Posted on 48 Comments

ฉีดโบ ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้มากมาย ไม่ใช่แค่ริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ( Advanced technique for Botox Injection)

ฉีดโบทอกซ์ ยกหางคิ้ว หางตา

โบทอกซ์แก้ปัญหาอะไร

ปัจจุบันฉีดโบที่นิยมฉีดกัน ใช้แก้ปัญหาอะไรบ้าง : เดิมเรารู้แค่ว่าโบทอกซ์ ออกฤทธิ์โดยการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้คอลลาเจน หดตัว แต่ปัจจุบัน มีการนำโบทอกซ์มาแก้ปัญหาอื่นๆ ได้อีกมากมาย ที่หลายคนไม่รู้ จึงขอเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ว่าโบทอกซ์แล้วแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ดังนี้นะครับ
1. ฉีดลดริ้วรอย ตามบริเวณต่างๆ เช่น ตีนกา หน้าผาก หัวคิ้ว รอยย่นเวลาสันจมูก (nasal scrunch)
2. ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ( Facial Contouring)
3. ฉีดลดเหงื่อที่รักแร้ ลดกลิ่นเต่า ลดเหงื่อที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ( Hyperhidrosis)
4. ฉีดลดน่อง แก้ปัญหาน่องโต
5. ฉีดยกคิ้ว แก้หางตาตก ปรับแนวรูปคิ้ว ให้ได้รูปตามต้องการ ปรับตาให้ดูกลมสวยงาม
6. ฉีดยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ( Face Lift or Crown’S Lfiting )

7. ฉีดลดกล้ามเนื้อขอบตาล่าง ที่คล้ายๆ ถุงไขมันใต้ตา Pre-tarsal Muscle)เวลายิ้มจะเห็นชัดขึ้น พบได้บ่อยในคนเกาหลี แต่บางคนอาจจะไม่ชอบ ให้ก้อนนี้เล็กลงได้ เวลายิ้มจะเห็นเป็นก้อนๆ
8.ฉีดลดปีกจมูก และ ฉีดยกจมูกงุ้มให้เชิดขึ้น
9. ฉีดแก้ปัญหายิ้มแล้วเห็นเหงือก (Gummy smile ) ฉีดแล้วการยิ้มเห็นเหงือกจะลดลง
10. ฉีดลดรอยย่นที่ริมฝีปาก กรณีทำปากจู๋ แล้วพบว่ารอยย่นชัดเจน พบบ่อยในคนที่สูบบุหรี่
11. ฉีดยกมุมปาก ( Mationette Line)
12. ฉีดรอยย่นที่คาง ( Mental Crease) หรือรอยบุ๋มที่คาง ( Poply Chin)ที่เวลายิ้มทำให้คางสั้น ให้ดูยาวขึ้น  

13. ฉีดเส้นรอยย่นที่คอให้ดูตืนขึ้น (Neck Line)
14. ฉีดกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ( Microbotox)
15. ฉีดลดต้นแขนใหญ่จากกล้ามเนื้อ
16. ฉีดลดเส้นกล้ามเนื้อที่คอ (Aging Platysma Band)
17. ฉีดลดอาการปวดศีรษะไมเกรน
18. ฉีดลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อจากการทำงาน( Myo-facial office syndrome)
แต่ทั้งนี้ ขอย้ำนะครับ ว่ามีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่ทำได้ทุกอย่าง ก่อนทำควรเลือกที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญ ใช้ของแท้ ผ่าน อย. จึงจะได้ผลดีตามที่ต้องการ ไม่มีผลข้างเคียง

ฉีดโบทอกซ์ ลดน่องโต ก่อนหลัง 3 เดือน

ลดปัญหายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากไป (Gummy smile)
ลดรอยย่นที่คอ
ลดเส้นเอ็นที่คอ
ฉีดยกมุมปาก แก้ปากตก ร่องน้ำหมาก

ลดกล้ามแขน
Posted on

มือเหี่ยว ดูเหมือนแก่ก่อนวัย ป้องกันแล้วก็ไม่ไหว แก้ไขได้ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Hand Rejuvenation with Fillers)

4 เคล็ดลับ ป้องกัน มือเหี่ยว

– ในแวดวงความงามในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเกี่ยวกับการดูแลความงาม และฟื้นฟูผิวหน้า ให้กลับมาสดใส แลดูเยาว์วัย กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางอย่างที่บางคนละเลย หรือไม่สนใจ นั่นก็คือ มือ
แม้จะปกปิดอายุที่แท้จริง จากใบหน้าที่เต่งตึงได้ แต่ส่วนใหญ่กับมือกลับเป็นตัวบ่งบอกอายุที่แท้จริงของเราได้อีกทางหนึ่งทีเดียว ดังนั้นนอกจากดูแลผิวหน้าและผิวตัวเป็นอย่างดีแล้ว อย่าปล่อยให้มือต้องเหี่ยวอย่างเดียวดาย เอาเทคนิคนี้ไปใช้ ให้มือเด็ก เนียนนุ่ม ไม่ดูเหี่ยวจนฟ้องอายุด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากให้หนุ่มๆ จับแล้วว่าแก่ มาดู 5 เคล็ดลับนี้นะครับ
1. ทาครีมบำรุง ถึงแม้เราจะใช้มือทาครีมและคิดว่ามือก็ได้รับการบำรุงจากครีมทาผิวอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ลองเลือกครีมทามือโดยเฉพาะด้วยดีกว่า จะได้เน้นบำรุงไปที่ริ้วรอยและความหยาบกร้านของมือตรงจุดไปเลย ทาบ่อยๆ ทุกครั้งหลังล้างมือก็ยิ่งดี
2. ทากันแดด เพราะแสงแดดมีแสงยูวีที่ นอกจากจะทำให้มือดำคล้ำแล้ว ยังทำให้มือเหี่ยวก่อนวัยได้ด้วย
3. ทำพาราฟินมือ คือการใช้แว็กซ์หรือขี้ผึ้ง มาละลายให้อุ่นๆ แล้วเอามือค่อยๆ จุ่มลงไป ซึ่งความอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรทาอาการนิ้วล็อคได้ เมื่อมือของเรามีการไหลเวียนของเลือดที่ดีแล้ว ก็จะทำให้มือนุ่มขึ้นด้วยนั่นเอง แต่อาจจะต้องทำต่อเนื่องเรื่อยๆ
4. ใส่ถุงมือเข้านอน หลังทาครีมเรียบร้อย เวลาเข้านอน อาจจะมีแอร์ที่ทำให้ครีมระเหยได้ง่าย การใส่ถุงมือก่อนนอน จะได้ป้องกันความมือแห้ง และเป็นการป้องกันครีมจะได้ซึมเข้าผิวไม่หลุดง่าย

ฟิลเลอร์ ฟื้นคืนความเยาววัยให้มือได้ (Hand Rejuveantion)

Fillers : จัดเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อการฟื้นฟูมือให้ดูอ่อนกว่าวัยที่แท้จริง เห็นผลทันที ไม่มีต้องทำศัลยกรรม โดยจะช่วยบำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคุณสมบัติของ Hyaluronic acid ที่มีสรรพคุณดูดน้ำให้ผิว ทำให้ผิวแต่งตึงทันทีหลังฉีด แต่ควรเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่ ปั้นได้ง่าย ไม่เป็นก้อนหลังฉีด เพราะหลังมือเป็นบริเวณที่บอบบาง สังเกตได้ง่าย และที่สำคัญต้องฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ

Fillers ที่ดี ที่จะฉีดมือ ควรจะมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้ คือ 

  1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยการสร้างสมดุลให้กับเซลล์ผิวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
  2. ช่วยสร้างไฟโบรบลัสท์ (Fibroblast)สร้างเซลส์ใหม่อย่างครบวงจร
  3. ช่วยปกป์องผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระและแสงแดด
  4. ให้ความชุ่มชื้น เต่งตึงลดริ้วรอย ขาวใส และความอ่อนเยาว์ อย่างยั่งยืน
  5. เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติลื่นไหล โมเลกุลเล็ก ปั้นแต่งได้ง่าย ดูดน้ำได้ดี เพราะมือมักจะแห้งได้ง่าย และมีปลอดภัย ผ่านอ.ย.
  6. เลือกฟิลเลอร์ที่มีอายุไม่นาน เพราะผิวที่มือ เปลี่ยนแปลงตามอายุ ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่อยู่นานหลายๆ ปี อาจจะมีปัญหาเป็นก้อนๆ ได้ เพราะมือเราต้องขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา
  7. ฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ
เห็นผลทันที หลังฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน 10-12 เดือน
Posted on 2 Comments

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen ) ฟื้นฟูผิวฉ่ำวาว มีออร่า ล้ำลึกระดับเซลล์ ด้วยเทคนิคการฝังเข็มตามศาสตร์จีน (Homeopathy)

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen )คืออะไร

คือ การฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ด้วยหลักการธรรมชาติบำบัด (Homeopathy) ในระดับเซลล์ ถูกคิดค้นในปี 1991 โดยแพทย์ชาวเบลเยี่ยม ที่ชื่อ Jan Kersschot ด้วยการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติปริมาณเล็กน้อยในบริเวณจุดฝังเข็ม ตามแบบแพทย์แผนจีน บริเวณใบหน้า ซึ่งเชื่อว่าจุดฝังเข็มดังกล่าว จะทำให้ตัวสารสำคัญที่ฉีดสามารถแทรกซึมเข้าไปในบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถึงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix
– เราเชื่อว่าผิวอ่อนล้า หมองคล้ำ แก่ก่อนวัย เกิดจากมลภาวะภายนอก เช่น แสงแดด สารพิษ ต่างๆ สามารถสะสมและเกิดการทำลายผิวเรา ตรงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix นั่นเอง
– สูตรผสมของมาเด้ คอลลาเจน ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบ Homeopathy โดยมีหลักการบำบัดว่า “ ใช้สิ่งที่คล้ายกัน มารักษาสิ่งที่คล้ายกัน หรือ การนำพิษล้างพิษ ” เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง

มาเด้ คอลลาเจนทำงานอย่างไร

มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน และตัวยาแต่ละตัวก็จะส่งเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน จะฉีดทั้งหมด 20 จุดทั่วใบหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการบำรุงผิว โดยมีกลไกในการทำงาน 4 ขั้นตอนดังนี้

  1. Detoxification: คือการเร่งขับสารพิษและของเสีย ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดริ้วรอยออกจากร่างกาย เพราะถ้าเซลล์ผิวพรรณที่สารพิษหรือของเสียจำนวนมากๆ เซลล์ผิวพรรณก็ไม่สามารถจะได้รับสารอาหารใหม่ๆ เข้าไปหล่อเลี้ยงได้ ดังนั้นจึงต้องขจัดของเสียหรือสารพิษที่อยู่ในเซลล์ผิวพรรณออกไปเสียก่อน 
  2. Metabolism : คือ การเร่งการเผาผลาญพลังงานและการไหลเวียนของเลือด โดยขบวนการนี้จะช่วยให้ผิวพรรณ ได้รับสารอาหารบำรุงผิวที่จำเป็น ทำให้มีกำลังฟื้นฟูตัวเองได้
  3. Nutrients and Cell Therapy : สูตรยาเฉพาะของ มาเด้ คอลลาเจน จะประกอบด้วยสารอาหาร และเซลล์เนื้อเยื่อในจำนวนที่พอเหมาะที่ร่างกายต้องการ เพื่อการสร้างคอลลาเจน และ fibroblasts ใหม่ กับผิวพรรณ
  4. Restructuring : คือการปรับสมดุลให้กับผิวพรรณใหม่ ช่วยให้ผิวพรรณมีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง สามารถต่อสู้กับสาเหตุของความเสื่อมของผิวพรรณได้ ทำให้ผิวสวยแข็งแรง ไม่ถูกทำลายได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

มาเด้ คอลลาเจน เหมาะกับใครบ้าง

1.ผู้มีปัญหาสิวเรื้อรัง ที่สมดุลย์ของฮอร์โมนผิดปกติ Made’ Collagen จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกายให้เป็นปกติ
2. ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทำให้ผิวแข็งแรงและทนทานต่อสารที่ทำให้แพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. ผู้ที่มีฝ้าฮอร์โมน ใจากฮอร์โมนผิดปกติ โดยจะช่วยในเรื่องการหมุนเวียนของเลือด และปรับสมดุลของฮอร์โมน
4. ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ จากแสงแดด และมลพิษ มาเด้ คอลลาเจน จะช่วยขับสารพิษที่ฝังในระดับเซลล์ออกมาจากร่างกาย
5. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเรื้อรัง ทาครีมบำรุงก็ไม่ช่วยอะไร มาเด้ คอลลาเจน จะทำให้ผิวพรรณที่สุขภาพดี เต่งตึง เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ผิวฟูดูฉ่ำน้ำ อย่างดูเป็นธรรมชาติ
มาเด คอลลาเจน ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล มีผลข้างเคียงใดๆ หรือไม่ 
– มาเด้ คอลลาเจน สกัดจากสารสกัดธรรมชาติ และวิตามิน จึงไม่พบผลข้างเคียงใดๆ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วงแรก ควรจะทำต่อเนื่องทุกอาทิตย์ จากนั้นจะฉีดห่างออกไป เป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุก 1-3 เดือน เพื่อบำรุงผิวในระยะยาว
– พบว่า ยิ่งทำตอนอายุยิ่งน้อย ก็จะเห็นผลเร็วกว่า เมื่ออายุมากขึ้น เพราะสภาพเซลล์โดยรวมยังดีอยู่ และไม่ต้องใช้เวลานานในการปรับสภาพ แต่ถ้าอายุมากขึ้น อาจจะต้องทำหลายครั้งมากกว่านี้ เพราะเซลล์ผิวเสื่อมมานานพอสมควร ต้องใช้เวลานานมากกว่าในการให้ฟื้นคืนกลับมาปกติ

Posted on

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี แบบไหน อย่างไร ได้ให้ผลดี ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี ดีแตกต่างกัน

