Posted on

Coolsculpting : ลดพุง ปรับสัดส่วนให้น่ามอง ด้วยการสลายไขมันด้วยความเย็น ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัดหรือดูดออก

ลดพุง ลดโรค

การที่มีภาวะอ้วนลงพุงนั้น เกิดจากการที่มีรอบเอวหรือพุงขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด อาจจะเกิดจากการสะสมของไขมันในช่องท้องจำนวนมาก นอกจากจะทำให้รูปร่างไม่ได้สัดส่วนแล้ว อังอาจจะส่งผลให้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ จนน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน อีกทั้งยังอาจจะมีผล ทำให้ระดับไขมันในเลือดและความดันโลหิตสูงขึ้นด้วย เมื่อเกิดภาวะนี้เป็นระยะเวลานาน ผนังหลอดเลือดแดงจะหนาขึ้นจนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การลดความอ้วน ลดพุง จึงทำให้เราลดโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

CoolSculpting คืออะไร

คือการกำจัดไขมันออกจากร่างกาย ด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดย คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้มีการรับรองผลว่าได้ผลจริง จากอเมริกา (US FDA Approve) และทั่วโลก หลักการทำงานคือความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ลบ -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมัน  ความลับของไขมัน – เซลล์ไขมันมีความบอบบางเมื่อได้รับความเย็นจัด ในระยะเวลาหนึ่ง เซลล์ไขมันจะหยุดทำงาน  ทำให้ไขมันตาย  และถูกขับออกจากร่างกาย โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก (non-invasive) จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล ไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องฉีด  เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปก

Coolsculpting ทำได้บริเวณไหนบ้าง ลดไขมันได้เท่าไหร่

คุณสามารถกำจัดไขมันได้ทุกบริเวณที่ต้องการ แม้แต่ในพื้นที่เล็กๆอย่างไขมันใต้คาง เหนียง คางสองชั้น จนไปถึงการกำจัดไขมันในพื้นที่ให้ๆอย่างสะโพก ข้างเอว หน้าท้อง ต้นขา ซึ่งที่คลินิกนีโอ เรามีหัวเครื่องมือหลายแบบที่สามารถเข้าถึงในพื้นที่เล็กๆ จนสามารถครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ๆได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจาะ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาทำไม่นานเพียง 35 นาทีต่อการหนีบ
เพียงครั้งเดียว สามารถลดไขมันได้ถึง 27% ภายใน 3 เดือน มีรายงานรับรองผลกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก แถมปลอดภัยเพราะทำลายเฉพาะเซลล์ไขมัน ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออวัยวะอื่น หลังทำไม่มีเกิดเซลลูไลต์ และไขมันไม่กลับมาใหม่ ถ้าควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

Posted on

X Wave therapy : แก้ไข เซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ขาใหญ่ เพราะไขมันสะสมเป็นก้อน ให้ดีขึ้นได้

Cellulite คืออะไร ?

โดยปกติแล้ว ร่างกายคนเรามีไขมันเพื่อช่วยป้องกันอวัยวะและให้ความอบอุ่น แต่ถ้ามีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป เช่นบริเวณเอว หน้าท้อง สะโพก และต้นขา และเป็นเวลานานจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ทำให้การไหลเวียนโลหิตและของเหลวภายในร่างกายผิดปกติ
ก่อให้เกิดกรดที่เป็นพิษต่อร่างกาย อันเป็นสาเหตุที่มาของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้สำหรับบางคน โรคอ้วนยังส่งผลต่อความเป็นอยู่ อาชีพการงาน และความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย

Cellulite เป็นไขมันชนิดหนึ่ง มีความคงตัวและสลายตัวได้ยาก มักจะสะสมอยู่ในชั้นผิวหนังตามบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ ต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง
ทำให้ผิวหนังมีลักษณะเหมือนเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด หย่อนคล้อย และไม่กระชับ
ปัจจัยการเกิด เซลลูไลท์ ได้แก่
– กรรมพันธุ์
– เพศ : มักจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
– อายุ: มักจะพบได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป พบได้บ่อยในคนอายุมากกว่า 40 ปี
– โฮร์โมนเพศหญิง (ช่วงวัยรุ่น, ตั้งครรภ์, ก่อนและหลังหมดประจำเดือน)
– จำนวนไขมันที่มีในร่างกาย
– ความหนาของผิวหนัง
– การใช้ชีวิตประจำวัน ( life style) เช่น การกินไขมันอิ่มตัวหรือน้ำตาลมากเกินไป หรือการดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อ และก่อเกิดไขมันสะสมเฉพาะส่วน
– การสูบบุหรี่
– ภาวะเครียด
– ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด, ยานอนหลับ, ยาขับปัสสาวะ

X Wave therapy คืออะไร

X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ใหม่ล่าสุดในการสลายเซลลูไลท์ โดยผลิตจากบริษัท  BTL  Medical Technology Ltd. ประเทศอังกฤษ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน Acoustic wave technology ในการไปสลายไขมันและเซลลูไลท์ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว (new US FDA approved non-invasive aesthetic device for reduction of cellulite using acoustic wave technology)
หลักการทำงานของ X Wave therapy 
– เครื่องมือ  X Wave therapy จะมีการปล่อยคลื่นการสั่นสะเทือนแบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด(acoustic massage tip as a conductive electrode delivering electable electrical waveform pulses) ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และการนวดสั่นสะเทือนจะทำให้ก้อนไขมันแตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ
– ส่วนระยะเวลาในการทำ อาจจะใช้เวลา 20-40 นาที แล้วแต่บริเวณที่ทำ โดยทำห่างกันทุก 1 สัปดาห์ ประมาณ 8-10 ครั้งก็จะเห็นผลได้ชัดเจน และถ้า

X Wave therapy สามารถจะทำบริเวณใดได้บ้าง ทำบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน

  1. ท้องแขน ( Upper arms)
  2. บั้นเอวสองข้าง (Love handles)
  3. หน้าท้อง (Abdomen)
  4. สะโพก (Buttocks)
  5. ต้นขา (Thighs)

ความแตกต่างระหว่างเซลลูไลท์กับไขมัน
-คนเราทุกคนมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่เรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้วซึ่งไขมันดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความร้อน และป้องกันการกระแทกต่อกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและอวัยวะภายใน ไขมันจะสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว โดยน้ำหนักตัวมาก ก็จะมีไขมันมาก การแก้ไข ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีลดน้ำหนัก สลายไขมัน หรือกำจัดไขมัน
– ส่วนเซลลูไลท์ เป็นไขมันที่มีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ ไม่ได้ช่วยรับการกระแทกเหมือนไขมันปกติ และมักพบอยู่เฉพาะบางแห่งของร่างกายเท่านั้น เช่น สะโพก, ต้นขา, หน้าท้อง และ เต้านม เซลลูไลท์ ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวเสมอไป วิธีการตรวจสอบว่ามี เซลลูไลท์หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยการบีบผิวหนังบริเวณต้นขาขึ้นมา ถ้าพบว่า มีลักษณะ ตะปุ่มตะป่ำ ให้สงสัยว่าน่าจะมี เซลลูไลท์ ซึ่งเซลลูไลท์ มักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การแก้ไข ด้วยการลดน้ำหนักไม่ช่วยให้ เซลลูไลท์ ต้องทำการสลายหรือกำจัดด้วยเครื่องตีเซลลูไลท์ เช่น X-wave therapy หรือการผ่าตัดศัลยกรรมดูดไขมัน

ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave
ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave
Posted on

สลายไขมัน หลากหลายวิธี ให้หุ่นดี ไม่มีพุง เลือกแบบไหนได้ผลไว ไม่รอชาติหน้า

ไขมัน ส่วนเกิน ที่ไม่ต้องการ

ไขมันส่วนเกิน คือ การสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่พึงประสงค์ เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก พุง ฯลฯ ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ในการที่จะโชว์สรีระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วยังพบว่า ถ้ามากเกินไป ก็ทำให้อ้วน ซึ่งอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ภายหลังได้
– การสลายไขมันส่วนเกิน ด้วยการคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย อาจจะเป็นเรื่องยาก สำหรับบางคน และอาจจะต้องใช้เวลานาน จนตบะแตกได้ ดังนั้น จึงหาตัวช่วยอื่นๆ มาสลายไขมันให้ออกไปก่อนแล้ว พอให้มีกำลังใจ ในการควบคุมและป้องกันไขมันมิให้กลับมาใหม่ มาดูการสลายไขมันในปัจจุบัน มีวิธีไหนบ้าง

