Posted on

Growth factor จาก PRP ( Platelet Rich Plasma ) กับการรักษาผมร่วงและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนกว่าวัย

Growth factor จาก PRP ฟื้นฟูทุกปัญหาผิว ผมร่วง

Growth factor คือ กลุ่มโปรตีนที่เซลล์ในร่างกายผลิตขึ้นและปล่อยออกมาเพื่อทำหน้าที่ให้เซลล์สื่อสารระหว่างกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโต การซ่อมแซมเซลล์ โดยจะคอยควบคุมกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่เสียหายไป
Growth Factor อยู่ที่ไหน : พบได้ในร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น ไซโตไคน์ (Cytokine), ฮอร์โมน (Hormone), และอินเตอร์ลิวคิน (Interleukin) ซึ่งโกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) จะพบได้มากในสเต็มเซลล์ที่ยังเยาว์วัยและเจริญพัฒนาไม่เต็มที่ เช่น สเต็มเซลล์ที่ผิวหนัง สเต็มเซลล์ที่ไขมัน และสเต็มเซลล์ที่เม็ดเลือด (PRP) เป็นต้น
PRP ( Platelet Rich Plasma ) คืออะไร : PRP คือเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สกัดแยกอออกมาจากเลือดของเราเอง โดยในองค์ประกอบของเลือด จะมีส่วนประกอบที่เป็นพลาสมา(น้ำเลือด) และส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ ส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด PRP ได้มาจากการปั่นแยกเลือดออกมา เพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเลือดทั่วไป 3-4 เท่า และใน PRP จะประกอบไปด้วยสารต่างๆมากมายเช่น Growth Factor ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยทำให้เซลล์ต่างๆฟื้นตัวและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนตอนยังเป็นวัยรุ่น อีกทั้งเร่งอัตราการฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ กระตุ้นการสร้าง Collagen Elastin และอื่นๆอีกมากมาย

ขั้นตอนของการทำ PRP
1. เจาะเลือดของคนไข้โดยปริมาณที่ต้องการ
2.  นำเลือดที่ได้มาผ่านกระบวนการปั่นแยกเกล็ดเลือดด้วยเครื่องปั่นเลือด
3.  เลือดจะแบ่งชั้นออกมาตามลำดับ คัดแยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้ในการรักษา
4.  คัดแยกเกล็ดเลือดและพลาสมาที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้
5.   แพทย์จะนำ PRP ที่สกัดได้ไปฉีดในบริเวณที่ต้องการ

Growth factor จาก PRP สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง :

มีการใช้วิธีรักษาผู้ป่วยด้วย PRP มาประมาณ 30 ปี โดยใช้ในการรักษาทางศัลยกรรมกระดูก และใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของข้อหรือเส้นเอ็นจากการเล่นกีฬา โดย Growth factor จาก PRP มีคุณสมบัติในการเรียกสเต็มเซลล์ ในร่างกายออกมาทำการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ และรักษาในจุดนั้นๆ ให้หายเร็วขึ้น ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถฉีดตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการการฟื้นฟูเป็นพิเศษ เช่น
1. หากฉีดบริเวณหนังศีรษะรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน โดยจะทำให้หนังศีรษะและเส้นผมดกดำมากขึ้น เส้นใหญ่ขึ้น และมีความแข็งแรงมากขึ้น
2. การฉีดบนใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเด้ง อิ่มน้ำ ผิวหนังกลับมาแข็งแรงเหมือนผิวเด็กที่ยังไม่เคยโดนมลภาวะมาก่อน
3. ฉีดร่วมกับการฉีดไขมัน เพื่อให้หน้าอิ่มและเปล่งปลั่งมากขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมประสิทธิภาพให้ไขมันที่ฉีดเข้าไปอยู่กับใบหน้าของเราได้นานขึ้นด้วย
4. ฉีดบริเวณโคนของอวัยวะเพศชาย ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP

-ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
-ดื่มน้ำให้มากๆ ประมาณ 2 ลิตร
-เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรได้รับวิตามินซีวันละ 1000 มก ประมาณ  1 อาทิตย์ ก่อนการทำ
-ห้ามรับประทานยา กลุ่ม ASA หรือ NSIAD ก่อน ทำ 2-3 วัน
-งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วัน

Posted on

Dutasteride: ยาปลูกผมตัวใหม่ หยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไข ผมบาง ศีรษะล้าน

ไม่มั่นใจ หล่อแค่ไหน แต่ไร้เส้นผม ผมบาง ศีรษะล้าน

ปัญหาศรีษะล้าน  จัดเป็นปัญหาที่ผู้ชายถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆ ที่มีอุบัติการณ์เกิดได้ถึง 10 %  ในคนเอเซีย หรือ 30-40 % ในคนยุโรป อเมริกา ตามที่เราทราบกันแล้วว่า ปัญหาผมร่วง ผมบางมีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน และพอมีแนวทางแก้ไขได้ นั่นคือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT)  สูงกว่าปกติ ซึ่งพบได้ถึง 30-40 % ของสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT) มีกลไกที่เป็นสาเหตุของผมร่วงโดย จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง ผมจึงร่วงได้มากและเร็วกว่าปกติ ทำให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง และสั้นลง ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดของเส้นผมที่เล็กลง ต่อมาได้มีการวิจัยเพิ่มมากขึ้น พบว่า  ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT)  นั้นเกิดได้จากเอนไซม์ 5-Alpha reductase ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 และ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 

ผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน

ยารักษาผมร่วงที่ อ.ย.ทุกประเทศ รับรองผล

1. Finasteride (Propecia) เป็นยารับประทานรตัวแรกที่นำมารักษาผมร่วง ที่ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 1997 และผ่าน อย.เมืองไทยแล้วว่าสามารถลดปัญหาผมร่วงจาก DHT สูง และทำให้ผมขึ้นได้จริง )ซึ่่งเราได้มีการนำมาใช้แล้วมากกว่า 20 ปี แต่สามารถยับยั้งได้แค่ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 โดยไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 ทำให้ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหา ผมบาง จากสาเหตุ DHT ได้ครอบคลุมครบวงจร
2. Dutasteride (Avodart) ถือเป็นยารุ่นที่ 2 ต่อมาจากยา Finasteride ในการแก้ปัญหาผมบาง Dutasteride เป็นตัวยาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 2010 ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต และพบได้ได้ผลดีกว่า ยา Finasteride

หยุดผมร่วงได้แค่ไหน Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 จึงลดระดับ DHT ในเลือดถึง 93 % ขณะที่ ยา Finasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เฉพาะเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 2 จึง ลดระดับDHT ในเลือดได้เพียง  78 %
2.  นอกจากนี้ อัตราส่วนความแรงหรือความสามารถ ของ ยา Dutasteride :ยา Finasteride ในการยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type  2  ยังมากกว่าถึง 3:1 จึงลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้ถึง 93 % ขณะที่ยา Finasteride ลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้เพียง 34-41 %
3. ยา Dutasteride พบว่าไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เหมือนกับยา Finasteride นอกจากนี้ ยังไม่มีผลต่อไต ระดับไขมันในเลือด
4. ยา Dutasteride มีราคาแพงกว่า ยา Finasteride 1.5-2 เท่า

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง ) ในอัตรา  8-9  % ขณะที่ ยา Finasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง)  ในอัตรา 3.7    %
2. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อการลดจำนวนเชื้ออสุจิ  และปริมาณน้ำอสุจิอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเมื่อเทียบกับยาหลอก  ขณะที่ ยา Finasteride ไม่มีผลข้างเคียงต่อจำนวนอสุจิ แต่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอก
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก่อนรับประทานยา Dutasteride ควรจะตรวจระดับ  PSA level ก่อนรับประทานยา Dutasteride และหลังรับประทานยา Dutasterideและตรวจเช็คอีกประจำทุกปี  ดังนั้นถ้าเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะทำให้ตรวจพบได้ช้ากว่าคนปกติ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Dutasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Dutasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน
   ข้อห้ามใช้
    ยา Dutasteride ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้ 

    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วงแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride/Dutasteride)  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy (HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

hair colors causes cancer? : ย้อมสีผม บ่อยๆ ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ !

ปัจจุบันการย้อมสีผม ถือเป็นแฟชั่นที่ฮิตกันอย่างแพร่หลาย ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการย้อมปิดผมขาว หรือการย้อมผมด้วยสีอื่นๆ ซึ่งในอเมริกามีการสำรวจพบว่า การย้อมสีผมพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีชาวสหรัฐฯ และมากกว่า 10 % ของบุรุษเมืองมะกัน จึงทำให้มีหลายคนกลัวว่า การย้อมสีผมบ่อยๆ จะทำให้เกิดอันตรายขนาดเป็นมะเร็งหรือไม่

ได้มีการเรียกร้องกันอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ที่มิใช่อาหารของยุโรป ให้ทำการศึกษาและวิจัยผลของสารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอย่างจริงจัง เช่น กลุ่มสาร Aromatic amine ,Arylamine ซึ่งอยู่ในยาตัวละลาย สีย้อมผม ทำให้ก่อเกิดสารก่อมะเร็งหรือไม่ เพราะมีบางงานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น

ทางองค์กรอาหารและยา(FDA) ของสหรัฐอเมริกาและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ กลับมีความเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่ายาย้อมผมทำให้เกิดมะเร็งได้จริง จึงยังไม่มีการประกาศห้ามจำหน่าย และทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 องค์กรก็กำลังเฝ้าระวังและติดตามงานวิจัยด้านนี้อย่า’ใกล้ชิดต่อไป ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะยังไม่มีการทบทวนงานวิจัยด้านนี้อย่างมีระบบและจริงจัง
Taskkouche B และคณะได้จุดประกายความคิดเพื่อขจัดความกังขาเรื่องนี้ ด้วยการทบทวนผลงานวิจัยที่ผ่านมา จำนวน 79 รายงาน แบบเป็นระบบได้ผลพบว่า การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด ( Non-Hodkin lymphoma,Hodkin Lymphoma,Muliple myeloma,Leukemia) ถึง 1.15 เท่า ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ แต่การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบกระเพาะปัสสาวะเพียง 1.01 เท่า และการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1.06 เท่า ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ

ดังนั้นการผลงานรวบรวมการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้หลายท่านเกิดความกังวลและไม่แน่ใจหรือมั่นใจว่าจะย้อมสีผมหรือไม่ ถ้าอยากปลอดภัยและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ท่านที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นอินเทรนด์ หรือไม่กลัวแก่และไม่กังวลผมหงอก ก็ควรจะงด ลด เลี่ยงการย้อมสีผมกันดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การย้อมสีผม แน่นอนสิ่งที่ตามมาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สุขภาพเส้นผมจะอ่อนแอลง อาจจะเกิดปัญหา ผมร่วง ผมบาง เส้นผมไม่มีน้ำหนัก ขาดความนุ่นนวล สละสลวย ภายหลังได้

เอกสารอ้างอิง : Takkouche B,et al.Personal use of hair dynes and risk of cancer,JAMA 2005;293:2516-25

Posted on

กำจัดขนถาวร (Hair removal) มีหลายวิธี เลือกแบบไหน ไม่เจ็บ ปลอดภัย อยู่ได้นาน

กำจัดขนถาวรมีกี่วิธี

ขน เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่ต้องการให้มี ทำให้มีวิธีการกำจัดขน ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ซึ่งวิธีการดั้งเดิม ได้แก่ การถอนขน การแวกซ์ขน การโกนขน การโกรกสีขน แต่ก็ไม่ถาวรในเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็จะมีขนงอกมาได้อีก ซึ่งเราจัดอยู่ในการกำจัดขนชั่วคราว การกำจัดขนที่เข้าข่ายกำจัดขนถาวรหรือกึ่งถาวร วิธีการกำจัดขนในปัจจุบัน มีอยู่ไม่กี่วิธีที่ได้ผล แบ่งตามความสามารถในการกำจัดขนโดยดูจำนวนขนที่งอกใหม่ต่อจำนวนเส้นขนเดิม จากได้ผลน้อยสุดไปมากสุด ได้ดังนี้
1. การกำจัดขนด้วยวิธีจี้ด้วยไฟฟ้า ที่เรียกว่า Epilations  คือ การปล่อยคลื่น microwave ไปตามแนวเส้นขน เพื่อทำลายเซลล์สร้างขน ทีละเส้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่า Epiltron ซึ่งมีลักษณะเป็นครีม หนีบกับเส้นขนทีละเส้น แล้วปล่อยคลื่น mirowave ช่วงสั้น
2. พลังงานที่กักเก็บไว้ ได้แปรสภาพเป็นพลังงานความร้อน ทำให้ เซลล์ขน ถูกทำลาย
3. หลังจากนั้น วงจรในการเติบโตของเส้นขน จะหยุดชะงัก และวงจรการสร้างขนใหม่ถูกรบกวน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่ได้
วิธีนี้มักจะเจอในร้านเสริมสวยสมัยก่อน ซึ่งค่อนข้างเสียเวลา เนื่องจากต้องใช้ครีมคีบขนทีละเส้น ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมาก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิม เพราะเจ็บด้วย

