก เพื่อปรับให้ขอบปากชัด ดูเป็นกระจับทรงสวยได้อีกด้วย
3. ลดปัญหามุมปากตก ทำให้หน้าบึ้งตลอดเวลา ถ่ายรูปไม่สวย การฉีดยกมุมปากด้วยฟิลเลอร์ สามารถแอบยกมุมปากได้ และได้ผลดีถ้าทำควบคู่กับการฉีดโบทอกซ์ยกมุมปาก

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

  1. พบแพทย์ และปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสม
  2. งดรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน รวมทั้งวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน A วิตามิน E หรือน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการบวมช้ำหลังฉีด
    3.หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่รับประทานเป็นประจำต้องแจ้งแพทย์โดยละเอียด
    4.หากมีประวัติแพ้ยาหรือสารอื่นๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

หลังฉีดปาก ฉีดฟิลเลอร์ปากต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?[

1.หลังทำ ไม่ควรหรือหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกทันที ควรรออย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้แผลจากรอยเข็มปิดสนิทก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้่อจากลิปสติก
2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มร้อนและงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการบวมหรืออักเสบได้ง่าย
3. งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนักๆ จนกว่าปากจะหายบวม เพราะอาจทำให้ปากเสียรูปทรงได้

ใครที่ไม่ควรจะฉีดฟิลเลอร์ปาก

1.ผู้ที่เป็นเริมบริเวณริมฝีปากบ่อยๆผู้ที่เป็นเบาหวาน และระดับน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่มีปัญหาติดเชื้อในช่องปาก ริมฝีปาก
3. หาโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือด หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
4. ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน ? 
ปกติหลังทำอยู่ได้นาน 8 เดือน – 1 ปี แนะนำให้ปฏิบัติตัวตามที่คุณหมอแนะนำหลังทำ  เพื่อนอกจากจะได้ปากสวยแล้ว ยังอยู่ได้นานอีกด้วย


ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของฟิลเลอร์ ปกติจะใช้ 1-3 CC แล้วแต่รูปปากที่เราต้องการ  โดยส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานผ่านอย มักจะเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 บาทต่อ CC (อาจจะรวมหรือยังไม่รวมค่าบริการ ค่ามือแพทย์ ) ถ้าราคาต่ำกว่านี้ ให้ระวังอาจจะเจอของปลอมได้  

สนใจสอบถามเพิ่มเติมรายละเอียดได้ที่นี่
Facebook:  https://www.facebook.com/clinicneo/
Add LINE ปรึกษาได้ที่ Line ID : @cliicneo  หรือ ✅Click✅ http://bit.ly/2Jfx2Kh

Line@
Posted on

รอยแดง สิวอักเสบ ปานแดง หน้าแดงง่าย รักษาได้ด้วยวีบีม เลเซอร์ (V Beam )

V-Beam Laser คืออะไร

V-Beam Laser จัดเป็นเลเซอร์รักษาปัญหารอยแดง หรือเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่เป็นที่นิยมสูงสุดทั่วโลก เมื่อเทียบกับเลเซอร์รักษาเส้นเลือด( Vascular Lasers) ทั้งหมด และเป็นเบอร์ 1 มาตลอด ระยะเวลามากกว่า 15 ปี เพราะมีผลงานวิจัยทางการแพทย์รับรองผลมากกว่า 300 งานวิจัย ถือเป็น Gold Standard หรือเลเซอร์มาตรฐานสากล ที่เป็นตัวเลือกแรกสำหรับแพทย์ในการนำมารักษาปํญหาดังกล่าว
V-Beam Laser จัดเป็น pulsed dye laser ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดในรูปแบบต่างๆ โดยไม่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อหรือผิวบริเวณที่ทำการรักษา โดย ที่มีความยาวคลื่น 595 nm ซึ่งถือว่าเป็นช่วงคลื่นที่มีเป้าการทำลายที่เส้นเลือดจากเฉพาะเจาะจงที่สุด
– โดยมีหลักการทำงานดังนี้ แสงจาก V-beam จะ ไปทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติใต้ผิวหนังอันเนื่องจากการอักเสบ เกิดการหดตัว จางหายไป เห็นผลทันทีหลังทำ และยังไปกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งทำหน้าที่นำอาหารมาสู่ผิวหนังมากขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ รอยโรคต่างๆ จะ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
V-Beam Aestetica คือ วีบีมตัวล่าสุดที่คลินิกนีโอ นำมาให้บริการแทนรุ่นเดิมที่เคยใช้ โดย มีความแตกต่างคือ พลังงานจะแบ่งย่อยเป็นมากขึ้น จากเดิม แบ่งพลังงานเพียง 4 ช่อง (Sub-pulses) มาเป็น 8 ช่อง(Sub-pulses) ทำให้ยิงได้แรงขึ้น หายเร็วขึ้น แต่ผลข้างเคียงน้อยลงกว่ารุ่นแรก มีความอ่อนโยนต่อผิว โดยมีระบบพ่นความเย็นที่ให้ความ ละเอียดสูงผสานไปกับลำแสงเลเซอร์ที่มีความเที่ยงตรงสูง ทั้งในแง่พลังงานและ ระยะเวลาการปล่อยแสงเลเซอร์ที่แม่นยำ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง พร้อมกับมีระบบป้องกันผิวหนังชั้นบน DCD และระบบให้พลังงานที่ปรับเปลี่ยนได้ทำให้การทำเลเซอร์สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

V-Beam Laser รักษาอะไรได้บ้าง

1. เส้นเลือดฝอยแตกขยายบริเวณหน้าและขา (Facial and Leg Talangiectasia)
2.หน้าแดงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติ (Rosaeea)
3. เส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ (Poikiloderma of Civatte)
4. รอยแดงนูนที่เกิดจากการผิดปกติของเส้นเลือด (Angiomas)
5.ปานแดง (Hemangiomas, Port wine stains)
6.ความผิดปกติของเส้นเลือดที่ปาก (Venoud lakes)
7. ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า (Peniorbital Wrinkles)
8. สิวอักเสบ (Imflammtory Acne Vulgaris)
9. รอยแดงจากสิว (Post Acne erythema)
10. รอยแดงจากแผลเป็นและแผลผ่าตัด (Hypertrophic Scar)
11. หูด (Wart)
12.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
13. ภาวะฟกช้ำ ( Bruising) หลังทำศัลยกรรม หรือรอยฟกช้ำ
( Ecchymosis)
14. คนที่มีปัญหา หน้าบาง หน้าแดงได้ง่าย
15. ผิวหน้าที่ติดเสตียรอยด์
16. คนที่มีปัญหาเซ็บเดิร์ม(Seborrheic dermatitis) ตามร่องจมูก หัวคิ้ว
17. รอยกระตื้น (Epidermal Pigmented)

ข้อดีของ วีบีม (V-beam)

  1. สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณต่างๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพในคราวเดียวกัน เช่น สิว รอยแดงสิว ริ้วรอย กระ รอยดำต่างๆ รวมทั้งเส้นเลือดขยาย
  2. ใช้เวลาในการรักษาสั้น เพียง 10-15 นาทีต่อครั้ง
  3. ไม่เจ็บ ไม่ต้องทายาชา หรือฉีดยาชาก่อนการ รักษาเลย
  4. สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ ทันทีหลังจากการรักษาครั้งแรก ซึ่งจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้ารับ การรักษาอย่างต่อเนื่อง
  5. มีความปลอดภัยสูง และได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก อย.ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งยืนยันในมาตรฐานสูงสุด
  6. ไม่มีบาดแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ผลข้างเคียงของ วีบีม (V-beam)ที่พบได้

  1. บริเวณที่ยิง เช่น รอยแดงสิว อาจจะพบดำคล้ำขึ้นได้ 2-3 วัน หลังจากนั้น รอยแดงจะค่อยๆ ลดลง จนหายเป็นปกติ
  2. กรณียิงรักษาเส้นเลือดที่ผิดปกติ (telangiectasia) อาจจะพบว่าเส้นเลือดฝอยหลังยิง อาจจะแตก แล้วทำให้เกิดเลือดกระจายในชั้นผิวหนังที่เรียกว่า Purpura เหมือนรอยช้ำ ห้อเลือดทั่ว ๆ ไป จะเป็นประมาณไม่กี่วัน ก็จะค่อยๆ จางหายไปเอง แล้วเส้นเลือดฝอยดังกล่าวก็จะค่อยๆ หายไป
Posted on

ลดโหนก โหนกแก้มใหญ่ ไม่อยากผ่าตัด ฉีดฟิลเลอร์ช่วยได้ เชื่อมั้ย !

โหนกแก้มใหญ่เกินเบอร์ หน้าบานเว่อร์ ทำไงดี

“โหนกแก้ม” องค์ประกอบหนึ่งของใบหน้าที่จะสามารถเพิ่ม หรือ บั่นทอนความงามบนใบหน้าของคุณได้ โดยการมีโหนกแก้มที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้า แต่ถ้าโหนกแก้มมากเกินไป  จะทำให้เห็นกระดูกโหนกแก้ม ชัดเจน จะทำให้ใบหน้านั้นดูแข็ง ดุดัน ในผู้ชายอาจจะดูดีสมกับความเป็นชาย แต่ถ้ามากเกินไป ก็อาจจะทำให้หน้าบาน หน้ากลม ยิ่งถ้าต้องการจะปรับหน้าวีเชฟ แต่มีโหนกแก้มใหญ่เกินไป อาจจะทำให้ยากต่อการปรับหน้าวีเชฟ เพราะจะดูน่ายิ่งเหมือนอีที
ในส่วนของเพศหญิงนั้น การมีโหนกแก้มที่นูนขึ้นมาเพียงเล็กน้อย จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวานสมกับความเป็นหญิง แต่หากผู้หญิงที่มีลักษณะโหนกแก้มสูง และ ใหญ่นั้น จะส่งผลให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่อ่อนหวานสมกับความเป็นหญิง และ เป็นที่ไม่พึงประสงค์ของสาวๆ เมื่อส่องกระจกอยู่ไม่น้อย

การผ่าตัดลดโหนกแก้ม

ถ้าจากปัญหากระดูก การผ่าตัดศัลยกรรมลดโหนกแก้มจะช่วยลดขนาดกระดูกใบหน้าช่วงกลางเช่นการ กรอโหนกแก้ม ไม่เพียงกระดูกโหนกแก้มเท่านั้น ใบหน้าก็เล็กลงด้วย แต่ถ้าท่านไม่อยากจะผ่าตัด ต้องพักฟื้นนานหลายเดือน และอาจจะมีผลข้างเคียงได้ เช่น หน้าชาไม่รู้สึก จากการผ่าตัดไปโดนเส้นประสาท หรือทำให้หน้าเกิดการหย่อนคล้อยลงได้ เรามีอีกทางเลือกหนึ่งในการลดโหนกแก้ม นั่งคือการฉีดฟิลเลอร์ลดโหนกแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ลดโหนกแก้ม

ถ้าแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ และมีประสบการณ์ในการวิเคราะห์และดีไซน์หน้าคนไข้ จะสามารถแก้ไขปัญหาโหนกแก้มสูงหรือโหนกแก้มโตให้คนไข้ได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ ปรับมุมแสงตกกระทบที่โหนกแก้มให้ลดลง เพิ่มมุมมอง จุดกระทบแสงใหม่ให้เกิดขึ้น เปลี่ยนมิติหน้าใหม่ได้ เปรียบเสมือนงานปั้นหรือช่างแต่งหน้ามืออาชีพที่สามารถจะลดจุดด้อย เพิ่มจุดเด่นให้ใบหน้าให้ดูดีขึ้น ชวนมองขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น

ฟิลเลอร์มีหลากหลายยี่ห้อมาก จะเลือกอย่างไรให้ได้ผลดีและปลอดภัย : ควรเลือกยี่ห้อหรือชนิดที่ได้มาตรฐาน ผ่านอย. และควรเลือกชนิดที่เป็น Top of Fillers เพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ถึงมาตรฐาน และผลที่ได้รับ นอกจากนี้แพทย์ที่ทำควรจะมีประสบการณ์และวิเคราห์โครงหน้าคนไข้ได้อย่างเหมาะสมและทำให้ดูดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์ที่คลินิกไช้ ยี่ห้ออะไร ปริมาณที่ใช้ฉีดลดโหนก ราคาเท่าไหร่ มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง : เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. และเป็น Top brand ของตลาด คือ Restylane,Juvederm ส่วนปริมาณที่ใช้แล้วแต่คน ปกติจะใช้ข้างละ 1-3 CC ราคามีทั้งแบบโปรโมชั่นและเคสรีวิว

Posted on

LipoLift-Silk : ร้อยไหมละลายไขมัน ยกกระชับผิว สาวๆ ที่มีปัญหา “แก้มใหญ่ หน้ากลม หน้าห้อย”

Lipolift-Silk คืออะไร?

Liposilk เป็นการสอดไหมผลึกคลิสตัล เข้าไปในชั้นไขมัน เพื่อสลายไขมันส่วนเกิน  ช่วยลดไขมันในบริเวณที่ไม่ต้องการ  และยังช่วยยกระชับผิว ลดการหย่อนคล้อย  เห็นผลทันทีหลังทำ
Lipolift-Silk  กำจัดไขมันได้อย่างไร?
Liposilk เมื่อถูกร้อยเข้าไปในชั้นไขมัน เส้นไหมที่ประกอบผลึกตัวยที่สกัดจากธรรมชาติ (ผ่านอ.ย.แล้ว) อันได้แก่ Guarana Extract,Glycerin,Ruscus aculratus extract,Hedera helix Extract(Ivy) ,Lamina digitata extract( Wakamine)  จะทำหน้าที่ละลายไขมัน โดยใฃัหลักการ Homeopathy ปรับสมดุลย์ไขมันในร่างกาย ผลึกคริสตัลจะค่อยๆ ละลายตัวยาออกมาสลายไขมัน ให้เป็นกรดไขมัน แล้วจะถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง
Lipolift-Silkเหมือนกันหรือต่างกับ Mesofat อย่างไร ?
Liposilk หลักการทำงานคล้ายกับการทำ Mesofat แต่ต่างกันที่ เมโสแฟตคือฉีดยาที่เป็นของเหลวเข้าไปในชั้นไขมันหลายๆ จุด ทั่วบริเวณที่ต้องการรักษา แต่ Liposilk จะเป็นการสอดวางเส้นไหมตามจุดที่เหมาะสม โดยจำนวนเส้นไหม จะแตกต่างกันแล้วแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ข้อดีของ Liposilk  คือจะไม่มีรอยช้ำหรือเจ็บแสบๆ หน่วงๆ เหมือนเมโสแฟต จำนวนครั้งในการทำน้อยกว่า และทำทุก 2-3 อาทิตย์ ทำให้ประหยัดเวลา

บริเวณใดบ้างที่สามารถทำการรักษาด้วย Lipolift-Silk ได้ ?

ทำได้ทุกบริเวณที่มีไขมันสะสม ได้แก่ แก้มเพื่อปรับหน้าวีเชฟ เหนียง หน้าท้อง ต้นขาด้านนอก ต้นขาด้านใน ต้นแขน หลัง เอว เป็นต้น
ความรู้สึกขณะทำการรักษาด้วย Lipolift-Silk เป็นอย่างไร?
ก่อนการสอดไหม Liposilk  จะประคบน้ำแข็งให้ชา แล้วค่อยๆ สอดเส้นไหม ผ่านเข็มนำร่องเข้าไป  หลังทำแทบจะไม่เจ็บเลย หลังทำไม่มีอาการบวม แดง มีรอยช้ำ
จำนวนและระยะห่างระหว่างสอดไหมละลายไขมันด้วย Lipolift-Silk  ?
ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 สัปดาห์
ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
หลังทำเห็นผลชัดเจนทันทีก่อนว่ายกกระชับขึ้น เมื่อเทียบกับอีกข้างที่ยังไม่ทำ ส่วนระยะเวลาในการลดไขมัน จะเห็นได้ว่าความหนาของชั้นไขมันลดลง หลังการรักษาประมาณสัปดาห์ที่ 2-3  และความหนาของชั้นไขมันและ Cellulite สามารถลดลงได้อีกหากทำการรักษาต่อเนื่อง

ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังการฉีด Lipolift-silk ?
หลังทำ 3-4 วัน ควรนวดบริเวณที่สอดไหม เพื่อให้ผลึกไหมละลายได้ดีขึ้น  ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตร 2 วันหลังทำ และเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันมิให้ไขมันกลับมาสะสมได้ใหม่
ผลข้างเคียงจากการทำการรักษาด้วย Lipolift-silk ?
เนื่องจาก Liposilk ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก จึงไม่พบข้างเคียงที่เป็นอันตราย อาจจะคลำได้เส้นไหมบางครั้ง ถ้าใส่ตื้นเกินไป หรือในบางตำแหน่งที่ผิวบาง แต่ผลึกเส้นไหมละลายไขมันจะค่อยๆ หายไปเอง ไม่เหลือตกค้างในร่างกาย
ข้อห้ามในการทำ Lipolift-silk  มีดังนี้
– สตรีมีครรภ์
– คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
– คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
– คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง

Posted on

ฟิลเลอร์เติมขมับ ปรับลดโหนกแก้ม แก้เบ้าตาลึก ด้วย Tower technique วางบนกระดูก

ย้อนวัยไม่ให้ร่วงโรยด้วยฟิลเลอร์

โครงหน้าหรือหน้าตาของคนเราแต่ละคน ย่อมมีทั้งส่วนที่เหมือนหรือคล้ายกันและมีทั้งความต่างกัน  ทั้งในเรื่องเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ สีผิว ลักษณะนิสัย แต่ที่ไม่แตกต่างกันก็คือเมื่ออายุมากขึ้น ก็ย่อมมีการเสื่อมตามวัย เห็นได้ชัด เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป จะพบว่าความเสื่อมจะเร่ิมปรากฏชัดก็คือเรื่องผิวพรรณ  โดยจะพบว่าคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนังในการทำให้เต่งตึง กระชับได้เริ่มลดน้อยลง จึงทำให้เกิดมีปัญหาริ้วรอย และการหย่อนคล้อยของผิวหน้าตามมา ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ภาวะหย่อนคล้อยของผิวหน้าก็จะยิ่งมากขึ้น เช่น หางตาเริ่มตก แก้มหย่อน ร่องแก้มลึก เบ้าตาลึก  ร่องปากเริ่มตกลง ขมับตอบลง
ซึ่งสาเหตุของความหย่อนคล้อย ส่วนหนึ่งมาจากปริมาณคอลลาเจนที่ลดลง หรือ Volumn Loss ไป ดังนั้นถ้าเราสามารถจะชดเชย Volumn ที่เสียไปให้กลับมาเต่งดึง มีน้ำมีนวล ดูเยาว์วัยขึ้น น่าดูขึ้น การฉีดเติมด้วย Fillers หรือไขมันก็อาจจะเป็นการเลือกหนึ่งที่นำมาแก้ปัญหาได้

Tower technique with Filler คืออะไร

คือการฉีดสารฟิลเลอร์  โดยเข็มคม ลงไปวางบนชั้นเหนือกระดูก แบบเหมือนหอคอย จะทำให้มีคุณสมบัติเป็นการยกกระชับ เพิ่ม Volumn เพราะเมื่ออายุเยอะคน บางคนจะสูญเสียเนื้อมวลกระดูกไปด้วย การฉีดวางตำแหน่งฟิลเลอร์บริเวณนี้ จะเหมือนกับการเสริมเพิ่มความหนาให้กับมวลกระดูกไปด้วย และยังทำให้มีการเพิ่มเนื้อเยื่อที่อยู่เหนือกระดูก เช่น ชั้นไขมัน ชั้นหนังแท้ มี Projections  หรือยกให้สูงขึ้นได้ Tower technique with Filler เหมาะกับบริเวณใด
– เหมาะกับบริเวณที่มีการยุบตัวมาก ทั้งจากกระดูกที่บางลง หรือชั้นคอลลาเจนที่ลดลง มักนิยมฉีดเติมฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคนี้ ในการฉีดเติมบริเวณโหนกแก้มลึก เบ้าตาลึก  หางคิ้วตก ฉีดขมับตอบลึก
Tower technique with Filler มีความปลอดภัยหรือไม่
– เนื่องจากตำแหน่งที่วางของเข็มคม จะปักลึกและตรงวางบนชั้นกระดูก ( Supra-Periosteal injection ) ที่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้่ยงน้อยมาก ไม่เหมือนชั้นไขมัน หรือชั้นหนังแท้ ดังนั้นโอกาสที่จะโดนเส้นเลือดจึงน้อยมาก และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังฉีด แต่แพทย์ที่ทำ ควรจะมีประสบการณ์และความชำนาญ จึงจะทำให้หลังทำ ได้ผลดี สวยงาม ดูธรรมชาติและไม่เป็นก้อน
Tower technique with Filler ดีกว่าการฉีดเติมไขมันอย่างไร
–  การฉีดเติมโดยใช้ไขมัน จะฉีดด้วยเทคนิคนี้ไม่ได้ เนื่องจากไขมันจะกระจายไปรอบทิศ ไม่อาจจะควบคุมทิศทางได้เหมือนฟิลเลอร์ และยากต่อการปั้นแต่งให้ดูสวย แต่ฟิลเลอร์สามารถทำได้ ถ้าเลือกฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเฉพาะที่จะนำมาใช้บริเวณนี้ นอกจากนี้หลังฉีดไขมันจะยุบหายไปเกินกว่า 30-40 % ทำให้คาดการณ์ได้ยากว่าปริมาณที่เหมาะสมจะใช้เท่าไหร่ แต่ฟิลเลอร์จะคาดการณ์ปริมาณการยุบหายได้ และอยู่ได้นาน 2-3 ปี มากกว่าการฉีดเติมด้วยไขมัน

Tower technique with Filler ทำไมต้องใช้เข็มคม ไม่ใช้เข็มทู่

เนื่องจากความคมของปลายเข็ม หรือ Needle จะทำให้ทะลุทะลวงลงลึกไปวางบนชั้นกระดูกได้ แต่เข็มปลายทู่หรือ Canula ไม่สามารถจะสอดผ่านเข้าไปได้ลึกได้ขนาดนั้น ยกเว้นแพทย์จะมีความชำนาญมากจริง แต่ถึงจะทำได้ก็จะกำหนดทิศทางได้ยากกว่าเข็มปลายคม
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดี ปลอดภัย สวยงาม เป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงน้อย มีเทคนิคต่างๆ มากมาย ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญต้องใช้เวลาในการหมั่นฝึกฝน อบรม และพัฒนาตนเองตลอดเวลา สามารถดีไซน์สัดส่วนและโครงหน้า จุดเด่น จุดด้อยในแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ได้อย่างมีศิลปะ และขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งประสิทธิผลและราคายุติธรรม จึงจะสามารถสร้างความต่างอย่างมีสไตล์ได้จริง