“ผิวหน้าขาวใส” จัดเป็นความต้องการอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักความสวยงาม ไม่ว่าเพศไหน วัยไหน เป็นค่านิยมที่ฮิตติดเทรนด์ ยิ่งไม่มีสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำ แผลเป็น รอยหลุม จึงเป็นยอดปรารถณาเป็นอย่างยิ่ง แต่พอค้นใน Google มีให้เลือกเยอะมาก จนสับสนว่าจะเลือกวิธีไหนดีใ ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามจะรวบรวมเทคนิคหน้าใสต่างๆ เหล่านี้ ไว้ในบทความนี้ เพื่อสะดวกในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผิวหน้า ปัญหา และความต้องการของแต่ละท่าน พร้อมข้อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ขอเรียงลำดับตามความนิยม และการได้ผลดี จากมากไปน้อยนะครับ ดังนี้นะครับ
1.เมโสหน้าใส ( Meso bright) : เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ต้องการเห็นผลท้ันทีหลังทำ หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มสะกิดไปทั่วใบหน้า ลงไปใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน หลังทำนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสมือนเติมอาหารและวิตามินให้แก่ผิวโดยตรง สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส เห็นผลทันทีได้ และไม่ต้องทำบ่อยๆ สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อด้อย : อาจจะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่ทำ ในบางคนอาจจะเกิดการอักเสบ หรือคัน บวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีดได้ ไม่ช่วยรอยแดงสิว

2. มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen) : เป็นการฉีดยาตามจุดฝังเข็ม 20 จุด ตามศาสตร์จีนโบราณ โดยใช้ ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบธรรมชาติบำบัด ( Homeopathy ) มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน ทั้งการทำดีทอกซ์ผิว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การให้อาหารกับผิว ปรับความสมดุล ฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ทำใหผิวฉ่ำวาว มีออร่า เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ หน้าดูอิตโรย ไม่สดใส
ข้อเด่น :  ทำให้ผิวใส ดูมีน้ำมีนวล ทันทีหลังทำ ไม่เคยมีหลักฐานการแพ้ตัวยาที่ฉีด
ข้อด้อย : ไม่เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม หรือเขียวช้ำง่าย การฉีดไปตามจุดฝังเข็ม จะค่อนข้างเจ็บมาก บางคนทนไม่ไหว ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ รอยแดงสิว

3. เลเซอร์หน้าใส (Micro-Laser Peel) : เป็นการทำให้หน้าขาวใส โดยใช้เลเซอร์ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะแต่ละปัญหา โดยแยกการทำงาน ว่าจะยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการสร้างเม็ดสีให้จางลง จาก รอยดำ ฝ้า กระ เลเซอร์เม็ดสี กลุ่ม Q-Switch Nd:YaG Laserเช่น Revlite Lase, Medlite C-6 ที่มารักษา หรือ กลุ่มรอยแดง จากสิว ผิวไม่เรียบเนียน ด้วย V-beam laser
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำ รอยแดงสิว กระชับรูขุมขน ได้ดี และเร็วกว่าทุกๆ วิธี และ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ
ข้อด้อย: ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับวิธีอื่น


4. ครีมทาหน้าขาว(Whitening creams : คือการทาครีมทำให้หน้าขาว อาศัยขบวนการ ให้ครีม หรือสารทั้งหลาย ต้องมีฤทธิ์ในยับยั้ง ขบวนการสร้างเม็ดสีให้ลดลง เมื่อใช้ไปต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ข้อเด่น : ทำให้สีผิวค่อยๆ ขาวขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นในรายที่แพ้ตัวยาบางตัว
ข้อด้อย: ได้ผลแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่สีผิว ส่วนประกอบของครีมความสม่ำเสมอในการทาครีมก็แตกต่างกัน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ใจร้อน และอาจจะทำให้แพ้ได้ในบางคน

5. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling ) คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้เข้มข้น เช่น 30-70 % AHAs,30-50% TCA การเลือกใช้สารเคมีใด ความเข้มข้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
ข้อเด่น : ผิวหน้าขาวไวภายใน 3-7 วันหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลงได้
ข้อด้อย: ทำให้ผิวหน้าลอกได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ระยะเวลาที่ทาทิ้งไว้ ถ้าลอกมากเกินไป หรือลอกบ่อยๆ ผิวหน้าจะบางลงได้ บางรายที่แพ้สารเคมีที่ใช้ แทนที่ผิวหน้าจะขาวใส อาจจะแพ้ แดง ระคายเคือง ผิวหน้าไหม้เกรียม ดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมก็ได้ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนสิีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ

6.ไอออนโต( Iontophoresis) : คือ การใช้เครื่องมือ ที่ทำให้ตัวยาไวเทนนิ่ง แตกตัวเป็นประจุ เพื่อให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น ทำให้ได้ผลมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการทาไวเทนนิ่งครีมปกติ
ข้อเด่น : มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย เหมาะสำหรับคนที่ผิวมัน และมีสิว ไปด้วย เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลงได้ สิวลดลงได้เช่นกัน
ข้อด้อย: อาจจะรู้สึกเจ็บหรือคันยุบยิบในระหว่างทำ (ซึ่งบางคนไม่ชอบ ) ไม่สามารถทำได้ทุกจุดบนใบหน้า บางคนอาจจะทำให้สิวเห่อมากขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติผิวหน้าแพ้ง่าย

7. Phonophoresis : คือ เทคนิคการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยเครื่อง อัลตราโซนิค โดยใช้คลื่นความถี่สูง 20,000 Hz ผลักตัวยากลุ่มไวเทนนิ่งให้ลงลึกสู่ผิวหน้า ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ถือว่าเป็นวิธีทีสะดวก เพราะราคาไม่แพง
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือคันยุบยิบเหมือนการทำไอออนโต นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง
ข้อด้อย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน เพราะกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ มีโอกาสเกิดการแพ้ยาที่ใช้ ได้ผลการรักษาช้า ไม่แน่นอน เพราะมีการงานวิจัย เชื่อว่าไม่ได้ผลเหมือนกัน

8.การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabrasion) : เป็นการกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณี (Aluminium Oxide) ขนาดเล็กมาก โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊ม โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ เหมาะผิวหน้าที่มีปัญหา รอยด่างดำ หมองคล้ำ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส ได้ในทันทีหลังทำ แต่จะมากน้อย แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว ระยะเวลาในการทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ ผิวหน้ามันลดลง รูขุมขนกระชับขึ้นได้
ข้อด้อย: ขณะทำการกรอผิว อาจจะรู้สึกแสบเคือง ระคายผิว และเจ็บในระหว่างที่ทำ และไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวแพ้ง่าย ผู้ที่ตากแดดบ่อยๆ หลังทำต้องเลี่ยงแดด ถ้าทำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลงได้

Posted on

RevLite (Pigmented Laser) : เลเซอร์ลบรอยสัก รักษาฝ้า กระ ทุกชนิด รักแร้ดำ รอยไหม้ ได้ผล ไม่ลอก ไม่แดงหลังทำ

Revlite คืออะไร แตกต่างจากเลเซอร์เม็ดสีตัวอื่นอย่างไร

จัดเป็น Pigmented Laser ชนิด Q-switched Nd:YaG laser ที่ผ่านการรับรองเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลจาก FDA ของอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ 2008
ความแตกต่าง : มีการพัฒนาให้มีคุณลักษณะที่โดดเด่น ด้วยเทคนิคเฉพาะที่ให้พลังงานมากขึ้น แต่ระยะเวลาในการยิงสั้น แบบ nanosecond มีความจำเพาะต่อรอยโรคที่แม่นยำขึ้น จึงได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นกว่าไม่มีความร้อนสะสมที่ผิว เหมือนยี่ห้ออื่นๆ เลเซอร์ RevLite® เหมาะกับทุกสภาพสีผิว สามารถเลือกยิงได้ หลากหลายช่วงความยาวคลื่น(multi-wavelength) จึงเพิ่มขีดความสามารถได้มากกว่า Q-switched laser รุ่นก่อนหน้านี้

RevLite รักษาอะไรได้บ้าง

1. กลุ่มความผิดปกติของเม็ดสี (Pigmented Lesion Removal ) :  ได้แก่ ฝ้าทุกชนิด กระ ปานดำ ปานโอตะ ขนคุด รอยดำรักแร้ รอยดำท่อไอเสีย ขาหนีบดำ รอยดำสิว
2. Rejuvenation : ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ด้วยช่วงคลื่น 1064nm เลเซอร์ RevLite® จึงสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง รอยด่างดำ ทำให้หน้าเนียนขาว เสริมสร้างคอลลาเจน

3. Tattoo Removal (ลบรอยสัก): RevLite® ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักที่ได้ผลดีสุดในปัจจุบันถือว่าเป็น Gold Standard for Tattoo Removal ที่การันตีได้ทั่วโลก ) เพราะสามารถลบรอยสักได้หลายสี ที่เลเซอร์อื่นทำไม่ได้ ตั้งแต่สีดำ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ
4. Hair Removal (กำจัดขนอ่อน ): สามารถกำจัดขนอ่อนที่ใบหน้า หรือขนที่สีไม่เข้มในที่ลับ ซึ่งเลเซอร์กำจัดขน Gentle YAG จะกำจัดขนกลุ่มนี้ได้ไม่ดี เพราะจำนวนเม็ดสีเมลานินน้อย ทำให้เป้าหมายยิงไม่ได้แม่นยำและที่สำคัญ นำมารักษาสิวเสี้ยนได้ดีอีกด้วย

ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนการรักษาและการดูแลหลังการรักษา 
– ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งและคาดอุปกรณ์ปิดตา แล้วทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกด้วย Oxygen Jet peel และเตรียมผิวให้ชุ่มน้ำ ก่อนยิงเลเซอร์ ใช้เวลายิงเลเซอร์ประมาณ 10-30 นาที ระหว่างยิงจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ หากมีกระฝ้ามากก็จะมีเสียงดังไม่ขาดระยะ อาจจะมีอาการเจ็บนิดๆ เหมือนดีดหนังสติ๊ก จากนั้นก็จะทาครีมกันแดด หลังทำสามารถจะแต่งหน้าได้ตามปกติ

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 
ผลข้างเคียงแทบจะไม่มี ถ้ามีก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการยิง เช่น อาจจะทำให้เกิดร่องรอยด่างขาวได้ ซึ่งอาจจะเป็นชั่วคราว ดังนั้นในการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ RevLite® จึงควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทีมีประสบการณ์และมีเทคนิคในการรักษา จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน

ขอบตาคล้ำจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ลบรอยสัก เห็นผลจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ปานดำ รักษาด้วยเลเซอร์ Revlite
Revlite ลบรอยสักได้ทุกสี ไม่มีแผลเป็น
Posted on

Fine Scan 1550 : เลเซอร์รักษาสิวเรื้อรัง รอยหลุมสิว รูขุมขนกว้าง เซ็บเดิร์ม สำหรับผิวเอเซีย

Fine Scan 1550 คืออะไร

คือเลเซอร์ ประเภท Erbium Grass Fiber ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm โดยการยิงเลเซอร์เป็นลำเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อทำให้เกิดการทำลายที่ผิวหนังเป้าหมาย เช่น รอยหลุม รูขุมขนกว้าง ท่อไขมันที่อุดตัน หรืออักเสบ แล้วก่อให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ (micro-injuries) หลังจากนั้นก็จะเกิดการสมานแผล และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หลังทำ ผิวหน้าจึงกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง รอยหลุมตื้นขึ้น รอยด่างดำ จางลง นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมท่อไขมันอุดตันอักเสบในคนที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ ให้หายขาดได้ด้วย
Fine Scan 1550 แตกต่างจาก Fraxel Re:Store หรือไม่ อย่างไร
เป็นเลเซอร์ชนิดเดียวกัน ต่างกันที่ Fraxel Re:Store นำเข้าจาก USA ขณะที่ Fine Scan 1550 เป็นเลเซอร์ที่ประกอบในประเทศ แต่ใช้อะไหล่แท้ จากอังกฤษ และหัวอ่าน Scanner จาก อเมริกา ได้ผลดีใกล้เคียงกับ Fraxel Re:Store แต่ผลข้างเคียง เรื่อง ระยะเวลาพักฟื้น รอยดำ รอยแดง หรือรอยดำ หลังทำ จะน้อยกว่า Fraxel Re:Store

ทำไม Fine Scan 1550 จึงเหมาะกับผิวเอเซีย

  1. หัวยิง :  หัวยิง เป็นรูปสี่เหลี่ยม แนบสนิทกับใบหน้า จึงให้พลังงานสม่ำเสมอ และกำหนดขอบเขตได้ง่าย ไม่ยิงซ้ำจุดเดิม จึงไม่ทำให้เกิดการยิงซ้ำ จนเกิดการสะสมของความร้อนในแต่ละจุด มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
    2. ระบบการปล่อยพลังงงาน : Fine scan จะปล่อยเลเซอร์ แบบสเปรย์สี และพ่นแบบสุ่มไปมาหลายๆ พื้นที่ ลดอัตราการเกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ที่ลำแสงเลเซอร์จะพ่นแบบคลี่พัดจีนหรือแปรงสี scan แนวเดียวทีละแถว โดยเมื่อยิ่งทำไปนานๆ ความร้อนจะสะสมที่หางแถวไปเรื่อยๆ ซึ่ง มักจะเกิดรอยดำหรือรอยแดงได้ง่ายกว่า
    3. ความเร็วของเลเซอร์ : ยิงด้วยความเร็วสูง (ไม่ถึง 1/1000 ของวินาที) ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละจุดเล็กๆที่ถูกยิง จะไม่เปิดปากแผลด้านบน จึงไม่เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ หลังทำจึงไม่ค่อยมีแผลชัดเจน ไม่มีเลือด หรือสะเก็ดมากนัก ไปทำงานได้ตามปกติ ขนาดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นมันเล็กจนมองเกือบไม่เห็น