 2. การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL  เทคนิคในการกำจัดขนด้วย IPL ก็คือ การปล่อยคลื่นความถี่ของแสง เช่น 765 nm ซึ่งช่วงคลื่นดังกล่าวจะไปจับเฉพาะสีดำของแกนผม และจะไปปล่อยพลังงานและทำลายเซลล์ที่ทำให้ขนเจริญเติบโต( germinated cells) บริเวณกระเปาะผม ทำให้ไม่สามารถทำให้ขนใหม่เกิดได้ โดยช่วงแรกๆ จะเห็นว่าขนจะขึ้นช้าลง เส้นเล็กลง แล้วค่อยๆ ลดลง แต่ได้ผลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของขนแต่ละที่ โดยคำนึงถึง ขนาด สีขน และความลึกของรากขน

– ข้อดีในการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ ก็คือเจ็บน้อยกว่าการจี้ด้วยไฟฟ้า ในข้อที่ 1 ใช้เวลาทำน้อยกว่า แบบแรก
–ข้อเสีย : จะได้ผลเฉพาะขนที่เส้นใหญ่ สีดำเข้ม ไม่หนามาก  และไม่เหมาะกับคนสีผิวเข้ม เพราะอาจจะเกิดรอยดำ หรือรอยไหม้ได้ง่าย และต้องทำหลายครั้ง และขน ก็ไม่หมด 100%

3. การกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์  เป็นการกำจัดขนถาวร ที่ถือว่าเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะได้ผลดีสุด เห็นผลทันทีหลังทำ ปกติมักจะทำต่อเนื่องทุกเดือน ประมาณ 3-5 ครั้งแล้วแต่บริเวณ และขนดกดำมากน้อยแค่ไหน และอยู่ได้นานเป็นปี
ลเซอร์ที่ใช้ก็มีหลายรุ่น เช่น Alexandrite laser 755 nm, Ruby laser 694 nm ,Diode laser Diode 800-810 nm, 940 nm, 1,064-1,350 nm , Long Pulse Nd:YAG Laser 1064 nm (Gentle YAG,Gentle YAG MAX PRO ),Q-Switched Nd:YAG  1064 nm (เช่น Medlilte C-6 ,Revlite Laser ) ซึ่งเลเซอร์ 2 ชนิดหลัง ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่กำจัดขนได้ดีสุดในปัจจุบัน โดยพบว่า Long Pulse Nd:YAG Laser (Gentle YAG) เหมาะกับขนเส้นใหญ่ สีดำ เช่น หนวด เครา ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ฯลฯ ส่วน Q-Switched Nd:YAG (Revlite laser) 1064 nm เหมาะกับขนอ่อน สีไม่เข้มมากนัก เช่น ขนอ่อนบริเวณใบหน้า
แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การกำจัดขนแม้จะกำจัดได้ 100% แต่ไม่ถาวร เพียงชะลอการงอกใหม่ของเส้นขน ได้ไปเป็นปีๆ เท่านั้น

Posted on

Saw Palmetto : สมุนไพรรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน ที่ไม่อยากกินยา กล้วผลข้างเคียง

Saw Palmetto คืออะไร

Saw Palmetto(ปาล์มเลื้อย) : เป็นพืชประเภท ปาล์มใบเลื่อย ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Serenoa repens พบในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ส่วนที่นำมาใช้คือ ผล (Berry)
– เมื่อหลายสิบปีก่อน มีนักวิจัย ชาวยุโรปได้วิจัยผลปาล์มใบเลื่อย และพบว่าไขมันที่สกัดได้จากผลปาล์มแห้งมีสารประกอบที่น่าสนใจหลายชนิด และเรียกสารเหล่านี้ว่า “ไซโทสเตอรอล(Cyto-sterol)” ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนสารต้านแอนโดรเจน หรือสารต้านฮอร์โมนเพศชาย โดยพบว่ามีกลไกในการยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) ดังนี้
1. ยับยั้ง การทำงานของ เอนไซม์ 5-alpha reductase ในการเปลี่ยน ฮอร์โมน Testosterone ไปเป็น dihydrotestosterone (DHT) จึงมีสรรพคุณคล้ายๆ กับยา Finasteride , Dutasteride   แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ
2. ทำให้การทำงานของฮอร์โมน DHT ลดลง โดยไปแย่งจับกับ DHT ที่ Androgen receptors ซึ่งพบได้เด่นชัดในเซลล์ต่อมลูกหมาก ( Prostate cells ) โดยผ่าน ขบวนการ ขัดขวางที่เอนไซม์ 3-ketosteroid reductase

ประโยชน์ของ Saw Palmetto ในวงการแพทย์ 

1. รักษาอาการต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy -BPH: โดยพบว่าสามารถ ลดการเกิดอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) และเพิ่มการไหลของปัสสาวะให้ดีขึ้นได้ ในคนไข้ที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต แต่พบว่าไม่มีผลในการลดขนาดต่อมลูกหมากให้เล็กลง เป็นตัวเลือกที่สอง แทนกลุ่มยา Finasteride Dutasteride แล้ว เพื่อลดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
2. รักษาอาการผมบาง ผมร่วง จากสาเหตุ ฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) : โดยพบว่า จากสรรพคุณในการสามารถ ลดปริมาณ และยับยั้งการทำงานของ DHT จึงเป็นยาตัวเลือกที่สอง รองลงมาจาก Finasteride ,Dutasteride กรณีที่คนไข้รับประทานยา แล้วเกิดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
3. การรักษาสิว : ได้มีข้อสงสัย ว่า ถ้า saw palmetto สามารถต้านฮอร์โมนเพสชายได้ จะช่วยเรื่องการรักษาสิวจากฮอร์โมนเพศชายสูงได้หรือไม่ ปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานสรุปกันชัดเจน ว่า saw palmetto ช่วยทำให้ปัญหาสิวลดลงได้ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัญหาสิว อาจจะมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสิวได้หลายอย่าง

Posted on

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน หลายคนไม่ต้องการ หยุดยั้ง สาเหตุ ป้องกัน รักษาได้ ไม่ต้องกังวล

สาเหตุของผมร่วง

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน : เป็นปัญหาที่พบได้ 10 % ของคนเอเซีย และ 50% ในคนยุโรป อเมริกา โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผมร่วงถ้าเกิน 100 เส้นต่อวัน ถือว่าผิดปกติ ต้องรีบหาสาเหตุแก้ไข ก่อนจะหัวล้าน
สาเหตุของผมร่วง
1. ผมร่วงแบบมีแผลเป็น: มักเกิดจากการมีบาดแผล หรืออุบัติเหตุ เป็นส่วนใหญ่ บางครั้ง อาจเกิดจากการติดเชื้อเช่น งูสวัด โรคSLE ซึ่งมักแก้ไข หรือทำให้เกิดผมใหม่ได้ยาก แบบนี้อาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ( Hair Transplantation)

2. ผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น: 90% ของผมร่วง จะเป็นแบบไม่มีแผลเป็น พอจะมีทางแก้ไขให้มีผมงอกขึ้นมาใหม่ได้ โดยสาเหตุของผมร่วงชนิดนี้ แบ่งย่อยได้เป็น
2.1 กรรมพันธุ์ พบได้ 30% ของคนที่มีปัญหาผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น มักเกิดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางคนอาจพบว่าผมเริ่มร่วงและบาง ตั้งแต่วัยรุ่นและศีรษะล้าน-บาง ก่อนวัยกลางคนเสียอีก ลักษณะผมบางจากกรรมพันธ์ุ มักจะพบค่อยๆ เถิกไปทางด้านหน้า หรือแง่งผม คล้าย M-Shaped
2.2 ฮอรโมนเพศชาย DHT สูงกว่าปกติ : พบได้ 30% โดยฮอร์โมน ทำให้อายุขัยของเส้นผมสั้นกว่าปกติ ทำให้ผมงอกใหม่ทดแทนไม่ทัน ลักษณะผมบางจาก DHT สูงมักจะพบค่อยๆ ผมร่วงบางบริเวณกระหม่อม หรือกลางศีรษะ ในผู้ชาย หรือบางทั่วๆ ไป ในผู้หญิง

2.3 ความเครียด(Stress) พบว่าความผิดปกติทางอารมณ์ จะทำให้หลอดเลือด ที่มาเลี้ยงบริเวณหนังศีรษะหดตัว ทำให้เซลล์ผมขาดสารอาหาร จึงทำให้ผมแฟบเล็กลงและร่วงในที่สุด ผมร่วงจากความเครียด มักจะร่วงทั่วไปทั้งศีรษะ บางเท่าๆ กัน
2.4 โรคผมร่วงหย่อม (Alopecia Areata -AA ) ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรรมพันธุ์ ปฎิกิริยาออโตอิมมูนในร่างกาย ความเครียด ลักษณะผมร่วงประเภทนี้ จะร่วงแหว่งเป็นวงๆ อาจจะวงเดียวหรือหลายวง ได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่
2.5 การติดเชื้อที่หนังศีรษะ( Infection) จาก เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา บนหนังศีรษะ ซึ่งจะทำให้หนังศีรษะอักเสบเกิดอาการคัน มีรังแค จึงเกิดการเกาและดึงรั้งเส้นผม ทำให้ผมร่วง ลักษระผมร่วงแบบนี้ มักจะร่วงทั่วๆ ไป หรือบางหย่อมได้

2.6 โรคประจำตัวบางอย่าง(Chronic Disease) เช่น มะเร็ง โรคต่อมทัยรอยด์ผิดปกติ ซิฟิลิส หรือ ได้รับสารหรือแพ้ยาบางตัว เช่น ยาต้านมะเร็ง ยาในกลุ่มรักษาโรคไทรอยด์ หรือจากผลของยาบางตัว เช่น
– ยาในกลุ่มรักษาโรคหัวใจหรือใจสั่น
– ยาในกลุ่มป้องกันการแข็งตัวของเลือด
– ยารักษาโรคเก๊าท์ วิตามินA
– ยาเคมีบำบัดการฉายรังสี
2.7 ผลจากการกระทำของตนเอง( Trichotillomania) ซึ่งเกิดจากอุปนิสัยของเราเอง เช่น การชอบถอนผม การแกะเกา ดึงทึ้งผม การถอนผมคัน เวลาเผลอ ที่เวลาใช้ความคิด
– หรือคนไข้ที่มีปัญหาทางสภาพจิตใจ เครียด แล้วดึงทึ้งผม มักจะทำซ้ำๆ โดยมักจะเกิดบริเวณเดิม ๆ และมีรูปแบบของการบางไม่ชัดเจนเหมือนแบบอื่นๆ