Posted on

ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า ให้กระชับ ปรับรูปหน้า ด้วยเทคนิค Crown Lifting

ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า คืออะไร

คือ การฉีดสารโบทอกซ์ เพื่อให้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษที่ฉีดเฉพาะบริเวณกรอบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเกิดการยกกระชับ ช่วยเพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า ให้ได้รูปหน้าที่สวย คมชัดได้สัดส่วน ไม่ว่ามองมุมไหน ก็เป๊ะปัง ดังใจ
แถมทำให้ดูอ่อนวัย ไม่หย่อนคล้อย คิ้วโก่ง ตาคมเฉี่ยว สวยสง่า อ่อนวัย และดูโฉบเฉี่ยว ดังนางพญา หรือนางงามที่ชนะเลิศได้ครองมงกุฎ หลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์จะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน

เทคนิค Crown Lifting คืออะไร

คือ เทคนิคการฉีดโบทอกซ์ ( Botulinum toxin type A) ยกกระชับกรอบหน้า ที่แตกต่างจากการฉีดโบทอกซ์ทั่วๆ ไป โดยเราจะเน้นฉีดตามแนวที่สวมมงกุฏ หรือชฎา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ช่วยทำให้กรอบหน้าดูคมชัด เป็น L-Shaped
เพราะตำแหน่งนี้ จะช่วยยกกระชับกรอบหน้าให้คมชัด และเห็นผลดีที่สุด และควรฉีดเข้าไปในชั้นคอลลาเจน ที่เรียกว่า Intradermal (Dermolift) technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงทำให้รอยย่นหน้าผากลดลง คิ้วดูโก่งขึ้น หางตาไม่ตก ตาจะดูโฉบเฉี่ยว ตีนกาจะลดลง แต่ยังแสดงสีหน้าได้ตามปกติ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง ขยับไม่ได้ เหมือนกับการฉีดลดรอยย่นทั่วๆ ไป
เหมาะทุกเพศ ทุกวัย สามารถฉีดยกกระชับกรอบหน้า Crown Lfiting ได้ โดยแพทย์จะทำการประเมินตำแหน่ง และปริมาณยุนิตที่ใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละคน เพื่อจะได้ดีไซน์รูปหน้าท่านให้ดูดีขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการแพทย์แบบมีศิลปะ

Posted on

แก้โหงวเฮ้ง คางสั้น คางเบี้ยว คางตัด คางบุ๋ม ไม่สวยได้รูป ทำอย่างไร

คางสั้น หรือไม่ ดูอย่างไร

หลายคนบอกว่าหน้าบาน คางสั้น ถ้าเสริมคางจะทำให้หน้าหายบานมั้ย ขอตอบว่าก่อนจะเสริมคาง ต้องดูก่อนว่า โครงหน้าเราเป็นอย่างไร
การที่คนเรา จะมีโครงหน้าที่สวยงาม ได้สัดส่วน จะต้องมีความสมดุลกันตั้งแต่หน้าผาก จมูกและคางโดยต้องมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแพทย์จะตรวจสภาพโครงหน้าคนไข้ ที่เรียกว่า Gloden Ratio โดยจะทำการแบ่งพื้นที่บนโครงหน้าอย่างง่ายๆ เป็น 3 ส่วน
– ส่วนที่ 1 เริ่มจากหน้าผาก ถึงกึ่งกลางตา เป็นส่วนที่ 1
– ส่วนที่ 2 เริ่ม จากกึ่งกลางดวงตาถึงขอบปีกจมูก
– ส่วนที่ 3 เริ่มจากขอบปีกจมูกด้านล่างถึงขอบคาง
ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1 หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่น้อยเกินไปจะทำให้ขาดความสมดุล โดยถ้าส่วนที่ 3 ส้้นกว่าส่วนอื่น แบบนี้เรียกว่า คางสั้น
ถ้าเสริมคาง แล้วส่วนที่ 3 มากกว่า 33% ถือว่าคางยาวไป เหมือนแม่มด นอกจากนี้ 
นอกจากนี้ ปลายคางถ้ามองด้านข้าง เส้น E-Plan ควรลากจากปลายจมูก มาที่ริมฝีผากและเนื้อคาง ได้รูปเป็นเส้นตรง ถ้ามากไปจะดูคางยื่น ถ้าน้อยไปจะดูคางหุบสั้น
ถ้ากรณีที่พบว่าคางสั้นเกินไป ไม่ได้สัดส่วน สามารถทำให้คางสวยได้รูปขึ้นได้
การแก้ไข
1. ผ่าตัดเสริมซิลิโคลน คนนิยม เพราะเจ็บตัวครั้งเดียว อยู่ได้นานตลอดไป แต่ก็เสี่ยงต่อการเบี้ยวเอียง
2. ฉีดเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ สำหรับคนไม่ชอบศัลยกรรม แถมการฉีดสามารถปั้นได้ตามที่ต้องการ ยิ่งถ้าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นสาร hyaluronic acid (HA) ไม่พอใจก็สามารถฉีดสลายออกไปได้ เห็นผลทันที ไม่ต้องผ่าตัดเอาออกเหมือนการทำศํลยกรรม
แต่ไม่ว่าจะเสริมด้วยวิธีไหน ต้องให้สัดส่วนของคาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1

คางเบี้ยว คางตัด

คางเบี้ยว คางตัด : อันนี้ดูไม่ยาก ถ้าถ่ายรูปหน้าตรงแล้วสัดส่วนคางซ้ายขวา ไม่เท่ากัน หรือขอบคางไม่มนได้รูป ตัดเป็นคางเหลี่ยม อย่างนี้ก็ดูไม่ยาก ว่าคางตัด
การแก้ไข : ส่วนใหญ่ถ้าสัดส่วนคางยาวได้สัดส่วนแล้ว คือ Golden ratio ได้ สัดส่วน 1:1:1 แล้วแต่คางสองข้าง ซ้ายขวาไม่เท่ากัน มักจะใช้การเติมฟิลเลอร์ จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าการทำศํลยกรรม

คางบุ๋ม คางไม่เรียบ

คางบุ๋ม ( cobblestone chin หรือ dimple chin) จะพบว่าคาง มีลักษณะเป็นร่องตรงกลางระหว่างคางทั้งสองข้าง หรือคางมีผิวเป็นคลื่น หรือเป็นก้อน ขรุขระ ไม่เรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่แสดงสีหน้าที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณคางร่วมกับริมฝีปากล่าง จะทำให้เห็นรอยบุ๋ม หรือ คลื่นที่คางชัดมากขึ้น
เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ Mentalis บริเวณคาง ทำให้กล้ามเนื้อแข็งตัวและหดเกร็งมากขึ้้น จนเกิดเป็นก้อนแข็ง 2 ข้างบริเวณคาง หรือในบางกรณี จะให้ผิวด้านบนของกล้ามเนื้อ Mentalis ย่นเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน จะเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการแสดงสีหน้าจากการใช้กล้ามเนื้อ
การแก้ไข : ไม่อยาก ง่ายมาก แค่ฉีดโบท็อกซ์ เพื่อคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวลง ก็จะทำให้แก้ไขปัญหาคางเป็นคลื่น ทำให้ผิวที่คางเรียบเนียนขึ้น ร่องบริเวณคางบุ๋มลดลง เห็นผลหลังทำใน 1 อาทิตย์ และจะอยู่ได้ระยะเวลา 4-6 เดือน
แต่ต้องระวังเพราะถ้าแพทย์ที่ฉีดไม่ชำนาญ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วริมฝีปากล่างเบี้ยวได้ เพราะอาจจะฉีดไปโดนกล้ามเนื้อ depressor labii inferioris ที่อยู่ใกล้เคียงได้

Posted on

ฉีดฟิลเลอร์ไป แล้วเป็นก้อน ไม่พอใจ อยากสลายออก ต้องทำอย่างไร

กลุ้มใจ ไม่พอใจ ไม่สวยฟิลเลอร์ที่ฉีดไป เป็นก้อน

– เนื่องด้วยคนสนใจเรื่องความสวยความงาม กันมากในปัจจุบัน ทำให้ตลาดด้านนี้ มีคนเข้ามาทำธุรกิจกันเยอะ ทั้งจากแพทย์เอง หรือนักธุรกิจ เกิดสภาวะแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะด้านราคา โปร ! ถูกกันแล้ว ถูกกันได้อีก
– ของถูก คงไม่ต้องพูดถึงต้นทุน ที่ต้องบีบให้ต่ำ เพื่อให้ได้กำไร เลยทำให้ คุณภาพของฟิลเลอร์ และคุณภาพของคนฉีดต้องลดสเปกลงเช่นกัน
– จึงมีคนไข้มากมายหลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดเป็นก้อน ไม่พอใจ และต้องการแก้ไข อยากเอาออก หรือฉีดสลายออก

ฟิลเลอร์ที่ฉีด จะสลายได้เองหรือไม่ หรือต้องฉีดสลาย

ถ้าอยากสลายฟิลเลอร์ มีข้อควรรู้ที่ต้องแจ้งให้ทราบดังนี้
แพทย์ต้องทราบว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดคือสารอะไร เพราะปัจจุบันมีมากมาย หลายชนิด หลายยี่ห้อ หลายแบบ มีทั้งแบบถาวร กึ่งถาวร หรือชั่วคราว และมีทั้งแบบผ่าน อย. ไม่ผ่าน อย. ราคาก็แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนจะทำการฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์แล้ว ควรจะสอบถามแพทย์ผู้ฉีดให้ชัดเจน ว่าใช้ฟิลเลอร์ชนิดไหน ยี่ห้ออะไร ถ้าเป็นไปได้ ควรขอผลิตภัณฑ์ที่ฉีด , กล่องรวมทั้งผลิตภัณฑ์ ฉลากเก็บไว้ หรือ ถ้าไม่ได้ ก็ควรจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานไว้
เหตุผลที่ให้ถ่ายรูปยี่ห้อ หรือกล่องฟิลเลอร์ไว้เป็นหลักฐานก็เนื่องจากว่า ในกรณีที่เราฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดผลข้างเคียง หรือได้ผลลัพธ์ที่เราไม่พอใจ ต้องการแก้ไข แพทย์ที่ทำการแก้ไขให้จะได้ทราบว่าใช้สารตัวไหนในการฉีด เพื่อการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะฟิลเลอร์บางตัวก็ฉีดสลายได้ บางตัวก็ฉีดสลายไม่ได้ ต้องรอเวลาให้หมดไปเอง หรือบางตัวต้องผ่าตัดขูดออก ซึ่งอาจจะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้

ฟิลเลอร์แบบไหนที่ฉีดสลายได้

ฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายได้ จะเป็นสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid-HA ) โดยมีขั้นตอนคือ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจผิวบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมถึงปริมาณที่ฉีดมา โดย จะสามารถฉีดสลายออกได้ด้วย ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase : HYAL)
กลไกการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นอย่างไร
เอนไซม์ Hyaluronidase (HYAL) จะย่อยสลายฟิลเลอร์ โดยจะไปทำลายการยึดเกาะของสาร HA ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ที่เรียงจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ให้คลายตัวออก เห็นผลทันทีหลังฉีด ซึ่งปกติจะใช้ปริมาณที่จะฉีดสลายมากกว่าปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป 3-5 เท่า
ในผู้ที่ไม่เคยฉีดสารฟิลเลอร์ และอยากจะลองฉีด  ควรเลือกสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid ) เพราะถ้าไม่พอใจยังสามารถที่จะฉีดสลายไปหมดได้ ไม่เหลือตกค้าง และควรให้ แพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ฉีดสลายฟิลเลอร์ให้

Posted on

นอนนิ่งๆ ก็ปิ๊งได้ ไม่เจ็บตัว หน้าใส ไร้สิว ริ้วรอย ด้วยแสง Opera LED Mask

Opera LED Mask คืออะไร

  คือ หน้ากากมาสค์หน้าไฮเทค ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดารา Hollywood โดยมีหลักการดูแล รักษาผิวหน้าด้วยแสง LED หรือ ลำแสง Diode  ที่เรียกว่า  low-level light therapy (LLLT)  ไม่เจ็บตัว นอนนิ่งๆ ก็สวยได้ โดย ลำแสงนี้สามารถจะปล่อยแสงออกมาได้หลายๆ สีพร้อมๆ กัน ด้วยพลังงานที่สูงมากพอ จนสามารถจะมาทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวของเรา  แสงเหล่านี้จะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนให้แก่ผิวซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกลไกให้ผิวของเราฟื้นฟูตัวเอง โดยแสงแต่ละสีก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนี้
1. Blue Light (แสงน้ำเงิน)  จะมีความยาวช่วงคลื่น 415 nm และจะมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเขิ้อสิว P.acne และป้องกันการติดเชื้อสิวใหม่ ลดความมันบนใบหน้า
2. Yellow Light (แสงสีเหลือง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 580 nm  ช่วยรักษารอยดำ กระ ฝ้า เม็ดสีที่เข้มให้จางลงตาม ธรรมชาติ และกระตุ้นระบบน้ำเหลือง รวมถึงระบบการไหลเวียนโลหิตด้วย
3.  Red Light (แสงสีแดง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 630 nm ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ซ่อมแซมผิวหน้าเกรียมแดด  และลดเรือนริ้วรอย ให้ความชุ่มชิ้นผิว
4.   Green Light (แสงสีเขียว) จะมีความยาวช่วงคลื่น 525  nm ช่วยลดรอยแดง หรือเส้นเลือดฝอยที่เกาะตัวอยู่ใต้ผิวหนัง
5. Near Infrared Light (แสงใกล้อินฟราเรด) เป็นลำแสงที่มองไม่เห็น แต่จะมีความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี  สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน

Opera LED Mask สร้างความแตกต่างจากการรักษาด้วยแสง LED แบบเดิมๆ ด้วยการออกแบบหน้ากากคลุมเฉพาะผิวหน้า โดยป้องกันการกระจายของลำแสงไปยังบริเวณอื่นๆ จึงได้ผลได้เต็มที่ และออกแบบให้ไม่มีอันตรายต่อสายตา ไม่ร้อน นอกจากนี้ Opera LED Mask ยังดูเท่ห์ เก๋ไก๋ไฮโซอย่างยิ่ง
การฉายแสง LED เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบจำนวนมากและไม่ต้องการรักษาสิวอักเสบ ใช้ยาแบบรับประทาน หรือ ผู้ที่สิวหายยากเนื่องจากมีการดื้อยา
  • ผู้ที่มีปัญหารอยแดง
  • ผู้ที่มีปัญหาสิวกลับมาเป็นซ้ำ
  • ผู้ที่มีรอยดำ ฝ้า กระ
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น กระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและการไหลเวียนโลหิต


ระยะเวลาการรักษา

การฉายแสง LED จะใช้เวลาในการรักษาครั้งละ 20-30 นาที และควรทำสัปดาห์ละครั้งติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งการรักษาจะทำมากน้อยเพียงใดนั้น แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาโดยดูจากวัย สภาพผิวและปัญหาสิวอักเสบที่เป็นอยู่ ส่วนผลการรักษาจะเห็นผลขึ้นกับระยะเวลา และความสม่ำเสมอในการรักษา ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป จะพบว่าสิวอักเสบ ค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง สิวเริ่มลดปริมาณลง รอยสิวจางลง
นอกจากนี้เรายังมีการใช้แสง LED ความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี  สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน หรือผ่าตัดทำศัลยกรรม เพื่อช่วยการฟื้นฟูผิว ป้องกันแผลเป็น ลดอาการบวมแดง อักเสบ หรือรอยแดงให้หายเป็นปกติ

Posted on

วีเชฟ คงไม่พอ ถ้าจะสวย เฉี่ยว อินเทรนด์ กรอบหน้าต้องชัดด้วย ( V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline )

L-Shaped Strong Jawline คืออะไร

แฟชั่นเทรนรูปหน้าในแต่ละยุคสมัย มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน ซึ่งความชอบหรือค่านิยม ในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน เหล่ากูรูด้านความงามทั้งหลาย ต้องปรับตามให้ทัน เพื่อให้ลุคเราดูทันสมัยและดูไม่ล้าหลัง โดยเฉพาะแพทย์ที่ดูแลด้านการดีไซน์รูปหน้าของคนไข้ ยิ่งต้องนำหน้าเทรนไปล่วงหน้าก่อน การมีวิสัยทัศน์ ติดตามข่าวสาร และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี จะทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการได้ L-Shaped Strong Jawline คือ การที่มีกรอบหน้าชัด เรียวเล็ก ขอบคางคม มี Jaw line ซึ่งเป็นเทรนด์รูปหน้าใหม่ ที่เป็นที่นิยม ซึ่งถ้ามีหน้าวีเชฟด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หน้าอ่อนเยาว์ ถ่ายรูป ไม่ว่ามุมไหน ก็เป๊ะปัง อลังเว่อร์ เห็นได้ชัด ว่าผู้ชนะการประกวดไม่ว่าเวทีหญิงหรือชาย ใบหน้าแบบนี้ มักจะได้เข้ารอบลึกๆ หรือชนะการประกวด

เทรนด์หน้าสวย-หล่อในแต่ละยุค เป็นอย่างไร

ยุคปีค.ศ 1900 เป็นยุคของการมีรูปหน้าแบบกลม ดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ที่เรียกว่า Beautiful round or U shaped ใครมีรูปหน้าแบบนี้ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปในยุคนั้น แก้มอิ่ม จมูกโด่ง คิ้วตาคม เป็นที่นิยมอยู่หลายสิบปีทีเดียว โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวัยคุณลุง คุณป้า ทั้งหลาย จะนิยมชมชอบให้ลูกหลานมีรูปหน้าแบบนี้

ยุคปีค.ศ 2000 เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เพื่อต้อนรับศตวรรตที่ 20 โลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกด้าน ตามการเติบโตของยุค IT นวัตกรรมใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นทุกๆ ด้าน ไหนเลย เทรนหน้าก็เริ่มปรับกับอีกรอบ คราวนี้ หน้า V Shaped มาแรงแซงทุกรูปแบบหน้าที่เคยมีมา ไม่ว่าทางโลกตะวันออกหรือตะวันตก ต่างต้องการหน้าวีเชฟ กันทั้งนั้น การปั้นหน้าวีเชฟ หลายท่านคงได้อ่านบทความกันมาบ้างแล้ว ไ่ม่ว่าจะปรับรูปหน้าวีเชฟ ด้วยการฉีดโบทอกซ์ การร้อยไหม การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันทีแก้ม การผ่าตัดกราม เพื่อให้หน้าเรียวเล็ก จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย

ยุคปีค.ศ 2020 ยุคนี้ ทุกอย่างเทรนด์หน้าเปลี่ยนไปเยอะ เห็นได้ชัดๆ จากการทำจมูกในวงการสัลยกรรม คนเริ่มไม่ชอบจมูกแบบเดิมๆ ที่โด่ง ตรงทั้งสัน เริ่มมีหลายทรงมากขึ้น เช่น สโลปปลายงอน ทรงบาร์บี้ ฯลฯ รูปหน้าก็เช่นกัน เริ่มมีกระแสในบางกลุ่มที่นอกจากจะทำให้หน้าวีเชฟ ที่เกร่อกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว หน้าที่มีขอบคางชัด โหนกแก้มชัด องค์ประกอบหน้าคมชัด ที่เรียกว่า V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline กำลังจะเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนทั่วไปมากขึ้น ทั้งในวงการนางแบบ นายแบบ หรือ นางงาม ถ้าใครมีรูปหน้าแบบนี้ โอกาสจะรุ่งจะมีมาก

V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline ทำอย่างไร

ขั้นตอนการทำรูปหน้าเทรนด์ 2020 มีขั้นตอนดังนี้
1. แพทย์จะตรวจและประเมินใบหน้าเดิมของเรา ทั้งด้านตรงและด้านข้าง จากนั้นจะดีไซน์ใบหน้าใหม่ ตามหลัก Golden ratio
2. ปรับรูปหน้า V-Shaped ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
2.1 ปรับรูปหน้าด้วยโบทอกซ์
2.2 ปรับลดแก้มด้วยการฉีดเมโสแฟต
2.3 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
2.4 ยกกระชับหน้าด้วยการทำ HIFU,Ulthera,Thermage
3. ปรับหน้า L-Shaped Strong Jawline ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
3.1 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
3.2 ฉีดฟิลเลอร์ตามแนวกรอบกรามให้คมชัด
3.3 ปรับเหนียง ขอบคางให้คมด้วย HIFU,Ulthera,Thermage

Posted on

Filler Lifting : ฟิลเลอร์ ยกกระชับ ปรับรูปหน้า บอกลาความชรา แทนการฉีดโบ ได้นะ รู้ยัง

ฉีดฟิลเลอร์เพื่อที่จะทดแทนการ ฉีดโบ ทำได้อย่างไ

ทุกคนคงจะสงสัยว่าทำได้ด้วยหรือ เพราะสารฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม จะมาทดแทนการฉีด Botulinum toxin type A เป็นไปไม่ได้ เพราะกลไกการทำงานต่างกัน ในเมื่อ Botulinum toxin type A เป็นสารลดการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือทำงานลดลง แล้วฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติแบบนีได้ด้วยหรือ
ก่อนหน้านี้แพทย์ด้านความงามก็เข้าใจอย่างนั้น แต่เมื่อแพทย์มีประสบการณ์มากขึ้น และเทคนิคการฉีดก็พัฒนาหลากหลายมากขึ้น ประกอบกับสารฟิลเลอร์เองก็ได้มีการพัฒนาออกมาหลากหลายรุ่นมากขึ้น เช่นมีทั้งความหนืดมากขึ้น ความหนืดน้อยลง เทคนิคการฉีดก็ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะฉีดด้วยเข็มปลายแหลม เข็มปลายทู่ หลากหลายขนาด ฉีดลึกตื้นต่างกัน ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน จนลึกวางบนกระดูก ทำให้วัตถุประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์จึงมีอย่างหลากหลายมากขึ้น จนแทบจะมาทดแทนการฉีดโบทอกซ์