Fine Scan 1550 รักษาอะไรได้บ้าง 

  1. รอยหลุมสิว : ใช้ได้กับหลุมสิวทุกชนิด จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้หลุมสิวตื้นขึ้น  ผลการรักษาพบว่า หลังทำเพียงครั้งเดียว รอยหลุมตื้นขึ้นประมาณ 30%
  2. รูขุมขนกว้าง :  โดยลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  3. ริ้วรอย เหี่ยวย่น รอบดวงตา : กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับขึ้น โดยพบว่า มีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทย 20 คน (รพ.รามา) พบว่า หลังทำ 8 ครั้ง ห่างกันทุก 1 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ดีขึ้นประมาณ 40-50%
  4. รอยแตกลาย : ทำลายพังผืดหรือเม็ดสีผิวผิดปกติ สร้างคอลลาเจน และสร้างเม็ดสีเมลานินใหม่ สิผิวที่แตกลาย ก็จะค่อยจางลดลง โดยพบว่าหลังทำ 3 ครั้ง ริ้วรอยแตกลายดีขึ้น 70-90%
  5. สิวเรื้อรัง : เนื่องจากปัญหาสิวอักเสบ หรือสิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ มีสาเหตุจากความผิดปกติของต่อมไขมัน หรือท่อไขมัน การทำ Finescan เหมือนการล้างท่อที่อุดตัน และยังทำให้รอยแดง รอยดำ จากสิว ดีขึ้นได้ด้วย
  6. เซ็บเดิร์ม : โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากต่อมไขมันผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแดงเป็นขุย ตามซอกจมูก หัวคิ้ว มักจะเป็นๆ หาย ๆ การทำ Finescanจะไปทำลายต่อมไขมันที่ผิดปกติ สามารถช่วยหายขาดได้นานขึ้น

Posted on

เลเซอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร ทำไมต้องมีหลายเครื่อง เลือกยังไง ให้ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง

เลเซอร์(Laser) คืออะไร

Laser ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiations เลเซอร์ความงาม มีมากมาย หลายแบบ หลายยี่ห้อ แต่ที่เหมือนกันคือจะ ทำงานแตกต่างจากแสงทั่วๆไป โดย เลเซอร์เมื่อทำงาน จะมีพาพลังงานจำนวนมากไปด้วย ทำให้สามารถผลิตความร้อนได้ในปริมาณมากด้วยเช่นกัน สมบัติเด่น 4 ประการของแสงเลเซอร์ คือ

  1. มีทิศทางเดียวแน่นอน ( Collimated)
  2. มีความถี่เดียว เป็นแสงสีเดียว ( Monochromatic)
  3. มีเฟสเดียวกัน และ มีหน้าคลื่นเดียว (Coherent)
  4. มีความเข้ม/จ้าสูง 

เลเซอร์แต่ละแบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

เลเซอร์ด้านความงาม มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง แต่หลักๆ การทำงาน เลเซอร์แต่ละชนิดจะมีต้นกำเนิดของพลังงานลำแสงที่แตกต่างกัน จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยหลักที่แพทย์จะเลือกเลเซอร์ประเภทใด มาใช้ในการรักษาปัญหาด้านผิวหนัง หรือด้านความงาม จึงต้องเลือกจากปัจจัยหรือคุณสมบัติของเลเซอร์นั้นๆ ให้เหมาะสม หรือ พูดง่าย ถ้าจะรักษาด้วยเลเซอร์แล้ว คุณภาพหรือประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้ผลดีเพียงใด น่าพอใจมากน้อยแค่ไหน นอกจากยี่ห้อของเครื่องที่ได้มาตรฐานสากลแล้ว ยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้
1. Wavelenth ( ความยาวช่วงคลื่น ) : มีหน่วย เป็น นาโนเมตร(nm) ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดของเลเซอร์แต่ละประเภท เพราะความยาวช่วงคลื่น จะตัวกำหนดในเรื่องของการยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมายหรือปัญหาของผิวพรรณ ได้ถูกต้องและได้ผล เพราะปัญหาแต่ละอย่าง การรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องเลือกช่วงคลื่นที่ตรงกับปัญหานั้นๆ

2. Fluence ( พลังงาน ) : มีหน่วยเป็น จูลหรือมิลลิจูล( J/mJ ) โดยเมื่อแพทย์เลือกช่วงคลื่นของเลเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ต่อมาแพทย์จะเลือกพลังงานในการยิงเพื่อทำลายเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งถ้าใช้พลังงานมาก ก็ได้ผลมากกว่า แต่ก็เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า ตรงนี้แหละ คือความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำเลเซอร์ แต่ละคน จะเลือกพลังงานในการยิงให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของคนไข้ และสีผิวของคนไข้ โดยถ้าพลังงานมาก ก็เกิดผลข้างเคียงมาก สีผิวเข้ม ก็เกิดผลข้างเคียงมากกว่าสีผิวอ่อนกว่า
3. Pulse Duration ( ระยะเวลาในการยิงแต่ละครั้ง ) : มีหน่วยเป็น วินาที(sec) ถ้าใช้ระยะเวลาในการยิงนาน ก็จะได้พลังงานมาก ได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น เลเซอร์บางเครื่อง ก็สามารถแบ่งระยะเวลาการยิงเป็นช่วงๆ SubPulses เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอที่ต้องการ แต่มีความร้อนสะสมน้อย เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น วีบีมรุ่นแรก แบ่งพลังงานเป็น 4 ช่วง ต่อมาแบ่งเป็น 8 ช่วงเพื่อให้ยิงได้แรงขึ้น แต่ผลข้างเคียงลดลง

4.Spot size ( ขนาดหัวยิง ) : ขนาดมีผลต่อการกระจายของพลังงานเลเซอร์
– หัวยิงขนาดใหญ่ พลังงานก็ลงได้ลึกกว่าหัวยิงขนาดเล็ก แต่การกระจายของพลังงานที่ไม่ต้องการก็มากกว่า แพทย์จะเลือกใช้หัวยิง แล้วแต่บริเวณและความต้องการให้ลงลึกตื้นแค่ไหน หรือต้องการความแม่นยำแค่ไหน
5. Cooling System (ระบบการให้ความเย็น ) : เพราะเลเซอร์ ก็มีความร้อนเกิดขึ้น ดังนั้น ก่อนจะยิงเลเซอร์ ต้องเตรียมผิวหนังคนไข้ให้พร้อม เช่นอาจจะแปะหรือทายาชาทิ้งไว้ให้ชา หรือทำให้ผิวหนังของคนไข้มีความเย็นระดับหนึ่ง เพื่อมิให้เจ็บเกินไป ระหว่างที่ทำ หรือ มิให้ผิวหนังบริเวณที่ยิงเกิดรอยไหม้จากความร้อนของเลเซอร์ ซึ่งอาจจะมีหลายแบบ เช่น การใช้เจลเย็นทา,การใช้หัวยิงเลเซอร์ที่มีระบบ cooling อยู่แล้ว (เช่น วีบีมเลเซอร์ )หรือการพ่นไอเย็นจัด ระหว่างทำ เช่น เครื่อง Cooling Jet

6.Scanner Type (การปรับลำแสงเลเซอร์ ) : ในเลเซอร์บางประเภท เช่น กลุ่ม Fractional Laserจะเป็นการยิงลำแสงเป็นรูเล็กๆ โดยผ่านเครื่องกรองเลเซอร์ ซึ่งมีหลายแบบ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ใช้ตะแกรงกรองเลเซอร์ให้ผ่านเป็นรูเล็ก ๆจนพัฒนาเป็นเครื่อง scanner ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ ให้การกระจายของลำแสงเลเซอร์ละเอียด ไปทั่วๆ บริเวณแบบสุ่ม เพื่อลดความสะสมเฉพาะที่ จึงทำให้โอกาสเกิดรอยดำหรือผลข้างเคียงยิ่งน้อยลง เช่น Finescan 1550 ได้มีการปรับตรงนี้ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น
– ดังนั้น รพ.หรือคลินิกด้านความงาม ที่ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ จำเป็นต้องมีเครื่องเลเซอร์ไว้หลายประเภท แต่ละประเภทจึงมีลักษณะ เฉพาะ แตกต่างกัน เลเซอร์เครื่องเดียว ไม่สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณได้ทุกชนิด แพทย์จะต้องเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา ที่สำคัญ สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำเลเซอร์ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเลเซอร์แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่อาจทำให้การทำเลเซอร์กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน อันได้แก่ สีผิว บริเวณที่ทำ ความรุนแรงของปัญหา ฯลฯ

Posted on

เลเซอร์ และเครื่องมือต่างๆ ในการรักษาปัญหาผิวหน้าและความงาม

ความงามของผิวหน้า อาศัยเลเซอร์กับเครื่องมืออะไรบ้าง

ในคลินิกทำหน้า นอกจากการทำทรีทเม้นต์ ให้ครีมทา ให้ยารับประทาน หรือฉีดโบทอกซ์ ฟิลเลอร์แล้ว ยังมีหัตถการอื่น ที่ใช้เครื่องมือ หรือเลเซอร์ในการรักษาปัญหาผิวหน้า และความงาม ซึ่งได้ แบ่งกลุ่มตามปัญหาของคนไข้ ได้ดังนี้
1.กำจัดเนื้องอกธรรมดาของผิวหนัง :
กลุ่มติ่งเนื้อ กระเนื้อ ขี้แมงวัน ใฝขนาดไม่ใหญ่นัก โดยการทำให้ผิวหนังหลุดลอกออกไป ข้อดีของเลเซอร์คือ ไม่มีการเสียเลือด เหมือนการผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องใช้การจี้ไฟฟ้าห้ามเลือด จึงลดอันตรายจากความร้อนลงได้มาก เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ CO2 Laser 10,600 nm
2. เลเซอร์ลอกผิวหน้า (Laser Resurfacing :
การลอกผิวด้วยแสงเลเซอร์นี้ ผิวหนังแท้จะลอกออก โดยเลือกความตื้นลึกได้ แต่ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง มักจะนำมาทำการรักษา ริ้วรอย หลุมสิว ผิวหนังเสื่อมจากโดนแสงแดด นานๆ (Photoaging) เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Fractional CO2 Laser Erbium:YAG laser 2.940 nm,fractional laser 1550 nm

3.ฝ้า กระ รอยดำ ปานดำ :
มักจะใช้ในรักษาปัญหาเม็ดสีมากผิดปกติ โดยการลดจำนวนเซลสี ทำให้รอยโรคลอกออก หรือทำให้จางลง ปัจจุบัน มักจะเลือกทำให้จางลง เพราะจะได้ไม่มีผลข้างเคียง รอยดำ หรือทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG
4. ปานแดง รอยแดง รอยคล้ำจากเส้นเลือด เส้นเลือดขอด : หลักการ คือ เลือกเลเซอร์ที่ไปออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดฝอยแดง หรือหลอดเลือดดำหดตัวลง แต่บางครั้งอาจจะต้องทำร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เช่นการฉายเลเซอร์ ควบคู่กับการฉีดยา เข้าหลอดเลือดในกลุ่มเส้นเลือดขอด สามารถทำลายเส้นเลือดตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 จนถึง 3 mm เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Pulse dye laser ( V-beam ),Long-pulsed laser( GentleYaG,Coolquide), IPL


6. ลบรอยสัก : ปัจจุบันรอยสักเกือบทุกสี สามารถลบออกได้ด้วยเลเซอร์ ซึ่งข้อดีคือ ไม่มีแผลเป็นหลังทำ เหมือนกับการลอกออกด้วยกรดเข้มข้น พบว่ารอยสักสีดำ แดง จะได้ผลดีกว่ารอยสักสีอื่นๆ
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG ,Q-switched ruby
7. กำจัดขน : ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำจัดขนได้ถาวร 100 % เพียงแต่อาจจะทำให้ลดลงและทำให้ขนใหม่ขึ้นได้ช้าลง ได้ผลดี ในกลุ่มขนสีดำ หรือสีเข้ม ขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ขนแขน ขนในที่ลับ และได้ผลน้อย หรือต้องทำหลายๆ ครั้ง ในกลุ่มขนสีอ่อน เช่น ขนที่ใบหน้า หรือขนขนาดใหญ่ เช่น หนวดเครา
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL Long-pulsed ์Nd:YAGlaser ,Long-pulsed alexandrite laser , Long-pulsed diode laser

8. เลเซอร์ชนิดแสงความเข้มข้นสูง :
บางคนก็จัดเป็นเลเซอร์ บางกลุ่มก็จัดเป็นคลื่นแสงความเข้มสูง ่ข้อดี คือ เครื่องเดียวนำมารักษา ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการลดเซลล์สี การรักษาหลอดเลือด การกำจัดขน หรือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เนื่องจากไม่เฉพาะเจาะลง จึงได้ผลไม่ดีนัก และเนื่องจากเป็นคลื่นแสง จึงมีความร้อน โอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยไหม้ รอยดำ จึงเกิดได้ง่าย โดยเฉพาะคนสีผิวเอเซียหรือสีผิวเข้ม เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL
9. ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า : หลักการก็คือกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้ความร้อนลึกลงไปใต้ผิว แต่ละระดับ ว่าต้องการแก้ไขตรงไหน หรือการร้อยไหม ซึ่งมีหลายแบบ ลงไปในชั้นผิว หลังทำจะมีการตึงตัวของผิวหนัง ร่วมกับการสร้างคอลลาเจนผิวหนังก็จะดึงกระชับ ปรับหน้าหย่อนคล้อย เครื่องมือ กลุ่มนี้ได้แก่ RF,HIFU,Thermage ,Titan,Exilis Elite,Ulthera ,การร้อยไหม

Posted on 2 Comments

ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ รักษาอย่างไรให้หาย ป้องกันยังไง ไม่ให้กลับมาเป็นใหม่

สาเหตุ ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ

  • กรรมพันธุ์ หรือเชื้อชาติ เม็ดสีผิวของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติหรือกรรมพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อสีของริมฝีปากด้วย
  • บุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่ ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว จนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงริมฝีปากไม่เพียงพอ นอกจากนี้ นิโคตินยังอาจก่อตัวเป็นคราบอยู่บริเวณริมฝีปากและทำให้ปากดำได้เช่นกัน
  • แสงแดด หากสัมผัสยูวี จากแสงแดดมากเกินไป ร่างกายจะป้องกันตนเองด้วยการผลิตเม็ดเมลานิน (Melanin) หากผลิตออกมามากเกินไป เม็ดสีเมลานินจะมีสีเข้มขึ้นจนทำให้ปากเป็นสีดำ
  • สารในลิปสติก ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ อักเสบ และระคายเคืองบริเวณริมฝีปาก จนทำให้ปากเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำได้
  • โรคพิวทซเจคเกอร์ซินโดรม (Peutz-Jeghers Syndrome) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งส่งผลต่อเม็ดสีในร่างกายของผู้ป่วย ทำให้เกิดจุดสีดำขึ้นในบริเวณต่าง ๆ เช่น นิ้ว ปาก หรือริมฝีปาก เป็นต้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือยาต้านมาลาเรีย อาจเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินในร่างกายให้สูงขึ้น จนทำให้ปากดำคล้ำได้
  • ชาเขียวบางชนิด มีสารนิกเกิลปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณริมฝีปากจนปากดำได้

ป้องกันและรักษาอย่างไร

  • เลิกสูบบุหรี่ นอกจากทำให้สุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยก่อนวัย และเสี่ยงเกิดโรคร้ายอื่น ๆ ยังป้องกันปากดำได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือยาสีฟัน ชาเขียว เพนสะอาจมีส่วนประกอบของนิกเกิล ควรศึกษาส่วนประกอบและข้อมูลผลิตภัณฑ์บนฉลากอย่างละเอียดก่อนเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่ทำให้แพ้ โดยบันทึกส่วนประกอบทีของลิปสติ ที่่เคยแพ้ไว้ เพื่อไว้เปรียบเทียบกรณีเปลี่ยนลิปสติก แล้วควรเลือกลิปติกที่ป้องกันรังสี UV ได้ โดยมี SPF > 30
  • เลเซอร์ลดเม็ดสี จัดเป็นการรักษาได้ผลดี รวดเร็ว และถาวร โดยมีการยิง 2 วิธี คือ
    1. การยิงให้ค่อยๆ เลือน วิธีนี้เหมาะกับรอยดำคล้ำที่มาแต่กำเนิด หรือกรรมพันธุ์ เพราะจะช่วยลดเม็ดสีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสามารถทำให้รอยดำจางลงถาวรได้ แต่ต้องทำหลายครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกสองอาทิตย์
    2. การยิงให้ลอก โดยจะใช้ความยาวช่วงคลื่น 532 m วิธีนี้จะเหมาะกับรอยดำที่เกิดจากการแพ้ลิปสติก หรือการอักเสบจากการแกะเกา เพราะเป็นรอยดำตื้น วิธีนี้หลังทำรอยดำจะลอกออก ทำ 1-2 ครั้ง ห่างกันทุกสองอาทิตย์
  • สักริมฝีปาก เป็นการเสริมความงามแบบถาวร แต่อาจจะดูไม่ธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออาการแพ้ต่อสีที่ใช้สัก เป็นต้น
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Posted on 8 Comments

ขอบตาดำ (dark circles) ขอบตาคล้ำเป็นแพนด้า เบ้าตาลึก สาเหตุจากอะไร แก้ไขอย่างไรดี

สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง

1. อดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ : สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเล่นเนต หรือดูหนังละคร ดึกๆ ดื่นๆ ทำให้เกิดการเสียสมดุล ทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ ทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น
2.การขยี้ตาบ่อยๆ : เช่นจากภาวะ ภูมิแพ้ ตาแห้ง ทำให้เกิดการระคายเคืองแถวๆ รอบดวงตา ทำให้ต้องขยี้ตาบ่อยๆ จึงเกิดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินให้เพิ่มจำนวนขึ้นในบริเวณนั้น นอกจากนี้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่ เป็นเหตุให้ขอบตาคล้ำในที่สุด
3..กรรมพันธุ์หรือเชื้อชาติ : เช่น พวกแขก หรืออาหรับ กลุ่มนี้จะมีเม็ดสีเมลานินสะสมรอบดวงตา

4.หลอดเลือดดำใต้ตาขยายมากผิดปกติ (Vasculature inflammation) : ซึ่งสาเหตุก็เกิดได้หลายอย่าง เช่น จากโรคบางอย่าง เช่น ภาวะการขาดธาตุเหล็ก หรือขาดสารอาหารอื่น, โรคไต , การอดนอน , การสูบบุหรี่, ชา-กาแฟ, โรคภูมิแพ้ หรือในคนสูงอายุ ที่ผิวหนังใต้ตาเริ้มบางลง จึงเห็นเส้นเลือดำได้ชัดเจนขึ้น
5.ขอบตาคล้ำ จากเบ้าตาลึก : : ซึ่งจริงๆ แล้ว บางคน จะมีโครงสร้างของกระดูกใบหน้า ที่แปลกกว่าคนอื่นๆ คือ อาจจะมีโหนกแก้มสูง และมีเบ้าตาลึก หรือคนที่อายุมากขึ้น เกิดการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตายุบลงไป เกิดเป็นรอยพับ ทำให้เห็นเป็นรอยเขียวๆคล้ำใต้ตาเหมือนขอบตาคล้ำจากสาเหตุอื่นๆ

การป้องกัน-รักษา ขอบตาคล้ำ เบ้าตาลึก

1. รอยดำคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติ
1.1. พยายามนอนหลับ พักผ่อนให้เต็มที่
1.2. รักษาโรคประจำตัวที่ทำให้เกิดการขยี้ตาบ่อยๆ เช่น โรคภูมิแพ้ ตาแห้ง โรคไต ฯลฯ
1.3. การมาสค์รอบดวงตา อาจจะด้วยแตงกวา ถุงชา หรือมาสค์สำเร็จรูปต่างๆ ที่มีวางจำหน่าย หรือการเลือกครีมทารอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่ง ทาทุกวันก่อนนอน
1.4 ทาครีมรอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่งต่างๆ
1.5 การทำเลเซอร์ลดเม็ดสีที่ผิดปกติ : แก้ไขขอบตาคล้ำ ตาดำเป็นแพนด้า ได้จากทุกสาเหตุที่ทำให้เกิดเม็ดสีเข้มขึ้น ไม่ว่าจะจากปัญหาเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ การอักเสบเรื้อรังจากการขยี้ตา หรือภูมิแพ้ เลเซอร์ที่ใช้ ก็เป็นกลุ่ม Q-Swithched Nd:YaG เช่น Revlite , Pico laser ได้ผลดี สะดวก หายเร็ว ไม่มีแผลหลังทำ

2. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเส้นเลือดดำขยายตัว : การรักษาปัญหารอยดำคล้ำ หรือรอยช้ำบวม จากเส้นเลือดดำขยายตัว มีได้วิธีเดียว คือการยิงเลเซอร์กลุ่ม Long-Pluse Nd:YaG laser เช่น Gentle YaG จะทำให้หลอดเลือดดำหดตัว รีดรอยคล้ำจากเส้นเลือดให้หายไป เห็นผลทันทีหลังทำ ส่วนใหญ่จะทำไม่กี่ครั้ง ก็แทบจะหายได้ถาวร
3. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเบ้าตาลึก : เบ้าตาที่ลึก อาจจะเกิดจากเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ หรือการขยี้ตา จึงเกิดรอยพับ หรือทำให้เกิดถุงไขมันเล็กๆ ปูดออกมา แก้ไขได้ไม่ยาก การฉีดFiller ที่เป็นพวก Hyaluronic acid เพราะมีโมเลกุลเล็ก นวดง่าย ไม่เป็นก้อน การฉีดเติมก็อาจจะมีหลายเทคนิค เข็มที่ใช้ก็อาจจะเป็นเข็มคม หรือเข็มทู่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ หลังทำ เห็นผลทันที ร่องตาลึก กลับมาเป็นปกติ รอยพับก็จะหายไป ถุงไขมันลดลง และทำให้รอยดำคล้ำรอบดวงตาก็หายไปด้วย

Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วน ลดอายุ ลดความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency-RF)

RADIOFREQUENCY TECHNIQUE (RF) คืออะไร

คือ เทคโนโลยีในการรักษาผิวหน้า ด้วย คลื่นความถี่วิทยุความถี่สูง โดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นลึก และประสานไปกับการนวดพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัย อุณหภูมิของร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น แต่ไม่เกิน 42° C
– ซึ่งกลไกการทำงานโดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ลงไปในทุกชั้นของผิวหนัง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้

  1. ผิวชั้นบนสุด คือ มีผลให้สิวเสี้ยนบางส่วน ฝ้าและกระบางส่วน และเซลล์หนังกำพร้าที่หมดอายุแล้วหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียน ขาว ใสขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง ริ้วรอยตื้น ลดลงได้
  2. ผิวหนังแท้ คลื่นวิทยุมีผลให้ผิวหนังชั้นนี้สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เคยหย่อนคล้อยตึงกระชับขึ้น
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีผลให้เกิดการละลายของไขมันเข้าไปสู่หลอดน้ำเหลือง ทำให้สามารถลดขนาดของไขมันในถุงใต้ตา ใต้หู ใต้คาง ส่งผลให้ค่อยๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า

RF มีกี่ชนิด กี่แบบ

การเลือกชนิดของ RF แต่ละแบบ แพทย์จะพิจารณาตามเหมาะสมของปัญหาผิวพรรณ ความลึกตื้นของปัญหา เวลา และงบประมาณ ดังนี้
1. Bipolar RF: ส่วนใหญ่จะเรียกว่าเป็น RF เฉยๆ โดย ส่งพลังงานจากสองขั้ว และมักจะออกฤทธิ์ที่ชั้นผิวหนังส่วนบน ช่วยยกกระชับ และลดไขมัน มักจะใช้ที่ใบหน้า เป็นส่วนใหญ่ มักพบเป็นเครื่องเดี่ยวๆ หรือผสมผสานกับ IPL เหมาะกับการกระชับผิว ข้อดี คือไม่เจ็บขณะที่ทำ แต่ได้ผลชั่วคราวแค่เป็นอาทิตย์  และสำหรับผิวตื้นๆ ไม่หย่อนคล้อยมากนัก เป็นที่นิยมเพราะราคาถูก
2. Monopolar RF: เป็น RF จากขั้วเดียว และมี Plate รองไว้ที่ด้านล่าง จะออกฤทธิ์ในชั้นที่ลึกกว่า Bipolar RF อาจจะถึงชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ มักจะเน้นในแง่รักษาความหย่อนคล้อยของผิวพรรณชั้นลึก การกำจัดไขมันส่วนเกินตามลำตัว ใช้ได้ทั้งใบหน้าและลำตัว เนื่องจาก มีความแรงและพลังงานลงลึก มักจะเรียกเป็นชื่อยี่ห้อมากกว่า เช่น Thermage , Exilis Elite , Min-Thermage อยู่ได้นานหลายเดือนถึงเป็นปี RF ชนิดนี้เป็นนิยม เพราะได้ผลดีกว่าแบบอื่นๆ แต่ราคาก็ค่อนข้างแพง
3.Tripolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ผสมผสานระหว่างการทำงานของ Bipolar RF + Monopolar RF ในเครื่องเดียวกัน พบว่าการได้ผลสู้แบบ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้รับความนิยม
4.Mulipolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ส่งพลังงานจากหลายขั้ว ใช้หลักการทำงานแบบผสมผสาน คลื่น RF จะลงลึกกว่า Bipolar RF แต่ตื้นกว่า Monopolar เพียงแต่ควบคุมทิศทางได้ดีกว่า Monopolar RF และพบว่าขณะที่ทำไม่เจ็บมากเท่ากับการทำด้วย Monopolar RF เพราะใช้พลังงานน้อยกว่า แต่ผลที่ได้ ก็สู้ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ จึงไม่ได้รับความนิยมเช่นกัน

RF ช่วยอะไรได้บ้าง

  1. ยกระชับผิวหน้า หย่อนคล้อยทำให้ยกกระชับขึ้นทุกจุดของหน้า                                        
  2. ปรับรูปหน้า กางน้อยลง คางเรียว ใบหน้าเล็กลง เป็นรูปไข่มากขึ้น
  3. คืนความเยาว์วัยให้ผิว คือ การลบเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก สันจมูก รอบดวงตา รอบปาก และคอ
  4. กระชับรูขุมขน คือ การทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รูขุมขนเล็กลง หลุมสิวตื้นขึ้น
  5. ผิวหน้าขาวใส คือ การปรับสีผิวให้ขาวสว่างมากขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง
  6. ยกกระชับปรัวสัดส่วน คือ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ไม่เกิดการสะสมของของเสียและไขมันส่วนเกิน และยังทำให้เนื้อเยื่ยได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังดูกระชับ ตึง ไม่หย่อนคล้อย
Exillis ลดเหนียง ยกกระชับขอบคาง

Exillis ยกกระชับหน้าท้อง

Posted on

ฉีดโบ ปรับรูปหน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) หน้าบาน ให้ดูวีเชฟ (V-Shaped) ฉีดไป ทำไมไม่ได้ผล อยู่ไม่นาน ยิ้มไม่ได้

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) เกิดจากอะไร

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) คือ โครงหน้าดั้งเดิมของชนชาวตะวันออก โดยเฉพาะในแถบประเทศเกาหลี จีน หรือคนไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเป็นโครงหน้า ที่กว้างคางเหลี่ยม สาเหตุของคางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อกราม( masseter muscle )
– สาเหตุของ หน้าเหลี่ยม หรือ คางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อ Masseter ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร ทำงานหนักและเป็นเวลานาน
หน้าเหลี่ยมกับหน้าบาน แตกต่างกันอย่างไร: ต่างกันที่ หน้าเหลี่ยมสาเหตุ มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อหรือกระดูกโครงหน้า แต่ถ้าหน้าบาน สาเหตุอาจจะมีสาเหตุเกิดจากไขมันที่แก้มร่วมด้วย