การป้องกันและรักษา

1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดปลูกผม
     1.1 หาสาเหตุ   โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หรือาอาจจะตรวจเลือด ถ้าพบสาเหตุก็จะรักษาที่สาเหตุที่ทำให้ร่วงก่อ  เช่น รักษาภาวะอักเสบของหนังศีรษะ การติดเชื้อ ลดภาวะเครียด  แก้ไขพฤติกรรมในบางอย่างในผู้ป่วยที่ชอบดึงทึ้งผม แก้ไขโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับผมร่วง
1.2. กรณีที่ผมร่วงจากพันธุกรรม หรือ ฮอร์โมน DHT พบได้บ่อยสุดถึง 60-70 %  สามารถทำการรักษาได้่ง่ายๆ 3 วิธีดังนี้
1.2.1 การเลือกใช้แชมพู โลชั่น ยารับประทาน ควรรับประทานยาลดระดับฮอร์โมน DHT และทาโลชั่นปลูกผม และ/หรือร่วมกับการรับประทานวิตามินสำหรับเส้นผม
1.2.2 Laser Hair : ใช้เลเซอร์ ชนิด Diode Laser ทำการปล่อยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า เลเซอร์เย็น(Cold beam) ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม เพื่อให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Photo-Biostimulation ซึ่งกล่าวถึง “แสงคือพลังงานอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สามารถอยู่รอดได้ด้วยแสง และเซลล์เส้นผมก็คือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง จึงเข้าข่ายในทฤษฎีนี้ด้วย”

  1.2.3 Meso-hair : เป็นการฉีดสูตรยา หรือคอกเทลยา กับวิตามินสำหรับเส้นผม หรือบางคนใช้ PRP ที่เป็นเลือดปั่นเอาพลาสมา ที่เชื่อว่ามี Stem cell สร้างเส้นผมใหม่ ฉีดด้วยปืนดิจิตอลเข้าไปที่หนังศีรษะที่บาง ลึกลงไปถึงเซลล์ผม ซึ่งเป็นการรักษาที่นำมาเสริมการรับประทานยาและยาทา โดยมีรายงานจากฝรั่งเศสว่า ช่วยทำให้เส้นผมงอกได้เร็วขึ้นและเพิ่มขึ้น กว่าเดิมถึง 2-3 เท่า
2. การทำศัลยกรรมปลูกย้ายรากผม :
การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation) เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน มักจะใช้ในกรณีที่ศีรษะล้านมาก หรือใช้การรักษาด้วยวิธีที่ 1 แล้วได้ผลไม่เต็มที่ โดยอาจจะใช้การผ่าตัดด้วยศัลยแพทย์เฉพาะทางเส้นผม หรือใช้หุ่นยนต์ปลูกย้ายรากผม  ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ ได้ผลไว แต่หลังทำ ก็ต้องป้องกันด้วยการรับประทานยา ป้องกันผมร่วงกลับมาใหม่

Posted on

หวีเลเซอร์เย็น (Cool Laser Hair Treatment ) ลดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำได้ ไม่ต้องเจ็บตัว

เลเซอร์เย็น คืออะไร

คือ เลเซอร์ชนิด Diode Laser ที่มีการปล่อยแสงเลเซอร์สีแดง ความยาวช่วงคลื่น ประมาณ 600 nm โดยพลังงานเลเซอร์จะออกมาจากซี่แปรงของหวี โดยใช้หลักการ Low Level Laser Therapy (LLLT) หรือ แสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า Cold beam ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม
โดยพบว่าจะไปออกฤทธิ์ที่ Mitochondria ของเซลล์เส้นผมให้มีการสร้างพลังงาน ATP มากขึ้น จึงช่วยทำให้เกิดนำออกซิเจน มาเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น จึงทำให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น และมีความเงางามมากขึ้น

หวีเลเซอร์ รักษาเส้นผมบาง

Laser -comb ( Hairmax) จัดเป็นเครื่องมือเลเซอร์พลังงานต่ำ (Low Level Laser therapy) ชนิดแรกของโลก ที่นำมารักษาปัญหาเส้นผม โดยได้รับการรับรองจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และผ่าน อย. ของประเทศไทยแล้ว ว่าเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และช่วยทำให้สุขภาพเส้นผมดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารของ TIME ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2000 (Invention of the year) นอกจากนี้ Barbara walters ยังยกย่องให้เป็น Hot New Product และลงข่าวในรายการของ ABC,CBS,FOX และ NBC เผยแพร่ทั่วโลกด้วย
Lasercomb( Hairmax) เมื่อทำการฉายไปบนหนังศีรษะในพลังงานและระยะเวลาที่เหมาะสม พบว่าพลังงานแสงที่ปล่อยออกให้นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานและนำออกซิเจนให้แก่เส้นผมแล้ว ยังสามารถ จะช่วยนำพาซึ่งสารอาหาร วิตามิน ยา (ที่รักษาเส้นผม) มาสู่เซลล์ผมได้มากขึ้น จังนิยมนำมาฉายแสงเลเซอร์ ก่อนการทำ Mesohair จะช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

หลังจากหวีเลเซอร์ (Hairmax) ออกสู่ท้องตลาดได้ ไม่นาน ก็มีหวีเลเซอร์ยี่ห้ออื่นๆ ออกมาในตลาดมากมาย หลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้รับการรับรองว่าได้ผลดี เหมือนกับ ของ Hairmax ต่อมาHairMax ได้มีการพัฒนาให้มีหลากหลายแบบมากขึ้น ทั้งแบบคาดผม สวมทิ้งไว้ และด้วยหลักการที่ บางที่ได้มีการพัฒนาแบบครอบทั้งศีรษะ ให้นั่งทำการฉายแสงเลเซอร์เย็น
มีการทดลองและงานวิจัยมากกว่า 3,500 ชิ้น ที่พบว่า หลักการดังกล่าวได้ผลดี โดยพบว่า 93% ของผู้รับบริการ พึงพอใจต่อผลการรักษา โดยพบว่า 45 % ของผู้ใช้ สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 6 อาทิตย์ และพบว่า 45% พึงพอใจหลังการใช้ในอาทิตย์ที่ 6-12 และพบว่า 10% ของผู้ใช้ พึงพอใจหลังใช้แล้ว มากกว่า 12 อาทิตย์

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว
Posted on

Biotin: ไบโอติน วิตามินสำคัญ เพื่อการดูแลสุขภาพเส้นผมและเล็บ ให้แข็งแรง

โบโอตินคืออะไร

Biotin คือ วิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้ รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ คือวิตามินเอช (Vitamin H) หรือวิตามินบี 7 (Vitamin B7) มักจะพบในสารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี และมีอยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ
ร่างกายต้องการไบโอตินเพื่อช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ ดังนี้
1. ไบโอติน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในขบวนการสร้างและเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน รวมไปถึงการสร้างสาร Pyrimidine ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ DNA,RNA ซึ่งเกี่ยวกับสายยีน และพันธุกรรม
2. ชะลอการเกิดผมหงอก และลดผมร่วง ทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่แตกเปราะง่าย จึงใช้รักษาปัญหาเส้นผมแตกปลาย หรือผมร่วง ผมขาดการบำรุง ดังนั้นจึงถือเป็นวิตามินตัวหนึ่ง ในหลายๆ ตัว ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของวิตามินสำหรับเส้นผม และหนังศรีษะ
3.การรักษาปัญหาเล็บ เปราะ หักง่าย โดยได้มีการทดลองสนับสนุน โดย Lisa G.Hochman และคณะ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำมหาวิทยาลัยแพทย์ เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองให้คนไข้ที่มีปัญหาเล็บเปราะ หักง่าย ( Brittle nail) จำนวน 22 ราย พบว่าได้ผลดี ทำให้เล็บหนาขึ้น และแข็งแรงขึ้น ถึง 63 %


4. การเผาผลาญไขมัน และปรับสมดุลของการไขมัน ทั้งในแง่การรับประทานเข้าไป หรือเผาผลาญให้เป็นพลังงาน จึงพบว่า บางคนจะนำ ไบโดติน บรรจุอยู่ในยา เพื่อใช้ในโปรแกรมลดน้ำหนัก นอกจากนี้ในบางคนยังใช้ในคนไข้เบาหวาน เพื่อลดน้ำตาลในเลือดด้วย
ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าผู้ที่ชอบรับประทานไข่ดิบ ซึ่งจะไปรวมตัวกับสารไบโอตินที่แบคทีเรียผลิตออกมา หรือรับประทาน ยาแก้อักเสบกลุ่มยาปฏิชีวนะนานๆ อาจทำลายแบคทีเรีย ทำให้สารไบโอตินที่ร่างกายผลิตออกมาไม่เพียงพอ จึงต้องรับประทานยา หรือวิตามินที่มีไบโอตินผสมอยู่ทดแทน โดยขนาดที่รับประทาน ถ้าเพื่อป้องกันการขาด Biotin หรือดูแลสุขภาพเส้นผมและเล็บโดยทั่วไป ประมาณ 600 ไมโครกรัมต่อวัน และในขนาดที่ใช้รักษาปัญหาเส้นผมแตกปลาย ผมร่วง เล็บเปราะ หักง่าย แนะนำให้รับประทาน1,000-2,500 ไมโครกรัมต่อวัน บางผลงานวิจัย ได้มีการนำ Biotin มารักษาปัญหาโรคผื่นอักเสบ ในภาวะเซ็บเดิร์ม ( Seborrheic dermatits ) ได้ด้วย Biotin เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ จึงไม่สะสมภายในร่างกาย ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จึงมีความปลอดภัยในการรับประทานอย่างต่อเนื่อง

Posted on

น้ำยาปลูกผม ( Hair lotion) ที่วางขายทั่วไป ช่วยรักษาผมร่วง ผมบาง ผมดกดำขึ้น ได้จริงมั้ย

น้ำยาปลูกผมในท้องตลาด ดูอย่างไร ว่าได้ผลจริง

ปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นหยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำ ออกมามาวางจำหน่ายในท้องตลาด หรือในออนไลน์ มากมายหลายยี่ห้อ ได้ทำการโปรโมทเป็นอย่างหนัก ทำให้มีคำถามมากมายว่าได้ผลจริงหรือไม่ ก่อนจะดัดสินใจซื้อมาใช้ ควรดูส่วนประกอบว่า มีตัวยาอะไรบ้าง และมีหลักพิจารณาดังนี้
1. ไมนอกซิดิล : อันนี้สำคัญมาก เพราะ น้ำยาปลูกผม ไม่ว่าจะเป็นแบบเซรั่ม หรือสเปรย์ ถ้ามีส่วนผสมของไมนอกซิดิล ใน % ที่เหมาะสม คือ มากกว่า 3% Minoxidil ก็ทำให้เส้นผมดกดำได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะวางจำหน่ายไม่ได้ เพราะเข้าช่ายเป็นยา อย. ไม่อนุญาติให้จำหน่ายทั่วไป ต้องจ่ายจากในคลินิกเท่านั้น
2. สารสกัดธรรมชาติ : ที่วางจำหน่ายได้ทั่วไป และผ่าน อย . น่าจะเป็นกลุ่มนี้ อาทิเช่น ที่สกัดได้จากพืชที่ชื่อ Stephania cephtaranta และ Notoginseng โดยพืช ทั้งสองตัว ให้สารสำคัญหลักได้แก่ Cepharantine และ Isotretrandrine ซึ่งเชื่อว่า มีประโยชน์ดังนี้

  1. จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยบริเวณหนังศรีษะ ทำให้เลือดนำออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยง เซลล์รากผมได้อย่างพอเพียง
  2. ช่วยเพิ่มคุณภาพของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงรากผม ช่วยป้องกันผมร่วง
  3. ช่วยเพิ่มขบวนการเมตาบอลิซึม ทำให้เซลล์เส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง
    จากประสิทธิภาพของสารดังกล่าว สันนิษฐานว่า ใกล้เคียงกับการทาด้วย Minoxidil solutions แต่ผลการวิจัยและสนับสนุนมีไม่เพียงพอ เหมือนการวิจัยยาทาที่มี Minoxidil solutions ที่ FDA ของหลายๆประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า ทำให้เส้นผมและขนขึ้นได้
    ดังนั้นก่อนจะดัดสินใจซื้อ ควรสอบถามส่วนประกอบที่สำคัญ แล้วไปค้นคว้าเพิ่มเติม สารดังกล่าวมีงานวิจัยและ อย.ทั่วโลกรับรองหรือไม่ มิใช่แค่เห็นรูปรีวิว ก็จัดเลย เดี๋ยวจะเสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึก

Posted on

Trichotillomania : โรคที่เวลาเครียด คันเส้นผม ต้องดึง ต้องถอนเส้นผม ทำให้ผมร่วง ผมบาง