ฟิลเลอร์ทำได้มากกว่าฉีดเติมเต็มแล้วนะ จะบอกให้

เมื่อฟิลเลอร์เริ่มเป็นที่นิยมมากขั้น การนำมาปั้นเสริม เติมแต่ง ได้หลายอย่างมากขึ้น ดังนี้
1. สารเติมเต็ม : ข้อนี้เราทราบกันมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มมีการฉีดฟิลเลอร์ เช่น นำมาฉีดเติมร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ฉีดเสริมคางให้ยาวขึ้น ฉีดเสริมขมับ ฉีดเสริมจมูกให้โด่ง เติมปาก ฯลฯ
2. ยกกระชับ ลดการหย่อนคล้อย : การสูญเสียคอลลาเจน หรือไขมัน เมื่ออายุมากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความหย่อนคล้อย ทำให้หน้าดูบานขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ทดแทนชั้นไขมันหรือคอลลาเจน จะช่วยให้ผิวหน้ากลับมาแต่งตึง กระชับขึ้น โดยแพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติยกกระชับได้ ฉีดลึกวางบนกระดูก หรือใต้บริเวณเส้นเอ็นที่หย่อนคล้อย (retaining ligaments )เพื่อดันถุงไขมันใต้ตาให้กลับเข้าที่ หรือการฉีดกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็จะตื้นขึ้นได้ บางคนร่องแก้มลึก แทนที่จะเติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้ม แพทย์ใช้เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับกรอบหน้าให้ตึงขึ้น ร่องแก้มก็จะตื้นขึ้นได้โดยไม่ได้เติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้มเลย

3. เพื่อคุณสมบัติลดการทำงานของกล้ามเนื้อ : ปัจจุบันวิธีนี้แหล่ะที่นำมาทดแทนโบทอกซ์ โดยการฉีดวางบนขั้นกล้ามเนื้อ ในบางตำแหน่ง โดยอาศัยกลไกที่ฟิลเลอร์กดทับการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลดลง(Compression effect)  ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อทำงานลดลง ซึ่งคล้ายกับการฉีดโบทอกซ์ที่ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้ม เพื่อทำให้การยิ้มเห็นเหงือก ที่เรียกว่า Gummy smile ทำงานลดลง เวลายิ้มก็จะดูธรรมชาติขึ้น หรือฉีดเติมหน้าผากให้เต็ม จะทำให้หน้าผากขยับได้ลดลง ริ้วรอยย่นบริเวณหน้าผากก็จะลดลงด้วย  การเติมฟิลเลอร์บริเวณตีนกาก็ช่วยลดรอยตีนกาเวลายิ้มลงได้เช่นกัน

4. เพื่อคุณสมบัติปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้: เราทราบว่าโบทอกซ์ปรับหน้าวีเชฟได้ ฟิลเลอร์ก็ทำให้หน้าเล็กลงเป็นวีเชฟได้เช่นกัน ถ้าจัดวางฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่นเติมบริเวณโหนกแก้มให้มีมิติขึ้น หรือฉีดให้โหนกแก้มลดลง จากมุมกระทบที่เปลี่ยนไป หรือ ฉีดกรอบหน้าให้ยกกระชับขึ้น รูปหน้าก็เปลี่ยนให้ดูเล็กลงได้เช่นกัน

5. เพื่อคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง: ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic acid มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ที่เรียกว่า high water–binding ( hydrophilic ) capacity  การเลือกฟิลเลอร์ที่มีความหนืดน้อยๆ และนำมาฉีดในชั้นหนังแท้กระจายทั่วหน้า ที่เรียกว่า Skin Booster with fillers  จากผิวหน้าแห้งและมีริ้วรอยเล็กๆ ก็จะชุ่มชื้นขึ้น เนียนนุ่มขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ก็จะเลือนหายไป ดังภาพด้านล่างนี้

Hyaluronic-acid

Posted on

Dermolift : ฉีดโบ ยกกระชับ ปรับหน้าวี ด้วยวิธี Vector Lifting ตามองศาที่ใช่ ไม่ต้องใช้ฟิลเลอร์

ฉีดโบ ยุคแรก เน้นปักลึก เข้ากล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใช้ในการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย แต่อาจจะดูแข็ง

– ก่อนที่จะกล่าวเกี่ยวกับการฉีดโบทอกซ์อย่างไร จึงยกกระชับได้ และใช้ทดแทนการฉีดฟิลเลอร์ได้ ต้องขอกล่าวความเป็นมาคร่าวๆ ก่อนนะครับ เพื่อความเข้าใจ ดังนี้
– ในยุคแรกๆ ของการฉีดสาร Botulinum toxin Type A เพื่อลดริ้วรอย เรามักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ(Intramuscular :IM) โดยปักเข็มลงตรงๆ เป็นมุมฉาก ไปที่กล้่ามเนื้อที่ต้องการ จะ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ถ้าฉีดลดริ้วรอยที่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่นริ้วรอยจากการยิ้ม การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว เมื่อฉีดแล้วก็ไม่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ริ้วรอยก็จะไม่เกิดขึ้น หรือนำมาฉีดลดกราม ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำงานลดลง กล้ามเนื้อก็จะมีขนาดเล็กลง รูปหน้าก็จะเล็กลง

ฉีดชั้นกล้ามเนื้อ IM ทำให้กล้ามเนืออ่อนแรง
ฉีดชั้นใต้ผิวหนัง ID ทำให้กล้ามเนือ คอลลาเจนหดตัว

ฉีดชั้นผิวหนังหรือคอลลาเจน เน้นลดริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้ดูธรรมชาติ

เมื่อมีการฉีดโบทอกซ์ด้วยเทคนิคเดิม มาประมาณ 10 ปี ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาให้มีการฉีดลดริ้วรอย ในชั้นผิวหนัง หรือ Intradermal technique -ID หรือบางคนเรียกว่า Dermolift ซึ่งจะให้ผลแตกต่างจากการฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ โดยพบว่า Intradermal technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงช่วยดึงรั้งผิวหนังให้ตึงขึ้น ริ้วรอยก็จะลดลงได้ แต่กล้ามเนื้อจะยังขยับได้ ทำให้ดูธรรมชาติขึ้น ไม่ตึงเกินไป ปัจจุบันแพทย์หลายๆ ท่าน ที่มีประสบการณ์กับการฉีด สาร Botulinum toxin Type A มานานหลายสิบปี มักจะนิยมฉีดลดริ้วรอยด้วยวิธีนี้ เพราะสร้างความต่างอย่างมืออาชีพ เพราะริ้วรอยจะลดลงอย่างดูธรรมชาติ ดูไม่ออกว่าไปฉีดโบทอกซ์มานั่นเอง

Vector Lifting คืออะไร

เวกเตอร์ลิฟท์ติ้ง คือ การฉีดโบทอกซ์ ไปตามแนวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ที่มีการหย่อนคล้อย โดยแบ่งการหย่อยคล้อยเป็นส่วนๆ เช่น กรอบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนก่อน โดยก่อนจะทำการฉีดแพทย์จะตรวจแนวยกระชับด้วยมือดึงเป็น Vector lifting แล้วค่อยฉีดสารBotulinum toxin Type A เข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งจะ ทำให้กล้ามเนื้อชั้นคอลลาเจน เกิดการหดตัว ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
การฉีดสาร Botulinum toxin Type A กระจายเป็นส่วนๆ ตามการหย่อนคล้อย แบบ Vector Lifting จะตอบโจทย์ปัญหา หรือการดีไซน์ใบหน้า โดยอยากจะยกตรงไหน อยากจะปรับเปลี่ยน รูปหน้าอย่างไร ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับสันจมูก ลดร่องแก้ม ลดเหนียงยาน ทำให้ขอบคางคมชัด ปรับหน้าวีเชฟ ให้มากขึ้น กระชับขึ้น
Vextor lifting with Dermolift สามารถจะนำมาตอบโจทย์แทนการฉีดฟิลเลอร์ ได้แทบทุกองศาที่ต้องการ

ลดริ้วรอย ยกคิ้วได้ไม่เข็ง ยกหางคิ้ว หางตา
Posted on

เคล็ดลับในการฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ให้เห็นความแตกต่าง อย่างมืออาชีพ

เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ มีหลายอย่าง อยู่ที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไร

การเติมฟิลเลอร์มีจุดประสงค์หลายอย่าง ดังนี้
1. เพื่อเติมเต็มส่วนที่พร่องไป ( Volumn loss )
2. ฉีดเพื่อยกกระชับ ( Filler Lifting ) 
3. ฉีดเพื่อยกให้สูงหรือเด่นขึ้น ( Projections)
4. ฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว (Skin booster)
ดังนั้นเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ ย่อมแตกต่างกัน ตั้งแต่การเลือกยี่ห้อ หรือ ชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณความเข้มข้น ( % HA) ความหนืด (Viscosity ) ความสามารถในการอุ้มน้ำ ระยะเวลาของฟิลเลอร์ว่าแต่ละที่ควรจะอยู่นานแค่ไหน ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะแตกต่างกัน แพทย์ที่มีประสบการณ์และมืออาชีพ จะทราบแลเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับปัญหานั้นๆ

ตำแหน่ง ความลึกตื้นการในฉีดฟิลเลอร์ ( Injection Plan or Depth of designed injection )

A. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นบน(Intra-dermal Augmentation) เหมาะกับการฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว หรือปรับสภาพผิวให้เต่งตึง หรือริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กๆ เช่นรอบดวงตา โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ ที่มีความเข้มข้นของ HA ต่ำ ที่มีความหนืดเบาบาง กระจายตัวได้ง่าย ไม่จับตัวเป็นก้อน เช่น restylane vital light,juvederm vobella ,perfectha derm
B. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นล่าง หรือไขมันส่วนบน (Sub-dermal Augmentation ) เป็นการฉีดเพื่อปรับแต่งโครงหน้า หรือ remodelling เติมริมฝีผากให้อิ่ม ริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเพิ่อให้เกิดการ Projections ให้ดูเด่นขึ้น แต่ไม่มากนัก โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่หนืดมากขึ้นกว่าในแบบ A หรือใช้แบบชนิดเดียวกันก็ได้ แต่ฉีดลึกขึ้น restylane vital ,juvederm ultra ,perfectha deep
C. ฉีดชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่าแบบ A และ B และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น restylane,juvederm ultra plus
D. ฉีดฟิลเลอร์วางบนกระดูก (Supra-periosteum Augmentation) หลักๆ เพื่อต้องการยกกระชับ ( Filler Lifting ) ในกรณีที่การหย่อนคล้อยของคอลลาเจน และในบางคน มีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกด้วย หรือทำให้เกิดสูงเด่นขึ้น (Projections ) แล้วเพื่อหวังผลไม่ให้มีลักษณะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ และเป็นการหลีกเลี่ยงการฉีดไปโดนเส้นเลือด นิยมนำมาฉีดในคนที่มีปัญหาเบ้าตาลึก เสริมดั้งจมูก ฉีดเสริมคาง ตกแต่งขอบคาง หรือฉีดเติมหน้าผากให้โหนกนูนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่า แบบ A,B,C และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น perlane,juvederm voluma,perfectha subcutaneous จริงๆ วิธีนี้ไม่ใช่เทคนิคใหม่ที่บางท่านนำมาอ้างว่าได้คิดค้นขึ้นมาเอง มีเขียนไว้ในตำราและแพทย์หลายๆ ท่านก็ได้ใช้อยู่แล้ว เพียงแต่มานิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะสามารถลดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ได้

ชนิดของเข็มที่ฉีด

2.1 เข็มปลายแหลม ( Needles) ซึ่งมีหลายขนาด เช่นเข็มเบอร์ 23-30 G needles ขึ้นอยุ่กับการเลือกใช้ แต่ตำแหน่งและความลึกตื้นในการฉีด เข็มปลายแหลมมักจะใช้ในกรณีฉีดแบบตื้นใต้ผิวหนัง( Intradermal or subdermal เพื่อหวังผลในการให้ความชุ่มชื้น หรือใช้ในเป็นการฉีดยกกระชับโหนกแก้ม หรือการฉีดวางบนกระดูก (Supra-periosteum)
2.2 เข็มปลายทู่ ( Canula) ซึ่งมีหลายขนาด เช่น 22-27 G Canula มักจะนิยมนำมาฉีดในชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เพราะชั้นนี้จะมีเส้นเลือดมาก เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) และเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ

ทิศการหรือองศาในการฉีดฟิลเลอร์ (Classified  fillers Technique with Needle or Canula )

3.1 ฉีดหยอดเป็นจุดๆ ( Serial puncture technique) เหมาะกับการฉีดกระจายทั่วใบหน้าให้เกิดความชุ่มชื้น และฉีดชั้นตื้น Intra-dermal
3.2 ฉีดเป็นเส้นตรง (Linear-threading technique) อาจจะฉีดเดินหน้าหรือถอยหลัง เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม ฉีดเสริมจมูก และฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลมหรือเข็มทู่(Canula)
3.3 ฉีดกระจายเป็นรูปพัด (Fanning technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn เช่นการเติมโหนกแก้ม ขมับ หน้าผาก และฉีดในชั้นไขมันด้วยเข็ม Canula เพื่อป้องกันการเข้าเส้นเลือด
3.4 ฉีดทะแยงมุม ไขว้กัน (Cross-hatching technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn โดยฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลม หรือปลายทู่ก็ได้ ในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่นร่องแก้มลึก ฉีดเสริมคาง
3.5 ฉีดแบบหอคอย (Tower technique) มักจะเป็นการฉีดเพื่อเพิ่ม Projections ให้สูงขึ้นเช่นฉีดโหนกแก้ม ฉีดหัวคิ้ว ฉีดขมับ โดยมักจะใช้เข็มปลายแหลม วางบนชั้นกระดูก และค่อยๆ ดึงเข็มขึ้นให้ฟิลเลอร์มีลักษณะคล้ายหอคอย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดี ปลอดภัย สวยงาม เป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงน้อย มีเทคนิคต่างๆ มากมาย ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญต้องใช้เวลาในการหมั่นฝึกฝน อบรม และพัฒนาตนเองตลอดเวลา สามารถดีไซน์สัดส่วนและโครงหน้า จุดเด่น จุดด้อยในแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ได้อย่างมีศิลปะ และขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งประสิทธิผลและราคายุติธรรม จึงจะสามารถสร้างความต่างอย่างมีสไตล์ได้จริง

Posted on

ร่องแก้มลึก (Naso-labial fold) เติมฟิลเลอร์อย่างเดียวช่วยได้จริงหรือ แก้ไข อย่างไร ให้ดูดี อ่อนวัย อย่างมืออาชีพ

ร่องแก้มลึก เติมฟิลเลอร์แล้วไม่ดีขึ้น เพราะอะไร

ปัญหาร่องแก้มลึก ก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงภาวะร่วงโรยตามกาลเวลาที่มากขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ก็จะช่วยให้เรายังแลดูอ่อนเยาว์ลงได้ แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าจะให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ก็ควรจะฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มก็จะแก้ไขปัญหานี้ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งก็อาจจะถูกต้องเพียงส่วนหนึ่ง การแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกอย่างมืออาชีพ มีเทคนิคและการประเมินผลที่มากกว่าแค่การเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้ม ลองว่าดูว่าแพทย์มืออาชีพเค้ามีเทคนิคกันอย่างไร
สาเหตุของร่องแก้มลึก
– เนื่องจากอายุที่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ทำให้ร่องแก้มลึกขึ้น แท้จริงแล้วมีสาเหตุได้หลายอย่าง แพทย์มืออาชีพและมีประสบการณ์ จะประเมินออกมาในมุมกว้างกว่า แก้ไขได้ถูกต้องกว่า และดูสวยงามและดูธรรมชาติกว่า มาดูกันว่าเทคนิคและการแก้ไขเค้าทำกันอย่างไร
1. ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียคอลลาเจน (Volumn loss) :  เป็นสาเหตุแรกที่ทุกคนนึกถึง ทำให้คิดแต่ต้องเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้มที่ลึก แต่การเลือกสารเติมเต็มที่จะใช้ ถือว่าสำคัญมาก ไม่ใช่ยี่ห้อไหน แบบไหนก็ทำให้เติมเต็มได้ แพทย์จะเลือกชนิดของสารเติมเต็มที่เหมาะสมกับบริเวณร่องแก้ม ควรจะมีความหนืดหรือปริมาณ HA (Hyaluronic aicd ) ในความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เหลวไปจนเติมไปแล้วไม่พบความเปลี่ยนแปลง หรือมากไปจนเติมแล้วเห็นเป็นก้อน ไม่สม่ำเสมอ ไม่ธรรมชาติ นอกจากนี้การเลือกเข็มที่จะใช้ ควรเลือกชนิดเข็มทู่ ที่เรียกว่า Canula ในการฉีด เพื่อป้องกันสารเติมเติมไปอุดตันเส้นเลือด  เพราะบริเวณนี้มีเส้นเลือดสำคัญที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณนี้หลายเส้น และถ้าใช้เข็มแหลม อาจจะมีความเสี่ยงไปโดนเส้นเลือดเหล่านี้ได้

ตัวอย่างการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้มโดยตรง ด้วยเข็มทู่ Canula
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึก จากการหย่อนคล้อยด้วยการยกกระชับด้วย Ulthera
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากการหย่อนคล้อย โดยการเติมสารเติมเต็มด้วยเทคนิค Filler Lifting

2.  ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียการหย่อนคล้อย (Skin sagging) : เป็นสาเหตุอีกสาเหตุที่บางคนไม่ค่อยนึกถึง เพราะจริงๆ แล้วการหย่อนคล้อยของใบหน้าบริเวณโหนกแก้มจากอายุมากขึ้น ก็ทำให้เกิดร่องแก้มดูลึกลงได้ โดยอาจจะมีสาเหตุนี้ร่วมกับการสูญเสียคอลลาเจน หรืออาจจะเกิดจากสาเหตุนี้อย่างเดียว ดังนั้นการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม อาจจะไม่ได้ผลมากนัก แพทย์ชั้นเซียนเค้าจะแก้ไขด้วยการยกกระชับผิวหน้าแทน  โดยเปลี่ยนจากการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม มาเปลี่ยนเป็นฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ ด้วยเทคนิค Filler Lifting ซึ่งจะฉีดปริมาณเท่าไหร่ กี่จุด ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาหย่อนคล้อยเกิดในบริเวณไหนของใบหน้า ซึ่งแน่นอนการเลือกชนิดสารเติมเต็มในการฉีดก็อาจจะแตกต่างจากที่ใช้ฉีดเติมร่องแก้ม เพราะลักษณะผิวหนังแต่ละบริเวณของใบหน้า มีความหนาบางไม่เท่ากัน ตำแหน่งไหนใช้เข็มแหลมฉีดได้ ตำแหน่งไหนต้องใช้เข็มทู่หรือ Canula เหล่านี้คือเทคนิคที่ต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์ นอกจากนี้การยกกระชับผิวหน้าโดยรวมด้วยการร้อยไหม การทำ HIFU หรือ Monopolar RF  ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์อาจจะพิจารณาทำร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด สวยและดูธรรมชาติ

3. ร่องแก้มลึกจากการไขมันที่แก้มมากเกินไป : สาเหตุนี้มักจะเกิดในสาวๆ อายุน้อยที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ หรือมีไขมันสะสมที่ใบหน้า โดยที่ไม่ได้มีปัญหาหย่อนคล้อยหรือการสูญเสียคอลลาเจน การลดไขมันที่ใบหน้าด้วยการฉีดเมโสแฟตละลายไขมันอาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าวิธีข้างบน เพราะถ้ายิ่งเติมสารเติมเต็มไปที่ร่องแก้ม ก็ยิ่งทำให้ใบหน้ากลมมากขึ้น การเลือกส่วนผสมของตัวยาที่จะฉีดสลายไขมันก็ต้องเลือกแบบที่ได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อย ซึ่งถือว่าสำคัญมากในการประเมินว่าจะทำให้ไขมันลดลงได้มากน้อยเท่าใด และใช้เวลาเท่าไหร่ด้วย

ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากไขมันที่แก้มเยอะ ด้วยการฉีด Mesofat

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เช็คให้ดีก่อนว่าสาเหตุคืออะไร

การแก้ไขร่องแก้มลึก ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วการทำให้ได้ผลดี ต้องประเมินสาเหตุให้ครอบคลุม และแก้ไขแต่ละสาเหตุไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ เพราะต้องแก้ไขให้ตรงจุด เทคนิคการฉีด ซึ่งอาจจะมีทั้งฉีดตื้น ฉีดลึก หรือฉีดแบบผสมผสาน ที่เรียกว่า Multi-Layer injections การเลือกสารเติมเต็มที่จะฉีดแต่ละบริเวณ การเลือกชนิดและขนาดของเข็มที่เหมาะสม ควบคู่กับการผสมผสานการรักษาแบบองค์รวม พร้อมๆ กับต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งจากบทความนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน ได้ใช้พิจารณาในการเลือกการรักษาการแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ไม่มากก็น้อย

Posted on

7 ปัญหา ตาไม่สวย เราช่วยได้ เพื่อดวงตาในฝัน สวยก่อน ไม่รอแล้วนะ (Beauty tip for Idol Eyes )

ดวงตาในฝัน ให้คนอยากมองต้องทำไง

ดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes คือดวงตากลมโต สดใส มีประกาย เวลายิ้มก็ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ซึ่งจะทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากนี้องค์ประกอบรอบๆ ดวงตาก็ส่งผลให้ดวงตากลมโตของเรา น่าชวนมองมากขึ้น ไม่ว่าจะมีชั้นตาที่ชัดเจน ขนตายาวงอน ขนคิ้วโก่งเรียงตัวเป็นระเบียบ ขอบตาไม่ดำคล้ำ ไม่มีถุงไขมันทั้งเปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง
ปัจจุบัน นวัตกรรมด้านความงาม ได้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของให้เรามีดวงตา และองค์ประกอบรอบดวงตา เป็นดวงตาในฝันได้ไม่ยาก และไม่ต้องเจ็บตัว ต้องผ่าตัดเมื่อเช่นสมัยก่อน ซึ่งผู้เขียนพอจะรวบรวมได้ดังนี้
7 เคล็บลับความงาม ตามนิยาม ทำให้ “ตาสวย”
1. ริ้วรอยรอบดวงตา : ริ้วรอย คือหลักฐานที่บ่งบอกถึงความชรา ซึ่งเราจำแนกออกเป็น 2 แบบ
1.1     ริ้วรอยขณะยิ้ม หรือตีนกา ( Dynamic wrinkle) : เกิดขึ้นเมื่อมีการขยับกล้ามเนื้อหรือยิ้ม เราก็แก้ไขได้ด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin type A  เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่การฉีดBotulinum toxin type A  ก็ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะจะอยู่ได้นานกว่ายี่ห้ออื่นๆ  และควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้ริ้วรอยนั้นลดลง ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป
1.2      ริ้วรอยย่นเล็กๆ ขอบตาล่าง ( Static wrinkle) : ริ้วรอยแบบนี้ แม้จะหยุดยิ้ม อยู่เฉยๆ ก็ย่น ดูแก่ เราก็แก้ไขด้วยการทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการลดริ้วรอย หรืออาจจะใช้เลเซอร์กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Fractional laser 1550 nm ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น ระยะเวลาพักฟื้นไม่กี่วัน