คำถามที่พบบ่อยๆ กับโบทอกซ์ปรับรูปหน้า

ฉีดอย่างไร ฉีดเข้าตรงตำแหน่งของกล้ามเนื้อ Masseter ประมาณข้างละ 3-6 จุดๆ เทคนิคของแพทย์แต่ละท่าน และปริมาณยุนิตที่ใช้ต่อข้าง หรือแต่ละจุด ขึ้นอยู่กับขนาดของกล้ามเนื้อ
ลดลงได้แค่ไหน ได้มีการทำ CT Scan ขนาดกล้ามเนื้อหลังฉีด พบว่าหลังติดตามผล 1 เดือน จะพบว่าขนาดของคางจะเรียวเล็กลงได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 23%-35% แต่ทั้งนี้ก็แตกต่างกันได้ในแต่ละคน
นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล ส่วนใหญ่จะพบว่ากราม เริ่มลดลงชัดเจน หลังฉีดอาทิตย์ที่ 2-4 และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบทอกซ์ที่ใช้ ถ้าโบทอกซ์ของอเมริกา Allergan จะอยุ่ได้นานสุด 6-8 เดือน ถ้าของเกาหลี อาจจะอยู่ได้ 2-4 เดือน นอกจานี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณยูนิตที่ฉีด และพฤติกรรมการเคี้ยวอาหาร ถ้าระวังระวัง ไม่เคี้ยวของแข็ง ของเหนียว หรือหมากฝรั่ง ไม่นอนกัดฟัน บางคนอาจจะอยู่ได้นานกว่า 6 เดือน ถึงเป็นปี ก็มีพบได้

บทอกซ์แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันหรือไม่ :แม้จะเป็นตัวยาตัวเดียวกัน แต่ผลที่ได้แตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะกระบวนการผลิตให้ตัวยา ออกฤทธิ์ได้คงตัว อยู่ได้นาน เป็นปัจจัยหลักหรือเทคนิคเฉพาะของแต่ละบริษัท ซึ่งก็คือต้นทุนหลักของแต่ละบริษัท ราคาจึงแตกต่างกันมาก ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท เปรีบบเสมือนรถยนต์แต่ละยี่ห้อ มีความต่างกันแม้จะเป็นรถยนต์เหมือนกัน
ฉีดแล้วไม่ค่อยได้ผล หรือไม่พอใจเกิดจากอะไร หลักๆ เกิดจากการดื้อโบทอกซ์ รองลงมายี่ห้อ และปริมาณยูนิตที่ใช้ และที่สำคัีญก็คือเทคนิคที่แพทย์แต่ละท่านฉีด ประสบการณ์และการดีไซน์ใบหน้า เพราะบางครั้งไม่เพียงแต่จะปรับรูปหน้าให้เล็กแล้ว แพทย์บางท่านยังปรับรูปหน้าที่ไม่เท่ากันให้ดูดีขึ้น ปรับความผิดปกติของโครงหน้าที่มีปัญหาได้ตรงจุด
ทำไมบางคนฉีดโบปรับรูปหน้า แล้วยิ้มไม่ได้ : เกิดจากตัวยาไปโดนกล้ามเนื้อ Risorius ที่อยู่ใกล้หรือพาดอยู่บนกล้ามเนื้อกราม Massetter กล้ามเนื้อมัดนี้ทำหน้านี้ทำให้ฉีดยิ้มได้กว้าง ถ้าเกิดปัญหานี้ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วปากเบี้ยว หรือยิ้มแล้วไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าเกิดแล้วแก้ไขยาก ต้องรอให้โบทอกซ์หมดฤทธิ์ไปเอง อาจจะใช้เวลา 1-3 เดือน กรณ๊ต้องการสลายให้เร็วขึ้น การทำ RF ช่วยให้โบทอกว์สลายไปเร็วขึ้นได้

Posted on

โบท็อกซ์คืออะไร ค้นพบได้อย่างไร ออกฤทธิ์ยังไง เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี การดูแลก่อนและหลังฉีด ผลข้างเคียงที่พบได้

ความเป็นมาของโบทอกซ์

– โบทอกซ์ คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum toxin type A สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum Botulinum toxin ถูกค้นพบครั้งแรก ในยุคสมัยของสงครามนโปเลียน ตั้งแต่ ค.ศ. 1795- 1813 เนื่องจากการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไขมัน ไส้กรอก และอาการป่วยเป็นอัมพาต โดย Justinus Kerner นักสาธารณสุขอายุ 29 ปี ผลจากการสังเกตครั้งนั้นนับเป็นหลักฐานสำคัญทางด้านระบาดวิทยาของโรค Botulism ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ botulus แปลว่าไส้กรอก
– ปี 1960 ก็มีการใช้ botulinum toxin กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในการรักษาอาการตาเหล่ (strabismus)และตาปิดเกร็ง (การกะพริบตาที่ไม่สามารถควบคุมได้: blepharospasm) ในปี 1989 บริษัทผู้ผลิต botulinum toxin: Allergan, Inc. (ภายใต้ชื่อ Botox) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S. FDA) เพื่อผลิต botulinum toxin สำหรับรักษาอาการตาเหล่ ตาปิดเกร็งและอาการเกร็งครึ่งใบหน้าสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 12 ปี
– ปี 1993 ได้มีการใช้ botulinum toxin ในการรักษาอาการหดเกร็งของหูรูดปลายล่างของหลอดอาหาร (achalasia: a spasm of the lower esophageal sphincter)
– ปี 1994 Bushara และ Park ก็พบว่า botulinum toxin มีความสามารถในการยับยั้งการหลั่งของเหงื่อได้

โบทอกซ์กับความงาม

– ปี ค.ศ. 1987 Dr. Jean Carruthers ได้พบว่าเมื่อใช้สาร Botulinum toxin type A ในการรักษาอาการตากระตุก ให้หายแล้ว ยังทำให้รอยย่นจากการขมวดคิ้วจางลง จึงได้ตีพิมพ์รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992  จากผลการตีพิมพ์ดังกล่าว ทำให้แพทย์ได้เริ่มต้นฉีดโบทอกซ์กับวงการความงาม มากขึ้นเรื่อยๆ และได้เริ่มนำเข้ามาเผยแพร่ไปทั่วโลก
-ปีค.ศ  1999-2000 ประเทศไทยเริ่มมีการนำ Botulinum toxin type A มาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก   ซึ่งผู้เขียนก็เป็น 1 ในทีมแพทย์ไม่กี่คน ที่ถือได้ว่าเป็นแพทย์ไทยกลุ่มแรก ที่ได้การฉีดสารโบทอกซ์ในเมืองไทย
ปัจจุบันนี้ โบทอกซ์ ได้พัฒนาให้ฉีดได้หลายบริเวณ หลายวัตถุประสงค์ มากขึ้น ลองอ่านบทความนี้
Advanced technique for Botox Injection

โบท็อกซ์ออกฤทธิ์อย่างไร ยี่ห้อไหนดีสุด

กลไกการออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์
– ฉีดชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยจะไปยับยั้ง สารคัดหลั่ง Acetylcholine (Ach) ซึ่งสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อ ให้ทำงาน เคลื่อนไหว หรือ หดตัว เมื่อฉีด Botox จะทำให้ยับยั้ง การรับรู้ของกล้ามเนื้อ จึงไม่เกิดการหดตัว เกร็ง
– ฉีดชั้นผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อเรียบ หรือคอลลาเจนหดตัว กระชับขึ้น
ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในประเทศไทย : ได้แก่ Botox Allergen (อเมริกา),Dysport(อังกฤษ) ,Xeomin (เยอรมัน),Botulax (เกาหลี), Nabuta (เกาหลี),Hugel (เกาหลี)
ถ้าจะถามว่าโบท็อกซ์ (Botox) ยี่ห้อไหนดีสุด : คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์ในการใช้ โดยไม่เกี่ยวกับงบประมาณ ดังนี้

  • ออกฤทธิ์นานสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ลดกราม กล้ามเนื้อมัดใหญ๋ ดีสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ยกกระชับ ดีสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ดือยาน้อยสุด : Xeomin ( เยอรมัน)
  • ปลอมมากสุด : ทุกยี่ห้อ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริการต้องเลือกใช้คลินิกที่มีคุณภาพ ใช้ของแท้ ไม่ใช้ของปลอม เนื่องจากมีคนหิ้วขายอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ หากไม่มีความชำนาญแล้วบังเอิญฉีดไม่ตรงจุด แล้วผลที่ได้ราคาที่จ่ายไปก็อาจจะไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้

การดูแล ก่อน-หลังฉีด และผลข้างเคียง

การปฏิบัติตน ก่อนและหลังฉีดสารโบท็อกซ์
– งดดื่มเหล้า เข้าซาวน่า 4 ชั่วโมง หรือรับประทานยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน หรือยากลุ่มNsaid ยาลดเกร็ดเลือดก่อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเขียวช้ำจากรอยเข็ม
– การประคบด้วยความเย็น ตรงตำแหน่งที่ฉีด ก่อนและหลังการฉีด เพื่อลดอาการปวดหรือรอยช้ำจ้ำเลือด
– ไม่ใช้ร่วมกับการกินยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Aminoglycoside เช่น Kanamycin Amikacin ฯลฯ
– ห้ามนวดคลึงบริเวณที่ฉีด 4 ชั่วโมง พราะจะมีผลต่อกล้ามเนื้อที่ฉีดทำให้โบทอกซ์กระจาย
– ควรเลี่ยงการทำทรีทเม้นต์หลังฉีด 2 อาทิตย์
– หลีกเลี่ยงการฉีดในสตรีมีครรภ์
ผลแทรกซ้อนที่อาจพบได้
– รอยช้ำจ้ำเลือด พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณหางตา
– บวมบริเวณที่ฉีด
– ปวดบริเวณที่ฉีด
– หนังตาตก และมักหายภายใน 2 สัปดาห์
– การแสดงสีหน้า อาจไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเวลาโกรธ หัวเราะ ยิ้ม หรือร้องไห้ มักหายได้เองใน 4 สัปดาห์
– อาจเกิดการดื้อยาได้ กรณ๊ที่ใช้โบทอกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย.
– ยังไม่พบการแพ้ยาที่รุนแรง และเป็นผลเสียต่ออวัยวะภายในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นดังกล่าว สามารถเลี่ยงหรือทำให้เกิดได้น้อยที่สุดได้ ถ้าแพทย์ที่ทำมีความชำนาญในการฉีดและมีประสบการณ์ในการทำมามากพอสมควร ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี ย่อมทำให้การรักษาได้ผล และไม่มีผลข้างเคียง

Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ มีได้หลายวิธี แบบไหนได้ผลดี Facelift -Update!

วิธียกกระชับ ปรับรูปหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาหย่อนคล้อย ริ้วรอย เป็นปัญหากวนใจ ให้รำคาญ การยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ก็จัดเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์วัย เต่งตึงขึ้นแล้ว ริ้วรอยต่างๆ ลดลงได้อีกด้วย เราแบ่งการยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ออกได้เป็น 3 หลักการใหญ่ๆ ดังนี้
1. การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) – จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ถือว่าเป็นที่นิยมมานานหลายทศวรรษ เพราะเปรียบเสมือนการยกเครื่อง ครั้งใหญ่ของใบหน้า โดยการกรีดผิวหนังบริเวณหนังศีรษะหรือขมับ แล้วตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยไม่ต้องการออกไป แล้วดึงรั้งผิวหน้าให้เต่งตึงขึ้น แน่นอน! ย่อมเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ได้ผลแน่นอน เห็นผลไว แต่ก็ทำให้ท่านต้องมีบาดแผลหลังผ่าตัด ต้องเจ็บตัว ต้องพักฟื้น และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญ ในการทำศัลยกรรมตกแต่งอย่างมาก ผลที่ได้จึงจะพอใจและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ที่สำคัญไม่สามารถจะทำได้บ่อยๆ ดังนั้นการทำ การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) จึงมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และมักจะนิยมทำกันในคนที่อายุมากๆ แล้วเท่านั้น ( ปัจจุบันแพทย์มักจะแนะนำให้ทำเมื่ออายุมากกว่า 60-70 ปี )

2. การยกกระชับผิวหน้ากึ่งผ่าตัด(Semi-Surgical Facelift) – จากผลไม่พึงประสงค์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วยการผ่าตัด ทำให้ทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาการยกกระชับผิวหน้าให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ได้ผลดีพอควร ผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบแรก นั่นก็คือ การยกกระชับผิวหน้าด้วยไหมละลาย สอดไปในชั้นหนังแท้ หรือชั้นไขมัน เพื่อยกกระชับหน้า เห็นผลทันทีหลังทำ ใช้เวลาทำไม่นาน ไหมที่ใช้ เป็นไหมละลายได้ โอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ไหมที่ ผ่านอย. รับรองว่าปลอดภัย ปัจจุบัน มีเพียง 2 ยี่ห้อ เท่านั้น คือไหมอิตาลี ( Definisse ) ผสมผสานกันระหว่างวัสดุ PLLA และ PCL กับไหมเกาหลี ( Mint Thread) ซึ่งเป็นไหม PDO ไหมละลายที่นำมาร้อยกระชับ แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
– ไหมละลายแบบมีเงี่ยง ซึ่งมีชื่อเรียกกันได้ หลายอย่าง เช่น ไหมกุหลาบ ไหมบาก ฯลฯ มักจะเหมาะกับการหย่อนคล้อยที่ไม่ต้องการจะผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น หลังทำยึดเกาะยกกระชับทันที หลังทำอาจจะต้องพักฟื้น 5-7 วัน มักต้องทำซ้ำทุก 12-18 เดือน
– ไหมละลายแบบไม่มีเงี่ยง ปัจจุบัน ที่ผ่าน อย. มีเฉพาะไหม Mint Mono ไหมแบบนี้ นิยมนำมาร้อยเสริมแบบมีเงี่ยง ให้เก็บรายละเอียด หรือใช้เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งจะ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

3. การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด(Non-Surgical Facelift) -จัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการยกกระชับผิวหน้า ที่ถือว่าเจ็บตัวน้อยสุด ผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลดีพอสมควร ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการยกกระชับผิวหน้า ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์กันมาแล้ว ซึ่งจะไล่เรียงดังนี้
3.1 การนวดหน้า ( Facial Massage) : จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอนุรักษ์นิยม คือมีมาแต่โบราณกาล เห็นได้บ่อยในร้านเสริมสวย สปา คลินิกความงามทั้งหลาย โดยการใช้มือคนเราในการนวดผิวหน้า อาจจะใช้ครีมหรือตัวยา สมุนไพรต่างๆ ร่วมด้วย การกดจุด จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอ่อนๆ ที่ได้ผลน้อยที่สุด ราคาถูก เหมาะกับผิว ที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนัก (อายุน้อยกว่า 30 ปี) และก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หยุดทำเมื่อไหร่ ผิวหน้าก็คืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม
3.2 การยกกระชับผิวหน้าด้วยเลเซอร์ หรือ คลื่นแสง(IPL): ก็จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าชั้นตื้น โดยใช้พลังงานเลเซอร์ หรือคลื่นแสง IPL ไปกระตุ้นชั้นหนังแท้ให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา จึงทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ ได้ผลเร็วและพอควร ไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่มีผลข้างเคียงใด แต่ก็ต้องทำหลายครั้ง และก็ได้ผลกับผิวที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนักเช่นกัน (อายุน้อยกว่า 40 ปี)