Trichotillomania คืออะไร

คือ ภาวะผิดปกติทางจิต จากการที่คนที่มีปัญหาผมร่วง หรือศรีษะล้านบางกรณี ที่มาพบแพทย์ และแพทย์ได้ตรวจและซักประวัติ จะพบว่าคนพวกนี้ จะชอบดึงและถอนผมเล่นมาก่อน อาจจากภาวะเครียด หรือ มักจะทำอะไรบางอย่างเพลินอยู่ เช่น ดูหนังสือ หรือโทรทัศน์ โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 11 ปี
อาการเริ่มแรก ก็คือ คนกลุ่มนี้มักเริ่มที่มีความเครียดอยู่ก่อน แล้วเมื่อได้ถอนผมหรือขนแล้วจะหายเครียด จนเกิดเป็นความเคยชิน
ลักษณะที่ตรวจพบ – บริเวณที่ผมร่วงที่ศรีษะ มักจะเป็นแห่งเดียว รูปร่างไม่แน่นอน แต่สังเกตได้ง่ายชัดเจน คือบริเวณที่ถอนจะยังเห็นตอเส้นผมอยู่ โดยมีขนาดความยาวแตกต่างกัน เนื่องจากการถอนขนแต่ละครั้ง อาจหลงเหลือตอหรือรากผมที่หนังศรีษะ
– บางครั้งต้องแยก โรคผมร่วงจากภาวะ Trichootillomania จากโรคผมร่วงหย่อม Aloprcia areata โดยดูจากการซักประวัติ และลักษณะผมที่แหว่งไป
โรคชอบดึงหรือถอนขนนี้ ถ้าหยุดดึงได้ เส้นผมก็จะกลับมาปกติได้เอง แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ถือว่าเป็นปัญหาทางจิต ถ้าต้องการให้หายขาด ต้องรักษาร่วมกับจิตแพทย์

Posted on

Hair Transplantation : การผ่าตัดปลูกย้ายรากผม สำหรับผมร่วงบางรุนแรง ยากินเอาไม่อยู่

การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation)

เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ง่ายเหมือนผมด้านหน้า
วิธีการปลูกผมแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ

1.การปลูกผมแบบตัดหนังศีรษะ (Follicular Unit Strip Surgery: FUSS) เป็นวิธีปลูกผมที่นำหนังศีรษะบริเวณที่มีผมขึ้นมาเย็บติดกับหนังศีรษะบริเวณที่ไม่มีผม โดยบริเวณท้ายทอยที่ได้ทำการผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมาจะถูกเย็บปิดแผลและกลายเป็นแผลเป็นต่อไป
2. การปลูกผมแบบไม่ผ่าตัด (Follicular Unit Extraction: FUE) เป็นวิธีการปลูกผมที่นำเอากอผมจากบริเวณหนังศีรษะของผู้เข้ารับการปลูกผม ฝังลงบนหนังศีรษะ โดยวิธีนี้จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทย่อย ๆ ได้แก่

  • การปลูกโดยใช้รากผมในปริมาณที่มาก (Slit Grafts) โดยจะใช้รากผม 4-10 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม
  • การปลูกโดยใช้ปริมาณผมน้อย (Micro-Grafts) ใช้รากผมเพียง 1-2 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม

ในปัจจุบัน การปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการปลูกผมแบบถาวร (FUE) เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลดี อีกทั้งยังไม่ทำให้มีแผลเป็นจากการปลูกผมอีกด้วย

ใครควรจะผ่าตัดปลูกผม

มักทำใน คนไข้ที่มีผมล้าน เกรด 4 ขึ้นไป หรือทำในคนอายุมากพอสมควรก่อน ( ส่วนใหญ่ก็อายุเกินสี่สิบไปแล้ว) จนอิทธิพลจาก ฮอร์โมนเพศชาย DHT (ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วง) น้อยลงแล้ว และแนวเส้นผมจะร่นล้านขึ้นไปคงที่แล้ว จึงพิจารณาทำการย้ายรากผม จำนวน การปลูกย้ายรากผม จะมีปริมาณมากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ข้อห้ามในการปลูกผม

แม้ว่าการปลูกผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป โดยการปลูกผมด้วยวิธีศัลยกรรมนั้นถือเป็นข้อห้ามของคนกลุ่มดังต่อไปนี้

  • ผู้หญิงมีลักษณะศีรษะล้านทั่วหนังศีรษะ
  • ผู้ที่มีปริมาณผมที่ใช้ในการปลูกไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่มีสาเหตุของโรคประจำตัว เช่น SLE, มะเร็ง หรือ ศีรษะล้านจากเคมีบำบัด
    การปลูกย้าย รากผม ปัจจุบัน มีเทคนิคหลายๆ อย่างที่แพทย์ผู้เชี่ยวขาญได้เลือกใช้ และมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผ่าตัดด้วยแพทย์​ จนถึงการผ่าตัดปลูกย้าย ด้วยหุ่นยนต์​
    ดังนั้นก่อนจะทำการผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ควรจะพิจารณาให้ดี ว่าควรทำแบบไหน เพราะแต่ละวิธี ผลการรักษาแตกต่างกันมาก และค่าใช้จ่ายในการทำการปลูกย้ายรากผม ก็แตกต่างกันแล้วแต่คลินิก หรือ รพ. รวมทั้งเทคนิคในการทำผ่าตัด นอกจากนี้ หลังทำการผ่าตัด ผมขึ้นดีแล้ว ยังควรแนะนำให้ทานยาป้องกันการร่วง เช่น Finasterdie ,Dutasteride ไว้ด้วย เพื่อมิให้ผมร่วงกลับมาร่วงได้อีก
Posted on

นวดหนังศีรษะอย่างไร ให้เกิดประโยชน์ และแปรงผมวิธีไหน ให้เส้นผมแข็งแรง

หนังศีรษะเป็นศูนย์กลางของปลายเส้นประสาท และเส้นเลือดมากมาย การนวดหนังศีรษะ จึงเป็นการผ่อนคลายและการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ลดอาการผมร่วงที่เกิดจากความเครียดได้ หลักการนวด แนะนำให้นวดด้วยปลายนิ้วและอุ้งมือ ไม่ควรใช้เล็บเกาหรือนวดแทนโดยเด็ดขาด

หลักการนวดหนังศีรษะด้วยตนเอง มีดังนี้

  1. เริ่มจากหน้าผาก – ด้วยการใช้มือซ้ายรองต้นคอไว้ ปล่อยศีรษะตามสบาย ใช้อุ้งมือขวาวางพาดไว้บนหน้าผาก กางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ แล้วกดไปบนบริเวณคิ้ว ค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปช้าๆ จนเลยแนวเส้นผมประมาณ 1 นิ้ว ทำเช่นนี้ประมาณ 5 ครั้ง
  2. นวดหนังศีรษะ– โดยการวางอุ้งมือทั้งสองข้างแนบข้างศีรษะตรงเหนือใบหู ใช้อุ้งมือยกหนังศีรษะขึ้นแล้ว เลื่อนมือในลักษณะวนเป็นวง มือหนึ่งเลื่อนไปทางด้านหน้า อีกมือหนึ่งไปที่กลางกระหม่อม แล้วจึงเลื่อนไปทางศรีษะด้านหลังที่บริเวณท้ายทอย นวดจนทั่วศีรษะ
  3. นวดด้วยปลายนิ้ว– เริ่มจากหนังศีรษะด้านข้างทั้งสองด้าน ค่อยๆไล่ขึ้นไปทางด้านหน้า ให้ทั่วหนังศีรษะ ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  4. นวดรอบไรผม– โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของแนวผมด้านหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงไปรอบๆ จนถึงแนวผมข้างขมับ ด้านข้างจนถึงด้านหลังท้ายทอย ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  5. นวดบริเวณกลางกระหม่อม– วางปลายนิ้วที่กลางกระหม่อมนวดวนเป็นวงจากกลางกระหม่อมมาที่ขมับ และจากข้างขมับสู่กลางกระหม่อม ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  6. นวดจากหลังใบหู– ก้มหน้าใช้อุ้งมือซ้ายรองรับหน้าผากไว้ ใช้ปลายนิ้วมือหรืออุ้งมือขวา เริ่มนวดในลักษณะวนเป็นวงจากหลังใบหูไปทางท้ายทอย จนจดหลังใบหูอีกด้านหนึ่ง ทำเช่นนี้ 2 ครั้ง
  7. นวดซิกแซ็ก– ใช้ปลายนิ้วนวดสลับจากกลางกระหม่อมสู่ท้ายทอย จากต้นคอด้านซ้ายไปด้านขวา
  8. ดึงเส้นผมเบาๆ– ด้วยการกอบเส้นผมด้วยนิ้วมือ ดึงช้าๆ นับ 1-3 แล้วปล่อย ทำเช่นนี้ ให้ทั่วศีรษะ

การแปรงผมให้ถูกวิธี หลักการก็เพื่อขจัดเส้นผมที่หลุดร่วงตามอายุ เซลล์หนังศีรษะเก่า ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกจากมลภาวะ และเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิต

  1. เลือกแปรงที่มีคุณภาพ ขนแปรงกลมไม่แหลมคม และโอนอ่อนตามแรงหวีได้ เช่น หวีที่ทำจากขนสัตว์ที่มีความยืดหยุ่น
  2. ความถี่ห่างของซี่แปรง นั้นเลือกให้เหมาะกับสภาพและขนาดของเส้นผม
  3. ก้มศีรษะขณะหวีผม จะช่วยกระตุ้นการทำงานของหนังศีรษะ แล้วเริ่มแปรงผมย้อนจากต้นคอไปทางหน้าผาก
  4. จากนั้นแปรงผมจากด้านข้างทั้งสองข้าง แล้วปิดท้ายด้วยการหวีจากด้านหน้าผากไปด้านหลัง
  5. ถ้าหากผมพันกันให้เริ่มแปรงผมจากปลายผมก่อน แล้วแปรงอย่างทะนุถนอมและเบามือที่สุด
  6. หลังแปรงผมทุกครั้ง ทำความสะอาดด้วยแชมพูอย่างอ่อน เพื่อให้คราบความสกปรกจากผลิตภัณฑ์แต่งทรงผม หรือน้ำมันได้หลุดลอกออกง่ายและหมดจด
Posted on

Food of Hair : สุขภาพผมที่ดี มีลักษณะอย่างไร อาหารแบบไหน ทำให้เส้นผมแข็งแรง

สุขภาพเส้นผมดี อยู่อย่างไร

สุขภาพของเส้นผมที่ดี ควรมีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการดังนี้

  1. ความพรุน (Porosity) เส้นผมที่ดีและแข็งแรง จะต้องมีลักษณะเกร็ดผม (cuticle) ที่ราบเรียบปิดสนิท ทำให้น้ำและสารอื่นๆ ซึ่งเข้าสู่แกนผม(hait shaft)ได้ยาก
  2. ความยืดหยุ่นและแข็งแรง (Elasticity and Strengh) โดยสุขภาพผมที่ดี ควรจะสามารถยืดได้ประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวปกติ และหดกลับได้ตามปกติ และสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 100 กรัมโดยไม่ขาด โดยต้องมีแกนใน(cortex) ที่แข็งแรง ซึ่งปกป้องด้วยเกร็ดผม(cutilce) อีกทีหนึ่ง
  3. เนื้อสัมผัส (Texture) ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นผม และความหยาบหรือความอ่อนนุ่ม โดยผมที่มีขนาดใหญ่และอ่อนนุ่ม จะเป็นผมที่มีสุขภาพที่ดี

ส่วนประกอบทางเคมีวิทยาและโครงสร้างของเส้นผม

  1. โปรตีน: พบได้ร้อยละ 65-95 ของน้ำหนักผม ในรูปของเคอราติน
  2. ไขมัน: พบได้น้อยกว่า ร้อยละ 5 ส่วนใหญ่ไขมันบนเส้นผม จะเป็นลักษณะไขมันเหลว(sebum) ที่ประกอบด้วย free fatty acid,neutral fat ester,glyceryl,wax และ saturated hydrocarbon ( ขออภัยไม่มีคำแปลเป็นไทยที่เหมาะสมนะครับ)
  3. น้ำ: มักมีปริมาณในเส้นผมไม่แน่นอน โดยผมแห้งจะดูดซึมน้ำได้ดีกว่าผมมัน
  4. แร่ธาตุ หรือสารเคมีต่างๆ (Trace elements): ซึ่งบางส่วนอาจจะมาจากภายในเส้นผม หรือร่างกายเอง และบางส่วนมาจากภายนอก เช่น จากผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม เช่น แชมพู ครีมนวดผม ยาย้อมสีผม โลชั่นบำรุงเส้นผม หรือจากมลภาวะ ที่พบบ่อยๆได้แก่กลุ่ม carbon 45.2%,hydrogen 6.6%,oxygen 27.9%,nitrogen 45.2%,sulfur 5.2%