สลายไขมันด้วยการทำศัลยกรรม

ดูดไขมัน (Liposuction ): เป็น การกำจัดไขมันออกจากร่างกายที่ได้ผลดีทีสุด เร็วสุด แต่ก็มีผลข้างเคียงมากสุด ที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำ อันแรก ก็คือเจ็บ มีแผลใหญ่ต้องเปิดผิวหนัง หลังทำต้องพักฟื้น ต้องใช้ยาชาหรือวางยาสลบ และนอกจากนั้น ทำเสร็จแล้วก็ยังทิ้งริ้วรอยไขมันเป็นคลื่นๆไว้เต็มไปหมด ดูไม่สวยงาม จะใส่บิกีนี่โชว์หุ่นก็ยังไม่ได้ แล้วก็ยังเสี่ยงต่ออันตราย หรือผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด ที่มีข่าวให้ปรากฏกันบ่อยๆ
สลายไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Lipolysis) : หลักการ ก็โดยสอดท่อเข้าไปที่ผิวหนัง ปลายท่อจะปล่อยแสงเลเซอร์ยิงใส่เซลล์ไขมันที่ต้องการสลาย โดนผ่านสายนำเลเซอร์เส้นเล็กๆประมาณ 1 มิลลิเมตร เพื่อให้เซลล์ไขมันที่ต้องการรักษา ถูกสลายจนกลายเป็นน้ำมันทันที ไขมันที่สลายแล้วส่วนหนึ่งจะไหลออกมาทางรูเข็มที่เป็นทางเข้าของสายเลเซอร์ ส่วนที่เหลือจะค่อยๆถูกขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง เป็นวิธีที่ได้ผลรองจากการทำ Liposuction แต่ก็มีผลลัพธ์หลายอย่างที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำซ้ำเช่นกัน เพราะหลังทำก็เจ็บปวด ต้องพันสายรัดแน่น มีน้ำเหลืองซึมตามรูเข็ม เกิดรอยช้ำระบม อาจจะเกิดรอยไหม้จากเลเซอร์ และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ
สลายไขมันด้วยอัลตราซาวด์ ( VASER) โดยแพทย์จะสอดท่อเข้าไปผิวหนังตรงไขมันเฉพาะจุด แล้วจะปล่อยพลังงาน Ultrasound ในระดับความถี่ที่จะไปทำลายเฉพาะเจาะจงแต่กับเซลล์ไขมันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ก้อนไขมันก็จะกลายเป็นของเหลว วิธีนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงโดยเฉพาะเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบๆก้อนไขมัน เสียหายหรือถ้าจะถูกกระทบกระเทือนบ้างก็น้อยกว่า Liposuction , Laser Lipolysis ทำให้ช่วยลดการเกิดรอยบวมช้ำหลังการผ่าตัด และผลการรักษาได้ผลดีกว่า คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการกำจัดไขมันทั่วไป แต่หลังทำก็ยังเจ็บปวด ต้องพันสายรัด และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ เช่นกัน
สลายไขมันด้วยการฉีด Mesofat : วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยการฉีด แพทย์จะใช้เข็มฉีดยา ฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เหมาะกับการทำในบริเวณที่เล็กๆ จะได้ผลดี เช่น แก้ม คาง ต้นแขน โดยไขมันจะค่อยๆ สลาย แม้จะมีผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลช้าและต้องทำหลายครั้ง กรณีที่ต้องการกำจัดไขมันในบริเวณกว้างๆ เช่น พุง ต้นขา อาจจะต้องแทงเข็มหลายครั้งด้วยยาปริมาณมาก ทำให้คนไข้บางคน ยอมแพ้ หรือไม่มีเวลา

สลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรม ให้เจ็บตัว

  1. สลายไขมันด้วยความเย็น ( Coolsculpting) : จัดเป็นเครื่องมือสลายไขมันความเย็น แบรนด์อเมริกา โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม เครื่องแรก ที่เป็น Non-Invasive Lipolysis และได้รับการรับรองว่าได้ผลจริง (Subcutaneous Fat Reduction) FDA USA เมื่อมี ค.ศ. 2010 จากด้วยการสลายไขมันโดยเทคนิคทำให้เซลล์ไขมันตาย (fat apoptosis )โดยเครื่องมือจะส่ง พลังงานคลื่นความเย็น – 11 องศาเซลเซียส เข้าสู่ชั้นไขมันโดยไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันในหมู่ดาราฮอลลีวู้ด และโด่งดังอย่างมากในยุโรป และอเมริกา เมื่อมี ค.ศ 2000 เพียง 35 นาทีต่อจุดหรือต่อการหนีบ ชั้นไขมันจะยุบตัวลง 1-2 นิ้ว หรือ 20-25% ใน  2-3 เดือน ซึ่งได้ผลพอๆ กับการทำ VASER เพียงแต่ต้องรอเวลานานกว่าเท่านั้น สามารถจะทำซ้ำได้อีก ทุก 2-3 เดือน เพื่อการหวังผลที่พอใจ เป็นเครื่องมือสลายไขมันที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 สูงสุดทั่วโลก และมีผลงานวิจัยตีพิมพ์สูงสุด มากกว่า 6 ล้านคนทั่วโลก ส่วนเครื่องสลายไขมันด้วยความเย็นยี่ห้ออื่นๆ ที่เลียนแบบ ไม่ว่าจะเกาหลี หรือประเทศทางยุโรป ยังไม่มีรายงานรับรองผลชัดเจนทั่วโลก
    2.  การสลายไขมันด้วยความร้อน (  Sculpture ) เป็นเครื่องสลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรมตัวที่ 2 ที่ได้รับการรับรองผลจากอเมริกา FDA USA เมื่อ ปี ค.ศ 2017 โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่นช่วง 1060nm ซึ่งทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิ42-47 องศาเซลเซียล บริเวณที่มีเซลล์ไขมัน จึงส่งผลให้เซลล์ไขมันช็อก และค่อยๆตายไปโดยไม่ทำลายอวัยวะข้างเคียง โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายนี้จะถูกขับออกจากร่างกายตามช่องทางการขับของเสียต่างๆ ซึ่งร่างกายจะค่อยๆสลายไขมันที่โดนทำลายออก ซึ่งหลังจากทำการสลายไขมันโดย SculpSure แล้ว จะเห็นผลครั้งแรกในระยะเวลา 6 สัปดาห์และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำการสลายไขมันโดย SculpSure จะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ถึง 24%” ตัวนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก อาจจะเพราะมีผลงานวิจัยน้อย และพลังงานความร้อนจากเลเซอร์ ทำให้คนไม่ค่อยนิยมอยู่กับความร้อนได้ในเวลานาน ๆ
    ส่วนตัวอื่นๆ ที่มีในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น Velashape ,Exilis Elite, Thermage body,Ulthera กลุ่มนี้ไม่มีรายงานรับรองผลจาก US FDA ว่าสลายไขมันได้ แต่รับรองผลว่าช่วยเรื่องกระชับสัดส่วนได้ ( Circumference Reduction not Fat Reduction )
อ้วน ลงพุง ลดพุง ลดโรค ได้ผล ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว
Posted on

เมโสแฟต (Mesofat) : ฉีดสลายไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง ลดไขมันส่วนเกิน ได้ทุกบริเวณ

เมโสแฟต คืออะไร

คือการฉีดยาเข้าไปในชั้นไขมัน ตัวยาจะไปสลายไขมันในบริเวณที่ไม่ต้องการ ทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ เป็นส่วนใหญ่
ชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทั้ง เมโสแฟต แฟตบอมบ์ เมโสไลโป ฯลฯ แต่จริงๆ หลักการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตัวยาที่ใช้ ปริมาณที่ใช้ และบริเวณที่ฉีด
ตัวยาที่ใช้มีอะไรบ้าง
เนื่องจากได้รับความนิยมมาก ไม่แพง และสะดวก จึงมีการพัฒนาสูตรยา ออกมามากมายในตลาด แต่จะขอแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
1. ตัวยาที่จัดเป็นยาและมีผลงานวิจัยรองรับ : ได้แก่ Phosphatidylcholine (PC), Deoxycholate (DC) ,L-Carnitine กลุ่มนี้สลายไขมันด้วยการทำให้ไขมันแตกตัวออกเป็นไขมันเหลวผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ ข้อดี คือ ฉีดปริมาณไม่เยอะ เพียง 1-2 CC ก้ได้ผลดี เพราะสรรรพคุณยาเข้มข้น ทำให้ไม่เจ็บตัวมาก รอยช้ำน้อย แต่ก็มีข้อเสียคือ มักจะแสบเวลาฉีด บางคนบวมหลังฉีดได้
2. ยาและสารสกัดธรรมชาติ ที่ยังไม่มีการรับรองผล : กลุ่มนี้มักจะนำมาผสมกับกลุ่มแรก ให้ออกฤทธิ์มากขึ้น ได้แก่ Caffeine, vitamin B5, Theophylline, Archichoke extract,Tyrosine,Aesculus hippocastanum, Juglans regia กลุ่มนี้กลไกการสลายไขมัน คือช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตกับระบบน้ำเหลือง จะได้เรื่องกระชับผิวเป็นหลัก ถ้าจะให้ได้ผลสลายไขมัน ต้องฉีดปริมาณมากกว่าเป็น 10 เท่า ข้อดีคือไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ไม่บวม ถ้าบวม น่าจะเกิดจากปริมาณที่ฉีดเยอะมากกว่า