3.3  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Botox : มีการค้นพบว่า คุณสมบัติของสาร Botulinum toxin tyoe A ถ้าฉีดตื้นไปในชั้นหนังแท้ จะทำให้กล้ามเนื้อเรียบหรือคอลลาเจนหดตัว เกิดการกระชับขึ้นในชั้นผิว แทนที่จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเหมือนการลึก ในการลดกรามหรือริ้วรอย เทคนิคนี้ เรียกว่า Dermalift มักจะนิยมนำมาฉีดยกกระชับ กรอบหน้า ขอบคางให้คมชัด ได้ผลทันทีหลังฉีด เหมาะกับผิวที่ไม่หย่อนคล้อยมากนัก
3.4  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Fillers : จะพบว่าเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือจะมีการสูญเสีย คอลลาเจน มวลกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่มวลกระดูก แล้วทำให้เกิดการหย่อนคล้อยขึ้น ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมส่วนที่หายไป (Volumn loss) หน้าจะกระชับขึ้นได้ ผิวหน้าเต่งตึง และดูเป็นธรรมชาติ  แต่ก็อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน ก็อาจจะต้องเติมซ้ำ (Touch up)

3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF): เป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นตัวควบคุมปริมาณของพลังงาน มีทั้งแบบยิงตื้นแค่ชั้นหนังแท้ (Bipolar RF) เช่น เครื่อง RF ทั่วๆ ไป และแบบยิงลงลึก (Monopolar RF) เช่น Thermage, Exillis Elite ฯลฯ ที่ลงลึก ถึงชั้นไขมัน เกิดความร้อน สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวที่แข็งแรง กระชับ นุ่มนวล และดูอ่อนกว่าวัย และอยู่ได้นานมากกว่า10-12 เดือน
3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นเสียง : โดยใช้คลื่นเสียง ( Focused Ultrasound ) ยิงลงไปในชั้นไขมัน เช่น HIFU หรือยิงลงลึก ถึงชั้น SMAS เช่น Ulthera เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยความร้อนเฉพาะจุด โดยพบว่า Ulthera จะแตกต่างจาก HIFU ตรงทีลงลึกกว่ามาก และแพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ผ่านหน้าจอของเครื่อง ( SEE and TREAT ) ทำให้การรักษาที่แม่นยำกว่าการยิง HIFU อยู่ได้นาน 3-18 เดือน แล้วแต่ชนิดหรือยี่ห้อของเครื่อง Ulthera คือ Gold Standard Treatment สำหรับการยกกระชับผิวหน้าที่ลงลึกสุดและถือว่า Ulthera คือเครื่องมือชนิดเดียวที่ US-FDA ให้การรับรองผลว่าได้ผลจริง


โบทอกวซ์ลิฟท์กรอบหน้า
Ulthera ยกกระชับทั่วหน้า
ฟิลเลอร์ยกกระชับร่องแก้ม

Posted on

เส้นเลือดขอด(Varicose Vein) รักษาได้ ถ้าแก้ไขที่สาเหตุของปัญหา อวดขาได้ไม่อายใคร

เส้นเลือดขอดคืออะไร

คือ ภาวะหรืออาการของผนังเส้นเลือดดำเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการยืดขยายของเส้นเลือดอย่างไม่เป็นระเบียบ เกิดการพองขยายตัวเป็นแนวคดเคี้ยว มักจะพบในชั้น ผิวหนังชั้นผิว ( Superficial areas) ในบริเวณขา โดยเฉพาะที่น่องและต้นขา ส่วนบริเวณอื่นๆ พบได้น้อย เช่น ที่ข้อเท้า หลังเท้า
สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดขอด
1. พันธุกรรม : กรณีที่มีประวัติครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นเส้นเลือดขอด จะทำให้มีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดได้มากกว่าคนปกติ
2. หญิงตั้งครรภ์ : จะเกิดการอุดตัน การปรับของเส้นเลือดดำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและมดลูกที่โตขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ความดันภายในทำให้เลือดไหลกลับไปช้าลง ซึ่งอาการเส้นเลือดขอดนี้ ปกติหายได้เองภายใน 3 เดือน แต่บางคนก็ยังคงมีอาการอยู่
3. อาชีพที่ต้องยืนนานๆ เช่น พนักงานขาย พยาบาล ครู ช่างผม ช่างแต่งหน้า ฯลฯ
4. น้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้เกิดแรงดันที่สูงขึ้นภายในหลอดเลือดบริเวณขา เป็นสาเหตุให้เกิดเส้นเลือดขอดที่ขาได้
5. ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดบริเวณที่ขา เกิดการเสื่อมประสิทธิภาพขึ้นมาได้ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดติดขัดไปด้วย

อาการ ข้อสังเกตเบื้องต้น และการป้องกัน

1. ถ้าเดินหรือยืนนานๆ แล้วมีอาการเป็นตะคริว ปวดเมื่อยบริเวณขา ปวดตึงบริเวณน่อง หรือมีอาการขาบวมร่วมด้วย ก็มีแนวโน้มว่าโรคเส้นเลือดขอดได้มาเยือนเราแล้ว
2. ถ้าเป็นมากขึ้น จะสังเกตเห็นเส้นเลือดในบริเวณขา ชัดขึ้น ผนังมักจะมีคล้ำ และคดเคี้ยวไปมา
3. อาชีพที่มีความเสี่ยง ควรจะการป้องกัน เฝ้าระวังอาการมิให้เป็นมากขึ้น โดยการใส่ ถุงน่องเส้นเลือดขอด จะทำหน้าที่ในการบีบรัดบริเวณขาเวลาที่เราเดินหรือยืน ระดับแรงดันที่แนะนำคือ Class 2 (20-35 mmHg) ซึ่งเป็นระดับที่แพทย์ แนะนำให้ใช้และควรใส่ตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ยกเว้นขณะที่นอนไม่ต้องใส่ แต่ให้ยกปลายเท้าให้สูงประมาณ 30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้สะดวกขึ้น
4. ควรหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งห้องเท้านานๆ
5. อาการเจ็บปวดป็นมากขึ้น เมื่อเราต้องยืนเป็นเวลานานๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนที เช่น แผลเรื้อรัง การอักเสบของเส้นเลือดขอด ขาบวม ปวดขา แนะนำว่าควรไปพบแพทย์

การรักษาเส้นเลือดขอด

1. การฉีดสารทำให้เส้นเลือดขอดยุบตัว (Sclerotherapy) : มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1-3 มม. โดยทำการฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการทำลายผนังเส้นเลือด เช่น Aethoxysclerol,3% Nacl วิธีนี้สามารถทำได้ทั้งที่คลินิก และรพ. เพราะไม่ต้องนอนพักฟื้นรักษาตัว แต่หลังฉีดยาควรจะพันด้วย ผ้า Elastic Bandage ไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อทำให้เส้นเลือดยุบตัวได้ดีขึ้น แต่การรักษาแบบนี้ก็ไม่หายขาด อาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ นอกจากนี้อาจจะมีผลข้างเคียงตามมาได้เช่น ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีรอยดำคล้ำตามแนวที่ฉีดยา ผิวหนังอาจจะมีเนื้อตาย( Skin Necrosis) มีอาการปวดบริเวณที่ฉีด หรือเกิดการแพ้ยา
2. เลเซอร์ คือการใช้เลเซอร์ ความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร   ถ้าเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 3 มม. แล้วปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปทำลายเส้นเลือด หลังทำไม่ต้องนอน รพ.วิธีนี้เป็นการรักษาที่ไม่เกิดบาดแผล มีความปลอดภัยและรวดเร็ว และเจ็บตัวน้อยที่สุด คนที่มีเส้นเลือดขอด แต่วิธีนี้จำเป็นต้องทำหลายครั้ง ในทุกๆ 6-12 สัปดาห์ และต้องทำต่อเนื่องไปนานหลายปี จนเส้นเลือดขอดหายไปจริงๆ

3. การผ่าตัด: มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางประมาณ 4-6 มม. โดยศัลยแพทย์ระบบหลอดเลือด จะทำการตัดเส้นเลือดขอดที่มีปัญหา ออกไป มักจะทำกรณีเป็นรุนแรง ขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ ช่วงขาพับ ขาหนีบ วิธีนี้มักจะหายขาด หลังผ่าตัดควรใส่ถุงน่องสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ และควรใส่ตลอดเวลา เป็นเวลาติตต่อกันไม่น้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดพบได้น้อย โดยอาจจะมีจ้ำเลือดใต้ผิวหนังได้ในบริเวณที่ผ่าตัด แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
4. การรักษาเส้นเลือดขอดโดยคลื่นความถี่วิทยุ วิธีนี้จะใช้การเจาะผ่านรูเข็มขนาดเล็ก แล้วใส่ไปในขดลวดขนาดเล็ก โดยคลื่นตัวนี้จะไปทำให้ผนังเส้นเลือดดำฝ่อลง แต่หลังจากทำไปแล้ว ก็ต้องคอยสังเกตอาการอีกที เพราะอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุนี้ ไม่ทำให้เจ็บปวด ใช้เวลาไม่นาน
5. การทานยาเพื่อบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด เป็นยาในกลุ่มไดออสมินและเฮสเพอริดิน เป็นตัวยาที่จะยับยั้งกระบวนการอักเสบให้ลดลง และช่วยให้ลิ้นในหลอดเลือดดำ กลับมาเป็นปกติ

Posted on

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy): รักษารอยแตกลาย ได้ผลดี และสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะที่

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) คืออะไร

คือ เครื่องมือที่นำมาทำการรักษารอยแตกลาย สลายไขมันส่วนเกิน หรือเซลลูไลท์ โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เข้าไปที่ชั้นผิวหนังที่แตกลาย หรือชั้นไขมัน
หลักการทำงานของ Carboxytherapy :
1. รอยแตกลาย : การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ในรอยแตกลาย ด้วยความดันสูง จะทำให้ผิวแตกลายที่เป็นพังผืด ฉีกขาด เกิดจากซ่อมแซม สร้างเซลล์ผิวใหม่ สีผิวที่ซีดจาง จะกลับมาเกือบเป็นสีผิวปกติ รอยแตกลายจึงดูจางลง
2. การสลายไขมัน : ก๊าซที่ฉีดเข้าชั้นไขมัน จะละลายกับน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค กรดคาร์บอนิค ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด แล้วเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันให้แตกออก จึงกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และเกิดเส้นเลือดใหม่ขึ้นมา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
2.1 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำหน้าที่กำจัดและทำลายเซลล์ไขมัน
2.2 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำหน้าที่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดการขับของเสีย หรือไขมันออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น


ตอนนี้ใช้รักษาอะไร

คาร์บ๊อกซี่เธอราปี ได้มีการนำเข้ามาใช้แล้วในวงการความงาม เมื่อประมาณปี พ.ศ . 2548  ตอนนั้นถือเป็นเครื่องสลายไขมัน ยุคแรกๆ เป็นทางเลือกแรกในการสลายไขมันเฉพาะที่ ที่สนนราคาไม่แพง  และสะดวก ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่หลังจากที่มีเครื่องมือและวิธีใหม่ๆ ในการสลายไขมันออกมาสู่ท้องคลาด เช่น การฉีดเมโสแฟต การสลายไขมันด้วยความเย็น(Coolsculpting) การสลายไขมันและกระชับสัดส่วนในเครื่องเดียว เช่น Exilis Elite จึงทำให้การสลายไขมันด้วยเครื่องคาร์บอกซี่ ลดความนิยมลง เพราะช่วงทำ จะค่อนข้างเจ็บมาก ใช้เวลาทำแต่ละครั้งนาน และต้องทำหลายๆ ครั้ง จึงจะเห็นผลขัดเจน
ปัจจุบัน เครื่องคาร์บอกซี่ จึงยังนิยมใช้เฉพาะกับการรักษายังใช้ในการรักษารอยแตกลาย เพราะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียง ไม่เกิดรอยดำหลังทำเหมือนกับการยิงเลเซอร์รักษารอยแตกลาย

Carboxy รักษารอยแตกลายต้นขา
Carboxy รักษารอยแตกลายหลังคลอด
Posted on

ฺ น่องปูด น่องโต ฉีดโบ โชว์ขาเรียว ไม่เป็นมัด จัดไป ใส่ขาสั้นได้ ( Botox for Radish-like Legs)

น่องโต เกิดจากอะไร

เรียวขาที่สวยงาม เป็นจุดดึงดูดทางเพศแก่ผู้ชาย รองมาจากใบหน้าและหน้าอก น่องโต จึงปัญหาที่ทำให้สาวๆ ไม่กล้า ใส่ขาสั้น หรือชุดว่ายน้ำ อวดสายตาให้คนได้ ชาวจีนให้สมญานามของผู้หญิงน่องโตว่า “ขาหัวผัดกาดแดง ( Radish-like Legs)
น่องที่โต ก็คือ กล้ามเนื้อที่น่องที่เรียกว่า Gastrocnemius muscles ที่ทำหน้าที่ สำคัญในการเดิน การกระโดด หรือการวิ่ง งอหลังเท้า เหยียดนิ้วเท้า ถีบฝ่าเท้าลงและช่วยงอเข่าด้วย แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. กล้ามเนื้อน่องด้านใน (Medial Gastrocnemius-MG)
2. กล้ามเนื้อน่องด้านนอก (Lateral Gastrocnemius-LG)
 ส่วนฉายา “ขาหัวผักกาดแดง” ก็คือ การโตขึ้นของกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius (MG)
นอกจากนี้ ยังมีกล้ามเนื้อที่ลึกลงไปชั้นในใกล้กระดูกขา คือ กล้ามเนื้อ Soleus (SL) ทั้ง 2 มัดกล้ามเนื้อ ในส่วนปลายจะรวมตัวกันเป็นเอ็นร้อยหวาย ( Achillis Tendon)ที่ทำหน้าที่ในการเขย่งข้อเท้า งอข้อเท้า