2. หนังตาตก ไม่มีชั้นตา ช้นตาไม่เท่ากัน : กรณีที่เราอายุมากขึ้น ชั้นตาที่เคยเห็นชัด อาจจะโดนบดบังด้วยเปลือกตาบน หรือไขมันที่เปลือกตาบน ทำให้เห็นชั้นตาไม่ชัด หรือหนังตาตก การแก้ไข ถ้าหนังตาตกมาก จากอายุมาก หรือไม่มีชั้นตาเลย ส่วนใหญ่ เราก็แก้ไขด้วยการทำศัลยกรรมตาสองชั้น กรีดตา ยกหางตา ด้วยมีดหรือเลเซอร์
แต่ถ้าไม่อยากผ่าตัด หรือทำเลเซอร์ ให้ไม่อยากมีเกิดแผลเป็น ชั้นตาตกไม่มาก หรือชั้นตาไม่เท่ากัน การทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการตัดหนังส่วนเกินที่ห้อยลงมา หรือชั้นไขมันที่พอกพูนเปลือกตาบน จนบดบังชั้นตาให้ลดลงได้ ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกนึง

3. ขอบตาคล้ำ  : บางคนอาจจะมีปัญหาขอบตาคล้ำ จากพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากปัญหาภูมิแพ้ ขอบขยี้ตาบ่อยๆ จนทำให้เกิดตาอักเสบเกิดรอยดำ จากเม็ดสีเมลานินสะสม เราก็สามารถแก้ไขด้วยการลดจำนวนเม็ดสีเข้มให้จางลงด้วย การทำเลเซอร์เม็ดสีกลุ่ม Q-Swiched Nd:YAG 1064 nm เช่น Revlite laser หรือขอบตาคล้ำจากเส้นเลือดดำ ก็ลดการบวมแดงด้วย เลเซอร์ Long Pulsed Nd:YAG เช่น Gentle YaG

4.  เบ้าตาลึก : จากการลดลงของคอลลาเจน เมื่ออายุมากขึ้น เกิดร่องน้ำตา เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ให้ดูตื้นขึ้น หรือเรียบเนียนได้ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้ปัจจุบันที่นิยมและปลอดภัย ก็คือกลุ่มสาร HA ( Hyaluronic acids ) ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาขนาดโมเลกุลขนาดใหญ่ปานกลาง สำหรับฉีดในชั้นลึกหรือติดกระดูกเพื่อการค้ำยันหรือดันเบ้าตาให้ตื้น แถมยังทำให้ถุงไขมันเล็กลงได้ด้วย และยังได้มีการพัฒนาฟิลเลอร์แบบใหม่ ให้มีขนาดโมเลกุลของสาร HA ให้มีขนาดเล็กมากเป็นพิเศษที่เรียกว่า Vital light เพื่อฉีดผิวหนังชั้นตื้น ให้ดูเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ซึ่งแพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถเลือกชนิดของสาร HA ที่มีขนาดแตกต่างกัน ฉีดในหลายๆ ชั้น คล้ายขนมชั้น ที่เรียกว่า Multi-Layer filler injection technique

5. คิ้วตก หางตาตก ขอบตาล่างไม่กระชับ : เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน เพื่อให้ผิวกระชับ ลดการหย่อนคล้อยด้วยการทำ Ulthera รอบดวงตา โดยใช้หลักการปล่อยพลังงาน Focused Ultrasound ไปยังชั้นผิวหลังล่างสุด ที่เรียกว่าชั้น SMAS ให้เกิดการตึงตัว และยกตัวสูงขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์หรือโบทอกซ์ ยกคิ้ว ยกหางตา

6. ขนคิ้วบาง :  : ปกติเราก็มักจะใช้การเขียนคิ้ว ปัดขนตาด้วย อายไลเนอร์ แต่ถ้าเราอยากมีคิ้วดกดำ เป็นธรรมชาติ เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างขนคิ้ว ให้ดกดำ ยาวงอนตามต้องการได้ด้วยโลฃั่นปลูกคิ้ว หรือทำ Mesotherapy ปลูกคิ้ว เพือการหวังผลที่ดีขึ้น

7. ถุงไขมันที่เปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง : ถ้าปกติการแก้ไข มี 2 แบบ คือการทำศัลยกรรมเปลือกตา โดยการเลาะถุงไขมันออก มักจะใช้ในกรณีที่เป็นมากแล้ว แต่ถ้าไม่มากนัก เราอาจจะลองทำแบบที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น เราก็สามารถจะแก้ไขไขมันที่เปลือกตาบน ด้วยการฉีด Mesofat สลายไขมัน ส่วนถุงไขมันเปลือกตาล่าง กรณีเป็นไม่มาก มักจะเกิดจากเส้นเอ็นที่ยึดหย่อน เราอาจจะฉีดเติมฟิลเลอร์เข้าไปที่ฐานเส้นเอ็นให้ขึงตึงขึ้น เพื่อดันไขมันให้กลับเข้าไป
ดังนั้น การที่เราจะมีดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่ควรที่จะเลือกการให้บริการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เลือกเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อ.ย. และมีการยอมรับกันทั่วโลก เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาในตลาดมากมาย การตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดี มีคุณภาพ ย่อมเกิดประสิทธิผลในการรักษาได้ดี และปลอดภัย ปราศจากผลข้างเคียงตามมาภายหลัง

Posted on 68 Comments

กรีดตาสองชั้น แก้ชั้นตาไม่เท่ากัน หนังตาตก ด้วยพลังงานพลาสมา (Plexr) โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมหรือเลเซอร์ ไม่มีแผลเป็น

ตาสวย ตาไม่หมวย ใครก็ชอบ

ดวงตา จัดเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ดึงดูดใจใครต่อใครได้ดีที่สุด และเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำให้คนเราสวยขึ้นมากกว่าเดิม โดยพบว่าใครที่มีตาสวย ตาหวาน จะเป็นจุดเด่นที่ทุกคนต่างก็ต้องหันมามอง จะเห็นได้ว่า ดาราที่มีชื่อเสียง ต่างก็มีดวงตาที่กลมโต สดใส มีชั้นตา (ตา 2 ชั้น) และไม่มีรอยย่น หรือรอยพับที่เปลือกตา นอกจากนี้ดวงตายังเป็นตัวบ่งบอกได้ถึงอายุ ว่ายังอ่อนวัย หรือใกล้ร่วงโรย โดยเฉพาะถ้าหนังตาเริ่มตก ชั้นตาไม่เท่ากัน อยากคืนความเยาววัยกับดวงตา โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเลเซอร์ให้เกิดแผลเป็น พลังงานพลาสมาคือทางเลือกแรกที่ตอบโจทย์ได้

Plexr พลาสมา คืออะไร

Plexr จัดเป็นเครื่องมือที่ใช้กรีดผิวหนัง โดยไม่มีแผลเป็นหลังทำ เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอิตาลี ที่ใช้พลังงานพลาสมา โดยเครื่องมือได้นิยมนำมา กรีดตาสองชั้น แก้ปัญหาเปลือกตาตกบดบังชั้นตา ชั้นตาไม่เท่ากัน หรือ ริ้วรอยรอบดวงตา ไม่ใช่พลังงานเลเซอร์ โดยพลังงาน Plasma เกิดจากการเปลี่ยนประจุแก๊สในอากาศ กับหัวของเครื่องมือ โดยพลังงาน Plasma นี้ให้ความร้อนสูงถึง 6,500 Kelvin และเกิดความร้อนที่ผิวหนังที่เพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียส (ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ที่ให้พลังงานสูงและลงลึก ทำลายชั้นผิวให้เกิดแผลเป็นได้มากกว่า) แต่ก็สามารถทำให้ผิวหนังระเหิดหายไป เกิดเป็นชั้นตา หรือทำให้หนังตาที่ตกหายไปในทันที โดยไม่ทำให้เกิดรอยดำ รอยด่าง หรือแผลเป็น เหมือนกับการทำศัลยกรรมด้วยการกรีด หรือ เจาะด้วยเลเซอร์ นอกจากนี้ เครื่อง Plexr พลาสมา ยังไม่มีผลหรือทำอันตรายกับเนื่อเยื่อหรือบริเวณข้างเคียง และยังสามารถทำได้กับทุกสภาพสีผิว ไม่เกิดรอยแผลเป็น หรือรอยเย็บ

พลังงานพลาสมา ทำอะไรได้บ้าง เจ็บมั้ย มีผลข้างเคียง?

1. กรีดตาสองชั้น แก้ไขตาสองชั้นที่ไม่เท่ากัน ทั้งจากของเดิม หรือจากการทำศัลยกรรมมาแล้วชั้นตาไม่เท่ากัน
2. แก้ปัญหาหนังตาตก บดบังชั้นตา
3. ลดไขมันที่เปลือกตา
4. แผลเป็น รอยหลุม รอยแตกลาย
5. รอยย่นที่เปลือกตา ริ้วรอยใต้ตา
6. ใช้แทนเลเซอร์ CO2 ในการตัดหูด ใฝ ขี้แมงวัน สิวหิน ก้อนไขมัน กระตื้น รอยสักทุกชนิด โดยไม่เกิดรอยดำ หรือแผลเป็น

ขั้นตอนในการทำการรักษาด้วย เครื่อง Plasma และการดูแลหลังทำ

1. ทายาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
2. อาจจะรู้สึกร้อนๆ บริเวณที่ทำ
3. เกิดสะเก็ดสีน้ำตาลบางๆตรงบริเวณที่ทำ
4. ล้างหน้าทุกวันแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด (ห้ามถู)
5. หลังล้างหน้า ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และยาสมานแผลตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
6. อาจจะมีอาการปวดแสบร้อนหลังทำ 4-6 ชม
7. อาจจะมีอาการบวมหลังทำ หรือรู้สึกหนักๆ ที่เปลือกตา ประมาณ 1-3 วัน สามารถรับประทานยาลดบวมได้
8. สะเก็ดไม่ควรจะขัด แกะ หรือถู เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบเป็นรอยดำ ปล่อยให้หลุดเอง ใช้เวลา 4-7 วัน
9. ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ไปทำงานได้ปกติ

Posted on

ฉีดโบ อย่างไร ให้ดูดี เป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ยิ้มได้ ยักคิ้วได้ -Botox Intradermal (Dermolift) injection

ทำไมฉีดโบ แล้วดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจหลักการทำงานของโบทอกซ์ก่อนว่า ตัวยาจะไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยในยุคแรกๆ ที่เราเริ่มเอาโบทอกซ์มาใช้ในแวดวงความงาม ประมาณ ปี ประมาณปีค.ศ 1999-2000 โดยนำมาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็พัฒนามาฉีด รอยย่นหน้าผาก หัวคิ้ว ปรับรูปหน้า โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง กล้ามเนื้อคลายตัว( relaxations ) ที่เราเรียกว่าอ่อนแรงลงชั่วคราวนั่นเอง ซึ่งทำให้ ริ้วรอย ตีนกา รอยย่นจึงลดลง ไม่เกิดรอยย่นขณะยิ้ม หรือขมวดคิ้ว โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique ส่วนการที่ฉีดแล้ว ดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้ มักจะขึ้นอยู่กับ
1. ปริมาณยูนิตที่ฉีดเยอะเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อแทบจะขยับไม่ได้ หรือเกือบเป็นอัมพาตชั่วคราว
2. ตำแหน่งที่ฉีดเยอะไป หรือเทคนิคที่ฉีดไม่ถูกต้อง
3. ฉีดไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่นที่ไม่ต้องการ ทำให้ยิ้มได้ลำบากหรือยิ้มไม่ได้

Intradermal (Dermolift) คือ เทคนิคที่ฉีดโบ แล้วหน้าไม่แข็ง เป็นธรรมชาติ

เทคนิคนี้ คือ การฉีดโบทอกซ์ในตื้น หรือ ชั้นหนังแท้ ( intradermal ) หรือชั้นคอลลาเจน ทีแทนที่จะฉีดในชั้นกล้าเนื้อแบบเดิม เพราะมีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่า การฉีดโบทอกซ์ในชั้นนี้ จะทำให้คอลลาเจนหรือกล้ามเนื้อมัดเล็ก เกิดการหดตัว แทนที่จะคลายตัว ทำให้ริ้วรอย ลดลงได้ จากการยืดกล้ามเนื้อให้ตึง ริ้วรอยลึกเลยดูลดลง จึงดูสวยงามและดูธรรมชาติมากขึ้น สามารถจะยิ้ม ยักคิ้ว ขมวดคิ้วได้ ไม่แข็ง มีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถจะฉีดเทคนิคนี้ได้ชำนาญ และได้ผลดี เนื่องจากต้องอาศัยประสบการณ์ การฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผสมตัวยาโบทอกซ์ที่ความเข้มข้นแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่ง เทคนิคการปักเข็มลึกตื้นแค่ไหน ในแต่ละตำแหน่ง องศาการฉีด เวกเตอร์เส้นใยกล้ามเนื้อในแต่ละมัดแต่ละตำแหน่ง

ตำแหน่งไหนที่เหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : หลักๆ ก็คือตำแหน่งที่ที่เราหวังผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ให้เกิดการกระชับ  แต่ไม่ทำให้คลายตัวหรืออ่อนแรงจนขยับไม่ได้นั่นเอง เช่น

  1. รอยย่นบริเวณหน้าผาก โดยทำให้รอยย่นลดลง แต่ยังขยับหน้าผากได้ปกติ ไม่ดูแข็งหรือแสดงสีหน้าไม่ได้ หรือรอยย่นที่เกิดขึ้นใกล้แนวคิ้ว ทำให้ลดลงได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องคิ้วตก หรือคิ้วไม่เท่ากัน
  2. รอยย่นใต้ตา ทำให้ยิ้มได้เป็นธรรมชาติไม่ดูแข็งเกินไป จึงแสดงสีหน้าได้ปกติ แต่รอยย่นจางลง ลดลง ไม่ถึงกับหมด เหมาะกับคนที่ต้องใช้สีหน้าในการแสดงความรู้สึก เช่น กลุ่มนักแสดง นักร้อง หรือที่ต้องใช้ใบหน้าในที่สาธารณะ
  3. การยกกระชับกรอบหน้า บนล่าง เสริมการฉีดลดกราม(ที่ยังนิยมฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ) เพื่อให้กรอบหน้าไม่หย่อนคล้อย เสริมหน้าวีเชฟมากขึ้น
  4. ใช้ยกกระชับหนังตา หางคิ้ว หางตา  โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คิ้วตก หรือหางตายกไม่เท่ากัน
  5. ฉีดพรมทั่วใบหน้า ให้ใบหน้าเต่งตึง กระชับมีน้ำมีนวล ไม่หย่อนคล้อย
  6. ฉีดรอยย่นที่คอ เหนียง ให้กระชับ ลดการหย่อนคล้อย
  7. ฉีดให้รูขุมขนเล็กลง
  8. ฉีดให้คางสั้นลง ได้รูปขึ้น
  9. ฉีดกรอบหน้าให้วีเชฟ เล็กลง
  10. ฉีดให้แนวคิ้วยกขึ้น ทำให้ตาโตขึ้น

บุคคลไหนเหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ที่หวังผลให้ตนเองเยาววัยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถแสดงสีหน้า อารมณ์ได้อย่างปกติ โดยเฉพาะในเพศชาย ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปทำอะไรมา หรือกลุ่มที่ต้องใช้หน้าตาในการแสดงอารมณ์ เช่น ดารา นักร้อง

Posted on

สลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วนให้เป๊ะปัง ในเครื่องเดียว : Exilis Elite

เครื่องเดียวครบ จบเรื่องไขมัน ยกกระชับปรับสัดส่วน

ปัญหา ไขมันส่วนเกิน ผิวหน้า ผิวกาย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ จัดเป็นปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่ง ของผู้ที่ดูแลและห่วงใยในสุขภาพและภาพลักษณ์ของตนเอง เพราะการมีรูปร่างที่สมส่วน กระชับ มีสัดส่วนโค้งเว้า ของสตรีเพศ หรือกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมชายชาตรี ต่างเป็นสุดยอดปรารถนากันทีเดียว เพราะ ถ้าเรายังฟิต ยังเป๊ะ ทุกอณูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหล่ะก็ อายุเป็นเพียงตัวเลขที่เราไม่เคยหวั่นไหว
ปกติ เวลาเราต้องการจะสลายไขมันส่วนเกิน หรือจะยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน ลดการหย่อนคล้อย เราต้องใช้การรักษาแยกกัน ใช้เครื่องมือต่างกัน ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
แต่ Exilis Elite คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดยเครื่องเดียวครบ จบทุกปัญหาไขมันส่วนเกิน ไม่กระชับ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น และได้ผลรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และที่สำคัญราคาไม่แพงเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ที่เคยมีมาก่อน

Exilis Elite คืออะไร ทำงานอย่างไร

คือเครื่องมือในการสลายไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน สามารถสลายไขมัน กระชับผิว ลดการหย่อยคล้อยในเครื่องเดียว โดยไม่ผ่าตัดหรือเจาะให้เจ็บตัว ( Non- Surgical body contouring and tightening ) โดยใช้หลักการทำงานร่วมกัน ของคลื่น Monopolar RF กับ Continuous Ultrasound
ทำงานอย่างไร
–  Exilis Elite จะส่งพลังงานความร้อนของคลื่น Monopolar RF ลงลึกไปในชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวกระชับ และชั้นไขมัน ไปสลายไขมันส่วนเกิน โดยสามารถจะ ลงลึกถึงชั้นไขมันได้ถึง 2.5 ซม. โดยไม่รู้สึกร้อนมากจนทนไม่ไหว เพราะมีระบบ Cooling System ที่หัว applicator จึงรู้สึกเพียงอุ่นๆ ที่ใต้ผิวหนัง ในขณะที่ทำ และยังมีระบบ Continous Ultrasound ทำงานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเราทราบมาก่อนแล้วว่า Ultrasound ช่วยกระชับผิวหน้า ผิวกายที่หย่อนคล้อย จึงช่วยทั้งกระชับสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน ไปในคราวเดียวกัน โดยกลไกการทำงานที่ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้กระชับผิวจากคลื่นความร้อน Monopolar RF  +Ultrasound และสลายไขมันด้วยความร้อนที่พอเหมาะ ที่จะทำให้เกิดเซลล์ไขมันตาย (Fat cell apoptosis) ซึ่งคือที่ อุณหภูมิ 41-43 องศาเซลเซียส โดยมีหัววัดอุณหภูมิให้ Monitor ในระหว่างทีทำ ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกข้อที่ เครื่อง Monopolar RF  รุ่นก่อนๆ ไม่มี

Exilis VS Thermage

1. Exilis และ Thermage การทำงานไม่แตกต่างกัน ต่างใช้คลื่นความร้อน Monopolar RF เหมือนกัน
2. Thermage แนวพลังงานลงลึกกว่าและแคบตามแนวดิ่ง ไม่มี Ultrasound ส่วน Exilis เนื่องจากมี Ultrasound ร่วมด้วย คล้ายเครื่องนวดหน้าหรือตีไขมัน จะลงกว้างกว่าในแนวขวาง
3. Exilis มีจอมอนิเตอร์ บ่งบอกพลังงานในหน้าจอว่าเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคนมั้ย หรือพลังงานพอหรือไม่ในการสลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน
4. Exilis จะปลดปล่อยพลังงานที่คงที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนได้ทั่วถึง ป้องกันการสะสมความร้อนเฉพาะจุด จึงไม่เกิดการไหม้ (burn) ผิวหนัง
5. หัวทำหน้าของ Exilisสามารถกำจัดริ้วรอยย่นใต้ตา ได้ผลดีกว่าเครื่องใดๆ เพราะสามารถบังคับให้ชิดดวงตาได้เท่าที่ต้องการ

มีขั้นตอนการทำอย่างไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่
-แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แต่ถ้าสามารถดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนจะมาทำจะยิ่งดี เพื่อให้ผิวหนังชุ่มน้ำ เพื่อจะได้ทนกับความร้อนได้ดีขึ้น และลดการสูญเสียน้ำจากความร้อนที่ผิว
– ไม่ต้องแปะยาชาให้เสียเวลา ก่อนทำพนักงานจะทำการติด PAD ที่ด้านหลังหรือสะโพก ใกล้บริเวณที่จะทำทรีทเม้นต์ ทาเจลหล่อลื่น(ที่สำหรับทำ IPL ) ทาก่อนแล้วก็เริ่มทำได้ โดยอุณหภูมิจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เมื่อได้ที่แล้ว อุณหภูมิจะหยุดแค่นั้น การปลดปล่อยพลังงาน RF ก็จะสม่ำเสมอเป็นแนวระนาบ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับ เครื่องยี่ห้ออื่น
– เมื่อรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เจ้าหน้าที่ก็จะยกหัวขึ้นพักชั่วคราวโดยไม่รู้สึกว่ามี  Spark ให้สะดุ้งหรือเจ็บ เมื่อค่อยยังชั่วก็ค่อยเริ่มทำการรักษาต่อ โดยเวลาที่ทำก็แล้วแต่พื้นที่ อาจจะ 15-20 นาที โดยเครื่องจะคำนวณจากคอมพิวเตอร์
ผลข้างเคียงว่าจะมีอาการ Burn หลังทำหรือไม่
ไม่ต้องกังวล  เพราะ มีระบบตรวจวัดค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทาน ด้วยระบบ Intelligence Impedance ที่เหมาะสม หลังทำอาจจะมีอาการแดงที่บริเวณที่ทำ ประมาณ  30-60 นาทีก็หายเป็นปกติ ส่วนความร้อนที่สะสมในชั้นไขมัน จะยังรู้สึกได้นานถึง 24-36 ชั่วโมงหลังทำ

Ekilis Elite สามารถทำได้ในบริเวณใดบ้าง และมีข้อห้ามในการทำหรือไม่
– สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัยที่เริ่มมีปัญหาหน้ากลม ไขมันส่วนเกิน และหย่อยคล้อยไม่กระชับ และ สามารถจะทำได้ทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ไขมันใต้คาง (เหนียง) คอ หน้าอก หย่อนคล้อยในผู้หญิง หรือนมโตในผู้ชายที่เรียกว่า Gynecomastia หน้าท้อง บั้นเอว สะโพก ต้นขา หรือน่องที่มีไขมันมาก
ข้อห้าม ก็เฉพาะในบริเวณที่มีบาดแผล และในสตรีมีครรภ์เท่านั้น และในคนที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง หรืออื่นๆ ก็สามารถทำได้