ฉีดบริเวณไหนบ้าง

หลักการคือ สลายไขมัน ในส่วนที่การออกกำลังกายไม่ช่วยมากนัก เช่น

  1. ลดแก้ม
  2. ลดเหนียง
  3. ลดเปลือกตาบน
  4. ลดจมูกชมพู่ ส่วนข้อ 5-7 มักจะใช้ฉีดกรณีมีไม่มากนัก ถ้ามากต้องใช้วิธีอื่นแทน เช่นการดูดไขมัน หรือสลายไขมันด้วยเครื่องมือ
  5. ลดพุง ลดหน้าท้อง บั้นเอว
  6. ลดต้นแขน ลดต้นขา
  7. ลดไขมันที่น่อง

ข้อห้ามในการทำ Mesofat

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Mesofat และข้อควรระวัง

1. ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่
2. อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 1-3 วัน ดังนั้น ควรเลี่ยงการ การเข้าอบซาวน่า การนวด การดื่มอัลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเม้นต์ใดๆ หลังทำประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
3. ควรเดินออกกำลังกายเบา ๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ แอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับและรีดไขมันให้ออกจากร่างกายเร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่
4. เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก
5. ป้องกันการหย่อนคล้อยหลังทำ ควรจะทำการยกกระชับบริเวณที่ทำ ด้วยเครื่องมือยกกระชับ ต่างๆ เช่น RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น อาจจะเสริมด้วยการตีสลายไขมันด้วยเครื่อง Slimming Machine กรณีที่ไขมันเกาะตัวแน่นเกินไป

ข้อควรระวัง

หลายๆคลินิกแข่งขันด้านราคากัน ทำให้มีการลดคุณภาพ หรือเปลี่ยนตัวยา เพื่อให้ได้กำไร โดยมีการใช้ยาบางอย่าง ที่แม้ได้ผลเร็ว แต่มีผลข้างเคียง เช่น

  1. ยากลุ่มเสตียรอยด์ เช่น Dexamethasone พวกนี้ไขมันลดได้ จากการทำให้ไขมันฝ่อ ฉีดไปนานๆ อาจจะเกิดรอยบุ๋มเฉพาะจุด จะทำให้ระบบฮอร์โมนต่างๆของร่างกายผิดปกติ และทำให้ภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
  2. Hyarulonidase : เป็นยาที่สลายฟิลเลอร์ ถ้าเอามาฉีดไขมันทำให้เซลล์ไขมันแตกเช่นกัน แต่ก็ทำให้ HA ที่ดีๆใต้ผิวของเราก็ถูกทำลายไปด้วย ทำให้เหี่ยวเร็ว แก่เร็ว และตัว Hyarulonidase นี้ ยังพบอัตราการแพ้ยาสูงอีกด้วย หมอกระเป๋าใช้ตัวนี้เป็นตัวหลักเลย

Posted on

เซลลูไลท์ (Cellulite) ศัตรูตัวร้าย ที่ทำลาย ความมั่นใจ กำจัดออกไปได้ ไม่เจ็บตัว

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร

คือ ก้อนไขมันใต้ผิวหนังที่ทำให้ผิวหนังแลดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนเปลือกผิวมะกรูด เชื่อว่าเกิดจากการที่ไขมันเคลื่อนตัวสูงขึ้นมาอยู่ในชั้นของผิวหนัง หรือเกิดจากการที่มีการไหลเวียน ของระบบเลือดในบริเวณนั้นลดลง การคั่งของน้ำเหลือง และฮอร์โมนที่ไม่สมดุล
– เหตุผลที่ไขมันส่วนนี้ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ เพราะไขมันใต้ผิวหนังบางครั้งมีจำนวนมากจนกลายเป็นก้อนไขมัน ซึ่งแต่ละก้อนจะมีเปลือกเหนียวๆ หุ้ม ทำให้แลดูภายนอกเห็นเป็นลอนๆ ของก้อนไขมัน
– บริเวณที่มีการสะสมของเซลลูไลท์มากก็คือ บริเวณต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง รอบเอว และสะโพก เราสามารถตรวจสอบเซลลูไลท์ด้วยตัวเองโดยใช้วิธีง่ายๆ คือ ถ้าลองใช้สองมือบีบตรงต้นขา ถ้าพบกับผิวหนังที่มีลักษณะขรุขระเป็นก้อนคล้ายผิวส้ม นั่นคือเซลลูไลท์

การรักษาเซลลูไลท์

1. ควบคุมอาหาร และป้องกันมิให้อ้วนเพิ่มขึ้น : จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ต้านเซลลูไลท์ เช่น พืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพราะวิตามินอีและซีจะช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น และอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืช จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตให้มากขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูง ของหวาน อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
2. การออกกำลังกาย : พบว่าการออกกำลังกายอาจทำให้ผิวที่ตะปุ่มตะป่ำดูดีขึ้น เพราะการออกกำลังกายทำให้เกิดการเผาผลาญ ไขมันเป็นพลังงานทำให้ก้อนไขมันมีขนาดเล็กลง นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดโตขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อที่โตขึ้นมักมีขนาดสม่ำเสมอ (ไม่เหมือนก้อนไขมันที่เวลาโตมักแลดูตะปุ่มตะป่ำ) จึงทำให้แลดูว่าผิวเรียบขึ้น
3. การนวด : โดยใช้ฝ่ามือนวดไปมาลงน้ำหนักที่ละน้อย เริ่มจากหัวไหล่เพื่อลดบริเวณแขน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ก็ใช้ฝ่ามือทั้งสองนวดสลับกันจากหน้าท้องถึง หน้าอก บริเวณสะโพกนั้นลูบขึ้นในลักษณะเดียวกัน และบริเวณเรียวขา เริ่มตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงบริเวณขาอ่อน นวดให้ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรียวขา ซึ่งอาจจะ ใช้ควบคู่กับครีมลดไขมันเฉพาะส่วน หรือใช้เครื่องนวดที่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้เซลลูไลท์แตกตัว แต่ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ช่วยในเรื่องของการกระชับชั่วคราวมากกว่า

4. X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ในการสลายเซลลูไลท์ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน ( Acoustic wave technology ) แบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว
5. การสลายไขมันส่วนเกิน อาจจะทำได้ทั้งแบบศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดดูดไขมัน (Liposuctions) ทั้งด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ (VASER) หรือใช้เลเซอร์ในการดูดไขมัน หรือ อาจจะใช้เครื่องมือที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น การสลายไขมันด้วยความเย็น (Coolsculpting )หรือด้วยความเลเซอร์ร้อน (Sculture)

Posted on

งานวิจัย : พักผ่อนนอนหลับแค่ไหน จึงไม่อ้วน

พฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่ : ดร.สันเจย์ ปาเทล จากมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่
โดยได้ทำการสุ่มตัวอย่างผู้หญิงจำนวนกว่า 70,000 คน ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยด้านสุขภาพของสหรัฐฯ ในโครงการ ” Nurses Health Study” โดยนักวิจัยได้ติดตามเก็บข้อมูลน้ำหนัก และพฤติกรรมการนอนของผู้หญิงเหล่านี้นานถึง 16 ปี
ผลการวิจัย พบว่า
– ในผู้หญิงที่มีเวลานอนพักผ่อนคืนละ 5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านี้ จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5.4 ปอนด์
– สตรีที่มีเวลานอนพักผ่อนมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน และจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.6 ปอนด์ในช่วง 10 ปีต่อมา
เหตุผลที่ผู้หญิงที่นอนน้อยแล้วจะอ้วนได้ง่าย เพราะการที่คนนอนน้อย จะทำให้ร่ายกายอ่อนเพลีย เกิดความเครียด จึงทำให้อยากทานอาหารมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกายน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ฮอร์โมนตามธรรมชาติทีตอบสนองต่อความเครียดจากการนอนไม่พอ เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง หรือทำให้พฤติกรรมการกินอาหารเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งกล่าวโดยสรุปพบว่า สตรีที่นอนน้อยกว่าวันละ 5 ชั่วโมง จะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 32% และจะมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน ( วัดจากค่าดัชนีมวลกาย BMI) ประมาณ 15 % ดังนั้นสาวๆ ทั้งหลาย รีบนอนแต่หัวค่ำกันเถอะ เพื่อสัดส่วนที่สวยงาม น่าหลงใหล

Posted on

ยาระบาย ช่วยลดน้ำหนัก ได้จริงมั้ย

ยาระบาย คืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร

ยาระบายหรือยาถ่าย คือกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย ให้มีการขับถ่ายอุจจาระออกจากร่างกาย หรือถ่ายหนัก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ได้ผลดีแตกต่างกัน แล้วแต่กลไกการทำงานและระยะเวลาในการออกฤทธิ์

ชนิดของยาระบาย แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้

  1. ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (stimulant laxatives) เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และใช้เพื่อลดความอ้วน เช่น ยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็กๆ ที่มีชื่อสามัญทางยา “บิสโคดิล” (bisacodyl) หรือ Dulcolax
  2. ยาเพิ่มความเหลวของอุจจาระ (saline laxatives)
  3. ยาเพิ่มกากใยไฟเบอร์ของอุจจาระ (bulk forming laxatives)
  4. ยาสวนทหวารหนัก (fleet enema) ยาเหน็บทวารหนัก (suppositories)

ยาระบายช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่ ?