การแก้ไขปัญหาน่องโต

1. การผ่าตัด : จัดเป็นวิธีดั้งเดิม ก่อนจะมีการฉีดสารโบทอกซ์ลดน่อง ได้ผลดี เร็ว และถาวร แบ่งเป็น
1.1 การผ่าตัดเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ (Selective Neurectomy) จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนี้อ่อนกำลังลง มีขนาดเล็กลง ซึ่งถือว่าทำให้ได้ผลเร็ว หลังผ่าตัดฟื้นตัวได้เร็ว แต่ข้อเสียคือ บอกไม่ได้แน่นอนว่าน่องจะลดลงแค่ไหน และอาจจะทำให้การควบคุม การทำงานของขาผิดปกติได้
1.2 การผ่าตัดกล้ามเนื้อน่องด้านใน ( Total excision of MG) วิธีนี้คือการตัดกล้ามเนื้อมัดนี้ออกไป ปัจจุบันไม่ค่อย นิยม เพราะทำให้เกิดรอยแผลผ่าตัดยาวถึง 5-8 ซม. ระยะเวลาพักฟื้นนาน และทำให้การทำงานของขาผิดปกติ
1.3 การผ่าตัดแบบเหลากล้ามเนื้อทั้ง 3 มัดMG+LG+SL ( Muscle sculture) ก็คือการค่อยๆ ตัดกล้ามเนื้อที่ไม่เข้ารูป ออกทั้ง 3 มัด โดยจัดแต่งให้เข้ารูปที่ต้องการ แต่ก็มีผลเสีย คือ ใช้เวลานานในการผ่าตัดและพักฟื้น ราคาแพง และเกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด

2. ฉีด Botox ลดน่อง : เป็นทางเลือกใหม่ ในการแก้ปัญหาน่องโตโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เกิดผลข้างเคียง ไม่ต้องพักฟื้น โดยแพทย์จะฉีด Botox ที่กล้ามเนื้อ Gastrocnemius ทั้งสองด้านนอกและด้านใน โดยเน้นที่กล้ามเนื้อน่องด้านในเป็นหลัก เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของน่องโตเป็นหัวผักกาดแดง
ผลการรักษา พบว่าทำให้สามารถลดขนาดน่องลงได้ภายใน 1-3 เดือน ผลงานนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะใน ประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์กลุ่มแรกๆ ที่นำสาร Botox มาแก้ปัญหาเหล่านี้
ส่วนปริมาณยูนิต ขึ้นอยู่กับขนาดน่องโตมากน้อยแค่ไหน โดยแพทย์จะทำการประเมินเบื้องต้น โดยจะให้คนไข้ยืนเขย่งเท้า เพื่อแสดงให้เห็นขนาดของ กล้ามเนื้อ แล้วจะทำเครื่องหมายรอบๆ บริเวณน่องโตดังกล่าว แล้วค่อยๆ ฉีด Botox เป็นจุดเล็กๆ ในปริมาณ 4 ยูนิตต่อพื้นที่ประมาณ 2 ตร.ซม. ซึ่งแต่ละข้างจะใช้ปริมาณโบท๊อกซ์ประมาณ 100-150 ยูนิตต่อน่อง 1 ข้าง แต่ด้วยการออกฤทธิ์ชั่วคราวของ Botox จึงต้องฉีดซ้ำทุก 6 เดือน

Posted on

นาโนเทคโนโลยี่ (nanotechnology) กับวงการเครื่องสำอาง

นาโนเทคโนโลยี่ คืออะไร

นาโนเทคโนโลยี่ คือ เทคนิคใหม่ในการทำให้ทุกสิ่งมีขนาดเล็กลงในระดับนาโนเมตร ซึ่งตาเปล่าจะมองไม่เห็น และสามารถแทรกซึมออกฤทธิ์ต่อ บริเวณเป้าหมายโดยตรง( 1 นาโนเมตร เท่ากับ 10 ยกกำลังลบ9 เช่น ถ้าสิ่งหนึ่งมีความสูง 1 เมตร เมื่อจะต้องการจะจำลองทำให้เหลือ 1 นาโนเมตร ก็ต้องจำลองให้เล็กลงสิบล้านเท่า)
ท่านอาจจะได้ยินคำว่า ” นาโนเทคโนโลยี่” กันบ่อยขึ้น เพราะปัจจุบันได้มีการผลิตและคิดค้นหลายสิ่งหลายอย่างด้วยเทคนิคนี้ แล้วก็ยังมีหลักสูตรการเรียนด้านนี้โดยเฉพาะทั้งในประเทศและต่างประเทศ …. … แม้แต่ในแวดวงความสวยความงาม ก็ได้นำเทคนิคนี้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือยา ใช้ในวงการแพทย์เช่นกัน

ในวงการเครื่องสำอาง ได้นำมาทำให้สารออกฤทธิ์หรือยาที่สำคัญ มีขนาดเล็กลง แล้วนำมาผสมในเครื่องสำอาง เพื่อประโยชน์ดังนี้

  1. เพื่อการแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น และช่วยบำรุงผิวได้ล้ำลึกกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไป
  2. สามารถลดความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิตที่ไม่จำเป็น
  3. ผู้บริโภคสามารถทาครีมเพียงปริมาณน้อยๆ ทาบางๆ ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่เหนอะหนะผิวหน้าและไม่เปลืองเกินความจำเป็น
  4. เครื่องสำอางบางชนิด เช่น ครีมกันแดด ครีมรองพื้น อายแชโดว์ จัดเป็นเครื่องสำอางที่เกาะติดผิว ไม่ต้องการการแทรกซึมสู่ผิวชั้นใน ก็จะผลิตด้วยเทคนิคนาโน ให้มีขนาดเล็กลง จะทำให้เครื่องสำอางเกาะติดผิวได้ดีขึ้น จนแลดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
  5. ทำให้สามารถบรรจุสารสำคัญในระดับนาโน ลงในแคบซูลเล็กๆ เพื่อป้องกันการสลายตัวของสารสำคัญนั้นๆ หรือต้องการให้สารสำคัญค่อยๆ ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ เช่น กลุ่มครีมทาผิวสีแทน ครีมกำจัดขน หรือลิปติกที่ต้องการให้ออกฤทธิ์ช้าๆ ค่อยๆ ทำให้ปากชุ่มชื้นและสีลิปติกติดทนนานได้ทั้งวัน
  6. ทำให้สามารถบรรจุสารสำคัญหลายชนิดเข้าด้วยกันได้ในขนาดระดับนาโน เพื่อให้ออกฤทธิ์ได้หลายขั้นตอน

หลักการสังเกตว่าเครื่องสำอางชนิดใด ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี่หรือไม่ ให้ดูที่ฉลากว่ามีการระบุว่าเป็น Nanotech Products หรืออธิบายไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งการดูด้วยตาเปล่าจะไม่สามารถบอกได้ ถ้าต้องการทราบแน่นอน การจัดส่งให้กรมวิทยาศาสตร์ทางแพทย์เป็นผู้ตรวจวิเคราะห์ก็จะทราบได้

ดังนั้นในอนาคตข้างหน้านี้ เครื่องสำอางนาโนเทคโนโลยี่ อาจจะเป็นอีกทางเลือกใหม่การการเลือกใช้เครื่องสำอาง ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ปริมาณน้อยลง แต่ได้ผลดีตามต้องการ และอาจจะประหยัดมากกว่าในปัจจุบันนี้

Posted on

IPL (Intense Pulse Light) คลื่นแสงกับความงาม ต่างกับเลเซอร์ความงามอย่างไร

IPL (Intense Pulse Light)คืออะไร

เครื่องมือที่ใช้รักษาปัญหาผิวพรรณ และความงาม โดยใช้คลื่นแสงที่เข้มข้นสูง ที่มีความยาวช่วงคลื่น ตั้งแต่ 515-1200 นาโนเมตร โดยการเปลี่ยนฟิลเตอร์ ให้เฉพาะบางช่วงคลื่น ถูกปล่อยออกมา แบบ High pass and low cut off หมายถึงว่า ถ้าใช้ฟิลเตอร์ 590 นาโนเมตร หมายถึงว่า ฟิลเตอร์นี้จะคัดกรองคลื่นแสงเฉพาะที่มากกว่า 590 นาโนเมตรให้ผ่านไปที่ผิวหนังได้ ส่วนที่มีช่วงคลื่นต่ำกว่านี้จะไม่สามารถผ่านไปได้
แสงช่วงคลื่นที่ต้องการนั้น แพทย์จะเลือกช่วงคลื่นที่นำมาใช้ให้เหมาะสมกับภาวะที่ต้องการรักษา  และตั้งพลังงานแสงและช่วงเวลาที่ปล่อยแสงให้พอเหมาะ  แสงจะถูกปล่อยออกมาเหมือนไฟแฟลชเป็นเวลา เศษส่วนพันวินาทีในแต่ละบริเวณที่ทำการรักษา
IPL กับเลเซอร์แตกต่างกันอย่างไร?
– IPL เป็นคลื่นแสง ที่ปล่อยพลังงานบางช่วงคลื่น ออกมา ซึ่งอาจจะมีหลายช่วงคลื่น ไม่จำเพาะเจาะจงเหมือนเลเซอร์ที่เป็นพลังงานช่วงคลื่นเดียว ดังนั้นผลการรักษาถ้าเทียบกับเลเซอร์ จึงด้อยกว่าเลเซอร์

IPL ใช้รักษาอะไร ได้ผลแค่ไหน

1. ความผิดปกติของเส้นเลือด ใช้ในการรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงปานกลาง ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1 มม. แต่ประสิทธิภาพก็ยังได้ผลดีสู้เลเซอร์วีบีมที่รักษาเส้นเลือดโดยเฉพาะไม่ได้
2. ความผิดปกติของเม็ดสี ซึ่งพบว่าได้ผลดีปานกลาง สำหรับเม็ดสีที่เข้มกว่าปกติ เช่น ฝ้าบางๆ หรือฝ้าชั้นหนังกำพร้า ( Epidermal melasma) กระ ( Freckle) จะจางลงได้ แต่ก็มักจะกลับมาเป็นใหม่ได้ไว ปานดำ(Becker’s nevus) แทบจะไม่ได้ผลสู้การรักษาด้วยเลเซอร์ กลุ่ม Nd-Yag laser หรือ Pulse dyne laser
3.การกำจัดขนกึ่งถาวร ถือว่า IPL เป็นเครื่องมือกำจัดขนได้เช่นกัน แต่ได้ผลไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับเลเซอร์กำจัดขนโดยเฉพาะ
4. Photorejuvenation น่าจะเป็นข้อเดียวของ IPL ที่พอจะแข่งขันกับเลเซอร์ได้ เพราะช่วยเรื่องหน้าเกรียมแดด หน้าหมองคล้ำ ให้ขาวใสได้ สังเกตุได้ทันทีหลังทำ
5. รอยดำ โดยพบว่า IPL กับการรักษาแผลเป็นรอยดำ พอจะได้ผลบ้าง ถ้ารอยดำจางๆ ไม่ลึกมากนัก แต่ถ้ารอยแดงหรือรอยหลุม แทบจะได้ผลน้อยมาก

ปัจจุบัน IPL มีหลายชนิด หลายคุณภาพตามแต่ผู้ผลิต ราคาจึงแตกต่างกันมาก ดังนั้นก่อนรับการรักษาด้วย IPL ควรสอบถามถึงความมาตรฐานของผู้ผลิต และแหล่งที่มาของเครื่องมือนั้นๆให้ชัดเจนก่อนเสมอ เพื่อประสิทธิผลในการรักษา

Posted on

Brow Lifting : 4 เทคนิค ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับลุคใหม่ให้ดู สดใส เยาว์วัย

เทคนิคการยกคิ้วมีกี่แบบ

 แนวรูปคิ้ว บ่งบอกถึงอารมณ์ โครงหน้า และก่อให้ความสวยงามแก่ใบหน้า รูปคิ้วที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันได้ การปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว ก็เพื่อปรับเปลี่ยนลุคให้ดูต่างจากเดิม หรืออาจจะช่วยทำให้เยาววัยขึ้น
ในคนที่อายุมากขึึ้น อาจจะมีหางคิ้วตก หางตาตก ทำให้ตาสองชั้น เริ่มดูไม่ชัดเจน ดังนั้นการปรับแนวรูปคิ้ว การยกคิ้ว จึงเป็นความต้องการของคนไข้อีกอย่างหนึ่งที่มาพบได้บ่อยๆ จึงจะจำแนกการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว วิธีต่างๆ ดังนี้ 

1. Botox : เปลี่ยนแนวรูปคิ้ว โดยหลักการที่ว่าโบทอกซ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว อ่อนแรงลง เลยทำให้กล้ามเนื้อในส่วนที่ใกล้เคียงทำงานได้เด่นกว่า จึงเกิดการดึงรั้งให้รูปคิ้วเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนใหญ่คนที่นิยมฉีดโบทอกซ์ปรับแนวคิ้ว ก็เพื่อยกคิ้วให้สูงโก่ง จากหางคิ้วตก เพื่อฉีดแล้ว จะทำให้รูปคิ้ว ได้รูปสวยตามต้องการ และยังทำให้ดวงตากลม และยังช่วยยกหนังตาบนตกได้ด้วย
แพทยที่ทำจะต้องมีความรู้เรื่องกล้ามเนื้อที่ทำงานรอบดวงตา และแนวคิ้วเป็นอย่างดี จึงจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว แต่อาจจะได้ผลในระดับหนึ่ง และ อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
2. Fillers: ฟิลเลอร์เริ่มมีบทบาทในการปรับแนวรูปคิ้ว โดยเป็นทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง เพราะได้ผลแน่นอนกว่า และอาจจะปรับแต่งเสริมให้ได้รูปแบบแนวคิ้วที่ต้องการได้แม่นยำกว่าการฉีดโบทอกซ์ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังชั้นลึก จะช่วยค้ำยันให้แนวคิ้วยกขึ้นได้ตามต้องการ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปรับแนวรูปคิ้ว คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และเห็นผลทันทีหลังทำ  อยู่ในนานกว่าประมาณ 8-12 เดือน