Posted on

Ulthera ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ครั้งเดียวจบ ครบทุกปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

Ulthera คืออะไร

Ulthera คือ เครื่องยกกระชับ ปรับรูปหน้า แบรนด์อเมริกา ทำงานโดยการปล่อย คลื่นเสียง Focus Ultrasound คลื่นจะเปลี่ยนเป็นความร้อน 63 องศา ถึงชั้น SMAS ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม
SMAS สำคัญอย่างไร
– มีความสำคัญในการยึดผิวหนังเข้าไว้กับกระดูกเป็นเหมือนชั้นกาวสองหน้าที่คอย เชื่อมผิวกับโครงร่างใบหน้าเข้าไว้ด้วยกัน เพราะปัญหาหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากความเสื่อมหรือความอ่อนแอของชั้น SMAS
Ulthera ทำงานอย่างไรตรงชั้น SMAS
-พลังงานความร้อนจุดเล็กๆ จำนวนมากของ Ulthera จะ มุ่งเป้าหมายตรงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) แล้วทำการซ่อมแซม ส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ คล้ายกับการยิงแมกซ์เย็บกระดาษให้ยึดติดกัน
– โดยในขณะที่ทำ แพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ( SEE and TREAT ) ในขณะที่เครื่องอื่น ไม่มี ทำให้เห็นจุดบกพร่องของผิว และทำการรักษาได้แม่นยำ และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆ กระชับขึ้น รูปหน้าเล้กลง และดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้ผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เปรียบเทียบ Ulthera กับการยกกระชับด้วยวิธีอื่นๆ

1. Ulthera พลังงานจะลงลึกสุดถึงชั้น SMAS ขณะที่ Thermage or Exilis ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุ จะลงถึงเพียงชั้นไขมันหรือคอลลาเจน
2. พลังงานของ Ulthera เป็น Focuse Ultrasound Original จึงโฟกัส ตรง SMAS ได้แม่นยำทุกจุด และตรวจเช็คได้จากจอมอนิเตอร์ ส่วน HIFU ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า แต่ละยี่ห้อลงลึกได้ทุกครั้งที่ยิงมั้ย เพราะไม่มีจอมอนิเตอร์ให้สังเกตได้
3. การร้อยไหมยกกระชับผิว ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นไขมันหรือคอลลาเจน ส่วนชนิดของไหม ไม่ว่าไหมก้างปลา หรือแบบไหนก็ไม่สามารถลงลึกได้มาก ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ชนิดของไหม ปกติจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. การทำเลเซอร์ยกกระชับผิว เฃ่น Gentle YaG or V-beam เพื่อจะทำ Rejuvenation พลังงานจะ ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือกระชับผิวส่วน ปกติจะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
5. ฉีดโบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้า จะช่วยกรณีที่อายุยังไม่มาก และกรอบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย จะฉีดชั้นเดียวกับที่ทำเลเซอร์ กระชับหน้า โดยจะออกฤทธิ์ที่ชั้นกล้ามเนื้อด้านบน ส่วนการฉีดกล้ามเนื้อชั้นลึก ด้วยโบทอกซ์ มักจะใช้ในการปรับรูปหน้า ซึ่ง Ulthera ก็ช่วยได้ระดับนึง เมื่อผิวหนังกระชับขึ้น หน้าก็จะดูเล็กลงได้ เช่นกัน โบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้าจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
6. การนวดหน้า ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และตื้นกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือเลเซอร์กระชับผิว พวกนี้อยู่ได้ 1-2 อาทิตย์
ดังนั้นถ้าหวังผลยกกระชับในส่วนลึก ให้ได้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้าที่ทำที่ชั้น SMAS เหมือนกัน ก็คงมีแต่เครื่อง Ulthera เท่านั้นที่สามารถนำมาทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือทำให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้า ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำไปทำงานได้ตามปกติ

Ulthera เหมาะกับใคร
        ผู้ที่มีเริ่มมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ได้แก่ การลดลงของคอลลาเจนตามอายุ การสูญเสียไขมันที่ใบหน้า มีไขมันสะสมบริเวณข้างแก้มและเกิดเหนียง ได้แก่ 

  1. ผู้ที่มีหน้าใบหน้าคล้อย ไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีคิ้วตก หรือ หนังตาตก
  3. ผู้ที่มีกรอบรูปหน้าไม่ชัดเจน 
  4. ผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยใต้คาง
  5. ผู้ที่มีผิวหนังคอและเนินอกไม่กระชับ 
  6. ผู้ที่มีปัญหาคล้อยที่แขน
  7. ผู้ที่มีหน้าท้องไม่กระชับ 
  8. ลดภาวะเหงื่อออกมากที่รักแร้

ผู้ใดที่ไม่ควรทำ Ulthera

  1. ผู้ที่ได้รับการฝังแผ่นโลหะหรือฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์บริเวณผิวหน้าและลำคอ
  2. สตรีตั้งครรภ์
  3. ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลมชัก หรือเป็นเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำ

ผลการรักษาและข้อควรระวัง

  1. ให้ผลการรักษาเทียบเคียงกับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงใบหน้า ส่วนได้ผลมากน้อยแค่ไหน ีขึ้นอยู่กับจำนวนLines ที่ยิง ความแรง และประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ
  2. หลังทำ ไม่มีรอยแผลเป็น ใช้ระยะเวลาสั้นในการดูแลรักษาผิวหน้า อาจพบอาการบวมแดงเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษาและหายเป็นปกติภายใน 1-2 อาทิตย์
  3. อาจเกิดความปวดขณะทำ ลดความปวดได้ด้วยการทายาชา ก่อนการทำ 45-60 นาที.
  4. อาจพบห้อเลือด เกิดขึ้นได้หากพลังงานโดนเส้นเลือด อาการจะดีขึ้น 3-7 วันหลังการรักษา
  5. หากพลังงานโดนเส้นประสาท อาจทำให้เกิดการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ชาชั่วคราวได้ จะหายได้เองใน 1-2 เดือน
  6. อาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้ หากยิงด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
  7. ผลการรักษาจะเห็นชัดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน การรักษาต่อครั้งจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  8. ผู้ป่วยควรจะกลับมาหลังจากทำการรักษา 3 เดือน สำหรับการประเมินซ้ำ

Posted on 2 Comments

จิ้ม 8 จุด หยุดยั้งการร่วงโรยตามวัย แก้ไขปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปรับรูปหน้า (8 Points Face Lift with Fillers )

8 จุดบนหน้า สัญญาณบอกความชรา พาให้เราดูร่วงโรย

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนอกจากริ้วรอยเหี่ยวย่นแล้ว การสูญเสียหรือลดลงชั้นคอลลาเจน ชั้นไขมัน มวลกระดูก (Volume loss) ก็ทำให้เราดูแก่กว่าวัยได้ ซึ่งจะสังเกตได้ชัดเจน 8 จุด ได้แก่บริเวณเหล่านี้

1.ร่องน้ำตา หรือเบ้าตาลึกขึ้น จนบางครั้งเหมือนคนอดนอน
2.โหนกแก้มเริ่มแบนมากขึ้น จนบางครั้งเห็นเป็นธารน้ำตา (Indian line)
3.แก้มที่เคยเป็นอวบอิ่มเป็นลูกส้มหายไป
4.ร่องแก้มเริ่มลึกขึ้น
5.เวลายิ้ม มุมปากตก มีร่องน้ำหมาก
6.คางเริ่มห้อย เริ่มมีเหนียง
7.ขอบคางเริ่มไม่คมชัด
8.แก้มตอบ มีรอยย่นเป็นริ้วๆ

การสูญเสียมวลไขมัน คอลลาเจน สาเหตุของความหย่อนคล้อย

ฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ (Filler Lifting )กลับมาอ่อนวัยได้

เราทราบว่าสาเหตุที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เกิดจากการที่คอลลาเจนที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (Volume loss) นั่นเอง   ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสารเติมเต็มเข้าไปทดแทนคอลลาเจนที่หายไปตรง 8 จุดที่มีปัญหาดังกล่าว โดยเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มี % HA สูง และมีความหนืดมาก จะมีคุณสมบัติยกกระชับได้ด้วย นอกจากการเติมเต็ม เช่น Perlane ,Juvederm Voluma,Perfectha Subcu. โดยใช้เข็มทู่ (Canula ) วางลึกบนกระดูก ทั้งประเภทของฟิลเลอร์และเทคนิค ตำแหน่งการวางที่ถูกต้อง จะยกกระชับปรับรูปหน้า เติมเต็มหน้าให้กลับมาอ่อนวัยได้
ข้อดีการยกกระชับด้วยฟิลเลอร์ ท่านจะยังสามารถขยับกล้ามเนื้อ หรือแสดงสีหน้าได้ปกติ เป็นธรรมชาติ และก็ถือว่า เทคนิคนี้อยู่ได้ 10-18 เดือน และในระหว่างนี้อาจจะต้องมีการฉีดเพิ่มเติม เพื่อ Touch Up บ้าง

อนึ่งแต่ใช่ว่าแพทย์ทุกคน จะฉีด 8 Points Face Lift ได้สวยงามเป็นธรรมชาติ เพราะต้องมีการเรียนรู้ และฝึกฝน ต้องมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มาก่อนหลายปี และต้องมีความรู้รายละเอียดของฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อเป็นอย่างดี เพราะฟิลเลอร์ ที่แม้จะเลือกที่ผ่านอย .ซึ่งเป็นสาร Hyaluronic acid เหมือนกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ความหนืดก็ต่างกัน ก็ให้ผลไม่เหมือนกันได้ และตำแหน่ง 8 จุดนี้ ก็มีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน เนื้อผิวแตกต่างกัน ไม่งั้นก็อาจจะไม่ได้ผล หรือฉีดแล้วเห็นเป็นก้อนนูน ดูไม่ธรรมชาติ

เทคนิคการฉีดเองก็สำคัญ แพทย์ต้องรู้กายวิภาคของเส้นใยกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพราะการฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับจะแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์แบบสารเติมเต็ม แต่จะเป็นการฉีดเพื่อไปค้ำยันหรือต้านการหย่อนคล้อย แต่ละที่ก็ฉีดลึกตื้นไม่เหมือนกัน บางที่ก็ฉีดที่ชั้นใต้ผิวหนัง (Dermis) บางทีก็ต้องฉีดที่เหนือชั้น SMAS บางที่อาจจะต้องฉีดที่ใต้ชั้น SMAS ติดกระดูก

นอกจากนี้ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ฉีดเทคนิดแตกต่างกัน เพราะโครงหน้าของผู้ชาย กับผู้หญิงไม่เหมือนกัน มุมมองฉีดให้หล่อ กับมุมมองฉีดให้สวย ถือเป็นศิลปะเฉพาะของแต่ละเพศ ที่สำคัญต้องรู้ว่าฉีดอย่างไร ถึงจะปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

Posted on 2 Comments

Mini-Thermage (Athron C ) : ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ราคาเบาๆ หย่อนแค่ไหน ก็เอาอยู่

Mini-Thermage (Athron C ) คืออะไร? 

คือ เครื่องมือในการช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยโดย โดยใช้เทคนิคการรักษาด้วย คลื่นความร้อนสูง โดยมี ช่วงความถี่วิทยุแบบ monopolar RF ที่ลงได้ลึกถึงชั้นไขมัน และลึกกว่า เครื่อง RF ทั่วๆ ไป  ไม่เจ็บ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้นโดย ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิว จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่คลายตัวและยืดออกไปตามอายุนั้นกระชับตัวขึ้น ความร้อนยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผิวของคุณหนาขึ้นและเรียบเนียนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
Thermage-Mini (Athron C )  ทำงานอย่างไร ? 
Thermage-Mini (Athron C ) มีหลักการทำงานเหมือนกับ เครื่องThermage เดิม( ที่มีราคาแพงหลายหมื่น ถึงแสนบาทต่อครั้งที่ทำ ) โดยจะทำงานโดยการส่งผ่านความร้อนลงไป ที่ผิวหนังชั้นลึก (Dermis) ทำให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง 2 มิติ คือการหดตัว จากทางด้านข้างเข้าหากันและการหดตัวจากด้านบนกับด้านล่างเข้าหากัน ทำให้ผิวกระชับตึง ใบหน้าเล็กลง ลดการหย่อนคล้อย และลดเลือนริ้วร้อย และที่สำคัญราคาถูกกว่ามาก เพียง 5,000 บาทต่อครั้ง  ขั้นตอนก็สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ ซึ่งต่างจากเลเซอร์อื่นๆ วิธีการนี้สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว  FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ฯ และประเทศไทย ได้รับรองผลว่าได้ผลในการยกกระชับจริง และอนุมัติให้ใช้ได้มาแต่ปลายปี 2003 ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่


ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
– Mini -Thermage (Athron C ) ได้พัฒนาคุณภาพได้ใกล้เคียงกับThermage มากที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมือยกกระชับยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด และได้พัฒนามาเป็นรุ่นล่าสุดนี้ จนสามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจน หลังทำเสร็จ และจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนและดีขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นผลสูงสุดในเดือนที่ 6  การทำการรักษาด้วย Mini -Thermage (Athron C ) เพียงครั้งเดียว ก็จะเห็นความแตกต่างว่าผิวหน้าดีขึ้นในทันทีหลังการทำ ผิวของคุณจะตึงขึ้น เรียบขึ้น ประมาณ 30% และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสังเกตเห็นว่า ผิวจะเรียบตึงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำต่อเนื่องประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 1-2 อาทิตย์ จะพบว่าผลการรักษาจะอยู่ได้นานมากกว่า 3-6 เดือน และอาจทำซ้ำได้เป็นระยะๆ การทำแต่ละครั้งใช้เวลา 20- 30 นาที
Mini-Thermage (Athron C )  แตกต่างจาก Thermage อย่างไร ?
– MinI-Thermage-Mini (Athron C ) หลักการทำงาน ใช้พลังงานความร้อน แบบเดียวกับ Thermage คือ ใช้ Monopolar RF เหมือนกัน แต่จะทำงานในชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันเช่นกัน แต่ตื้นกว่า Thermage และเจ็บน้อยกว่า ราคาถูกกว่ามาก เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และเพิ่งจะเริ่มมีปัญหาการหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีปัญหาการหย่อนคล้อยเฉพาะในชั้นหนังแท้ (Dermis) อาจจะใช้ทำการรักษาเสริมการร้อยไหมยกกระชับผิวหน้า การทำฟิลเลอร์ การทำเลเซอร์ยกกระชับ โบทอกซ์ลิฟท์หน้า หรือหลังทำเมโสแฟตลดแก้ม แล้วหลังทำ แก้มไม่กระชับ

Posted on

ฟิลเลอร์คืออะไร : รู้ก่อนฉีด รู้ก่อนทำ ผ่านอ.ย.มั้ย ไม่พอใจ แก้ไขยังไง จึงจะได้ผล ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

ฟิลเลอร์คืออะไร แตกต่างจากการฉีดโบทอกซ์อย่างไร

– ฟิลเลอร์(Fillers) แปลว่าสารเติมเต็ม จึงทำงานเกี่ยวข้องการเติมส่วนทีพร่องหายไป ให้เต็มขึ้น กระชับขึ้น เพื่อจะลดปัญหาจากเนื้อหรือคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายที่ลดลง( Volumn loss ) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย จากของเดิมที่ไม่มี เช่นการฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้มที่ลึก การฉีดฟิลเลอร์ร่องตาที่ลึก การฉีดฟิลเลอร์เสริมดั้งจมูก การฉีดฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากอวบอิ่ม การฉีดฟิลเลอร์เสริมคาง ซึ่งความลึกตื้นในการฉีดส่วนใหญ่จะฉีดในชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นส่วนใหญ่ซึ่งอยุ่เหนือชั้นไขมัน และกล้ามเนื้อ
– ส่วนการฉีดโบทอกซ์จะทำงานกับกล้ามเนื้อเป็นหลัก ฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่เราไม่ต้องการ เช่น ลดริ้วรอยจากการขยับของตีนกาเวลายิ้ม การย่นหน้าผาก การย่นเวลาขมวดคิ้ว หรือกล้ามเนื้อกรามใหญ่ฉีดกล้ามเนื้อให้หน้าเรียวเล็ก หรือการฉีดใต้ผิวหนัง เพื่อยกกระชับปรับรูปหน้า

ฟิลเลอร์จะเลือกยี่ห้อไหนดเช็คยังไงว่าผ่าน อ.ย.

-ฟิลเลอร์ในปัจจุบันที่ปลอดภัย และแพทย์นิยมใช้กัน จะต้องเป็นกลุ่มสารไฮยาเท่านั้น (Hyaluronic acid-HA) และต้องเป็นสารไฮยาที่ไม่ได้สกัดจากสัตว์ จึงมีโอกาสแพ้น้อย ขบวนการสังเคราะห์ไฮยาลูรอนิกนี้จะมีลักษณะโมเลกุลคล้ายกับสารไฮยาลูรอนิกใน ร่างกายมนุษย์ และขอย้ำว่าเท่านั้นนะครับ และมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อที่ผ่านอย.เมืองไทย ท่านต้องตรวจสอบให้ดี ถามหมอให้แน่ชัดว่าใช้ยี่ห้ออะไร จำไม่ได้ ถ่ายรูปยี่ห้อและบาร์โค้ดด้านหลังไปตรวจสอบด้วย เพราะปัจจุบันของปลอมเยอะมาก สังเกตง่ายๆ ถ้าราคาถูกว่าท้องตลาดผิดปกติ ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นของเลียนแบบ
ตัวอย่างของฟิลเลอรืที่ผ่าน อย.ได้แก่
– กลุ่ม ที่ 1 Esthelis Basic, Esthelis Soft, Fortelis Extra, Modelis
– กลุ่มที่  2  Juvederm Forma , Juvederm Refine, Juvederm Ultra, Juvederm Ultra XC, Juvederm Ultra Plus, Juvederm Ultra Plus XC
– กลุ่มที่3  Restylane, Restylane Lipp,  Restylane Perlane, Restylane Sub Q, Restylane Touch, Restylane Vital Light ,Restylane Vital Light Injector, Revanesse Ultra
– กลุ่มที่ 4 Perfectha Subskin,Perfectha Deep,Perfectha Derm.

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้ทุกบริเวณของร่างกายหรือไม่ ใครที่ไม่ควรฉีด

– ปัจจุบันนี้ แพทย์ทั่วโลกที่ได้มาตรฐานสากลเดียวกันนะครับ จะฉีดฟิลเลอร์เฉพาะบริเวณใบหน้าเท่านั้นนะครับ โดยเลือกฉีดเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาจาก Volumn loss จริงๆ และฉีดปริมาณไม่มากนัก
– โดยทั่วใป ก็จะฉีดเติมร่องแก้ม ริ้วรอย  เป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเสริมดั้งจมูก  เสริมคาง เติมขมับ ริมฝีปาก ร่องตา  โหนกแก้ม หรือฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ไม่ใช่จะฉีดได้กับทุกรายนะครับ
– ส่วนรอยหลุมจะฉีดได้เฉพาะกรณีที่รอยหลุมนั้นไม่มีพังผืดยึดเกาะ ถ้ามีพังผืดฉีดลำบาก ฉีดแล้วไม่เต็ม 100% 
-การฉีดฟิลเลอร์ตรงรอยย่นเวลาขมวดคิ้ว ตำแหน่งนี้ก็เสี่ยงต่อไปอุดตันเส้นเลือดที่มาเลี้ยงดวงตา เปลือกตาบน ไม่ฉีดฟิลเลอร์กัน เสี่ยงต่อการเกิดก้อนได้มาก
– ส่วนการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มขนาดหน้าอก เพิ่มสะโพก หรือส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ นอกจากอย.จะไม่อนุญาตให้ฉีดแล้ว ยังไม่ควรจะฉีดนะครับ ต้องใช้ปริมาณที่มาก และเสี่ยงต่อฟิลเลอร์จะหลุดกระจายไปอุดตันเส้นเลือดหรือบริเวณที่สำคัญของร่างกาย

คนไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

ได้แก่
1. พวกที่แพ้สารไฮยา ฉีดไ่ม่ได้เด็ดขาด 
2. สำหรับสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร
3. ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย
4. ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมากๆ ผิวหน้าบาง พวกนี้ต้องระวังและเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่ละเอียด เพราะเสี่ยงต่อการเป็นก้อน ดูไม่ธรรมชาติได้
5. ผู้ที่มีประวัติเป็นเริม หรืองูสวัด พวกนี้มักจะเป็นๆ หายๆ ช่วงที่มีอาการหรือกำลังกลับมาเป็นอีก อย่าเพิ่งฉีดฟิลเลอร์นะครับ อาจจะทำให้อาการกำเริบมากขึ้นได้ แต่ถ้าเคยเป็นและอาการสงบ ฉีดได้ไม่มีปัญหา
6. ผู้ที่มีประวัติ ภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น SLE ผู้ที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น มะเร็ง ระยะลุกลาม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อพิจารณาเป็นรายๆ ไป

ฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงหรือไม่

ผลข้างเคียงจากการฉีดสารเติมเต็ม พอจะสรุปได้ดังนี้

  1. ฉีดไม่ถูกตำแหน่ง เช่นฉีดตื้นหรือลึกเกินไป ทำให้ได้ผลไม่ดีตามต้องการ
  2. ถ้าเกิดฉีดฟิลเลอร์เติมร่องใต้ตา แล้วเกิดไปอุดตันทางเดินน้ำเหลือง จะทำให้ตาดูบวมๆคล้ายถุงใต้ตา
  3. เป็นก้อนๆหรือตะปุ่มตะป่ำ อันนี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มหรือใต้ตาที่ฉีดตื้นเกินไป
  4. บริเวณที่ฉีดมีเส้นเลือดฝอยแดงเกิดขึ้น เป็นผลจากอนุภาคสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดฝอยในจุดนั้น มักพบได้บ่อยในกรณีที่ต้องการฉีดเสริมปลายจมูก
  5. เนื้อเยื่อข้างเคียงตาย จากการที่อนุภาคของสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดขนาดกลาง พบได้บริเวณข้างและปีกจมูกจากการเติมร่องแก้มหรือการฉีดเสริมจมูก
  6. เกิดการอักเสบติดเชื้อ พบได้บ่อยมากขึ้นในกรณีที่ฉีดเติมปลายจมูกให้ยาวขึ้นหรือเพื่อเป็นหยดน้ำใน จมูกที่มีแท่งซิลิโคนอยู่แล้ว กรณีนี้ต้องถอดแท่งซิิลิโคนออกเท่านั้นจึงจะดีขึ้น
  7. กรณีฉีดฟิลเลอร์จมูก หลายๆครั้ง โดยไม่ยอมให้ฟิลเลอร์เก่าสลายไปหมดก่อน อาจจะทำให้จมูกดูบวมๆ ไม่ได้รูปทรงที่ต้องการ
  8. ตาบอด อันนี้สาหัสสุด มักเกิดจากการฉีดเสริมจมูกอย่างผิดวิธีทำให้อนุภาคของสารเติมเต็มหลุดเข้าไป อุดตันเส้นเลือดที่ดวงตา ซึ่งเราคงเคยได้ข่าวมาบ้างแล้วในเมืองไทย