ไม่จริง เพราะยาระบาย จะออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่บีบตัวไล่อุจจาระที่สะสมอยู่ออกทิ้งไป จึงมีฤทธิ์ช่วยการระบายอุจจาระเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อการลดการดูดซึมอาหาร หรือลดความอ้วนหรือลดไขมันที่สะสมบริเวณท้องหรือพุงของเราเลย แต่อาจจะส่งผลบ้างเล็กน้อยต่อน้ำหนักตัวที่ลดลงตามน้ำหนักของอุจจาระที่ถ่ายทิ้งออกไปจากร่างกาย เราเท่านั้น

ข้อควรระวังในการใช้ยาระบาย 

  1. ควรใช้ในขนาดที่เหมาะสม แต่ละคนมีความต้องการขนาดของยาที่แตกต่างกัน ตามความรุนแรงของอาการท้องผูก โดยเริ่มด้วยขนาดต่ำ หรือครั้งละ 1 เม็ด ก่อนนอนก่อน ถ้ายังได้ผลไม่ดี จึงค่อยๆ เพิ่มขนาด แต่ก็ไม่ควรจะเกินวันละ 5 เม็ด เพราะถ้ามีการใช้ยานี้มากเกินไปหรือเกินขนาด ก็จะไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่มากเกินไป จนทำให้เกิดปวดมวนท้อง และอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียน้ำและเกลือแร่ออกมากับอุจจาระมากเกินไปได้
  2. ยาระบายจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์หลังจากกินไปแล้ว 8 ชั่วโมง ถ้ากินก่อนนอน ก็พอดีกับเวลาที่เราพักผ่อนตอนกลางคืน พอตื่นนอนขึ้นมา ยาก็เริ่มแสดงฤทธิ์ เริ่มปวดท้องถ่ายอุจจาระพอดี
  3. ในการใช้ยาระบาย “ห้ามเคี้ยว” ทั้งนี้เพราะยาบิสโคดิลเป็นยาเม็ดที่ถูกออกแบบให้ภายนอก เคลือบน้ำตาลเป็นเกราะป้องกันกรดของกระเพาะอาหาร ยาชนิดนี้จึงไม่แตกตัวและออกฤทธิ์ในลำไส้ส่วนต้น และจะเริ่มแตกตัวไปออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วนปลายเท่านั้น
  4. ควรใช้ยาระบายนี้เท่าที่จำเป็น เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนานๆ ร่างกายของเราจะเริ่มทนต่อยา และจะทนต่อยามากขึ้นเรื่อยๆ ตามความถี่และปริมาณการใช้ยา การทนต่อยา คือการใช้ยาในขนาดเท่าเดิมแต่จะให้ผลในการรักษาลดน้อยลงกว่าเดิม ถ้าต้องการให้ยาออกฤทธิ์ให้ผลเช่นเดิม ต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้น
    ควรใช้ยานี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ใช้เมื่อมีข้อบ่งใช้หรือเมื่อท้องผูกและต้องการระบายอุจจาระจริงๆ และไม่ควรใช้ยาระบาย สำหรับการลดความอ้วน เพราะไม่มีผลต่อการลดความอ้วน หรือลดน้ำหนักเลย และถ้าใช้พร่ำเพรื่ออาจเกิดภาวะดื้อหรือทนต่อยา ต้องเพิ่มขนาดของยา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อสุขภาพและทรัพย์สินเงินทอง

Posted on

7 ข้อที่ควรต้องรู้ ถ้าคิดจะพิชิตพุง ให้ได้ผล

ดูอย่างไรว่าไม่มีพุง

การมีพุง บ่งบอกถึงการไม่ดูแล ใส่ใจในสุขภาพของตนเอง อาจจะพบว่าป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน (ส่วนใหญ่) โรคตับแข็ง ฯลฯ
พุง เกิดจากการที่ไขมันมาพอกพูน ไม่ใช่เฉพาะที่หน้าท้อง แต่มีการพอกพูนของไขมันที่เครื่องในด้วย เช่นลำไส้และเนื้อเยื่อรอบและหลังลำไส้ด้วย พุงที่หลามออกมาอย่างนี้มักจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะผู้หญิงเวลาอ้วนมักจะมีไขมันไปพอกพูนที่ตะโพกและต้นขามากกว่า
ผู้ชายที่อ้วนจึงมีลักษณะของลูกฝรั่ง หรือแอปเปิลที่อ้วนกลาง ส่วนผู้หญิงที่อ้วนมักจะมีรูปลักษณ์ของชมพู่คืออ้วนตรงฐาน ส่วนผู้หญิงสูงอายุที่อ้วนอาจจะมีลักษณะพุงหลามเหมือนผู้ชายได้เหมือนกัน
สูตรคำนวณว่ามีพุงหรือไม่
ดัชนีวัดพุง = วัดรอบเอว / วัดรอบสะโพก
– ชายไม่ควรเกิน 0.95
– หญิงไม่ควรเกิน 0.80
ถ้าใครได้ค่าเกินกว่านั้นควรจะทำ ถือว่ามีพุง

7 ข้อคิด พิชิตพุง

  1. ต้องรู้ว่าหญิงจำเป็นต้องออกแรง ในการลดพุงมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้เพราะสัดส่วนไขมันต่อกล้ามเนื้อ ในผู้หญิง > ผู้ชาย
  2. การลดอาหาร จะนับเป็นแคลอรีเป็นหลัก ควรการเลือกชนิดของอาหารทีแมีแคลอรี่น้อย แต่อิ่มถือว่าสำคัญ
  3. ลดพุงได้ดีคือการออกกำลังกายทุกส่วน โดยพบว่า
    3.1 การออกแรงไม่หนักแต่นานนั้นจะเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่
    3.2 การออกแรงแบบหนักแต่ไม่นานนั้นจะเผาผลาญแป้งที่อยู่ในตัวและกล้ามเนื้อ
    จึงแนะนำให้ออกกำลังทั้งสองอย่าง จึงจะช่วยในการลดพุง เพนสะการเล่นกล้ามท้องอย่างเดียวไม่ช่วยในการลดพุงได้เพียงพอ การลดพุงที่ได้ผลคือ การลดไขมันสะสมทั้งร่างกาย แต่การเล่นกล้ามท้องก็จะช่วยในแง่ดึงรั้งให้ท้องยุบลงแลดูสวยงาม
  4. ไม่เครียด เพราะความเครียดจะไปทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน 2 ตัว คือ
    4.1 แอดรีนะลีน ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรง ความดันเลือดพุ่งสูง
    4.2 ฮอร์โมน Cortisol จะช่วยเสริมฤทธิ์ตัวแรกในการผลักดันไขมันให้ไปพอกพูนอยู่ที่ท้อง
  5. ใครก็ลดพุงได้ ถ้าตั้งใจ ไม่เกี่ยวกับเพศและอายุ
  6. อย่าอ้างอ้วนเพราะกรรมพันธุ์ เพราะกรรมพันธ์มีส่วนอยู่เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือ 60-65% เกี่ียวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วไม่เผาผลาญ
  7. ตั้งสติ ตั้งใจ อย่างจริงจังเหมือนกับการตั้งใจทำงาน ห้ามพูดคำว่า ขี้เกียจ,ไม่มีเวลา,ช่างมันเถอะ แก่แล้ว ฯลฯ
Posted on

งานวิจัย : ฮอร์โมนสกัดจากเยื่อบุลำใส้ ลดความอยากอาหารลงได้ กินน้อย อิ่มนาน

ภาวะโรคอ้วน ได้แพร่กระจายและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากในชาวอเมริกัน และกำลังแพร่ระบาดขยายไปทั่วโลก ทำให้หลายๆ หน่วยงานได้พยายามค้นคว้าวิจัย หาวิธีการมากมายในการพยายามควบคุมและลดน้ำหนักให้ได้…….
นักวิจัยแห่ง Imperial College ประเทศอังกฤษ และนักวิทยาศาสตร์แห่งรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการสกัดฮอร์โมนรหัส PPY 3-36 จากเยื่อบุลำไส้ โดยพบว่าฮอร์โมนชนิดนี้ที่ผลต่อเซลล์สมองในหนู โดยทำให้สามารถควบคุมน้ำหนัก และลดความอยากอาหารลงได้