อาหารที่ดีต่อเส้นผม

กลุ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อเส้นผม ได้แก่

  1. สังกะสี: ได้แก่ อาหารกลุ่ม สัตว์ปีก ถั่วทุกชนิด น้ำมันพืชจากธรรมชาติ น้ำมันงา จมูกข้าวสาลี
  2. วิตามินบี: ได้แก่ ผักใบเขียว ตับ ธัญพืชต่างๆ ปลา และไข่
  3. วิตามินเอ: ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท ผักโขม ตับ บรอกโคลี่ มันฝรั่งชนิดหวาน หัวไขเท้า มะละกอ แคนตาลูป
  4. วิตามินซี: ได้แก่ กลุ่มผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม องุ่น แตงโม สตรอเบอรี่ ผักสีเขียว
  5. ทองแดง: ได้แก่ ตับ ถั่วเมล็ดแห้ง หอยนางรม อาหารทะเล ลูกพรุน ธัญพืช
  6. ธาตุเหล็ก: ได้แก่ ตับ ไข่แดง ข้าวโอ๊ต ผลไม้แห้ง เช่นลูกพีช ลูกเกด เนื้อแดง
  7. ธาตุไอโอดีน: ได้แก่ สาหร่าย อาหารทะเล หอมหัวใหญ่
  8. ธาตุซัลเฟอร์: ได้แก่ หัวหอม กระเทียม หัวผักกาด และหน่อไม้ฝรั่ง
    ควรที่ได้รับประทานอาหารให้สมดุล ในจำนวนที่เหมาะสม โดยเน้นการรับประทานอาหารมื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญ เพราะร่างกายจะได้ใช้ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือว่าเป็นการรับประทานที่ถูกสุขลักษณะ โดยมื้อเย็นให้รับประทานแต่น้อยๆ เพราะร่างกายกำลังจะพักผ่อน ไม่ต้องการพลังงานมากนัก และที่สำคัญควรรับประทานให้ครบหมู่ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สังกะสี และวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  1. อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด ไขมันสัตว์ นมสด เพราะจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระจากปฏิกริยาออกซิเดชั่น ทำให้เกิดการอักเสบต่อผิวพรรณ เส้นผมได้
  2. อาหารที่มีคารโบไฮเดรตสูง เช่น แป้งและน้ำตาล
  3. งดคาเฟอีน ในบุหรี่ กาแฟ
  4. งดดื่มอัลกอฮอล์ทุกชนิด
  5. หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทุกกรณี
Posted on

ผมหงอกก่อนวัย (Premature grey hair ) สัญญาณเตือนว่าเริ่มแก่ หรือแค่มีปัญหาโรคภัย

ผมหงอกก่อนวัย คืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง

หมายถึง ภาวะที่มีผมหงอก ก่อนอายุที่ควรจะเป็น ส่วนที่จะอยู่ที่อายุเท่าใดนั้น เป็นตัวเลขโดยประมาณ โดยในฝรั่งผิวขาวถือว่า หากมีผมหงอกก่อนอายุ 20 ปี ถือว่าหงอกก่อนวัย แต่ในแถบเอเซียถือว่า ถ้าหงอกก่อนอายุ 30 ปี จึงจะเรียกว่ามีภาวะผมหงอกก่อนวัย
ผมหงอกก่อนวัย เกิดจากอะไร
1. ความเสื่อมของเซลล์เส้นผมปกติ: ปกติแล้วคนเราจะเริ่มมีผมหงอกตอนอายุ 30 ปลาย ๆ เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีเสื่อมสภาพ ทำให้สร้างเม็ดสีได้น้อยลงหรือหยุดการสร้างเม็ดสีเลย เส้นผมที่งอกขึ้นใหม่จึงเป็นเส้นผมที่มีสีเทาหรือสีขาว
2. กรรมพันธุ์: พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะพบว่าอาจจะมีผมหงอกก่อนวัยได้มากกว่าคนทั่วไป
3. โรคเรื้อรัง หรือความผิดปกติในร่างกาย:   โรคโลหิตจาง ภาวะทัยรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน อารมณ์เครียดมาก หรือ หวาดกลัวเฉียบพลัน ฯลฯ
4. การขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น การขาดแร่ธาตุทองแดง วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) แร่มังกานีส
5. ยาบางตัว ที่มีผลต่อการสร้างเม็ดสีผม เช่น ยารักษามาลาเรีย Chloroquine

ป้องกันและรักษาอย่างไร

การป้องกันภาวะผมหงอกก่อนวัย
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเลือกที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
4. พยายามหาทางลดความเครียด เช่น กำจัดหรือเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เครียด ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการ ดูหนัง ฟังเพลง พบป่ะเพื่อนฝูง
5. ตรวจสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ
5. ลดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การรักษาผมหงกก่อนวัย เมื่อเกิดผมหงอกก่อนวัย ไม่มีทางป้องกันให้อัตราการเกิดผมหงอกลดลง และไม่มีทางรักษาให้หายได้
แนวทางแก้ไข 
– มีอยู่ทางเดียวก็คือ การเปลี่ยนสีผม หรือการย้อมผม แต่ในบางคน การมีผมสีขาวทั้งศีรษะ ก็ถือเป็นความเก๋ อีกแบบ
การย้อมผมบ่อยๆ มีผลเสียได้มั้ย
– การย้อมผมเพื่อปิดผมขาวบ่อย ๆ อาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพผม ทำให้ผมแห้งกร้าน อ่อนแอ เป็นสาเหตุของเส้นผมขาดหลุดร่วงง่าย ดังนั้นอาจต้องลองพิจารณาข้อดี-ข้อเสียในการย้อมผมปิดผมขาวดี ๆ หรือเลือกใช้ที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น กลุ่ม Henna extracts

Posted on

รังแค (Dandruff) เกิดจากอะไร ทำไมไม่หายซะที ขาดความมั่นใจ แก้ไขอย่างไรให้หาย

รังแค (Dandruff) คืออะไร

รังแค ( Pityriasis capitis) คือ ภาวะที่หนังศีรษะมีขุยเล็กๆ ออกมา มีลักษณะแห้ง หรือมีไขมัน เคลือบอยู่ก็ได้ โดยไม่พบความผิดปกติอื่นร่วมด้วย พบได้บ่อยในวัยรุ่นทั้งเพศชายและหญิง โดยพบอายุประมาณ 15-25 ปี
อาการของรังแค
1. มีสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง ลักษณะเป็นแผ่นแบนและบางมันวาว มักพบบริเวณหนังศีรษะ เส้นผม หรือไหล่
2. มีอาการคันศีรษะ หนังศีรษะมัน แดงหรือเป็นสะเก็ด
3. มักจะพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาวและอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน
4. ถ้าเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อร่วมด้วย อาจมีกลิ่น และ หนังศีรษะบวมแดง
สาเหตุของรังแค
เกิดจากปัญหาฮอร์โมนแอนโดรเจนมีปริมาณสูง ทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันมากขึ้น แล้วเกิดการหลุดลอกในชั้นหนังกำพร้า( ขี้ไคล) ออกมาตลอดเวลา บางคนคิดว่าเกิดจาก จุลินทรีย์ที่พบในหนังศีรษะ ประเภท Pityrosporon ovale หรือ P.orbiculate

รังแคแห้งแตกต่างจากรังแคเปียกอย่างไร
รังแคเปียก คือ แผ่นความมัน ที่เกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันในปริมาณที่มากเกินไป แล้วเกิดการสะสมบนหนังศีรษะ มีความเหนียว มันจะเริ่มดึงดูดและเกาะติดกับสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
-รังแคแห้ง จะเป็นสะเก็ดสีขาวขนาดเล็กที่หลุดออกจากหนังศีรษะของคุณได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ในทางตรงกันข้ามรังแคเปียกจะปรากฏเป็นสะเก็ดรังแคขนาดใหญ่สีเหลืองและเหนียวที่เกาะติดกันกับเส้นผมของคุณ พวกมันไม่หลุดง่าย
แนวทางการรักษา ต้องทำความเข้าใจว่า เป็นภาวะธรรมชาติอย่างหนึ่งในวัยรุ่น ดังนั้นจุดมุ่งหมายในการรักษา คือการควบคุมมิให้รังแคเป็นมาก ดังนั้นแชมพูสระผม ควรมีคุณสมบัติในการชะล้างไขมันได้ดี และลอกขุยได้ เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของ Cold tar หรือ ทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของ 2% Salicylic acid แล้วทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง แล้วสระออก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole เช่น Nizoral shampoo ก็สามารถรักษารังแคได้ดี เพราะเชื่อว่าทำให้เชื้อ Pityrosporon ovale หรือ P.orbiculate ลดลง
ที่สำคัญ จะต้องแยกให้ได้ว่า ไม่ใช่เกิดจากสาเหตุของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น เซ็บเดิร์ม เชื่อราที่หนังศีรษะ เรื้อนกวาง หรือผิวหนังอักเสบจากการแพ้สารเคมี ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจ แนะนำให้พบแพทย์

Posted on

Alopecia areata : โรคผมร่วงเป็นหย่อม เป็นวงๆ ผมแหว่งเป็นกระจุก ทุกข์ใจ แก้ไขได้

Alopecia Areata (โรคผมร่วงหย่อม)

คือ โรคผมร่วงที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง และมักพบในช่วงอายุ 20-50 ปี พบในชายและหญิงได้เท่าๆ กัน แม้จะไม่กระทบต่อสุขภาพกายทั่วไปของผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหย่อม แต่กระทบกระเทือนต่อภาวะจิตใจพอสมควร
-ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคนี้ แต่ปัจจัยที่มีผลได้แก่ กรรมพันธุ์ (ซึ่งพบได้ประมาณ 10-20%) ภาวะภูมิต้านทาน ความเครียด โรคภูมิแพ้หนังศีรษะ ลักษณะอาการที่พบได้คือ ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกตัว เนื่องจากจะมีผมร่วงเกิดขึ้นทันทีทันใด และไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นที่สังเกตได้เห็นชัด เว้นแต่ช่างตัดผม เป็นคนสังเกตเห็นและบอกแก่ผู้ป่วย โดยจะพบรอยแหว่ง ขอบเขตชัดดังรูป ขนาด 2-5 ซม. อาจพบเพียงหย่อมเดียวหรือหลายๆหย่อม คล้ายหนูแทะ ในคนที่มีอาการรุนแรง อาจศีรษะล้านทั้งหัว และอาจไม่มีขนตามรักแร้ หัวหน่าว ร่วมด้วย

แนวทางการรักษา

1. ครีมทา: ที่มีส่วนผสมของ Steroids ทาบริเวณที่ร่วง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3-4 เดือน
2. โลชั่นปลูกผม ที่มีส่วนผสมของ Minoxidil ทาบริเวณที่ร่วง วันละครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่อง 3-4 เดือน
3. การรับประทานยา แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป หรือใช้ในรายที่เป็นรุนแรง
4. ฉีดยา Steroids เข้าที่บริเวณรอยโรค ถ้าทายาแล้วผมไม่ขึ้น แต่ไม่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากอาจเกิดรอยบุ๋มได้ และเกิดภาวะดื้อยาภายหลังได้
5. Mesohair โดยการฉีดตัวยาที่มีส่วนทำให้เส้นผมงอก เช่น ไมนอกซิดิล ไบโอติตน เสตียรอยด์เจือจาง ฯลฯ เข้าไปที่บริเวณผมร่วงเป็นหย่อมๆโดยตรง ในปริมาณน้อยๆ ทุก 1 ตร.ซม ซึ่งจะช่วยป้องกันผลข้างเคียงการเกิดรอยบุ๋มจากการรักษาแบบเดิมๆ ในข้อ 4 ได้
6. การทำภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการให้สารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ผิวหนังลงบนบริเวณที่ผมร่วง เพื่อทำให้เกิดการอักเสบที่จะนำไปสู่การกระตุ้นให้ผมกลับมางอกขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่วิธีการนี้มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังชนิดอื่นตามมาได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคผมร่วงเป็นหย่อม