สรุปนะครับ หัวใจสำคัญที่ต้องคำนึงก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบมี 3 ประการ

  1. สารที่ฉีด ต้องแน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ใช่สารอื่นที่หลอกว่าเป็นฟิลเลอร์ หรือเป็นฟิลเลอร์ราคาถูกที่มีขายตามเวปไซด์หรือนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย เพราะเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอม หมดอายุ ไม่ได้คุณภาพ และดูภายนอกอาจจะไม่แตกต่าง ต้องอาศัยความเขี่ยวขาญและความน่าเชื่อถืออื่นๆมาประกอบกัน
  2. แพทย์ที่ฉีด เพราะการฉีดฟิลเลอร์จำเป็นอย่างมากที่แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ทางกายวิภาคอย่างเชี่ยวชาญ มีเทคนิคการฉีดต้องถูกต้องเหมาะสม มีการประเมินรูปร่างว่าบริเวณใดต้องฉีด มากน้อยเพียงใด และฉีดสารในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสม
  3. เพราะเมื่อฉีดสารเข้าไปย่อมมีโอกาสเสี่ยงในการที่จะไปโดนเส้นเลือดหรือ บริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ นำมาซึ่งอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตหรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้
  4. สถานที่ฉีด ต้องฉีดในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย มีเครื่องมือช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน หลังการ สลายได้มั้ย หลังฉีดควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

– สาร HA อยุ่ได้นานประมาณ 4-12 เดือน แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดย่อยๆ ของสาร HA โดยพบว่าตัวที่มีโมเลกุลใหญ่ จำนวน Cross-Link ของสาร HA สูง ก็จะอยู่นานกว่าแต่เต็มที่ ส่วนใหญ่ไม่เกินนี้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อดี เพราะเมื่อไม่พอใจ ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปแก้ไขหรืออย่างมาก
– ถ้าฟิลเลอร์เป็นสารไฮยา-HA สามารถฉีดให้สลายได้เห็นผลทันทีหลังทำ โดยตัวยา Hyaluronidase แต่ถ้าเป็น ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านอย. นอกจากซิลิโคนเหลว ยังมี Radiesse ( calcium hydroxlapatite),Sculptra ( poly-L-lactic acid),Artefill , Aquamid,Aqualift,Aquaderm ฯลฯ  ฯลฯ พวกนี้ฉีดสลายไม่ได้ ต้องขูดออกอย่างเดียว จำง่ายๆ
– ถ้าเจอใครบอกว่าฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้หลายปี นะครับ ท่านฟันธงได้เลยว่าสารฟิลเลอร์พวกนี้ ไม่ผ่านอย.และฉีดสลายให้หมดไปไม่ได้ นอกจากนี้ ยังจะมีโอกาสเกิด granuloma( เนื้อเยื่องอกผิดปกติใต้ผิวหนัง) ถึง 30 เปอร์เซนต์ เมื่อเกิดแล้ว จะเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ ดูไม่สวย และแก้ไขไม่ได้นะคับ

หลังการ ฉีด Filler ควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

  1. ห้ามนอนราบ 3 ชั่วโมง
  2. ข้อห้ามภายใน 2 วันควรเลี่ยงยาหรือสารที่อาจจะมีผลต่อการฟกช้ำได้ง่าย เช่นยากลุ่ม Aspirin,ยาแก้ปวดข้อบางชนิด เช่น Brufen,Voltaren วิตามินอี หรืออัลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชม การออกกำลังกาย การเข้าซาวน่า
  3. ข้อห้ามภายใน 2 อาทิตย์ โดนความร้อน หรือ ทำเลเซอร์ ทรีทเม้นท์ ที่มีความร้อน เช่น RF ยกกระชับ ทำ IPL ทำ Fractional Laser Co2 กรอผิว ทำ AHA ลอกหน้า เป็นต้น ตลอดจนการใช้ไดร์เป่าผม เข้าซาวน่า อบไอน้ำ เพราะความร้อนจะทำให้ Filler (ฟิลเลอร์) สลายเร็วขึ้น
  4. ทานน้ำเยอะเยอะ วันละ 2 ลิตรได้ยิ่งดีเพราะจะช่วยให้ Filler (ฟิลเลอร์) คงสภาพได้นานขึ้นเพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มเก็บกักน้ำได้ค่อนข้างดี ถ้าหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ได้ก็จะดีมาก

Posted on 2 Comments

โบท็อกซ์ : ดื้อยาได้ แต่ละยี่ห้อผลแตกต่างกัน ฉีดแล้วต้องระวังอะไร ห้ามทานยาอะไร ไม่พอใจ สลายได้มั้ย ใครไม่ควรฉีด ฯลฯ

การอบซาวน่า ไดร์สผม ดื่มอัลกอฮอล์ หรือ รับประทานของร้อนๆ มีผลต่อโบทอกซ์ที่ฉีดหรือไม่

ตอบ : ไม่มีผลต่อฤทธิ์ของโบทอกซ์ เพราะโบทอกซ์หลังฉีด ตัวยาโบทอกซ์ จะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อในเวลาไม่กี่นาทีกล้ามเนื้อจะขาดการรับรู้การเซลล์ประสาทในทันทีหลังฉีด ดังนั้นการที่แนะนำให้เลี่ยงหรืองดการอบซาวน่า การดื่มอัลอกฮอล์ หรือรับประทานอาหารร้อนๆ ไม่ได้ทำให้โบทอกซ์ออกฤทธิ์สั้นลง หรืออยู่ไม่นาน ที่ให้เลื่ยงพฤติกรรมบางอย่างหลังฉีด 4 ชั่วโมง ก็เพียงเพื่อป้องกันการฟกช้ำได้ง่าย(Bruise) จากเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัวจากอัลกอฮอล์ หรือความร้อนต่างหาก แต่ไม่ได้มีผลทำให้ฤทธิ์ของโบทอกซ์ลดลงจากเดิมแต่อย่างใด

ข่าวดีเอสไอบุกยึดโบท็อกซ์ปลอมมูลค่า 6 ล้าน http://www.dailynews.co.th/crime/203587

โบทอกซ์แต่ละยี่ห้อ ให้ผลแตกต่างกันมั้ย

ตอบ: แตกต่างกันอย่างแน่นอน แม้ว่าตัวยาที่ใช้ คือ Botulinum toxin type A เหมือนกัน มีกลไกในการออกฤทธิ์เหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างเกิดจากองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
1. Protein load ทำหน้าที่คล้ายเป็นตัวห่อหุ้มตัวยาไว้ เพื่อให้ยาคงสภาพออกฤทธิ์ได้นานตามต้องการ แต่พบว่าแต่ละยี่ห้อ มีกลไกการผลิตต่างกัน ซึ่งพบว่าตัวนี้มีผลอย่างมากต่อการออกฤทธิ์ของโบทอกซ์ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ และระยะเวลา โดยพบว่า ประสิทธิภาพของ Protein load ของยี่ห้อทางอเมริกา และอังกฤษ จะป้องกันคุณภาพยาได้ดีกว่า ของเกาหลี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ โบทอกซ์เกาหลี หรือจีน ออกฤทธิ์ได้เพียง 2-3 เดือน ขณะที่โบทอกซ์อเมริกา อังกฤต จะอยู่ได้ 6-8 เดือน
2. อัตราการดื้อยา เกิดจาก Protein load ที่ไม่บริสุทธิ์ ผลิตแบบลดต้นทุน ที่พบได้ในโบทอกซ์ราคาถูกผิดปกติ ทำให้ร่างกายออกฤทธิ์ต้านหรือสร้างแอนตี้บอดี้ ต่อโบทอกซ์ได้ ซึ่งปัจจุบันพบปัญหาดื้อยามากขึ้น เนื่องจากตลาดแข่งขันด้านราคากันมาก ทำให้เกิดการลดต้นทุนด้วยยาเลียนแบบ หรือยาปลอม
3. ยูนิตของโบทอกซ์ของแต่ละยี่ห้อ ก็ออกฤทธิ์ได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะบอกว่าใช้จำนวนยูนิตเท่าไหร่ ยิ่งเยอะยิ่งดี คงไม่ถูกต้องนัก ต้องดูว่าใช้ยี่ห้ออะไร ได้มาตรฐานสากลหรือไม่ FDA รับรองผลแค่ไหน ดังนั้นไม่ควรเอาราคามาเป็นโจทย์ในการเลือกฉีดโบทอกซ์ ควรจะเอายี่ห้อที่ฉีดเป็นโจทย์หลัก  แล้วค่อยว่ากันถึงปริมาณยูนิตที่ฉีดเป็นปัจจัยถัดมา นอกเหนือจากประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีด 
สังเกตง่ายๆ ก็คือ ถ้าราคาถูกผิดปกติ ให้คิดว่า อาจจะไม่ใช่ของแท้ เพราะนอกจากจะได้ผลไม่ชัดเจน อยู่ได้ไม่นานแล้ว ความไม่บริสุทธิ์ของตัวยา อาจจะมีผลทำให้เกิดการดื้อต่อโบทอกซ์ในอนาคตได้ง่าย

ถ้าจะถามว่าโบท็อกซ์ (Botox) แบรนด์ไหนดีกว่ากัน? คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์ในการใช้ และงบประมาณของคนไข้ แบรนด์ที่ดีที่สุดอย่าง Allergen ของแท้จากอเมริกา ย่อมมีราคาที่สูงกว่าทุกแบรนด์ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีที่สุด อยู่ได้นานสุด รองมาก็จะเป็น Dysport ของ อังกฤษ และ Xeomin เยอรมัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริการต้องเลือกใช้คลินิกที่มีคุณภาพ ใช้ของแท้ ไม่ใช้ของปลอม เนื่องจากมีคนหิ้วขายอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ หากไม่มีความชำนาญแล้วบังเอิญฉีดไม่ตรงจุด แล้วผลที่ได้ราคาที่จ่ายไปก็อาจจะไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้

โบทอกซ์เหมาขวดกับฉีดตามปริมาณยูนิต อย่างไหนดีกว่ากัน

ตอบ: ถ้าเหมาขวด ถูกกว่า ก้ควรจะซื้อเหมาขวด แต่ต้องฉีดให้หมดภายในวันนั้น ไม่ควรจะเก็บฝากไว้ เพราะ ปกติเวลาโบทอกซ์ผสมแล้ว ควรจะใช้ให้หมดใน 1 อาทิตย์ ฤทธิ์โบทอกซ์จะคงสภาพได้เกือบ 100% แต่ถ้าผสมทิ้งไว้เกิน 1 เดือน ฤทธิ์โบทอกซ์จะลดลงไม่ถึง 80% ดังนั้นบางคลินิก หรือบางที่เช่นหมอกระเป๋าทั้งหลาย จึงจะนิยมบอกให้คนไข้เหมาขวด เพราะถ้าฉีดไม่หมดและทิ้งไว้นาน จะเหมือนฉีดน้ำเปล่าให้ เค้าต้องทิ้ง จึงมีต้นทุนสูง บางที่มีเทคนิคว่าเหมาขวดจะถูกกว่า แล้วเก็บไว้ฉีดเมื่อไหร่ก็ได้จึงไม่เป็นความจริง เป็นการล่อหลอกให้จ่ายเงินไว้ล่วงหน้า ซึ่งจริงๆแล้ว โบทอกซ์ที่เหลือของเรา เค้าก็เอาไปฉีดคนอื่น แล้วเอาของคนอื่นมาฉีดให้เรา ดังนั้นการฉีดโบทอกซ์ถ้าจะเหมาขวด ต้องฉีดให้เราเห็นว่าใช้หมดขวดจริงๆ ไม่มีเก็บไว้คราวต่อไป หรือถ้าจะฉีดก็ควรคิดราคา ตามปริมาณยูนิตที่ฉีดเป็นครั้งๆ ไป

ฉีดโบปริมาณซีซีเยอะๆ หรือยูนิตเยอะๆ ได้ผลดีกว่า อยู่นานกว่ามั้ย

ตอบ: ไม่จริง แม้ว่าฤทธิ์โบทอกซ์ขึ้นอยู่กับ ฉีดยี่ห้อไหน ปริมาณยูนิตของยี่ห้อนั้น เท่าไหร่ แต่ต้องทราบว่า แต่ละยี่ห้อ ประสิทธิภาพต่อ 1 ยูนิต จะไม่เท่ากัน เช่น 1 Unit Allergan เทียบเท่า 2.5 Units Dysprot เป็นต้น
ส่วนปริมาณซีซี ไม่บ่งบอกอะไร เพราะปกติโบทอกซ์ 1 ขวด จะบรรจุในรูปของยาผงหรือ Dry Power แล้วค่อยนำมาผสมกับน้ำเกลือสะอาด (normal saline) 1-4 ซีซีต่อ 100 ยูนิต ดังนั้นการดูซีซีของการฉีดโบทอกซ์ไม่ได้บ่งบอกอะไร ต้องดูว่าการผสมนั้นผสมแบบไหน ถ้าผสมแบบ 1 ซีซี ก็เท่ากับ 10 Unit/0.1 CC ( ที่อเมริกามักจะใช้สูตรนี้) หรือ ถ้าผสม 4 ซีซี ก็จะเท่ากับ 4 ยูนิต/0.1 ซีซี (ในเมืองไทยมักจะผสมสูตรนี้) ดังนั้นถ้าเอาปริมาณซีซีที่ฉีด ว่าฉีดเท่านั้นเท่านี้ซีซี ไม่บ่งบอกอะไร

ฉีดโบ ไม่พอใจ ทำไง สลายได้มั้ย

ตอบ: สลายไม่ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ต้องรอให้ยาหมดฤทธิ์เอง ใน 3-4 เดือน บางคนไปฉีดโบทอกซ์กับคนที่ไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรง หรือกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น คนรู้จัก หรือพยาบาล และเกิดผลข้างเคียง เพราะคิดว่าใครๆ ก็ฉีดกันได้ เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
– แพทย์ที่จะฉีดโบทอกซ์แล้วผลออกมาดี และไม่มีผลข้างเคียง ต้องมีความรู้ความชำนาญในสรีระ และกล้ามเนื้อทุกมัดที่จะฉีด เพราะกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่ใบหน้า สานทอกันเป็นร่างแห และมีกลไกการทำงานแตกต่างกัน การฉีดผิดตำแหน่ง หรือไปทำบางตำแหน่งที่ห้ามฉีด ก็อาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น
– ฉีดรอยย่นหน้าผาก ถ้าฉีดต่ำใกล้คิ้วมากเกินไป ก็อาจจะเกิดหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น
– ฉีดลดกราม ซึ่งจริงๆ ต้องฉีดที่กล้ามเนื้อ Masetter (กราม) แต่กลับไปฉีดตื้นเกินไป หรือใกล้มุมปากมากเกินไป ยาจึงไปมีผลต่อกล้ามเนื้อ Risorius ที่ควบคุมเกี่ยวกับการยิ้ม ทำให้ยิ้มไม่ได้ หรือยิ้มแล้วมุมปากยกไม่เท่ากัน
– ฉีดโหนกแก้ม ร่องแก้ม เป็นบริเวณที่ไม่ควรฉีดโบทอกซ์ ก็ไปฉีดโบทอกซ์ปูพรมไปทั้งหน้า เพราะคิดว่าคงจะช่วยยกกระชับใบหน้าได้ กลับยิ่งทำให้หน้าหย่อนคล้อยได้มากขึ้น
– เมื่อเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ก็อยากจะทำให้โบทอกซ์สลายเร็ว เพื่อจะได้แก้ปัญหาดังกล่าว โดยคิดว่าคงมีวิธีที่จะทำให้โบทอกซ์สลายไปเร็วขึ้น เช่น ไปอบซาวน่า ไปทำ RF ทำไอออนโต หรือทำเลเซอร์ เพื่อสลาย ขอบอกเลยว่าไม่สามารถช่วยได้แม้แต่น้อย เพราะโบทอกซ์เมื่อฉีดไปแล้วไม่กี่นาที . ตัวยาไปจะจับกับ Recepetor แล้ว พร้อมจะออกฤทธิ์ และไม่สามารถจะทำให้การจับกับ Receptorคลายออกได้ ดังนั้นต้องรอให้โบทอกซ์ค่อยๆ คลายฤทธิ์ไปเองตามธรรมชาติของตัวยา ซึ่งใช้เวลาเป็นเดือน อาการหรือผลข้างเคียงดังกล่าวจึงจะค่อย ๆ หายไป

ยาบางตัวมีผลต่อโบทอกซ์หรือไม่

ตอบ : ใช่ครับ แม้ว่าปกติตัวยาโบทอกซ์ค่อนข้างจะปลอดภัยสูง แต่ก็มียาบางตัวมีผลต่อโบทอกซ์ ส่วนตัวยาอะไรบ้างที่มีผลต่อโบทอกซ์ ยังไม่มีข้อห้ามที่ชัดเจน แต่ควรระวังในกลุ่มยาเหล่านี้

  1. ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Aminoglycosides เป็นกลุ่มของยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียยากลุ่มนี้ได้แก่  ยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ของอะมิโนไกลโคไซด์คือการไปเชื่อมต่อกับไรโบโซม (ribosome) 30เอส ของแบคทีเรียทำให้เกิดความผิดพลาดในการอ่านรหัส ที-อาร์เอ็นเอ (t-RNA) และแบคทีเรียไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตได้ ยกตัวอย่างเช่น  อะมิกาซิน (amikacin),เจนตามิซิน (gentamicin),กานาไมซิน (kanamycin),นีโอไมซิน (neomycin),เนติลมิซิน (netilmicin)พาโรโมไมซิน (paromomycin),สเตรปโตไมซิน(streptomycin),โตบราไมซิน (tobramycin),ยาที่สกัดจากเชื่อราสเตรปโตไมซีส (Streptomyces) จะมีคำลงท้ายว่า -ไมซิน (-mycin) ยาที่สกัดจากเชื่อราไมโครโมโนสปอรา (micromonospora) จะมีคำลงท้ายว่า -มิซิน (-micin)  เพราะอาจจะมีทำให้ฤทธิ์โบทอกซ์ลดลงได้
  2. ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด  เช่น กลุ่มยา Aspirin หรือยารักษาอาการปวดข้อ เช่น Brufen หรือยาสลายลิ่มเลือดบางตัว เช่น Coumadin  หรือวิตามินอี วิตามินซี อาจจะมีผลทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย เพราะยากลุ่มเหล่านี้ ทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้ากว่าปกติ เมื่อก่อนฉีดโบทอกซ์ จึงควรจะหยุดยาซัก 2-3 วันและหลังฉีดอีก 2-3 วัน เพียงเพื่อป้องกันการฟกช้ำ รอยเขียวช้ำได้ง่าย ตามรอยเข็มที่ฉีดเท่านั้น  ส่วน ยารักษาสิว เช่น โรแอคคิวเทรน หรือยาแก้อักเสบตัวอื่นๆ หรือยานอกเหนือจากที่กล่าวในข้อ 1-2 จะมีผลหรือไม่ ต้องหยุดหรือไม่ หรือหลังฉีดมีข้อห้ามอะไรหรือเปล่า จริงๆ ยานอกเหนือจากนี้ ไม่มีผลต่อฤทธิ์ของโบทอกซ์เลยหรือยังไม่มีรายงานข้อควรระวัง

การฉีดโบทอกซ์ มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่

ตอบ :ยังไม่มีรายงานชัดเจนว่ามีผลต่อทารกในครรภ์ แต่แค่เตือนว่า ไม่ควรฉีด ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์ หรือมีการวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ แม้จะมีการถกเถียงกันมากว่า โบทอกซ์มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ หรือเมื่อฉีดโบทอกซ์ไปแล้ว เกิดตั้งครรภ์แบบไม่ตั้งใจ จะมีผลต่อทารกหรือไม่อย่างไร ขอชี้แจงดังนี้ว่า
-เคยมีแต่บางรายงาน ว่ามีการฉีดโบทอกซ์ในสัตว์ทดลองแล้วมีผลต่อทารกในครรภ์ แต่ในมนุษย์ยังไม่มีรายงาน เพราะปกติสตรีมีครรภ์ ไม่ควรจะฉีดอยู่แล้ว หลักสากลก็คือ สูติแพทย์จะแนะนำให้สตรีมีครรภ์ ควรจะรับประทานยาเท่าที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ ยกเว้น กรณีฉุกเฉิน และเสี่ยงต่อสุขภาพของมารดา ก็อาจจะพิจารณาทำการรักษาได้ เคยมีคนไข้ที่ตั้งครรภ์ในเมืองนอก แล้วมีปัญหากล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ กระตุก หรือไมเกรนอย่างหนัก แพทย์บางท่านก็ยังพิจารณาฉีดโบทอกซ์ให้ เพื่อทำการรักษา ทารกก็คลอดออกมาปกติ
– จากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่ผ่านการฉีดโบทอกซ์มา 20 กว่าปี ฉีดคนไข้หลายพันคน เคยมีเช่นกัน ที่คนไข้ฉีดโบทอกซ์ไปแล้ว เกิดตั้งครรภ์ ขึ้นมา แล้วมาปรึกษา ก็ได้ให้คำแนะนำไป และทารกทุกราย (มีบันทึกประมาณ 17 ราย) ก็คลอดปกติ แต่ถ้าต้องการจะตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์ ผู้เขียนก็ไม่ฉีดโบทอกซ์ให้อยู่แล้วเพราะเป็นหลักสากลที่เราไม่ควรจะทำ
– ส่วนกรณีที่คลอดบุตร และกำลังให้นมบุตร ก็ไม่มีหลักฐานว่าตัวยาโบทอกซ์จะผ่านทางน้ำนม ดังนั้นในผุ้ที่ให้นมบุตร และต้องการฉีดโบทอกซ์ ไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามเช่นกัน