294_2

ต่อมาได้มีการพัฒนาฮอร์โมนนี้ให้นำมาใช้ทดลองในคน โดยมีชื่อว่า Third helping Hormone ซึ่งจัดเป็นฮอร์โมนประเภทฉีด แต่นำมาหยอดเข้ากระแสเลือดดำของอาสาสมัครจำนวน 12 ราย โดยหยอดในช่วงก่อนอาหาร ผลการทดลองพบว่า ทุกคนสามารถลดจำนวนปริมาณอาหารที่รับประทานลงได้ถึง 1 ใน 3 และทำให้ไม่รู้สึกหิวเลยติดต่อกันหลังหยอดฮอร์โมนนี้ไปอีกนานกว่า 12 ชม. โดยได้มีการอธิบายว่าฮอร์โมนนี้จะเปรียบเสมือนอาหารหลอกๆ ( fake meals) ที่ทำให้สมองรู้สึกว่าอิ่มแล้ว

จากผลงานวิจัยนี้ ทำให้วงการแพทย์อาจจะนำไปพัฒนายาที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนดังกล่าวมากขึ้น เพื่อลดการรับประทานจุกจิกระหว่างมื้อ และลดปริมาณอาหารหลักที่รับประทานลง แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมวิจัย ยังไม่พิสูจน์ยืนยันชัดเจนว่ากลไกการออกฤทธิ์ที่แน่นอนของร่างกายที่ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วจากผลการตอบสนองต่อ ฮอร์โมน PPY 3-36 นี้ได้ผลอย่างปลอดภัยหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

Posted on

งานวิจัย : รับประทานอาหารด้วยการหรี่ไฟ ได้บรรยากาศดี แถมลดน้ำหนักได้ด้วย

การสร้างบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อม อาจจะทำให้ลดน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่งที่อาจจะดูประหลาดซักนิด แต่ก็มีการวิจัยกันว่าบรรยากาศก็มีผลต่อการลดน้ำหนักน้ำหนักเช่นกัน โดยมีการวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้น ได้ทดลองกับอาสาสมัครกลุ่มตัวอย่าง 100 คน ผลการวิจัยพบว่าดังนี้

ได้มีการจัดบรรยากาศการลดน้ำหนักในอาสาสมัคร 100 คน โดยให้รับประทานในบรรยากาศที่มีแสงสว่างมากๆ เช่นการจัดบุฟเฟต์กลางแจ้ง หรือห้องที่มีแสงสว่างมากๆ เปรียบเทียบกับบรรยากาศกลางแสงเทียน หรือในร้านอาหารที่มีการหรี่ไฟ พบว่าอาสาสมัครมากกว่า 50 % สามารถรับประทานอาหารมากขึ้นในที่ที่แสงสว่างๆ มากๆ และเห็นหน้าตาของอาหาร

ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมว่า ในบรรยากาศที่แสงสว่างไม่มาก คนจะค่อยๆ รับประทานอาหาร ( อาจจะกลัวก้างติดคอ) อย่างช้าๆ และพักผ่อนไปด้วยในตัว ทำให้ใช้เวลาในการรับประทานอาหารมากขึ้น และทำให้อิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้นเราลองมาจัดบรรยากาศห้องอาหารในบ้าน โดยอาจจะด้วยการหรี่ไฟ รับประทานกลางแสงเทียน หรือใช้ที่กำบังระหว่างที่รับประทานและครัวให้ห่างออกจากกัน อาจจะทำให้น้ำหนักเราลดลงได้หลายกิโล ควบคู่กับการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ กันด้วยดีกว่

Posted on

อาหารลดน้ำหนัก ( Diet foods) เลือกอย่างไรดี ที่ไม่ทำให้อ้วน แล้วไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น

อาหารลดน้ำหนักได้แก่อะไรบ้าง

ส่วนใหญ่การรับประทานอาหารต่อวันไม่ควรเกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ได้มีรายงานวิจัยพบว่า อาหารที่ไม่ไขมันต่ำ ( ไม่เกินร้อยละ 10) สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 5 กิโลกรัมในคนอ้วน และลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
อาหารลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีแคลอรี่น้อย โดยจะต้องรับประทานในระยะยาวด้วย การจัดตารางการรับประทานอาหาร ควรจะเป็นดังนี้
– กลุ่มไขมัน ร้อยละ 10
– กลุ่มโปรตีนร้อยละ 15
– กลุ่มผักผลไม้ ร้อยละ 35
– และกลุ่มคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 40

12 เมนูอาหารลดน้ำหนักง่าย ๆ แคลอรีต่ำอิ่มครบทั้งสามมื้อ
1 แซนด์วิชโฮลวีต+อกไก่สับไม่ใส่น้ำมัน+ไข่ดาวไม่ใส่น้ำมัน
2. ปลาซาบะทอด+ต้มยำกุ้ง+แกงจืด
3. อกไก่ผัดกะปิ
4. ผัดกะเพราอกไก่
5. ผัดผักรวมใส่อกไก่+ไข่คนไม่ใส่น้ำมัน
6. แซนด์วิชสันในหมูสับ
7. น้ำพริกปลาทู+ปลาทูทอด+ผักเคียง8. อกไก่ทอดไข่ดาว
8. อกไก่ทอดไข่ดาว
9. ข้าวผัดทูน่าน้ำเเร่+แกงจืดไข่เจียว
10. ไข่เจียวไม่ใส่น้ำมันกับผักสามอย่าง
11. ผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่อกไก่
12. ผักสลัดแซลมอนย่าง ไข่ดาวไร้น้ำมัน และข้าวโพดนึ่ง

การปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหาร 
– รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่น้อยลง โดยการเลือกจานใบเล็กแทนใบใหญ่
– แบ่งมื้ออาหารเป็น 5 มื้อย่อยจานเล็กๆ ดีกว่ารับประทานอาหาร 3 มื้อด้วยจานใบใหญ่
– หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอซัก 30 นาทีเพื่อถามตัวเองว่ายังรู้สึกหิวอยู่จริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณอาหารอีกทีละน้อย
– ควรรับประทานอาหารคนเดียว เพื่อจะได้ควบคุมปริมาณได้ถูกต้อง และเลี่ยงการรับประทานอาหารในสถานที่ บุคคล หรือบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการกินให้มากขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และทำให้น้ำหนักเพิ่ม
-หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับ ขนมขบเคี้ยว เค้ก ขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด ไอสครีม ช็อกโกแลต
-แต่ถ้าหิวควรทดแทนด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด
-ไม่ควรเก็บของว่างหรืออาหารไว้ในตู้เย็น หรือครัว นอกจากนี้
-จำกัดหรืองดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เพราะมีแคลอรี่สูงพอๆ กับไขมัน ควรจะดับกระหายด้วยน้ำเปล่า

อนึ่งการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร แต่เพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่จะได้ผลดีเฉพาะกรณีที่น้ำหนักเกินมาตรฐานประมาณ 5 กิโลเท่านั้น และต้องใช้ความอดทน ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ดังนั้นการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ ต้องทำร่วมด้วยเสมอ ที่สำคัญ ต้องยึดมั่นในทัศนคติของคุณในการตั้งใจลดน้ำหนัก แม้จะมีน้ำหนักหวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีก แต่มันจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ต้องสู้ สู้ สู้ ไม่ท้อถอย 

Posted on

โรคอ้วน ( Obesity) : อ้วนไม่อ้วน ดูที่ตรงไหน ทำไมถึงอ้วนง่าย ไม่อยากอ้วนทำอย่างไร

อ้วนมั้ย ดูที่ BMI

หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาว่าจะเข้าข่ายของโรคอ้วนหรือไม่ แพทย์จะคิดคำนวณจากค่า ดัชนีความหนาของร่างกาย (Body mass index=BMI) ดังนี้ เราสามารถจะคำนวณค่า BMI ได้ด้วยตัวของเราเอง โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
BMI = น้ำหนัก(กิโล) / ส่วนสูง(เมตร)ยกกำลังสอง เมื่อได้ตัวเลขแล้ว จะนำมาประเมินภาวะอ้วนผอมได้ดังนี้

20.0-24.9 บ่งว่า BMI มีค่าปกติ
18.5-19.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 1
17.0-18.4 บ่งว่า BMI อยู่ในผอมระดับ 2
16.0-16.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 3
< 16 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 4
25.0-29.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 1
30.0-39.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 2
> 40 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 3