โรค Alopecia Areata อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนี้

  • อาการทางร่างกาย ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ โรคด่างขาว หรือโรคโลหิตจาง เป็นต้น
  • อาการทางจิตใจ ผู้ป่วยอาจเกิดความเครียด รู้สึกแปลกแยก หรืออาจเป็นโรคซึมเศร้าได้

การป้องกันโรคผมร่วงเป็นหย่อม

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดป้องกันโรค Alopecia Areata ได้ แต่สามารถรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นและทำให้ผมงอกกลับมาใหม่ให้เร็วที่สุด โดยผู้ป่วยควรดูแลตนเองและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นตามมา รวมทั้งคนทั่วไปก็อาจหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคนี้ เช่น

  • ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงเส้นผม เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และธาตุสังกะสี เป็นต้น
  • ใส่วิก สวมหมวก หรือทาครีมกันแดดบริเวณหนังศีรษะที่เกิดอาการ เพื่อป้องกันแสงแดดทำอันตรายต่อหนังศีรษะ
  • สวมแว่นกันแดดในกรณีที่โรคนี้ส่งผลให้ขนตาร่วง เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตาได้เนื่องจากไม่มีขนตาคอยป้องกัน
Posted on

” โกนหนวด” แล้วสิวขึ้น ต้องทำอย่างไร อยากหน้าดูเกลี้ยงเกลา โกนยังไงไม่ให้เป็นสิว!

ทำไมโกนหนวดแล้วสิวขึ้น

เกิดจากการที่ผิวส่วนนั้นระคายเคืองจากใบมีดโกนที่เก่าและสกปรก ไม่คม การโกนหนวด มักจะโกนย้อนแนวเส้นขน ซึ่งคิดว่าจะโกนได้เกลี้ยงเกลากว่า การโกนตามแนวขน เลบทำให้เกิดการระคายเคืองกับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอักเสบ ท่อไขมันอุดตัน และประกอบกับล้างหน้าไม่สะอาด จึงทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียสิว (P.acne) เลยเกิดการสิวอักเสบขึ้นมา
หนวดคนเราปกติต้องโกนบ่อยแค่ไหน
หนวดเครากับผู้ชาย เป็นของคู่กันและเป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง การดูแลหนวดเคราให้เรียบร้อย จึงเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายทุกคน ควรจะเอาใจใส่อย่างยิ่ง จึงจะนำเสนอเกร็ดความรู้เรื่อง การโกนหนวดเครา มาให้รับทราบกันซักนิดนะครับ
หนวดเคราโดยปกติ จะงอกเฉลี่ยวันละ 0.2-0.5 มม. และมีอายุประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ ระยะเวลาและความถี่ในการโกนหนวดเคราแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน บางคนอาจจะต้องโกนทุกวัน แต่ในบางคนอาจจะโกนเพียงอาทิตย์ละ 1-3 ครั้ง

ขั้นตอนการโกนหนวดเคราที่ควรปฏิบัติ 

  1. ล้างหน้า-ล้างมือให้สะอาด โดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิว เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกบริเวณใบหน้าและมือ เพราะมีบ่อยๆ ที่บางคนโกนหนวดเคราโดยยังไม่ทำความสะอาดผิวหน้าก่อน เช่น โกนด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า( ง่ายและไวดี ) ทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียแทรกซึมเข้าไปตามรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบหลังโกนหนวดเคราได้ภายหลัง
  2. ใช้โฟมโกนหนวด ทาให้บริเวณที่ต้องการจะโกนให้ทั่ว ที่แนะนำให้ใช้โฟมโกนหนวด เนื่องจากว่า โฟมจะช่วยให้หนวดเคราอ่อนตัว ลื่นไหลได้มากขึ้น ทำให้การโกนหนวดไม่ทำลายเซลล์ผิวหน้า ไม่แนะนำให้โกนด้วย มีดโกนทันที หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างอื่น เช่น สบู่ ทาแทนโฟมโกนหนวด
  3. ใช้ผ้าร้อนประคบให้หนวดเคราอ่อนตัว โดยนำผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน หรือนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-60 วินาที แล้วนำมาเช็ดและซับโฟมบนใบหน้าที่ติดอยู่ออกให้หมดจด
  4. ใช้โฟมโกนหนวดทาอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและคม เริ่มโกนเคราและหนวดโดยโกนไปตามแนวเส้นขน ไม่โกนย้อนแนวเส้นขน เพื่อรบกวนต่อต่อมไขมันและรูขุมขนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรโกนซ้ำที่เดียวหลายๆ ครั้ง เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว เกิดการแพ้ อักเสบ และสิวได้
  5. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาอาฟเตอร์เชพโลชั่นเพราะโลชั่นจะช่วยสมานผิวกรณีที่เกิดบาดแผล ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และควรจะทาออย์บำรุงผิว เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวบริเวณที่โกนหนวดเครา
  6. ควรเปลี่ยนใบมีดโกนทุกอาทิตย์ เพราะถ้าใบมีดด้านจะทำให้โกนได้ไม่เกลี้ยงเกลาและระคายเคืองผิว จนอาจจะทำให้เกิดบาดแผลได้

การโกนหนวดเคราที่ถูกวิธี และใส่ใจดูแลรักษา จะช่วยเสริมบุคคลิกภาพของท่านชายให้ดูน่ามอง สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะหนุ่มออฟฟิศทั้งหลาย คงไม่ต้องบอกนะครับว่า ผลประโยชน์หลายด้านอาจจะตามมาโดยที่คุณคาดไม่ถึง !

Posted on

Hair Sunscreen: เส้นผมถูกแสงแดดทำร้ายได้ ป้องกันก่อนสาย ด้วยครีมกันแดดสำหรับเส้นผม

แสงแดด ทำร้ายเส้นผมได้อย่างไร

แสงแดดทำลายเส้นผมแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยรังสีอุตราไวโอเลตจะทำปฏิกริยากับกรดอะมิโนแอซิคชนิดต่างๆ ในเส้นผม โดยมีน้ำร่วมด้วยในปฏิกริยา จะได้อนุมูลไฮดรอกซิล ซึ่งจะทำลายโครงสร้างโปรตีน keratin ในเส้นผม แต่โดยธรรมชาติ เม็ดสีเมลานินในเส้นผม จะช่วยปกป้องแสงแดดได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้านานไป ก็อาจทำลายเม็ดสีเมลานินได้ จึงจะเห็นว่าในกรณีที่ตากแดดนานๆ ผมสีดำ จะค่อยๆจาง หรือกลายเป็นสีน้ำตาลได้

ผลของการตากแดดบ่อยๆ และนานๆ จะมีผลต่อเส้นผมดังนี้ 

1. เส้นผมหยาบกร้าน ไม่นุ่มสลวย
2. เส้นผมจะเปราะและหักง่าย
3. ขาดความมันวาว
4. สีของเส้นผมจางลง
5. คุณสมบัติในการทนต่อแรงดึงลดลง

ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมแตกต่างจากครีมกันแดดทั่วไปอย่างไร

สารกันแดดที่ใช้ได้ดีในครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าและผิวกายหลายๆ ตัว ไม่จำเป็นว่าจะได้ผลดีต่อผลิตภัณฑ์ของเส้นผมเสมอไป เพราะเป้าหมายในการใช้แตกต่างกัน เพราะสารกันแดดที่ทาบนผิวหนัง จะมีคุณสมบัติเป็นครีม ที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้ดี แต่ถ้าเอาสารประเภทนี้ไปผสมในแชมพู หรือครีมนวดผมเพื่อใชักันแดด อาจจะถูกชะล้างด้วยน้ำออกหมดได้
สารกันแดดชนิดใดเหมาะกันเส้นผม
สาร Octyl-dimethyl PABA, Octhyl methoxy-cinnamate และ Benzoquinone ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม เพราะเกาะติดแน่นกับเส้นผม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งสามารถดูดซึมรังสี UVA,UVB ได้ดี
เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพในการกันแดด
จะใช้ค่า HPF ( hair protection factor) ขณะที่ครีมกันแดดสำหรับผิวพรรณ จะใช้คำว่า SPF ( sun protection factor) HPF จะตรวจจากการความแข็งแรงในการดึงเส้นผมให้ขาดโดยมีค่า HPF เป็น 2-15
ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมใช้ตอนไหน
ควรใส่หลัง เจลแต่งผม มูสใส่ผม หรือ hair spray หรือเป็นส่วนประกอบในเจล หรือมูลแต่งผมเลย ไม่ควรทาแล้วล้างออก ดังนั้น การเลือก hair care products สำหรับเส้นผม ควรพิจารณาตั้งแต่ สารกันแดดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ รูปแบบของสินค้าที่ใช้ และค่า HPF ที่แสดงข้างขวด

Posted on

Hair Cycle : โกนผม ผมดกขึ้นกว่าเดิม ? ผมร่วง เมื่อไหร่ เส้นผมใหม่ ถึงจะงอก และยาวเหมือนเดิม

โกนผมแล้วผมจะดกขึ้นมั้ย

– การโกนผมแล้วเส้นผมจะขึ้นไว จะได้ผลแค่ช่วงเด็กเท่านั้น  เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเสริมสร้างร่างกาย เมื่อเราโกนผมเซลล์รากผมถูกกระทบกระเทือน ร่างกายจะต้องเร่งซ่อมแซมในส่วนนั้น
– แต่ถ้าเมื่ออายุมากขึ้นในช่วงประมาณ 20 ปีเป็นต้นไป หากมีเหตุการณ์อะไร ที่ต้องทำให้โกนผมเส้นผม เช่นจากอุบัติเหตุ หรือ กรณีที่ต้องบวชพระ บวชเณร บวชชี เส้นผมอาจจะไม่ได้ขึ้นมารวดเร็วหรือไม่แข็งแรงเท่าตอนเด็ก ยิ่งในบางคนที่มีประวัติผมร่วงผมบาง จากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมน DHT สูง อาจจะยิ่งทำให้เส้นผมขึ้นมาช้ากว่าปกติได้อีก
วิวัฒนาการการเติบโตของเส้นผม
-ต่อมขน(Hair Follicle) เริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนที่ 2 และต้นเดือนที่ 3 ขอวการตั้งครรภ์ ผมชุดแรกที่เกิดในครรภ์เรียกว่า Lanugo Hair ปกติจะหลุดร่วงไป 3-4 อาทิตย์ก่อนคลอด
เส้นผมที่เกิดขึ้นมาใหม่จะแบ่งเป็น
1. ขนเส้นอ่อน (Vellus hair) ซึ่งได้แก่ เส้นผมที่ขึ้นใหม่ ช่วง 2-3 อาทิตย์แรก จะเส้นอ่อน มีความยาวไม่เกิน 2 เซ็นติเมตร, มักจะไม่มีสี และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 30 ไมครอน ไม่มีสี
2. Terminal Hair คือ ขนที่มีลักษณะเป็นเส้นใหญ่ มีความหยาบและยาวกว่า เวลลัส (Vellus hair), มีแกนผม(Medulla), มีสี, และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 ไมครอน ซึ่งกว้างที่สุดเมื่อเทียบกับผมทั้ง 3 ประเภท เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เทอร์มินัล (Terminal hair) จะแยกเป็นอีก 2 ประเภท คือ Asexual hair และ Sexual hair
2.1 Asexual Hair. ได้แก่ ผมที่ศรีษะ คิ้ว ขนตา แขน ขา ในบางคน
2.2 Sexual Hair. ได้แก่ ขนในวัยหนุ่มสาว บริเวณหัวหน่าว รักแร้ หนวด เครา และหน้าอก