คนที่ไม่สามารถในการฉีดโบทอกซ์ได้ คือกลุ่มไหน

ข้อห้ามในการฉีดโบทอกซ์ จริงๆ มีอะไรบ้าง
-มีนะครับ ดังนี้
1. คนที่แพ้สาร Botulinum Toxin Type A
2. ไม่ควรจะฉีดโบทอกซ์ในบริเวณที่มีแผลหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย ในบริเวณที่ต้องการจะฉีดโบทอกซ์
–  นอกนั้นมีแค่ควรเลี่ยงหรือระมัดระวัง ในกลุ่มที่มีปัญหาเหล่านี้
1.กล้ามเนื้อและเส้นประสาทผิดปกติ ( Neuromuscular disorder)
2. กระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน กลั้นปัสสาวะไม่ได้( Urinary retention)

Posted on

กำจัดขนถาวร ทุกจุด รักษาขนคุด ด้วยเลเซอร์กำจัดขน กระชับผิวหน้า รุ่นล่าสุด : Gentle YaG Pro

กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ได้ผลดีสุด เร็วสุด อยู่นานสุด

กำจัดขนถาวรได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะทำให้ผิวหน้า ผิวกาย เกลี้ยงเกลา เนียนใส ไม่มีขนดกดำ มาให้รำคาญ หรือเป็นภาระในการต้องโกน ถอน หรือแวกซ์กันบ่อยๆ
การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ จัดเป็นการกำจัดขนที่ได้ผลดีสุด ไวสุดและสามารถกำจัดขนได้คราวละมากๆ ไม่เสียเวลาในการทำ ไม่สร้างความเจ็บปวด สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัยทุกตำแหน่งที่มีขนที่คุณไม่ต้องการ โดย พบว่า เลเซอร์ในการกำจัดขนมีหลายขนิด เช่น Ruby Laser,Alexandriteหรือ Diode Laser ,Long Pulse Nd:YAG Laser ,Q-Switched Ng:YAGเป็นต้น โดยพบว่า Long Pulse Nd:YAG Laser Z(Gentle YaG) ถือเป็นเลเซอร์ตัวที่ได้รับความนิยมสูง ได้ผลดี ปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อย และเหมาะกับผิวเอเชีย หรือคนสีผิวคล้ำมากที่สุด เมื่อเทียบกับเลเซอร์ชนิดอื่นๆ จัดเป็น Gold Standard สำหรับการกำจัดขนที่ FDA ของไทยและอเมริกา รับรองผล

ทำไม Long Pulse Nd:YAG Laser (Gentle YaG)จึงกำจัดขนได้ดีที่สุด

– เพราะเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวช่วงคลื่นสูงสุด คือ 1064 nm จึงเหมาะกับทุกสภาพสีผิว ซึ่งแตกต่างจาก Ruby Laser,Alexandriteหรือ Diode Laser หรือ IPL ที่ไม่เหมาะกับคนสีผิวคล้ำหรือผิวเอเชีย เพราะจะเกิดรอยไหม้ รอยดำหลังทำไ้ด้ง่าย แต่ช่วงคลื่น 1064 nm จะไม่เกิดผลดังกล่าว พลังงานช่วงคลื่น 1064 nm จะลงไปยังผิวได้ลึกสุดเมื่อเทียบกับเลเซอร์ยี่ห้ออื่นๆ  จึงสามารถเผาผลาญและทำลายรากขนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขนได้ดีที่สุด  เพราะมีความโดดเด่น  ตรงที่เครื่องจะปล่อยพลังงานได้สูงถึง 600J/ตารางเซนติเมตร ขณะที่ยี่ห้ออื่นๆ ปรับได้มากสุดเพียงแค่ 100 J/ตารางเซนติเมตร นอกจากนี้ Gentle YAG ยังมีหัวยิงหลายขนาด เพื่อให้เลือกในการกำจัดขนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ มี ระบบป้องกันผิวชั้นบนที่ดี โดยใช้ระบบการพ่นความเย็นแบบละเอียดจากหัวเลเซอร์( DCD dynamic cooling device ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของบริษัทcandela USA) ซึ่งเป็นระบบพ่นสเปรย์ให้ความเย็นก่อนการยิงเลเซอร์ จึงไม่เกิดปัญหาผิวไหม้หลังจากการยิงเลเซอร์ 
Gentle Yag Pro  ต่างจาก Gentle Yag รุ่นเดิมอย่างไร
-Gentle Yag Pro  คือเลเซอร์กำจัดขนรุ่นล่าสุด ที่พัฒนามาจาก Gentle Yag รุ่นก่อน ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัทเดียวกันคือ บริษัท Candela จึงมีคุณสมบัติเหมือนกับ Gentle Yag แบบเดิมทุกประการ แต่ปรับปรุงรายละเอียด ข้อยุ่งยากในเรื่องการใช้งานให้เหมาะสมและสะดวกมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพลังงานและหัวยิงที่ใหญ่กว่า จึงให้พลังงานได้ลึกกว่า ยิงได้ไวกว่า ใช้งานสะดวกขึ้น ปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้ง่ายขึ้น พลังงานที่ยิงแต่ละครั้งคงที่มากขึ้น มีการปรับลักษณะลำแสงให้สม่ำเสมอ ทำให้เจ็บน้อยลง กว่า Gentle YaG รุ่นเดิม

GentleYAG®นอกจากจะนำมากำจัดขนแล้ว ยังสามารถรักษาอะไรได้บ้าง?

องค์การอาหารและยา แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) ให้การรับรองว่า GentleYAG นอกจากจะนำมากำจัดขนถาวรแล้ว ยังสามารถนำทำการรักษา
1. ริ้วรอยเหี่ยวย่น (Wrinkles
2. ยกกระชับหน้า (Tightening)
3. กระชับรูขุมขน (Large pores)
4. กำจัดขนคุด(Keratosis Pilaris)
5. รักษาเส้นเลือดขอด (Leg Vein) ที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 มม. ตามใบหน้าและร่างกาย
6. ขอบตาคล้ำจากเส้นเลือดดำ(vein)

GentleYAG® ช่วยยกระชับหน้าได้เทียบเท่า Thermage แต่ราคาถูกกว่ามาก
– ได้มีการวิจัย โดย Dr. Mark Taylor แพทย์ผิวหนังจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2005 เปรียบเทียบผลการรักษา ระหว่าง การลดริ้วรอยและยกกระชับผิวหน้าด้วย Gentle YAG เทียบกับThermage พบว่า Gentle YAG สามารถลดริ้วรอยและยกกระชับผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลเป็นที่น่าพอใจใกล้เคียงหรือดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหน้าอีกด้านที่ใช้ Thermage รักษาในผู้ป่วยที่เข้าร่วมการวิจัย สำคัญราคาถูกกว่าการทำ Thermage หลายสิบเท่า

ขั้นตอนการกำจัดขนด้วยเลเซอร์

การเตรียมตัวก่อนกำจัดขน
– กำจัดขนด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นวิธีการโกน การถอน ทาครีม ใช้แว็กซ์ แล้วปล่อยให้ขนขึ้นประมาณ 2-3 มม.ไม่สั้นเกินไป เดี๋ยวจะไม่ได้ผล เพราะเลเซอร์ต้องอาศัยเส้นขน นำพลังงานเลเซอร์ไปที่ต่อมขน แต่ถ้าปล่อยให้ยาวเกินไป อาจจะทำให้ช่วงที่ทำ ขนจะไหม้และหดตัวไปลวกผิวหนังข้างเคียงได้
ระยะเวลาและความถี่ในการทำ
– ระยะเวลาขึ้นอยู่กับพื้นที่หรือบริเวณที่ทำ ปกติขนจะหลุดออกทันทีหลังทำ หรืออาจจะใช้เวลา 1-2 อาทิตย์ ควรจะซ้ำอีกภายใน 4– 8 สัปดาห์ หลังการยิงเลเซอร์แต่ละครั้ง เส้นขนจะมีขนาดเล็กลงและลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด
ทำไมถึงกำจัดได้ถาวร
– เพราะเลเซอร์จะทำให้รบกวนการเจริญเติบโตของเส้นขน  เส้นขนอาจกลับมางอกใหม่แต่เส้นขนจะบางลง เส้นเล็กลง และงอกช้าลงมาก จนจะค่อยๆ บางลงและหมดไปในที่สุด ทำซ้ำ 4-5 ครั้ง พบว่าเส้นขนจะไม่กลับมางอกใหม่ได้เป็นปีๆ
การดูแลหลังกำจัดขน
หลังการรักษาผิวหนังบริเวณที่ทำจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณรอบรูขุมขน อาการดังกล่าวจะหายไปเองเพียงชั่วข้ามคืน เพราะเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวเท่านั้น ควรดูแลดังนี้
1.ใช้น้ำแข็งหรือถุงเย็นประคบบ่อย ๆ ในวันที่ทำเพื่อลดอาการบวม
2. ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดบริเวณกำจัดขนถาวร
3. งดใช้เครื่องสำอางบริเวณที่กำจัดขน ประมาณ 1 – 2 วัน
4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด ประมาณ 1 เดือน
5. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระน้ำหรือในทะเล ประมาณ 3 วัน

Posted on 4 Comments

“สวยเป๊ะปัง อลังค์เว่อร์ ” ทุกมุมมอง ด้วยดีไซน์รูปหน้า ให้ได้ครบทั้ง 3 มิติความงาม ตามหลัก Golden Ratio

Golden Ratio คืออะไร

Golden ratio (ทฤษฎีสัดส่วนทองคำ) เป็นหลักการที่มีการยอมรับกันทั่วโลก เป็นสัดส่วนที่ทางนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อว่าลีโอนาโด ฟีโบนัชชี เป็นคนออกแบบ โดยเชื่อว่า Golden Ratio เป็นสิ่งที่ช่วยให้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด ภาพถ่าย โลโก้ หรือแม้กระทั่งใบหน้านั้น ดูสมส่วนสวยงามที่สุด ซึ่ง Golden Ratio นั้น ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมายว่าสามารถใช้วัดสัดส่วนความสวยได้จริง แพทย์ดีไซน์ใบหน้า ก็ใช้ Golden Ratio มาวัดสัดส่วนใบหน้า เพื่อความเพอร์เฟคของใบหน้าก็ทำให้รู้แล้วว่าใบหน้าของเราสวยเพอร์เฟคทุกมุมมองหรือยัง
ถ้ายัง แพทย์ก็จะมีการวัดสัดส่วนบนใบหน้า โดยยึดหลัก Golden Ratio เหมือนกันโดยใช้รูปหน้าตรง ดีไซน์หรือแก้ปัญหาที่ด้อยของเรา แบบ 2 มิติก่อน คือ แนวยาว และแนววขวางก่อน ว่าดูดีขึ้นได้หรือยัง ถ้ายังไม่เป๊ะปัง ก็จะพิจารณามิติที่ 3 แนวลึกด้วย ดังนี้

1.ด้านแนวขวางหรือแนวยาว: จะขีดเส้นเป็นแนวขวาง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.1.โครงหน้าส่วนบน (Upper Part) : จะนับจากแนวเส้นผมด้านหน้า ถึงกึ่งกลางตา
1.2.โครงหน้าส่วนกลาง (Middle Part) : จะนับจากแนวกึ่งกลางตา ถึงฐานจมูก
1.3.โครงหน้าส่วนล่าง (Lower  Part) : จะนับจากฐานจมูก ถึงปลายคาง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)

      ซึ่งการแบ่งแบบนี้ จะบ่งบอกว่าสัดส่วนของใบหน้าคนไข้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยพบว่าสัดส่วนใบหน้าที่เหมาะสม ควรจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 33.33 %  หรือเท่าๆ กันทั้ง 3 ส่วน ด้วยอัตราส่วน 1:1:1 ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ คนไข้อยากจะเสริมคาง ถ้าเราวัดสัดส่วนพบว่าโครงหน้าส่วนล่างสั้นกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงจะพิจารณาเสริมคางให้ยาวขึ้น อาจจะด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือฉีดเสริมด้วยฟิลเลอร์ นอกจากนี้อาจจะใช้ประเมินภาวะหางคิ้วตก หางตาตก หนังตาตก ด้วยหรือไม่ จะแก้ไขด้วยการร้อยไหมละลาย หรือทำ Ulthera ก็ต้องดูตามความเหมาะสม

2. ด้านแนวดิ่งหรือด้านกว้าง : :จะขีดเส้นในแนวดิ่ง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน  เพราะจะประเมินว่า องค์ประกอบของใบหน้า ไม่ว่าจะสัดส่วนคิ้ว ตา จมูก ปีกจมูก หรือโหนกแก้ม ได้สัดส่วนหรือไม่ มีรูปหน้าที่กลมเกินไป หรือหน้าเรียวเล็กเกินไป แล้วจะแก้ไขอย่างไร อาทิเช่น
2.1 ถ้าปีกจมูกโตเกินไป อาจจะฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก
2.2 ถ้ารูปหน้าที่กลมเกินไปมีสาเหตุจากอะไร
– ถ้าจากกล้ามเนื้อก็ต้องฉีดโบทอกซ์ลดกรามให้เล็กลง
– ถ้าจากไขมันที่แก้มมากก็อาจจะฉีดสลายไขมันที่แก้มให้ลดลงด้วยตัวยาสลายไขมัน
– ถ้าจากการหย่อนคล้อย ก็ต้องดูว่าเกิดหย่อนคล้อยในชั้นไหน ก็อาจจะยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่ โบทอกซฺ์ยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกกระชับ หรืออาจจะรร้อยไหมยกกระชับ หรือ ทำ RF, Thermage ,Ulthera เป็นต้น
2.3 ถ้ารูปหน้าสองข้างไม่เท่ากัน จะปรับอย่างไร ให้เท่ากัน โดยอาจจะใช้การฉีดโบทอกซ์ปรับรูปหน้า หรือเติมด้วยฟิลเลอร์เพิ่มส่วนที่พร่องให้สมมาตรมากขึ้น

3.    ด้านลึก: ในที่นี้ หมายถึงการประเมินสภาพใบหน้าทุกชั้นผิว ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้
3.1.ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis): เป็นชั้นของเซลล์บุผิวของกล้ามเนื้อลาย ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง สิว ที่ไม่รุนแรง ปัญหาไม่มาก ก็อาจจะแค่ทาครีมรักษา แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจจะช่วยด้วยการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ หรือเลเซอร์
3.2.ผิวหนังชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้( Dermis): ผิวหนังชั้นนี้ จัดเป็นชั้นที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ของคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียงโยงใยเป็นร่างแห มีหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ ฯลฯ เป็นชั้นที่เกิดปัญหาด้านผิวพรรณได้มากมาย เช่น ถ้าเกิดรอยหลุม ฝ้าลึก กระลึก สิวเรื้อรังอักเสบรุนแรง รอยแดงเส้นเลือด แพทย์ก็จะพิจารณาว่าควรจะรักษาด้วยการทำเลเซอร์ที่จำเพาะต่อปัญหา หรือถ้าเกิดการพร่องไปของปริมาณเนื้อที่ลดลง จากการลดลงของคอลลาเจน เช่น ร่องแก้มลึก ร่องตาลึก ก็อาจจะฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม หรือฉีดเสริมจมูกกรณีที่ต้องการให้จมูกโด่งขึ้น
3.3.ชั้นไขมัน ( Subcutaneous Fat): ชั้นนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบ มักจะเกิดจากไขมันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ถ้าไขมันมาก เราก็จะฉีดสลายไขมันให้เล็กลงด้วยยาที่เรียกว่า Mesofat แต่ถ้าไขมันน้อยเกินไป จากอายุมากขึ้น ก็อาจจะฉีดเติมไขมันหรือฟิลเลอร์
3.4.ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscles): ชั้นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าไม่กระชับ หน้าบานจากกล้ามเนื้อโตเกินไป ตรงนี้ส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์เป็นหลัก

Posted on

รอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง อยากหายไว หน้าใส หน้าไม่แดงหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น Fractional RF ช่วยได้

Fractional RF คืออะไร

Fractional RF  เป็นเครื่องมือที่พัฒนามาเพื่อใช้ในการรักษารอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง เป็นอีกวิวัฒนาการด้านความงาม ที่ใช้เทคโนโลยี่ ของการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF ( Radio Frequency) มาใช้ในการรักษาผิวพรรณ ตัวคลื่น RF จะปล่อยพลังงานออกมา เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ให้กลับมา โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นองค์ประกอบสำคัญของผิวทั้ง 3 ชนิด ในคราวเดียวกัน คือ กระตุ้นการสร้าง Collagen,Elastin และ Hyaluronic acid  ไปพร้อมๆกัน  ซึ่งทั้งสามตัว เป็นโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง เมื่อคอลลาเจน ฟื้นฟู ริ้วรอยก็จะลดน้อยลง ผิวมีความตึงกระชับมากขึ้น ผิวจึงเต่งตึง ฟูขึ้น และอีลาสตินที่มากขึ้นก็ไปทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็ก หรือที่เรียกว่าผิวเด้ง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสารอุ้มน้ำ (Hyaluronic acid  ) จะคอยพยุงคอลลาเจนและอีลาสติน ให้โดดเด่นเห็นชัดเจนบนผิวภายนอก  ดังนั้น การทำ Fractional RF Needle (FRM) จึงเป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้น และฟื้นฟู ใหม่ แบบ เทคโนโลยี รีมิกซ์ใหม่ 3 in 1  คือทำครั้งเดียว ได้ทั้งรอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หน้ากระชับ เต่งตึง  อวบอิ่ม มีน้ำมีนวล ในขณะที่เลเซอร์จะสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างๆ ไม่สามารถจะทำการแก้ไขไปพร้อมๆ กันได้

เปรียบเทียบแท่งพลังงานระหว่าง Fractional laser -Fraxel ,Fine Scan (ขวา) กับ Fractional RF ( ซ้าย)

Fractional RF ต่างจาก Fractional Laser อย่างไร

Fractional RF  เป็นการนำเอา  พลังงานคลื่นวิทยุ RF เป็นแหล่งพลังงานในการกระตุ้นคอลลาเจน สร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยตัดแบ่งพลังงานให้เป็นแบบชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่า Fractional ในขณะที่ Fractional Laser (  Fraxel,Fine scan ) จะใช้พลังงานเลเซอร์ ช่วงคลื่น 1550 nm มาตัดแบ่งพลังงาน ง   โดยมีข้อแตกต่างกันตรงที่ Fractional Laser  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดคว่ำ  (Traditional fractional resurfacing )  แต่ Fractional RF  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดตั้ง (Subablative Rejuvenation ) ซึ่งข้อแตกต่างนี้ อธิบาย
1. รอยดำ : Fractional Laser มีโอกาส เกิดรอยดำ และทำให้ผิวบาง หลังทำมากกว่า Fractional RF  เพราะฐานจะกว้างด้านบน ตามรูป และ มีความร้อนตั้งแต่ปล่อยพลังงานออกมา ผ่านทะลุทะลวงเข้าไปทุกชั้นผิว จนถึงบริเวณรอยหลุม ขณะที่ Fractional RF ฐานด้านบนจะแคบ และพลังงานจะกระจายลงชั้นลึกมากกว่า โอกาสรเกิดรอยดำหลังทำไม่มี
2. การกระตุ้นคอลลาเจน : Fractional RF สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้รอยหลุมกลับมาเต็มได้ดีกว่า เร็วกว่า Fractional laser เนื่องจากฐานปิรามิดคว่ำ ฐานกว้างกว่า จึงทำให้ปล่อยพลังงานได้กว้างกว่า และมากกว่า Fractional laser

Fractional RF มี 2 แบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

  1. Fractional RF Micro Needling  Technology ( F.R.M)  – – เป็น Fractional RF แบบที่ใช้เข็ม นาโนขนาดเล็กมาก  แทงทะลุผ่านชั้นผิวหนังกำพร้า เข้าไปที่ชั้นหนังแท้  ตัวเข็มนาโน จะทำหน้าที่คล้ายๆ Dermaroller ในสมัยเมื่อหลายปีก่อน โดยทำให้เกิด Stamping effect ไปกระตุ้น Growth facter และยังทำลายพังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุม หรือรูขุมขนกว้างหลังจากเข็มผ่านเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแล้ว จะมีการปลดปล่อยคลื่น  RF แบบ Monopolar RF   ที่ระดับ 2MHz เป็นระยะๆ ในอุณหภูมิคงที่  โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ข้อดีก็คือ หลังทำ หน้าจะเป็นสีชมพูนิดๆ วันรุ่งขึ้นก็หาย สามารถไปทำงาานได้ปกติ และ การที่หน้าใส ริ้วรอยลดลง เกิดรอยเข็มที่แทงผ่านทะลุผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ( mild inflammation ) หลังจากนั้นจะเกิดขบวนการซ่อมแซมผิว มีเม็ดเลือดขาวมาซ่อมแซม จึงทำให้เม็ดสี ริ้วรอย เลือนหายได้

2. Fractional RF Non- Needle Technology (E-Matrix) –  เป็น Fractional RF แบบไม่มีเข็ม โดยจะมีหัวที่วางนาบไปกับผิวหน้า แล้วทำการปล่อยพลังงาน RF  ชนิด Bipolar RF   กระแส RF จะลงไปทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป โดยที่บริเวณผิวชั้นบน จะทำให้เกิดการลอกผิวด้านบนออก ในขณะที่ความร้อนบางส่วนจะลงไปบริเวณชั้นล่าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หลังทำ ผลลัพธ์จะพบว่าไม่ลอกผิว (Non-Ablative effects ) 30%  และลอกผิว (Ablative effects  ) 70%  จึงทำให้เม็ดสีจางลง  ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่กลัวเข็ม ผิวหน้ามีรอยด่างดำ หลุมสิวไม่มากนัก ผิวหน้าหย่อนคล้อยบ้าง ไม่มากนัก รูขุมขนกว้าง หลังทำ หน้าจะแดง และเป็นตาข่าย คล้ายๆ กับการทำ Fraxel ต้องพักฟื้น 3-5 วัน รอให้รอยดำลอกออก ผิวหน้าจะกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย รอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนทีมีผิวคล้ำ เกิดรอยดำได้ง่าย เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยดำจางลงได้ช้ากว่าคนผิวขาว