ทำไมคนเราจึงอ้วนมากและง่ายขึ้นในปัจจุบัน : เกิดได้จากหลักการใหญ่ๆ ดังนี้

  1. ปัจจุบันมีอาหารแปลกใหม่ รสชาดน่าลิ้มลองมากขึ้นกว่าในอดีต มีการเช็คอิน ร้านอาหารน่านั่ง หลายร้าน ทำให้มีการรับประทานมากขึ้น
  2. มีการใช้พลังงานที่ได้จากกิจกรรมต่างๆ ที่เผาผลาญพลังงานลดลง เพราะมีความอำนวยความสะดวกขึ้น มีเครื่องจักรกลช่วยทำงาน เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน การมีรถยนต์ หรือมีการดูโทรทัศน์มากขึ้น แทนที่จะใช้เวลาในการออกกำลังกาย และอีกเหตุผลก็คือ ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้คนเราต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาว่างในการคิดถึงสุขภาพตนเอง

ปัจจัยของการลดน้ำหนักได้ยาก : พอจะกล่าวได้เป็นข้อๆ ดังนี้

  1. สาเหตุของกรรมพันธุ์ ทำให้อ้วนง่ายอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลของยีนที่ได้รับจากพ่อแม่
  2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เมื่อลดน้ำหนักได้แล้ว กลับมาอ้วนได้ใหม่และง่ายขึ่น คือ เมื่อน้ำหนักลดลง ทำให้อัตราการเผาผลาญลดลง สาร leptin ในร่างกายที่เป็นตัวทำให้อิ่มก็ลดลงไปด้วย จึงทำให้หิวได้ง่ายขึ้น รับประทานมากขึ้น ซึ่งพบได้ในคนที่เคยลดน้ำหนักบ่อยๆ แล้วในระยะหลังจะลดได้ยากขึ้น
  3. มีความรู้สึกท้อแท้ เมื่อตั้งความหวังไว้สูงมากๆ ว่าจะลดได้มากๆ เมื่อทำไม่ได้ จึงหมดความพยายาม
  4. ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้เครียดหงุดหงิด จึงหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ โดยไม่ได้มีเวลาออกกำลังกาย

แนวทางในการปฏิบัติตนเมื่อเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก :

  1. ต้องทราบว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้น น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยทุก 0.5-1 กิโลกรัมต่อปี เมื่ออายุมากกว่า 25 ปี แม้จะรับประทานอาหาร ในปริมาณเท่าเดิมและออกกำลังมากขึ้น ดังนั้นจะต้องลดปริมาณอาหารและออกกำลังกายมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น
  2. การออกกำลังกายโดยการวิ่ง หรือเดินระยะทางนานๆ ถึอว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด และผลข้างเคียงน้อยที่สุดในปัจจุบัน
  3. ควรควบคุมน้ำหนักให้คงที่ ด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ไม่แนะนำให้รับประทานยาลดน้ำหนักไปเรื่อยๆ แบบไม่สิ้นสุด เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำหนัก ประเภทกระตุ้นให้อิ่มเร็วขึ้น เพราะเมื่อหยุดยา มีโอกาสเกิดโยโย่ได้ง่ายมาก
  5. รับประทานอาหารเสริมในสัดส่วนที่พอเหมาะ การลดน้ำหนักด้วยยารับประทานนานๆ ทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่และวิตามินที่สำคัญ
Posted on 1 Comment

Leptin : ฮอร์โมนความอิ่ม ที่พิชิตความอ้วน สาเหตุที่บางคนกินไม่รู้จักอิ่ม เพราะเหตุใด

Leptin คืออะไร

คือ ฮอร์โมนที่ควบคุมความอิ่ม ความหิวของร่างกาย โดยสัมพันธ์กับระดับไขมันในร่างกาย ฮอร์โมนเลปติน จะทำงานตรงกันข้ามกับฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ให้เกิดความหิว

ฮอร์โมนเลปตินทำงานอย่างไร?
ควบคุมสมดุล( homeostasis) ของการกินอาหารและการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย มีความเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และยังเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ และการสร้างกระดูกด้วย เพราะ Leptin จะทำให้มีการกระตุ้นการหลั่งสาร alpha-melanin stimaulating hormone ที่ทำให้การอยากอาหารลดลง

ภาวะดื้อต่อเลปติน (Leptin Resistance)
เกิดจากการที่ร่างกายเรามีไขมันส่วนเกินเยอะเกินไปอาจจะเกิดจากพฤติกรรมการกินของคนไทยที่เปลี่ยนไปกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมากขึ้น ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป ส่งผลให้สมอง และฮอร์โมนเลปติน ไม่สามารถสื่อสารกันได้ปกติ ทำใ้ห้การไหลเวียนโลหิตก็จะไม่ดี ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเลปตินในกระแสเลือดเยอะขึ้นไปด้วย ฮอร์โมนเลปตินก็ไม่สามารถเดินทางไปหาสมองได้ ทำให้ไม่สามารถสั่งงานให้สมองรู้จักคำว่าอิ่ม ส่งผลให้

  • กินเยอะขึ้น เพราะสมองเข้าใจผิดว่าร่างกายไม่มีไขมัน และพลังงานแคลอรี่เหลือแล้ว จึงกระตุ้นให้เรากินบ่อย และเยอะขึ้น
  • ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง สมองเข้าใจว่าแหล่งพลังงานเหลือน้อยลง มันก็จะกระตุ้นให้ระบบการทำงานของร่างกายให้ทำงานช้าลง เพื่อประหยัดพลังงานแคลอรี่ ทั้งที่ไขมันที่พุงยังมีเป็นกองๆ

การควบคุมให้ฮอร์โมน Leptin ทำงานได้ปกติ

  • เลี่ยง/งด อาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปส่วนใหญ่จะมี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินไป จึงส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันเยอะขึ้น
  • เน้นไปที่เส้นใยอาหาร: ทั้งชนิดละลายในน้ำ และชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ ล้วนช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น ลดความอยากอาหาร และกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้นด้วย
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายจะช่วยให้ระดับฮอร์โมนอยู่ในระดับปกติ และร่างกายนำไขมันออกมาใช้มากขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้สุขภาพโดยรวมพัง และน้ำหนักเกิน
  • ลดระดับไขมันในเลือด: ไขมันในเลือดที่เรียกว่า ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) นั้นจะไปบล็อคสัญญาณที่ฮอร์โมนเลปตินพยายามสื่อสารกับสมอง ดังนั้นเราต้องลดปริมาณไขมันชนิดนี้ลง เช่น งดดื่มน้ำอัดลม เป็นต้นครับ
  • เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง: โปรตีนช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดความอยากอาหาร กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และ ลดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน ครับ
Posted on

งานวิจัย Dementia : ผู้หญิงอ้วน เสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม! มากกว่าผู้ชายอ้วน

โรคอ้วนนั้นนอกจากจะทำให้เราสูญเสียภาพลักษณ์ที่น่ามองแล้ว ยังพบว่ายังก่อให้เกิดอาการผิดปกติแก่ร่างกาย เช่น การปวดข้อต่างๆ ได้ง่าย การเคลื่อนไหวไม่กระฉับกระเฉง แถมยังทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น ภาวะเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
งานวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ยังได้มีการค้นพบโรคอีกโรคที่มีผลมาจากความอ้วน นั่นคือ โรคสมองเสื่อม โดยนักวิจัยของอเมริกา ได้รายงานว่าผู้หญิงอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมมากถึง 74% ในขณะที่ผู้ชายที่อ้วนจะมีโอกาสเสี่ยงเพียงแค่ 39 % ( น้อยกว่าถึง 2 เท่า) ส่วนสาเหตุหรือกลไกที่ทำให้เกิด โรคสมองเสื่อมนั้น ยังต้องศึกษากันต่อไป

ส่วนการวิจัยในสวีเดนพบว่า การวัดขนาดรอบเอว ก็พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ โดยได้ทำการวิจัยจากอาสาสมัคร 2,700 คน อายุระหว่าง 18-70 ปี ผลการศึกษาพบว่า ขนาดรอบเอวที่มากกว่า 36 นิ้ว จะเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน ( ที่ควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือด) มากกว่าขนาดรอบเอวที่น้อยกว่านี้

Posted on

รำข้าวโอ๊ต ( Oat bran) กับบทบาทอาหารเสริม ลดน้ำหนัก ลดโรค ลดไขมันในเลือด

รำข้าวโอ๊ต ลดน้ำหนัก ลดโรคได้อย่างไร

ข้าวโอ๊ต ( Oat ) เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูล Avena sativa ที่นิยมเพาะปลูกในแถบยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเจริญเติบโตได้ดี ในเขตหนาว ชาวยุโรปนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ข้าวโอ๊ต เป็นพืชที่ให้เมล็ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต
รำข้าวโอ๊ต ( Oat Bran ) เป็นเส้นใย Fiber ที่ได้จากการขัดสีข้าวโอ๊ตให้ขาว หรือ คือเส้นใยบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ตนั่นเอง โดยเราพบว่า รำข้าวโอ๊ตจะให้เส้นใยอาหาร หรือ fiber 2 ชนิด คือ