วงจรการเจริญเติบโตและการงอกของเส้นผม

วงจรในการเจริญเติบโต มีดังนี้
ระยะที่ 1. Anagen เส้นผมจะมีสีเข้ม และหนาที่สุด เส้นผมบริเวณหนังศรีษะ ร้อยละ 85-90 จะอยู่ในระยะนี้ และกินเวลาประมาณ 2-6 ปี ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 2
ระยะที่ 2 Catagen เส้นผมจะเริ่มเลื่อนชั้นขึ้นมา สีผมเริ่มจางลง พบได้ร้อยละ 1 กินเวลา ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 Telogen เส้นผมจะหยุดการเจริญเติบโตและเลื่อนตัวขึ้นไป จนเลยช่องเปิดของต่อมไขมันพบได้ประมาณ ร้อยละ 10-15 ฃม. ระยะนี้กินเวลาประมาณ 3 เดือน ก็จะหลุดไป
อัตราการงอกของเส้นผม
ด้มีคำถามกันบ่อยๆ ว่า “ผมร่วง เมื่อไหร่ เส้นผมใหม่ ถึงจะงอก และยาวเหมือนเดิม” สรุปดังนี้ พบว่าอัตราการงอกของเส้นผมแตกต่างกันดังนี้
– บริเวณกลางกระหม่อม ประมาณ 0.44 มม.ต่อวัน
– บริเวณขมับประมาณ 0.39 มมต่อวัน
สรุป กรณีโกนผม ผมใหม่จะงอกขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 0.8-1.0 ซม.ต่อเดือน ส่วนกรณีปลูกผม ผมจะขึ้นใหม่ และโตเต็มที่ ใช้เวลา 2 ปี และพบว่าผมบนหนังศีรษะคนปกติมีประมาณ 100,000 เส้น และ ถ้าร่วงไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ดังนั้นการที่มีบางคนแอบอ้างถึงการใช้โลชั่น หรือยาเร่งให้ผมและขนยาวเร็วกว่านี้ จึงไม่สามารถทำได้ แม้แต่การสระผมบ่อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้ผมยาวขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นอย่าได้หลงเชื่อคำโฆษณาใดๆ เกี่ยวกับการทำให้ผมยาวเร็วกว่า อัตราที่กำหนดข้างบน

Posted on

คลอรีน ศัตรูตัวร้าย ทำลายเส้นผม ว่ายน้ำไม่ป้องกัน ระวังผมจะแห้ง เปราะ หักง่าย

คลอรีนทำลายเส้นผมได้อย่างไร

คลอรีน เป็นสารที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคที่มักจะผสมในสระว่ายน้ำ เนื่องจากสระว่ายน้ำเป็นสถานที่ที่หลายๆ คนได้ใช้บริการ ทำให้การควบคุมความสะอาดทำได้ยาก จึงต้องมีการผสมคลอรีนเพื่อทำฆ่าเชื้อโรค
ผลของคลอรีนต่อเส้นผม
1. คลอรีนจะไปทำลายโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเส้นผม ทำให้ผมขาดความชุ่มชื้น แห้ง ไร้น้ำหนัก
2. หากว่ายน้ำบ่อยๆ รังสียูวีจากแสงแดดจะไปเปิดเกล็ดผม ทำให้คลอรีนซึมเข้าสู่แกนผมได้อย่างรวดเร็ว แล้วไปฟอกเม็ดสีเมลานินในเส้นผม ทำให้สีผมซีดลงได้
3. ค่าความกรดด่างของน้ำในสระว่ายน้ำ และความร้อน ก็จะทำปฏิกริยากับคลอรีน เสริมการทำลายเส้นผมมากขึ้นไปอีก

การป้องกันแก้ไข สุขภาพเส้นผมจากคลอรีนในสระว่ายน้ำ

1. สวมหมวกยางว่ายน้ำที่แน่นกระชับทุกครั้งที่ว่ายน้ำ
2. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำกลางแดดเปรี้ยงๆ
3. ก่อนลงสระว่ายน้ำควรชโลมผลิตภัณฑ์เคลือบเส้นผมป้องกันคลอรีน หรือครีมปรับสภาพเส้นผม หรือน้ำมันมะกอก น้ำมันโฮโฮบา ลูบไล้ให้ทั่วเส้นผม ผมจะนุ่มลื่น และป้องกันการสูญเสียน้ำจากเส้นผมอีกวิธีหนึ่ง
4. เลือกแชมพูสระผมที่ผสมสารป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งจากการทดสอบมากมาย ได้มีการค้นพบว่าสาร Octyl-dimethyl PABA ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม เพราะเกาะติดแน่นกับเส้นผม ไม่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ยังมีสารที่กันแดดที่คิดค้นเพิ่มเติม ได้แก่ Octhyl methoxy-cinnamate และ Benzoquinone ซึ่งสามารถดูดซึมรังสี UVA,UVB ได้ดี
5. เมื่อขึ้นจากสระว่ายน้ำ ควรรีบล้างตัวและสระผมเพื่อล้างคลอรีนออกทันที ด้วยแชมพูสำหรับล้างคลอรีนโดยเฉพาะเพื่อทำความสะอาดได้หมดจด แล้วชโลมด้วยครีมปรับสภาพผมแบบเข้มข้นที่ไม่ต้องล้างออกให้ทั่ว เพื่อคืนความชุ่มชื่นแก่เส้นผมทุกครั้งหลังสระผม
6. การหมักผมหรือทำทรีทเม้นต์เส้นผม อาทิตย์ละครั้งถือว่าจำเป็นสำหรับคนที่ว่ายน้ำเป็นประจำ
7. เลือกรับประทาน กลุ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อเส้นผม อาทิ วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, ธาตุเหล็ก และ ไอโอดีน เป็นต้น

Posted on

เปลี่ยนสีผม (Hair dye) หรือ อยากย้อมผม เลือกอย่างไร ให้ถูกใจ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

ชนิดของยาเปลี่ยนสีผม

1. ครีมหรือโลชั่นทำให้ผมดำ มักมีส่วนผสมของโลหะ เช่น สารประกอบตะกั่ว เงิน มันใส่กันในน้ำยาใส่ผม ผมจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากขาวเป็นเทา และจะดำภายใน 2-3 สัปดาห์ มักมีข้อเสีย คือผมจะดูด้าน ไม่เงางาม และทำให้ผมแตกหักง่าย ถ้าดัดผมด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
2. ยาเปลี่ยนสีผมชั่วคราว มักเป็นพวกสีแฟชั่น สีที่ใช้เป็นพวก Acid dye เหมือนสีย้อมผ้า สีจะหายไป เมื่อสระผม 1-2 ครั้ง มีโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถซึมเข้าไปในแกนผมได้ จึงไม่ค่อยแพ้ หรือ ทำลายผมได้ ยกเว้นจะทำการดัดผมร่วมด้วย
3. ยาเปลี่ยนสีผมกึ่งถาวร มักไม่ติดทน สระผม 5-8 ครั้ง สีก็จะหมดไป แต่ก็สามารถทำลายเส้นผมได้
4. ยาเปลี่ยนสีผมแบบถาวร มักจะมีส่วนประกอบของ Paraphenylenediamine โดยมีน้ำยาไฮโดรเจนผสมก่อนใช้ ยาเปลี่ยนสีผมชนิดนี้ ทำลายเส้นผมมากที่สุด เปราะหักง่าย เพราะจะทำให้เส้นผมเป็นรู ไม่ควรย้อมด้วยยาเปลี่ยนสีผมประเภทนี้บ่อยกว่า 4 สัปดาห์ต่อครั้ง
5. ยาเปลี่ยนสีผมจากสมุนไพร มีส่วนประกอบของ Henna Extract มักมีความปลอดภัยสูง จะทำให้สีผมออกมาเป็นสีน้ำตาลออกแดง ถ้าย้อมบ่อยๆ ก็ทำให้ผมเปราะหักง่ายเช่นกัน

ข้อแนะนำในการเปลี่ยนสีผม

1. ดูฉลากแนะนำ และส่วนประกอบของยาก่อนใช้ และลองทดสอบ ทาลงบนท้องแขน ทิ้งไว้ 24 ชม. ถ้าไม่มีอาการบวม แดง คันยุบยิบ จึงใช้ย้อมได้
2. ไม่ควรใช้ยาเปลี่ยนสีผม กับบริเวณ ขนตา ขนคิ้ว เพราะจะระคายเคืองตาได้ และไม่ควรให้เข้าตา
3. เมื่อย้อมผม ไม่เกาหนังศีรษะ
4. ยาเปลี่ยนสีผม ประเภทครีมหรือโลชั่น ไม่ควรนวด หรือ เกาหนังศีรษะ เพราะจะทำให้มีการดูดซึม ของตะกั่วเข้าร่างกายได้
5. ไม่ควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาเปลี่ยนสีผม เพราะสารในสบู่จะช่วยให้สารดูดซึมได้มากขึ้น กระตุ้นการแพ้ได้
6. หยุดใช้ทันที และล้างออก ถ้ามีการระคายเคือง หรือมีการอักเสบหนังศีรษะ และควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรง

อาการแพ้ยาเปลี่ยนสีผม พบได้ ประมาณ 1:5000 โดยมีอาการดังนี้

1. อาการคันบริเวณ หนังตา ใบหน้า ไรผม ท้ายทอย ใบหู
2. อาจพบตุ่มน้ำ คัน แฉะ
3. ถ้ารุนแรง อาจมีหน้าบวม ลืมตาไม่ขึ้น
4. ทำให้ผมร่วงได้

Posted on

Minoxidil Lotion (ไมนอกซิดิล) : ส่วนประกอบสำคัญ ในเซรั่มหรือโลชั่นปลูกผม ปลูกคิ้ว หนวด เครา ให้ดกดำ

Minoxidil (ไมนอกซิดิล) คืออะไร

ไมนอกซิดิล เดิมคือ ยาลดความดันโลหิต นำมารักษาคนไข้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง แต่พบว่ามีผลทำให้เส้นผมดกดำขึ้นได้ จึงเกิดการพัฒนาเป็นสารที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม เป็นเซรั่มหรือโลชั่นปลูกผม ในปัจจุบัน
กลไกการออกฤทธิ์ : ยังไม่ทราบแน่ชัด ตามสมมุติฐานเชื่อว่า Minoxidil มีฤทธิ์ในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตตรงกระเปาะผม จึงเพิ่มสารอาหารแก่เซลล์ผม ทำให้เซลล์ผมเกิดการแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้น ผมจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากผมหรือขนเล็กๆ( vellus hair ) เป็นเส้นผม-ขนที่โตขึ้น ที่เรียกว่า terminal hair นอกจากนี้ยังเชื่อว่ายังออกฤทธิ์ในการยับยั้งอิทธิพลของฮอร์โมน Prostaglandin ที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของเส้นผม
เห็นผลเมื่อไหร่ การได้ผลหลังจากทายาที่ผสม minoxidil ในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ปกติจะประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร minoxidil ตัวทำละลาย และส่วนผสมอื่นๆ เช่น วิตามินเอสำหรับเส้นผม ( เพื่อช่วยให้การดูดซึมของยาminoxidil ดีขึ้น ) นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่่นด้วยเช่น เป็นมานานแค่ไหน ความรุนแรงของอาการผมร่วงในแต่ละบุคคลด้วย