ขั้นตอนในการทำ Fractional RF  
1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดก่อนมาทำการรักษาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะหน้าที่โดนยูวี ผิวหน้าจะอ่อนแอจะไวต่อหัตถการที่มีความร้อนทุกอย่าง
2. ทายาชาก่อนทำการรักษาทุกราย ประมาณ 45-60 นาที หลังเช็ดยาชาออก เช็ดด้วยอัลกอฮอล์ให้ผิวหน้าแห้ง หรืออาจจะเป่าลมเย็นให้แห้ง ในขณะที่ทำ อาจจะรู้สึกเจ็บได้บ้างบางจุด
3. หลังการรักษาอาจเกิดอาการบวมหรือแดง เจ็บเล็กน้อย อาจจะมีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดหลังทำ (มักจะเกิดจากการทำ E-matrix) อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี จะเกิดรอยแดงและรู้สึกร้อนผ่าวได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง และ 1-2 วันหลังทำ อาจเกิดสะเก็ดบาง ๆ แล้วลอกออกไปเอง หรือบางคนอาจจะมีสิวเห่อได้บ้าง แต่จะหายไปเองในเวลา 4-5 วัน
ข้อควรปฎิบัติหลังทำ Fractional RF
1.ควรประคบเย็นหลังทำทันที เพื่อลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่ผิว
2.ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังทำควรทาด้วยวาสลีนเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นตลอดเวลา
3. สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน
4. เมื่อผิวเริ่มหลุดลอก ปล่อยให้ลอกเองตามธรรมชาติ ไม่ควรขัดถูแรงๆ หรือทำการลอกผิวด้วยวิธีต่างๆ
5. หลังจาก 24 ชั่วโมงแรก จึงสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ ควรหลักเลี่ยงแสงแดดจัด ความร้อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการรักษาควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ
6.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรืออบซาวน่า ที่ทำให้เกิดเหงื่อมากกว่าปกติ
7.งดหรือเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดประมาณ 1 สัปดาห์
8.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อมิให้ผิวหน้าแดงมากขึ้น และเพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
จำนวนครั้งในการรักษ
ควรห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยหลุม ความรุนแรง ปกติจะประมาณ 5-10 ครั้ง รอยหลุมจะดีขึนได้มากกว่า 70%
ข้อห้ามในการทำ Fractional RF  
1. ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
2.ผู้ที่ใส่เหล็กดามกระดูก
3. มะเร็งที่ผิวหนัง
4. ผู้ที่ตั้งครรภ์ และอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
5. โรคภูมิคุ้มกันปกพร่อง โรคติดเชื้อ โรคเบาหวานที่ควบคุมอาการไม่ได้
6. มีแผลเปิดที่ผิวหนัง ผิวแห้งแตก
7. ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ได้รับยาละลายลิ่มเลือด
8. ผู้ที่ผ่าตัดดึงหน้า หรือทำตามาไม่น้อยกว่า 1 ปี
9. ผู้ทีทำการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ลอกหน้าด้วยสารเคมี หรือลอกหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ มาน้อยกว่า 3 เดือน

ในความเห็นของผู้เขียน Fractional RF   จัดเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาผิวพรรณ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเรื่องผิวหน้าไม่เรียบเนียน รุขุมขนกว้าง รอยด่างดำ หน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ แถมไม่มีผลข้างเคียงหลังทำเหมือนการทำเลเซอร์แบบเดิมๆ ในอนาคตมีแพทย์หลายท่านคาดว่า Fractional RF น่าจะเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยม หรือเรียกว่าGold Standard ในการรักษาปัญหาผิวพรรณได้ดีเครื่องหนึ่งทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องรอยหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง

Posted on

ฉีดโบ แบบเนเฟอร์ติติลิฟท์(Nifertiti Lift) ลดเหนียง ให้กระชับ ปรับขอบคาง(Jawline) คมชัด

เนเฟอติติลิฟท์ (Nifertiti Lift ) คืออะไร

คือเทคนิคในการฉีดยกกระชับหน้า (Face Lift) ด้วยสารโบท็อกซ์ เพื่อยกกระชับหน้าและลำคอให้ดูงามะะหง เหมือน พระนางเนเฟอร์ติติ ( Nifertitii) ซึ่งเป็นราชินีองค์โปรดของ ฟาโรห์ อาเคนาเตนแห่งอียิปต์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่มีคางสวยที่สุด!!
-เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น ขอบคางที่เคยคมชัด กลับมามีเหนียง สาเหตุเกิดการทำงานมากเกินไป ของกล้ามเนื้อบริเวณกรามหรือขากรรไกร ที่เรียกว่า Platysma muscle จึงทำให้ขอบคางไม่ชัด มีเหนียง การฉีดโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปตรงกล้ามเนื้อ ที่ชื่อว่า Platysma ฤทธิ์ของสารโบทอกซ์จะไปคลายการดึงรั้งของกล้ามเนื้อขากรรไกรและเหนียงคอ บริเวณแนว ขากรรไกร คาง และคอ จึงทำให้แนวขอบคางที่หย่อนคล้อย เกิดการยกกระชับ ขอบคางจึงคมชัดขึ้น
ปัจจุบันผู้ชายนิยมมาฉีดเนเฟอร์ติติลิฟท์กันเยอะขึ้นไม่แพ้ผู้หญิง เพราะทำให้ขอบคางดูคมชัด มีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น โดยเฉพาะเวลามีหนวดเคราประปรายในบริเวณนี้ด้วย จึงทำให้ชวนหลงไหล น่ามอง และดูมี Sex appeal มากขึ้น

Platysma Band คืออะไร

Platysma Band คือ กล้ามเนื้อแนวตั้ง บริเวณลำคอ จะพบได้ชัดเจนในคนที่มีอายุมากและผิวบาง ทดสอบได้ง่ายๆ เวลาเปล่งสำเนียง E จะยิ่งเป็นเส้นที่คอตามแนวลำตอ ยิ่งแข็งแรงมากจะยิ่งทำให้เกิดการหย่อนคล้อยได้มาก การฉีดโบทอกซ์ที่กล้ามเนื้อมัดนี้ จึงช่วยลดการดึงรั้ง ทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นที่ทำหน้าทีดึงขึ้นทำงานได้มากกว่า ขอบคางจึงกระชับขึ้น เส้นเอ็นที่คอ เล็กลง
– การฉีด เนเฟอติติลิฟท์ (Nifertiti Lift ) ทำครั้งหนึ่งอยู่ได้ราว 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ การยกกระชับหน้าด้วยเทคนิค Nifertiti Lift ใช้เวลาไม่นาน ทำเสร็จคนไข้ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่อตามปกติ แต่แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญในเทคนิคนี้อย่างแท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น หน้าไม่สมดุล กล้ามเนื้อคออ่อนแรง พูดไม่ชัด กลืนอาหารลำบาก เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะไม่สวยแล้ว อาจกลายเป็นสยองแทนนะครับ

Posted on

ฉีดเสริมจมูก (Nose injection) ให้โด่ง แบบไหน ปลอดภัย ไม่ต้องทำศัลยกรรม ให้เจ็บตัว

เสริมจมูกแบบไม่ต้องศัลยกรรม

การเสริมจมูก เป็นหัตถการที่นิยมทำกันมากที่สุดวิธีในแถบเอเซีย เนื่องจากโครงหน้าของชาวตะวันออก มักจะมีจมูกที่ไม่เป็นสันโด่งสวยงาม เหมือนทางตะวันตก การเสริมจมูกมีด้วยกันหลากหลายวิธีในปัจจุบัน แต่แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 กรรมวิธี ก็คือ
1.เสริมจมูกด้วยการทำศัลยกรรม : ซึ่งถือว่าเป็นที่นิยมของตลาด ได้ลงรายละเอียดไว้แล้ว คลิกอ่านได้
2. การเสริมจมูกแลลไม่ต้องทำศัลยกรรม บทความนี้จะนำเสนอเรื่องการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดให้ทราบพอสังเขป ประกอบการตัดสินใจสำหรับท่านที่ต้องการเติมให้สวย เพิ่มให้หล่อ ดังนี้

การเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นการทำศัลยกรรมเสริมแต่งที่เริ่มเป็นที่นิยม ในระยะไม่นานมานี้ เหมาะสำหรับท่านที่มีสันจมูกเก่าอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้รูป หรือ กลัวการผ่าตัด ไม่อยากหยุดงาน หรือพักฟื้นหลังผ่าตัด หรือกังวลว่าจมูกที่เสริมไปไม่เป็นธรรมชาติ แข็ง หรือกลัวเบี้ยวเอียงในอนาคต โดยแบ่งออกได้ดังนี้

1. การฉีดสารฟิลเลอร์ ( Filler agents)  เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สารฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด แนะนำให้เลือกใช้แบบไม่ถาวร (Temporary Fillers )  และเป็นสารกลุ่ม HA (Hyaluronic acid) เพราะกลุ่มนี้จะผ่านอย. ไม่พอใจ เสริมแท่ง ก็สามารถจะฉีดให้สลายไปได้ ด้วย สาร Hyaluronidase

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :

  1. ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ ไม่พบอาการบวมแดง หลังฉีด สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
  2. จัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ ใช้เติมแต่งแก้ปัญหาจมูกเบี้ยว เอียง หรือฉีดเสริมให้โด่งขึ้น จัดแต่งรูปทรงจมูก ให้ธรรมชาติมาก ขึ้นในคนที่เสริมจมูกด้วยแท่งมาแล้ว ยังดูไม่ธรรมชาติ
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้ เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากสัตว์เหมือนกลุ่มคอลลาเจน จึงไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีด
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก
  8. เมื่อมีปัญหา สามารถสลายไปได้เอง ไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก หรือถ้าไม่พอใจ หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนใจไปเสริมจมูกด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือกระูดูกอ่อน ก็สามารถฉีดให้สลายได้ด้วยสาร Hylauronidase ภายในไม่กี่วัน     การฉีดเสริมจมูกด้วยฟิลเลอร์ จะเห็นว่าตรงสันจมุกดูธรรมชาติ ไม่เป็นแท่งสูงเหมือนการเสริมด้วยแท่งซิลิโคน

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ต้องมีการฉีดเติมบ่อยๆ ทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย (โดยอยู่ระหว่าง 15,000-20,000 บาท)
  4. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก
  5. แพทย์ที่ทำ ถ้าไม่ชำนาญ ลักษณะกายภาพของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงจมูก อาจจะฉีดไปโดนเส้นเลือด ทำให้ปลายจมูกขาดเลือด อักเสบ หรือฟิลเลอร์อาจจะเข้าไปในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่ลูกตา ทำให้เสี่ยงต่อการมองเห็นผิดปกติได้

2 . การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย (Thread ) : การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย จะเหมาะกับคนที่มีสันจมูกที่โด่งอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการปรับรูปทรงให้คมขึ้น ยกปลายจมูกให้เิชิด หรือปรับปลายจมูกให้ยื่นยาวมีหยดน้ำ เป็นอีกเทคนิคหนึ่งการเสริมจมูกที่กำลังได้รับความนิยม  เพราะไหมละลาย จะทำง่ายและสะดวกกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เพราะจะร้อยตรงไหนก็ได้ที่ต้องการ ไหมละลายที่ใช้ ควรเลือกที่ผ่าน อย. แล้ว เช่น ไหม PDO (Polydioxanone)โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี  ไหมละลายที่อยู่นานกว่านี้ ส่วนใหญ่จะยังไม่ผ่านอย.เมืองไทย

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยการร้อยไหม :

  1. ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ ไม่พบอาการบวมแดง หลังฉีด สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
  2. จัด แต่งรูปทรงได้ตามต้องการ จะร้อยไหมยกปลายจมูก ลดปีกจมูก ร่วมด้วยก็ได้
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยการร้อยไหม :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องร้อยไหมซ้ำ ทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ไม่เหมาะกับคนที่แทบไม่มีดั้งเลย เพราะไม่สามารถจะเพิ่มสันให้โด่งได้ตามใจชอบ การร้อยไหม แค่ปรับสันจมูกให้คมชัดขึ้น
  4. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก

3 . การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมัน : เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเสริมจมูก เทคนิคนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง เป็นคนทำ โดยการดูดไขมันจากร่างกายแล้วนำมาฉีดเสริมจมูก คล้ายๆ กับการฟิลเลอร์

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมัน :

  1. ใช้ไขมันของตนเอง
  2. จัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยไขมัน :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำ ทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ต้องฉีดปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะไขมันจะยุบตัวได้ถึง 30-40% หลังฉีด ทำให้คาดหวังผลการรักษาไม่ได้แน่นอน
  4. เจ็บตัวหลายครั้ง เพราะจะต้องทำการดูดไขมันด้วย เสี่ยงต่อแผลเป็น
  5. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก

จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยฟิลเลอร์ ถือว่าได้รับความนิยมกว่าวิธีอื่นๆ เพราะปั้นแต่งได้ตามชอบใจ แต่ถ้าเสริมด้วยไหมละลายอีกที พบว่าผลที่ได้ จมูกจะดูสวยงาม เป็นธรรมชาติ นอกจากจะโด่งได้รูปตามต้องการแล้ว ยังปรับแต่งทรงให้จมูกคมมากขึ้น ใกล้เคียงกับการเสริมจมูกด้วยการผ่าตัด และสามารถเพิ่มหยดน้ำที่ปลายจมูก ยกปลายจมูกให้เชิด ปรับปลายจมูกให้ยื่น ได้ตามต้องการ หากสนใจการฉีดเสริมจมูก หรือเสริมด้วยไหมละลาย หรือทำทั้งสองอย่าง แต่ควรจะปรึกษาหรือทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดเสริมจมูก เพราะผลข้างเคียงเกิดได้ ซึ่งถ้าเกิดแล้ว จะแก้ไขได้ยาก ไม่ควรจะฉีดเสริมกันเองตามหมอกระเป๋า หรือแพทย์ที่ขาดประสบการณ์มากพอ

รีวิวการฉีดเสริมจมูก ปรับทรงจมูก ด้วยฟิลเลอร์ HA
รีวิวการฉีดเสริมจมูกด้วยไขมัน
Posted on

สักมาไม่พอใจ อยากลบออกไป เลเซอร์ Revlite ช่วยได้ หลากหลายสี เห็นผลทันที ไม่มีผลข้างเคียง

ลบรอยสัก(Tatoo Removal) ด้วยเลเซอร์

ปัจจุบัน การสัก ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะทำการสักเพื่อความสวยงามมากกว่าเน้นในเรื่องของไสยศาสตร์เหมือนในอดีต การสัก ในสมัยนี้จึงเป็นที่นิยมสักกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จนกลายเป็นแฟชั่นไปอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมีการสักมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีความต้องการในการลบรอยสักกันมากขึ้นตามมาเช่นกัน ซึ่งอาจจะมีเหตุผลจากเมื่ออายุมากขึ้น เริ่มเบื่อ หรือบางคนต้องทำงาน บางคนเกรงจะกระทบต่อหน้าที่การงาน จึงได้หาวิธีการลบรอยสักที่ทำมาแต่ก่อน

โดยมาก การสัก เพื่อความสวยงามมักจะสักในหลาย ๆ ตำแหน่งเช่น ที่ปาก แก้ม ขอบตา เปลือกตา หัวไหล่ เนินอก แขน ขา ข้อเท้า หรือในที่อื่น ๆ ตามแต่เจ้าของร่างกายต้องการสัก เดิมการสักจะใช้เฉพาะสีดำ ซึ่งลบออกได้ง่าย ด้วยวิธีแบบเดิมๆ เช่น การลบด้วยกรดเข้มข้น สมุนไพร ฯลฯ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีการสักหลากหลายสีมากขึ้น ทั้งสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ ทำให้วิธีการลบรอยสักแบบเดิมๆ อาจจะได้ผลไม่ดีนัก และเกิดผลข้างเคียงและแผลเป็นได้ง่ายหลังการลบรอยสัก ปัจจุบันจึงนิยมจะลบรอยสักด้วยเลเซอร์มากกว่า

การลบรอยสัก ด้วย เลเซอร์ นั้น จะอาศัยพลังงานจาก แสงเลเซอร์ ที่ เข้าไปทำให้เม็ดสีของหมึกที่สักลงไป ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ให้แตกตัวกระจายออก แล้วอาศัยกลไกการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของร่างกายขจัดเอาเม็ดสีที่แตกเป็นชิ้น เล็ก ๆ นั้นออกไป และทำให้ รอยสัก จางลงไป การลบรอยสัก ด้วย เลเซอร์ เป็นการลบรอยสักซึ่งมีความนิยมทำในวงการแพทย์ปัจจุบัน เนื่องจากมีผล้างเคียงต่ำ และผลที่ออกมาสามารถลบรอยสักได้มากกลับไปใกล้เคียงกับผิวหนังเดิม
กลไกในการรักษาแพทย์ก็จะเลือกชนิดของเลเซอร์ ให้เหมาะสมตรงกับสีของรอยสัก ซึ่งแต่ละสีก็จะมีความจำเพาะกับเลเซอร์แต่ละความยาวคลื่น ซึ่งแสงเลเซอร์ก็จะไปทำให้เม็ดสีในผิวหนังแตกออก และถูกขจัดออกทางระบบน้ำเหลือง, ขจัดออกทางผิวหนังตามมา แต่รอยสักแต่ละชนิด หรือแต่ละสี จะได้ผลไม่เท่ากัน ขึ้นกับชนิดของสี ขนาด ตำแหน่ง ความลึก อายุของรอยสักและสีผิวของเจ้าของรอยสัก รอยสักบริเวณแขน หน้าอก ก้นและขา จะไม่ยากนักตรงข้ามกับรอยสักที่นิ้วและข้อเท้า ซึ่งจะแก้ไขได้ยาก นอกจานี้จะพบว่ารอยสักสีดำ สีน้ำเงินและสีเขียว จะได้ผลดีกว่าสีแดง สีส้มและสีเหลือง

ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ตัวไหนดี

RevLite® ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักที่ได้ผลดีสุดในปัจจุบัน (Gold Standard device for multi-color tattoo removal ) เพราะสามารถลบรอยสักได้ตั้งแต่สีดำ สีแดง สีเขียว แม้แต่สีน้ำเงิน ฯลฯ เพราะมีหลากหลายช่วงคลื่นให้เลือกใช้ มากกว่าเลเซอร์รุ่นอื่นๆ ดังนี้
– ช่วงคลื่น 1064 nm สำหรับรอยสักสีดำ
– ชวงคลื่น 532 nm สำหรับรอยสักสีแดง
– ช่วงคลื่น 585 nm สำหรับรอยสักสีน้ำเงิน
– ช่วงคลื่น 650 nm สำหรับรอยสักสีเขียว

ขั้นตอนการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ :

บริเวณที่จะทำเลเซอร์จะได้รับการทาครีมยาชา ประมาณ 30-45 นาที ระยะเวลาในการทำเลเซอร์จะไม่นานนัก ปกติราว 10-15 นาที โดยทั่วไป จะไม่มีอาการเจ็บปวด หรือถ้าเจ็บก็พอทนได้ เพราะจะมีการพ่นไอเย็นจัด (Cool Jet) ในระหว่างที่ทำให้ลดความเจ็บและความร้อนลงได้มาก ภายหลังการทำผิวอาจจะจะตกสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดไปภายใน 5-7 วัน ส่วนใหญ่จำนวนครั้งและระยะห่าง แตกต่างกันไปตามลักษณะของรอยสัก โดยทั่วไปมักต้องทำอย่างน้อย 5-8 ครั้ง โดยมีระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ มักจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นบางกรณีอาจจะเกิดรอยด่างหรือรอยดำ ซึ่งก็สามารถหายเป็นปกติได้ สำหรับการเกิดแผลเป็นมีโอกาสค่อนข้างน้อย ถ้าแพทย์ที่ทำมีประสบการณ์ในการรักษา

การดูแลหลังลบรอยสักด้วยเลเซอร์:

ประมาณ 24 ชั่วโมงหลังทำการรักษาด้วยเลเซอร์ ถ้าเกิดมีบาดแผล ไม่ควรจะโดนน้ำบริเวณที่ทำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ(Normal Saline) โดยใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดแผลเบาๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จนกว่าสะเก็ดจะแห้งและหลุดออก ถ้าปวดก็สามารถทานยาแก้ปวดได้ ถ้ามีอาการอักเสบ บวมแดง ควรกลับมาให้แพทย์ตรวจดูอาการ หาสาเหตุ และทำการรักษา ไม่ควรใช้ครีมหรือเครื่องสำอางใดๆ ทาบนแผลที่ลบรอยสัก จนกว่าสะเก็ดจะแห้งและหลุดออกหมด ควรเลี่ยงแสงแดดบริเวณที่ทำประมาณ 2-3 อาทิตย์ เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำได้ และควรจะมาพบแพทย์ตามนัด

อย่าได้ไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับน้ำยาลบรอยสัก หรือสมุนไพรใดๆ ที่ว่ามีประสิทธิภาพและเห็นผลทันตา แล้วซื้อมาลบรอยสักเองนะครับ เพราะอาจเกิดแผลเป็น หรือไม่ก็เสียโฉมไปเลย ทำให้ต้องมาเวียนแก้ปัญหาในระยะยาวเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ

Facebook: Clinicneo
Instagram: http://bit.ly/2Hs7xVk
Website: http://www.clinicneo.co.th
Add LINE ID ปรึกษาได้ที่ : @clinicneo หรือ ✅Click✅ http://bit.ly/2Jfx2Kh
Tel.: 02-399-3390-1,091-819-4930
……………………………………………………………………..
ฝีมือระดับอาจารย์แพทย์
✅ให้บริการโดยอาจารย์นายแพทย์จรัสพล (หมอเต้ นีโอ)
✅ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ‍⚕️
#อยากลบรอยสักคิ้ว#คิ้วหนา#คิ้วไม่เท่ากัน#คิ้วไม่สวย
✅เห็นผลไว ไร้รอยแผลเป็น สีผิวกลับมาปกติ เครื่องแท้จากอเมริกา
✅คลินิกนีโอ สะดวก สะอาด ปลอดภัย มั่นใจ สวยไว เป็นธรรมชาติ
……………………………………………………………………..
“ความรู้เกี่ยวกับ ลบรอยสักด้วย Revlite Gold Standard tattoo removal “‍
ลบรอยสัก(Tatoo Removal) ได้หลากหลายสี ด้วยเลเซอร์ Revlite
http://bit.ly/2KNdI6U
“RevLite” เลเซอร์เม็ดสีสำหรับฝ้า กระ รอยด่างดำ ลบรอยสัก ที่ได้ผลดี
http://bit.ly/2K9k5TV
เลเซอร์ในแวดวงความงาม(Laser in Cosmetic Dermatology)
http://bit.ly/2Ze3OAF