  1. เส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้( Soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 95-98% ของปริมาณ เส้นใยอาหารทั้งหมด ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้เกิดสารละลายที่มีลักษณะเป็นเจล โดยเมื่อรับประทานเข้าไป ไฟเบอร์นี้จะละลายในสารอาหารก่อนที่ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเจลของไฟเบอร์จะเกาะติดกับสารอาหาร โดยเฉพาะไขมัน ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และจะเอาอาหารขับออกทางอุจจาระ จึงทำให้ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดได้
  2. เส้นใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำ( Non-soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 2-5 % ของ ปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมด โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ โดยจะดูดซับน้ำใว้กับตัวเองทำให้พองตัว เมื่อรับประทานเข้าไปจึงจะส่งผลให้ จึงทำให้ ปริมาตรของสารที่ต้องการขับถ่ายเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูกได้

ดังนั้นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่ผลิตจากรำข้าวโอ๊ต จึงนำมาใช้ในผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรค ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึง สารอาหารและวิตามินที่จำเป็นบางอย่างในอาหาร อาจ ถูกขับถ่ายออกไปด้วย

ขนาดที่รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหาร 20-30 นาทีทั้ง 3 มื้อ และดื่มน้ำตามประมาณ 1-2 แก้ว

Posted on

Anorexia nervosa : โรคกลัวอ้วน เป็นความผิดปกติในการกิน ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคกลัวอ้วน ( Anorexia nervosa) คืออะไร

โรคกลัวอ้วน ( Anorexia nervosa) เป็นโรคการผิดปกติในการกิน ที่เริ่มขึ้นในวัยรุ่นหนุ่มสาว โดยผู้ป่วยพยายามลดน้ำหนักตนเองอย่างมาก และมีอาการกลัวอ้วนทั้งๆ ที่ตนเองผอมแห้งอย่างมาก
พบได้ร้อยละ 95 ชองเพศหญิง มักพบช่วงอายุวัยรุ่นตอนต้นหรือช่วงปลาย ในอัตรา 1:100-1:800 พบบ่อยในประเทศตะวันตก แต่ในประเทศไทย พบได้บ้างประปราย
เกณฑ์การตัดสินว่าเป็นโรคนี้ มีดังนี้
1. น้ำหนักตัวลดลงเกิน ร้อยละ 15 ของน้ำหนักตัวมาตรฐาน โดยคำนวนจากค่า BMI ( body mass index) หรือค่าดัชนีความหนาของร่างกาย ซึ่งมีการคำนวณอย่างไร ได้เขียนบทความนี้ให้แล้ว ( ลองไปคลิกค้นหน้าดูนะครับ)
2. มีความวิตกกังวล กลัวอ้วนอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตนเองผอมมาก
3. มีความผิดปกติในการมองตนเองว่าอ้วน หรือคิดว่าบางส่วนของร่างกายมีไขมันมากเกินไป
4. ในเพศหญิงมีการขาดประจำเดือน เกิน 3 รอบติดต่อกัน
สาเหตุของโรคกลัวอ้วน มีปัจจัยหลายอย่างดังนี้ 
1. ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วยเอง- มักมีบุคลิกภาพที่เป็นแบบ ดีเลิศ(Perfectionist) เป็นเด็กตัวอย่างของครอบครัว ย้ำคิดย้ำทำ แต่ขาดทักษะในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
2. ปัจจัยเกี่ยวกับครอบครัว- มักถูกเลี้ยงดูแบบใกล้ชิด หรือปกป้องมากเกินไป ไม่ปล่อยให้เป็นตัวของตัวเอง บิดามารดามีความขัดแย้งกันบ่อยๆ และนำเด็กเข้าไปเกี่ยวด้วย
3. ปัจจัยทางสังคม- ค่านิยมของสังคมบางแห่ง ถือว่าผู้หญิงที่ผอมบางมีคุณค่า แต่ในขณะที่ผู้หญิงอ้วนเป็นคนที่ไม่รู้จักดูแลตนเอง

Anorexia nervosa
Anorexia nervosa

ลักษณะอาการที่พบ: -มักเริ่มต้นด้วยการพยายามลดน้ำหนัก ไม่ยอมกินอาหาร แต่พอน้ำหนักเริ่มลดลง ก็ยังไม่ยอมหยุดอดอาหาร ทำให้น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ พร้อมกับการพยายามออกกำลังกายมาก แต่บางคนก็ยังอยากกินอาหารเป็นพักๆ หรือบางคนไม่ยอมกินอะไรเลย แม้แต่อาหารแคลอรี่ต่ำ มีการพยายามชั่งน้ำหนักวันละหลายๆ ครั้ง ประจำเดือนขาด
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในผู้ป่วยโรคกลัวอ้วน 
1. ผิวหนังจะมีลักษณะแห้ง หยาบ ลอก มีขนเล็กๆ( lanugo) ขึ้นตามตัว แขน ขา ใบหน้า
2. มักบ่นว่าหนาวง่าย มีอุณหภูมิร่างกายต่ำ
3. อัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที
4. มีความผิดปกติในระบบการย่อยอาหาร และการขับถ่าย
5. เวียนศีรษะเป็นลมได้ง่าย
6. ถ้ารุนแรง อาจถึงแก่ชีวิตได้
แนวทางการรักษา 
1. ต้องประเมินภาวะความสมบูรณ์ของร่างกาย
2. ดูภาวะทุพพลโภชนาการระดับใด
3. มักให้นอนรพ. เพื่อฟื้นฟูสภาพทางกาย และทางจิตใจ เพราะการรักษาด้วยยาอย่างเดียวได้ผลไม่ดีนัก ต้องควบคู่กับการรักษาจิตบำบัด
ดังนั้นสาวเจ้าทั้งหลาย การลดน้ำหนักแต่พอควรให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะมีตัวอย่าง ดาราฮอลลีวู้ดหลายนาง ได้เสียชีวิตด้วยโรคกลัวอ้วนมาแล้วนะครับ

Posted on

L-Carnitine อาหารเสริม เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือกินเพิื่อลดน้ำหนักได้ จริงมั้ย หรืออย่างไร

L-Carnitine คืออะไร

คือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้เอง จากตับและไต โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนีน (methionine) แล้วเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย สมอง หัวใจ และอสุจิ มีหน้าที่ลำเลียงกรดไขมันไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ แอล-คาร์นิทีนช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง
แอล-คาร์นิทีนกับการลดน้ำหนักได้จริงมั้ย
ไม่มีผลการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่จะแสดงว่ามันสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาบางตัวแสดงให้เห็นว่าการทานคาร์นิทีนช่วยลดมวลไขมัน เพิ่มเป็นมวลกล้ามเนื้อได้ โดยเมื่อทานก่อนออกกำลังกาย จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังได้นานขึ้น ลดความเมื่อยล้า แต่ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง

ใช้ L-carnitine อย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

สำหรับผู้ที่ต้องการกินอาหารเสริม L-carnitine เพื่อบำรุงสุขภาพนั้นอาจทำได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ เนื่องจากอาหารเสริมชนิดนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ไม่สบายท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ชัก เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มคนต่อไปนี้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ

  • สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันความปลอดภัยในการนำมาใช้กับสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่ให้นมบุตร หากต้องการใช้อาหารเสริมชนิดนี้จริง ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • เด็กไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์ไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากอาจทำให้อาการป่วยแย่ลงได้
  • ผู้ที่เคยมีอาการชักควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากเสี่ยงก่อให้เกิดอาการชักได้สูง


Posted on

4 เคล็ดลับกับการกินอาหารให้สุขภาพดี ไม่อ้วน กับ 5 หมวดหมู่อาหารที่ควรรับประทานอย่างไร

9 เคล็ดลับ กินดี ไม่มีอ้วน

1. รับประทานไขมันให้น้อยลง ประมาณน้อยกว่า 40-50 กรัมต่อวัน ซึ่งจะทำให้แคลอรี่ลดลง เป็นการลดน้ำหนักที่ดี และลดผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมัน
2. ลดปริมาณแคลอรี่ต่อวัน ให้เหลือ 600 แคลอรี่ ร่วมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมทีละน้อยๆ และง่ายๆเป็นสิ่งสำคัญกว่า
3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 3 มื้อ โดยรับประทานเป็นมื้อเล็กๆ พร้อมบันทึกน้ำหนักเป็นเวลา เปรียบเทียบไว้เตือนใจตนเอง
4. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมวดโดยเรียงจากกลุ่มที่ควรรับประทานให้น้อยสุด ไปมากสุด ดังนี้
4.1 หมวดไขมัน ของหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เป็นกลุ่มอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูง ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และมีสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย จึงควรจำกัดอาหารประเภทนี้ให้น้อยที่สุด
4.2 หมวดเนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินเอ บี1 บี 6 บี12 วิตามินดี วิตามินเค ธาตุเหล็ก ไนอะซิน สังกะสี และฟอสฟอรับ ที่เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอและการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยจำกัดในปริมาณที่ต่ำ และเลือกที่มีไขมันต่ำ
4.3 หมวดผัก เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่
4.4 หมวดผลไม้ เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ บี6 วิตามินซี กรดโฟลิค โพแตสเซียม เส้นใยอาหาร ในแต่ละวันเราควรเลือกรับประทานผักผลไม้ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน โดยเลือกผลไม้ที่มีสีเหลือง หรือสีส้มจัด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารวันละ 1 อย่าง ผักใบเขียวจัดวันละ 1 อย่าง เลือกผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป ส่วนที่เหลือ จะเลือกผักผลไม้ ชนิดใดก็ได้
4.5 หมวดข้าว แป้ง และเมล็ดธัญพืช เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยอาหาร เป็นหมวดที่ต้องรับประทานมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งให้พลังงานแก่ชีวิตประจำวัน