ประโยชน์ของยาทาไมนอกซิดิล

1. ยาทาภายนอก minoxidil สามารถใช้ทาให้เส้นผมดำดกดำขึ้นได้ โดยสามารถรักษาเปัญหาผมร่วงได้ทุกสาเหตุ ไม่ว่าจะจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน DHT หรือปัญหาผมร่วงหย่อม( Alopecia areata) นอกจากนี้ยังใช้ป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมในคนที่กำลังจะศีรษะล้านได้ด้วย
2. นำมาพัฒนาเป็นโลชั่น หรือเซรั่ม สำหรับปลูกขนคิ้ว ขนตา หนวเครา ขนตามลำตัว ได้ด้วย
ข้อควรระวัง: ถ้าโลชั่นที่ผสมไมนอกซิดิล ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจจะมีผลเหมือนกับการรับประทานยาลดความดัน ไมนอกซิดิล จึงอาจจะมีอาการมึนงง ความดันโลหิตต่ำได้ ทำให้หน้ามืด วิงเวียนได้ง่าย นอกจากนี้ อาจมีผลต่อหัวใจในระยะยาวด้วย ดังนั้น ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
ระยะเวลาในการใช้ การใช้ยาทา Minoxidil ปลูกผม หรือขน หนวดเครา เมื่อเลิกใช้ เส้นผมและขน อาจจะกลับมาร่วงได้อีก ประมาณ 3 เดือนหลังหยุดยา ดังนั้นจึงควรรับประทานยากลุ่มลดฮอร์โมน DHT ที่เป็นสาเหตุของผมร่วง เช่น Finasteride,Dutasteride ในการป้องกันการกลับมาร่วงใหม่ของเส้นผมร่วมไปด้วย ในรายที่ไม่สามารถ รับประทานยา Finasteride ได้  เช่น สตรีมีครรภ์ หรือมีผลข้างเคียง นกเขาไม่ขันจากการรับประทานยา Finasteride อาจจะเปลี่ยนมาใช้  Finasteride Lotion ทดแทน ซึ่งได้มีผลิตออกมาจำหน่ายแล้ว  

ยาทาไมนอกซิดิล ปลูกผม
ยาทาไมนอกซิดิล ปลูกหนวดเครา
Posted on

Finasteride : ยารับประทาน เพื่อหยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไขศีรษะล้าน ให้กลับมาดกดำ

Finasteride คือยาอะไร

-ปัญหาศรีษะล้าน มีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน คือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT) สูงกว่าปกติ แล้วไปทำให้รบกวนการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ เส้นผมมีขนาดเล็กลง และวงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง อัตราผมร่วง > ผมขึ้นใหม่ ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดที่เล็กลง
Finasteride (Propecia) เป็นสารสังเคราะห์ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase   ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต ยับยั้งอัตราการทำลายเส้นผม ผมจึงหยุดร่วง และดกดำได้ดังเดิม  โดยได้รับการยอมรับจาก FDA ของอเมริกาและไทย ว่าช่วยลดปัญหาผมร่วงได้จริง เห็นผลภายใน 3-6 เดือน

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังและผลงานวิจัยที่ได้จากการรับประทานยา Finasteride (Propecia)
1. เอนไซม์ของตับผิดปกติได้ (Abnormal SGPT/SGOT) 
2. รับประทานยาเกิน 1 ปี พบว่า สมรรถภาพทางเพศลดลง 3.7 % เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ทาน ซึ่งเกิดได้ ประมาณ 2.1%  ดังนั้นจึงถือว่ามีผลข้างเคียงน้อยมาก หรือไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Finasteride ไม่มีผลต่อจำนวนเชื้ออสุจิ สามารถจะมีบุตรได้ปกติ แม้ในช่วงที่รับประทานยาอยู่ หรือไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ เพราะยา Finasteride จะไม่ผ่านทางน้ำอสุจิไปยังภรรยา มีเพียงส่วนน้อยมากที่มีผลต่อปริมาณน้ำเชื้ออสุจิ
5. ยา Finasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Finasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน

ข้อห้ามใช้

ยา Finasterideไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วง ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride )  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy:HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

10 วิธี ดูแลสุขภาพเส้นผมง่ายๆ รับรองว่าผมจะสวย เงางาม นุ่มสลวย สุขภาพผมดี

10 การดูแลและหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำร้ายเส้นผม

1. หลีกเลี่ยงการรัดหรือเกล้าผมแน่นจนเกินไป
2. หลีกเลี่ยงการเป่าผมด้วยความร้อนมากจนเกินไป
3 หลีกเลี่ยงการดัดหรือกัดสีผมบ่อยจนเกินไป หากต้องการทำควรเลือกช่างผมที่มีความรู้ด้านเส้นผม และมีความชำนาญ
4 ควรหวีหรือแปรงผมให้น้อยลง ไม่ควรหวีผมขณะผมเปียก หรือใช้หวี ที่มีซี่แปรงคม หรือถี่จนเกินไป
5 ให้แชมพูและครีมนวดให้เหมาะสมกับสภาพเส้นผม และหนังศีรษะ เช่น ในกรณีผมมันก็ไม่ควรใช้ครีมนวดผมมากจนเกินไป หรือไม่ควรใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม และเลือกแชมพูสำหรับคนผมมันโดยเฉพาะ ส่วนกรณีที่ผมแห้งแตกปลาย ก็ควรใช้แชมพูสำหรับผมแห้ง และใช้ครีมนวดผม เป็นประจำ
6 การสระผมควรสระบ่อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความสกปรก และความมันของเส้นผม เช่น ในคนที่ผมมัน อาจจะต้องสระผมทุกวัน ส่วนในคนที่ผมแห้ง อาจจะสระผมเมื่อสกปรก หรือรู้สึกเหนอะหนะหนังศีรษะ ซึ่งก็จะประมาณอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

7 สำหรับผู้ที่มีผมเสียไม่ว่าจากสารเคมี, แสงแดด, การกัดสีผม, การดัดผมบ่อย ๆ จนผมแห้ง และแตกปลาย ควรใช้กรรไกรเล็มปลายผมที่แตกออก และใช้ครีมนวดผมที่มีคุณภาพ เป็นประจำ และควรหมักผมด้วยครีม หรือโคลนหมักผม ทุกสัปดาห์ แล้วหมั่นดูแลเส้นผมใหม่ โดยไม่ไปทำขบวนการดังกล่าวซ้ำอีกบ่อยๆ
8 กรณีที่ชอบว่ายน้ำ แนะนำให้ก่อนลงสระว่ายน้ำควรชโลมผลิตภัณฑ์เคลือบเส้นผมป้องกันคลอรีน หรือครีมปรับสภาพเส้นผม หรือน้ำมันมะกอก น้ำมันโฮโฮบา ลูบไล้ให้ทั่วเส้นผม ผมจะนุ่มลื่น และป้องกันการสูญเสียน้ำจากเส้นผมอีกวิธีหนึ่ง และควรสวมหมวกคลุมศีรษะ เพื่อป้องกันอันตรายจากคลอรีนในสระว่ายน้ำ และหลังว่ายน้ำ ควรรีบสระผมทันที
9 กรณีที่ผมเปียกจากการตากฝน ควรรีบสระผมทันทีเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับอากาศที่ทำให้เป็นไข้หวัดได้
10 เลือกแชมพูสระผมที่ผสมสารป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งจากการทดสอบมากมาย ได้มีการค้นพบว่าสาร Octyl-dimethyl PABA ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม

Posted on

Hair and Nail Vitamins : เลือกวิตามินตัวไหน ให้เส้นผมแข็งแรง เล็บไม่เปราะหักง่าย

อาหารเสริมสำหรับเส้นผมและเล็บ

เส้นผมและเล็บ เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ปกคลุมร่างกาย เช่นเดียวกับผิวหนัง อาหารที่หล่อเลี้ยงผิวพรรณหลายๆ ชนิด ก็มีความจำเป็นต่อสุขภาพเส้นผมและเล็บเช่นกัน ดังนั้นการขาดสารอาหารบางชนิด ก็มีส่วนทำให้เส้นผมร่วง เปราะหักง่าย และทำให้เส้นผมงอกได้ช้า ส่วนเล็บ ก็อาจจะแตกหักง่าย เล็บอ่อน เล็บงอกช้า เป็นต้น
อาหารเสริมสร้างสุขภาพเส้นผมและเล็บ จึงถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพที่ดี สารอาหารที่สำคัญและควรใส่ใจในการเลือกบริโภคที่สำคัญ มีดังนี้
1. Vitamin A มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ เนื้อเยื่อ เส้นผม และหนังศีรษะ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. วิตามินบี 6  ทำให้เซลล์สร้างเส้นผมได้รับออกซิเจนมากขึ้น อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ นม โยเกิร์ติ บริวเออร์ยีสต์ ตับ เนื้อสัตว์ นม ถั่ว ข้าวซ้อมมือ กล้วย มะเขือเทศ
3. วิตามินบี 12 มีบทบาทในการเจริญและการแบ่งตัวของเส้นใยประสาท หากร่างกายขาด จะทำให้เกิดโลหิตจาง ซึ่งทำให้เส้นผมและเล็บไม่แข็งแรง แหล่งของวิตามิน บี 12 อยู่ในตับ ไต รองลงมาได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว

4. โฟลิค แอซิค (folic acid) การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ขนมปัง ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ถั่วแดง ถั่วลิสง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าฮวย เป็นต้น
5. วิตามินซี  มีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างองค์ประกอบที่สำคัญของเส้นผมและเล็บ อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะละกอสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำ
6. ทองแดง การขาดธาตุเหล็กทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ทำให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเส้นผมและเล็บได้ลดลง จึงอาจจะทำให้ผมร่วง เปราะหักง่าย เล็บอ่อน หักง่ายได้เช่นกัน แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กได้แก่ ตับ เครื่องใน เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผักใบเขียว พริกแห้ง ถั่ว เป็นต้น
7. สังกะสี  การขาดสังกะสีจะมีส่วนทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ร่วงง่าย และมีรังแค อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัด ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง
8. Protein ถือว่าจำเป็นต่อเซลล์ทุกๆ ส่วนในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
อาหารที่มีโปรตีนสูงได้แก่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด เช่น หมู วัว เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ
9. น้ำ การได้รับน้ำที่เพียงพอจึงจำเป็นต่อสุขภาพเส้นผมและผิวพรรณ การได้รับน้ำที่เพียงพอ คือประมาณ 2 ลิตรทุกๆ วัน จะทำให้ร่างกายนำวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน และสารสำคัญต่างๆ ให้แก่ร่างกาย
ปัจจุบันมีอาหารเสริมที่รวบรวมวิตามินหลายๆ ตัว ไว้ในเม็ดเดียว ผลิตออกมาจำหน่ายมากมาย ก่อนตัดสินใจ ควรดูส่วนประกอบว่าได้ครบ ตามที่แจ้งไว้ข้างบนนี้หรือไม่

Posted on

อยากเปลี่ยนสีผม แต่จะทำยังไง ไม่ให้ทำร้ายเส้นผม ผมยังดูเงางาม มีน้ำหนัก สุขภาพผมดี

4 วิธีดูแลเส้นผม หลังทำสีผม ป้องกันผมเสีย

  1. หมักและพอกผมภายหลังการสระ โดยใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการหมักผมหรือพอกผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงประเภททรีทเม้นต์ หรือคอนดิชั่นเนอร์ ที่ให้การบำรุงที่ล้ำลึกกว่าคอนดิชั่นเนอร์ปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก และสามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยนำมาหมักหรือพอกหลังการสระผม ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นจึงล้างออกให้สะอาด
  2. ใส่สารบำรุงหลังการสระผม ซึ่งมีทั้งในรูปของแคปซูล ในหลอด หรือในขวดเพื่อหยด เช่น เซรุ่ม สารบำรุงและวิตามินบำรุง จะช่วยให้สีผมไม่ซีดจาง หรือกระเทาะออกไว ทำให้ผมมีชีวิตชีวามีประกาย
  3. อบไอน้ำ โดยแบ่งผมเป็นช่อๆ แล้วพอกด้วยสารบำรุงในรูปของโปรตีนสำหรับเส้นผม จากนั้นจึงเข้าเครื่องอบไอน้ำ โดยสำหรับผมสั้นประมาณ10 นาที และผมยาว ควรอบประมาณ 15 นาที สารบำรุงเหล่านี้จะซึมเข้าสู่แกนเส้นผมได้ลึกขึ้นถึงชั้นเนื้อผม จึงทำให้ผมมีความชุ่มชื้นมีน้ำหนัก
  4. การแว็กซ์ผม คือการทรีทเม้นต์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยม และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเส้นผม แต่มักจะอยู่ได้ไม่นาน ประมาณ 10 -15 ครั้งของการสระผมแวกซ์ก็จะหลุดหมด เพราะสารบำรุงประเภทนี้จะทำงานบริเวณเปลือกผมด้านนอกเท่านั้น บางครั้งจึงต้องใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อช่วยนำพาตัวแว๊กซ์ให้ซึมลึกมากยิ่งขึ้น