Posted on

ไฟเบอร์สกัดจากเมล็ดแมงลัก( Psylium ) ช่วยควบคุมน้ำหนัก ได้อย่างไร เหมาะกับใคร

เมล็ดแมงลัก( Psylium ) กับการลดน้ำหนัก

แมงลัก ( Psylium ) เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูล Plantaginaceae ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Plantago psyllium โดยพบว่าเมล็ดของต้นแมงลัก จะมีเยื่อหุ้มเมล็ด ( Husk) ซึ่งจะให้ใยอาหารหรือไฟเบอร์ ที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ถึง 25 เท่าของน้ำหนักตัวเอง และเมื่อดูดซับน้ำไว้แล้ว ไฟเบอร์จากเมล็ดแมงลัก ก็จะมีลักษณะเป็นเยื่อเมือกลื่นที่เรียกว่า Mucillage และส่วนนี้เองที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และโภชนาการอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ในทางโภชนาการเราสามารถจำแนกชนิดของเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ อย่างง่ายๆ ตามลักษณะของการละลายน้ำได้ 2 ชนิด คือ

  1. ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ( Soluble fiber )  ซึ่งเมื่อไฟเบอร์นี้ละลายน้ำ จะมีลักษณะเป็นเจลขึ้น ซึ่งจะเกาะติดกับโมเลกุลของไขมัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไปได้เป็นอย่างดี ทำให้ป้องกันการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด และไฟเบอร์ชนิดนี้ก็จะนำพาสารอาหารที่ติดอยู่ขับออกไปทางอุจจาระ
    สรรพคุณ
    – ลดระดับไขมันและน้ำตาลในคนไข้ที่มีปัญหาได้ดี
    – ทำให้น้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงอย่างปลอดภัย
  2. ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำได้ ( Insoluble fiber ) ไฟเบอร์ชนิดนี้จะมีการทำงานคล้ายๆ ฟองน้ำ ( sponge) โดยจะทำการดูดน้ำไว้กับตัวเองทำให้พองตัว
    สรรพคุณ
    – ถ้าหากรับประทานไฟเบอร์ชนิดนี้เข้าไป จึงทำให้อิ่มไวขึ้น ก็ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
    – ทำให้เร่งให้อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านไปลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น จึงป้องกันปัญหาการดูดซึมสารอาหารเข้าร่างกาย และทำให้ลดและป้องกันภาวะท้องผูก
    เหมาะกับใคร
    – เหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก
    – ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะการพองตัวของเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ช้าลง นั้นหมายความว่าร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลได้น้อยลงด้วย
    – ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง เพราะเม็ดแมงลักจะช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ด้วย
Posted on

สารสกัดจากผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) สามารถลดน้ำหนักได้อย่างไร

ผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) คืออะไร

ส้มแขก( Garcenia Cambogia) เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร
ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้
กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb’s cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย
ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น
การนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง
ปัจจุบัน ส้มแขก ได้มีการทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ลดน้ำหนัก ในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ด แคบซูล และผง และมีวางจำหน่ายทั่วไป
ผลข้างเคียง ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน 600 mgครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับดื่มน้ำตามหลัง ประมานหนึ่งแก้ว

Posted on

6 เหตุผล ที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงลดน้ำหนัก และ 7 แนวทางง่ายๆ ที่ไม่ยาก ถ้าอยากผอม

6 เหตุผลที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงอยากลดน้ำหนัก

  1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น
  2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง
  3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น
  4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว
  5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้
  6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง

7 แนวทางการออกกำลังกายง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

  1. ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน
    2.เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที
  2. ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์
  3. มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก
  4. เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ
  5. ดินเล่นก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)
  6. อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้

ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า
– ‘ การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7 mmHg. เพราะ ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง
– ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรค โดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35
– คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก
– ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด’

ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนัก เราควรจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วอ้างคำว่า ‘ ไม่มีเวลา’ สำหรับสุขภาพทีดีของเราเลยนะครับ 

Posted on

5 เคล็บลับในการรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล และไม่กลับมาอ้วนอีก

กินอย่างไร ไม่ให้อ้วน

ควรรับประทานอาหาร อย่างมีสติ 

  1. ระลึกและมีสติกับสิ่งที่คุณกำลังรับประทาน โดยพยายามเลือกที่จะรับประทาน และทำอะไรทีละอย่าง ไม่ใช่ทำพร้อมกัน
    เช่น รับประทานอาหาร ขณะดูทีวี หรือคุยกัน เพราะจะทำให้ไม่ทราบปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญอย่ารับประทานอาหารโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่หิว
  2. ควรรับประทานอาหารเมื่อ หิว ไม่ใช่ ความหยากอาหารดังนั้นควรจะถามตนเองว่า ‘ นี่ฉันหิวจริงๆ หรือ?’ หรือเพียงเพราะว่า ‘ มันถึงเวลารับประทานแล้ว หรือ อยากรับประทานอะไรซักอย่าง ‘
    และเมื่อแยกความรู้สึกได้ หรือหิวจริงๆ ก็ควรจะรับประทานอาหาร และต้องเอาใจใส่กับอาหาร ‘ อะไร ‘ และ ‘ เท่าไหร่จึงพออิ่ม’
  3. รับประทานอย่างช้าๆ เพราะถ้ายิ่งรับประทานอาหารเร็วเท่าไรก็จะยิ่งรับประทานมากขึ้นเท่านั้น ก่อนที่ร่างกายจะบอกว่าพอแล้ว ปริมาณอาหารที่ได้รับเข้าไปก็เกินกว่าที่ร่างกายต้องการจริงๆ จึงเหลือสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย

5 เคล็ดกับกับการกินไม่ให้อ้วน

เคล็ดลับที่ 1. รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่น้อยลง โดยการเลือกจานใบเล็กแทนใบใหญ่ หรือแบ่งมื้ออาหารเป็น 5 มื้อย่อยจานเล็กๆ ดีกว่ารับประทานอาหาร 3 มื้อด้วยจานใบใหญ่
หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอซัก 30 นาทีเพื่อถามตัวเองว่ายังรู้สึกหิวอยู่จริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณอาหารอีกทีละน้อย
เคล็ดลับที่ 2. เลือกอาหารที่รับประทานโดยยึดตามคำแนะนำ ‘ ปิรามิดแนะแนวอาหาร’ โดยมีสัดส่วนของ แป้งและคาร์โบไฮเดรต 40%:ผักผลไม้ 35%:โปรตีน ( เนื้อแดงไม่ติดมัน ปลา) 20%: ไขมัน 5%
เคล็ดลับที่ 3. หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับ ขนมขบเคี้ยว เค้ก ขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด ไอสครีม ช็อกโกแลต เพราะจะมีไขมันและแคลอรี่สูงมาก และจะยับยั้งความหิวของคุณได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
แต่ถ้าหิวควรทดแทนด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด และไม่ควรเก็บของว่างหรืออาหารไว้ในตู้เย็น หรือครัว
เคล็ดลับที่ 4.  ยึดมั่นในทัศนคติของคุณในการตั้งใจลดน้ำหนัก แม้จะมีน้ำหนักหวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีก แต่มันจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าพูดว่า ‘ ไม่เป็นไร’ หรือ ‘ ฉันคงทำใหม่อีกไม่ได้ ‘
เคล็ดลับที่ 5. จำกัดหรืองดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เพราะมีแคลอรี่สูงพอๆ กับไขมัน ควรจะดับกระหายด้วยน้ำเปล่า
คงแนะนำให้คุณปฏิบัติง่ายๆ แค่นี้ดูก่อนนะครับ ซึ่งไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป และเชื่อมั่นได้ว่า น้ำหนักของคุณจะค่อยๆ ควบคุมได้ และลดลงอย่าง แน่นอนและปลอดภัย ซึ่งจะได้ผลดีขึ้น