3. Ulthera : เป็นทางเลือก ที่สามารถมาปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว เพราะสามารถลงลึกสุดกว่าการยกคิ้วแบบอื่นๆ สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญสำหรับปกป้องการหย่อนคล้อยของใบหน้า จะใช้ในคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย เมื่ออายุมากขึ้น  
ข้อดีของการปรับแนวรูปคิ้วด้วย Ulthera  คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และถือเป็นการยกคิ้วกึ่งถาวร เพราะอยู่ได้นานสุด ถึง 18 เดือน แต่ก็มีข้อเสียคือ คาดหวังผลได้ยาก แม้จะเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังทำ แต่ก็ต้องรอดูผลที่ชัดเจนอีกประมาณ 3-4 อาทิตย์   และก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่า และเจ็บมากกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือฟิลเลอร์
4. ร้อยไหม : การร้อยไหมยกคิ้ว จัดเป็นอีกทางเลือกเช่นกัน โดยใช้ไหมละลาย ชนิด PDO แบบไม่มีเงี่ยง หรือแบบมีเงี่ยง ในการยกปรับแนวคิ้ว
วิธีนี้ถือว่าเป็นทีนิยม เพราะราคาไม่แพง ไม่ต้องพักฟื้น และปรับแต่งแนวคิ้วในการต้องการตามทิศทางไหมที่ดึงรั้ง ตามต้องการ แต่การหวังผลก็ได้ระดับหนึ่ง และอยู่ได้ 6-12 เดือน

Posted on

Microdermabrasion : กรอหน้า ผลัดเซลล์ผิวให้อ่อนวัย หน้าใส ไร้รอยด่างดำ

Microdermabrasion คืออะไร

คือ การกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system)
– มีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ และขนาดของผลึกครีสตัลก็แตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ในการใช้งาน และปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือให้ทันสมัยและสะดวกขึ้น โดยการใช้ผลึกครีสตัลของเพชร ( Diamond crystal) มากรอผิวแทนซึ่งจะมีการระคายเคืองน้อยกว่า และสะดวกกว่า

กรอผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง

1. หน้าหมองคล้ำจากแสงแดด
2. สิวอุดตัน ทั้งประเภทหัวดำ และหัวขาวให้หลุดลอกออก สิวเสี้ยน
3. ริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยบริเวณหางตา
4. ผิวหนังที่หยาบกร้าน แตกลาย เช่น บริเวณท้อง ขา
5. รอยดำตามผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิว รอยดำตามลำตัว ขาหนีบ
6. รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ามัน
7. รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ รอยเย็บแผล
8. ฝ้าจางๆ ที่ไม่ลึกมาก
9. กระแดด กระในคนสูงอายุ
10.ผิวหน้ามัน เพราะการกรอผิว ทำให้ไขมันที่เคลือบผิวหน้าชั้นนอก หลุดลอกออก และทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันในท่อไขมัน ลดลง

ผลข้างเคียง

  1. ความรู้สึกระคายเคือง แสบ ที่ผิวหน้าในระหว่างที่ทำ และหลังทำ ซึ่งอาจจะต้องทาครีมบำรุง หรือสารให้ความนุ่มเนียนหลังทำ
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดด ในระยะ 1-7 วันหลังทำขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว
  3. อาจจะมีรอยแดง หรือรอยซีดจาง หลังทำและจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน
  4. รอยดำจากจากการระคายเคืองผิว
  5. กรณีที่กรอลึก เช่นในคนที่มีปัญหาท้องลาย ขาลาย หรือรอยแยกแตกของผิวหนัง อาจจะมีอาการบวม เลือดซึม หรืออักเสบหลังทำได้ และจะดีขึ้นภายใน 1-3 อาทิตย์
Posted on

Iontophoresis : ไอออนโต แก้ปัญหาผิวมัน ไร้สิว ไร้ฝ้า หน้าขาวใส ไร้รอยด่างดำ

ไอออนโต คืออะไร

คือ เครื่องมืออิเลคโทรนิค ที่มีความสามารถในการผลักดันวิตามิน หรือยาเข้าสู่ผิว ด้วยกลไกทางฟิสิกซ์ว่า ประจุเหมือนกันจะผลักกัน และประจุต่างกันจะดูดเข้าหากันโดยใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำ ทำให้ยาซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้มากกว่าการทายาเพียงอย่างเดียวหลายเท่าตัว
ขบวนการดังกล่าว เราเรียกว่า Iontophoresis

ชนิดของยา ที่สามารถนำมาใช้ด้วยเครื่องไอออนโต เพื่อทำการรักษาปัญหาผิวหน้า อาทิเช่น

  1. Vitamin A : สิวอุดตัน แผลเป็น รอยหลุม
  2. Vitamin C : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  3. Kojic Acid : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  4. Albutin : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  5. Aloe vera , Hyaluronic acid : รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ากระชับ
  6. Azeleic Acid,Tranxemic acid : ปัญหาฝ้า รอยด่างดำ

ไอออนโต รักษาอะไร

ปัจจุบันนำมาเพื่อทำให้หน้าขาวใส รักษาสิว รอยด่างดำตื้นๆ ลดหน้ามัน เป็นหลัก เพราะมีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถ ใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้ง ประมาณ 250-400 บาท ขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้ในการทำไอออนโต และสามารถมาทำได้บ่อย 2-3 ครั้งต่ออาทิตย์
มีข้อถกเถียงกันในวงการแพทย์ผิวหนัง ว่าการรักษาด้วยไออออนโต สามารถผลักยาลงไปได้จริงหรือไม่ มีทั้งผลงานวิจัยที่สนับสนุน( ของเมืองนอก) และคัดค้าน( ที่รพ.ศิริราชทำวิจัย ) ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่จากความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนและประสบการณ์ที่ใช้รักษาคนไข้ คนไข้ส่วนใหญ่ พอใจกับผลการรักษาในระดับหนึ่ง
ไอออนโตถือเป็นการทำทรีทเม้นต์พื้นฐาน หรือตัวเลือกแรก สำหรับคนปัญหาผิวมัน สิว ฝ้า กระ แต่มีงบประมาณจำกัด ในการแก้ปัญหาผิวหน้าให้ดีขึ้น แต่ต้องทำหลายครั้ง ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ ยังไม่พอใจ จึงค่อยเปลี่ยนไปทำทรีทเม้นต์อื่นๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ปัจจุบัน การทำไอออนโต จะให้ต้องใช้ยา หรือครีมรักษา นำกลับไปดูแลต่อที่บ้านด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้มากขึ้น

Posted on

Phonophoresis : โฟโน นวดหน้า ผลักยากระชับผิว ให้ขาวใส ไร้ริ้วรอย เหี่ยวย่น

โฟโน คืออะไร

คือ เทคนิคยกกระชับหน้า โดยเครื่อง อัลตราโซนิค หรือเสียงความถี่สูง ประมาณ 20,000 Hz แต่จะไม่ได้ยินเสียง เดิมทางการแพทย์ ใช้ช่วยในการนวดกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ตลอดจนเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถ ทายาที่ผิวหนัง แล้วใช้คลื่นความถี่ผลักยาให้ซึมลงสู่ผิวหนัง ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเครื่องไอออนโต ที่ใช้การแตกประจุยา แล้วให้ประจุบวก หรือ ลบ ผลักยาลงไปที่ผิวหนัง

แก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

  1. ใช้ผลักยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ข้อติด ซึ่งมักใช้โดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
  2. ยกกระชัับหน้า ลดการหย่อนคล้อย
  3. รักษารอยด่าง ดำ บริเวณผิวหน้า
  4. รักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น รอบดวงตา รอยตีนกา รอยย่นที่มุมปาก รอยย่นที่หัวคิ้ว และลำคอหย่อนยาน
  5. ใช้นวดลดถุงไขมันใต้ตา ขอบตาดำคล้ำ เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต นวดเซลล์ ทำให้สารอาหารมาหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น

ข้อห้ามในการทำ Phonophoresis 

  1. ผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
  2. ไม่ควรใข้ในบริเวณท้อง ในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้แท้งบุครได้
  3. ไม่ใช้ในตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง เพราะอาจทำให้มะเร็งแพร่กระจายได้
  4. ไม่ควรใข้ในผู้ป่วย ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ( cardiac pacemaker

การทำ Phonophoresis ได้นำมาใช้ยกกระชับหน้าประมาณปี พ.ศ. 2542 และได้รับความนิยม เพราะราคาไม่แพง และช่วงนั้นมีเครื่องมือให้เลือกไม่กี่อย่าง แต่ ปัจจุบันลดความนิยมลง เพราะบางคนทำแล้วไม่ได้ผล เมื่อเทียบกับเครื่องมือใหม่ๆ ที่ออกมาภายหลัง เช่น Thermage, Ulthera,HIFU แต่ก็อาจจะถือว่าเป็นทางเลือกแรกสำหรับคนงบน้อย และมีปัญหาหน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ต้องการกระชับผิวแบบทำได้ทุกอาทิตย์

Posted on

Chemical Peeling : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ให้หน้าขาวใส ไร้ริ้วรอย ด่างดำ รูขุมขนกระชับ

Chemical Peeling  คือ

คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้AHAs,BHAs,PHA,และ TCA ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ของแพทย์ ในการใช้แก้ปัญหาด้านผิวพรรณ
โดยมีหลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
การทำ Peeling แบ่งการผลัดผิวได้เป็น
1.Very Superficial Peeling การผลัดผิว อย่างบางๆ ลอกเฉพาะเซลล์ผิวชั้นนอก(Stratum Corneum) ของชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ( AHA) หรือ 10 % TCA ทานาน 1-2 นาที
2. Superficail Peeling ผลัดผิวลึกลงกว่า วิธีที่ 1 ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ทานาน 2-20 นาที หรือ 10-30 % TCA

3. Medium Peeling ลอกลึกถึงเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด มักใช้ 70 % Glycolic acid ทานาน 3-30 นาที หรือ 30-50 % TCA
4. Deep Peeling ผลัดผิวลึกที่สุด ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) ทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 100 % Glycolic acid ทานาน 1-3 นาที หรือ 70 % TCA

ประโยชน์ในการผลัดผิวหน้า ด้วยการทำ Peeling 

  1. ลดรอยหมองคล้ำ รอยดำ ทำให้ผิวหน้าขาวเนียนขึ้น
  2. รักษาฝ้า กระ ให้สีจางลงได้
  3. ข่วยให้รอยหลุมจากสิวตื้นขึ้น และ แผลเป็นรอยนูนราบลงได้
  4. แก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
  5. ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย

การทำ Peeling นี้ แต่ละคลินิกจะได้ผลแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ 

  1. วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ลอก ลึกแค่ระดับใด
  2. ชนิดของสารเคมีที่ใช้
  3. ความเข้นข้นของสารเคมี
  4. จำนวนครั้งการทา
  5. PHของสารเคมีที่ใช้
  6. เทคนิคการทา
  7. สีผิวหรือปัญหาของผิวหนังแต่ละคน
  8. ระยะเวลาในการทาทิ้งไว้
  9. ความสะอาดของผิวหน้า
  10. ประวัติรักษาที่เคยทำมาก่อน

ข้อแนะนำหลังการรักษา 

  1. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือ โฟม หรือ สบู่อ่อนๆ งดใช้ครีมทุกชนิด ในวันแรกที่ทำการรักษา
  2. หลีกเลี่ยงการออกแดด เพราะอาจจะทำให้หน้าเกรียมแดด หมองคล้ำลงได้ แต่ถ้าจำเป็นให้ใช้ครีมกันแดดทาก่อนออกแดด ควรเลือกที่มี SPF > 50
  3. ผิวหน้าจะลอกภายใน วันที่ 3-5 หลังการทำ Peeling ไม่ควรแกะออกเอง ให้หลุดลอกตามธรรมชาติ อาจใช้ครีมบำรุงกลบรอยขุยที่หลุดลอกได้
    ข้อควรระวัง : แม้ว่าการลอกผิวด้วยสารเคมี จะเป็นที่นิยม เพราะราคาไม่แพง แต่ก็ควรระวังในคนที่สีผิวคล้ำ หรือผิวแพ้ง่าย เพราะมีผลข้างเคียง อาจจะทำให้เกิดรอยดำชั่วคราวหรือถาวรได้ จากการระคายเคืองจากสารเคมีได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ
Chemical peeling before after 2 weeks
Chemical peeling before after 2 weeks

Posted on

Laser Resurfacing : เลเซอร์ลอกหน้า ผลัดผิว ให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย ฝ้า กระ รอยหลุม

Laser Resurfacing คืออะไร

คือ การลอกผิว หรือผลัดผิวหนังด้วยเลเซอร์ แบ่งตามระดับความลึกของการลอกได้ 3 ระดับ คือ
1. Ablative laser resurfacing.: แบบนี้จะลอกได้ลึกสุด ลอกผิวหนังชั้นนอนกออกหมด ได้ผลสุด แต่ผลข้างเคียงก็มากสุด เลเซอร์ที่ใช้ก็คือ CO2 Laser 10,600 nm มักนิยมทำในคนผิวขาว ส่วนเอเซียไม่ค่อยนิยม เพราะระยะพักฟื้นนาน เป็น 1-2 เดือน หลังทำอาจจะมีเลือดซึม และอาจจะทำให้เกิดรอยดำถาวรได้
2. Semi-Ablative laser resurfacing.: เลเซอร์ชนิดนี้ จะลอกในผิวหนังชั้นนอกบางส่วน ระยะพักฟื้นน้อยกว่า 1-2 อาทิตย์ ได้ผลรองลงมา ที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ตัว คือ Erbium Laser 2940 nm. กับ Fractional CO2 Laser 10,600 nm
3. Non-Ablative laser resurfacing.: เลเซอร์ชนิดนี้ จะลอกในผิวหนังชั้นกำพร้า หรือแทบไม่ลอก ระยะพักฟื้น 1-3 วัน ได้ผลน้อย แต่ผลข้างเคียงก็น้อย ที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ตัว คือ Erbium Glass laser Laser 1550 nm. ( Fraxel,Finescan )

การกรอผิวหน้าด้วยเลเซอร์ ได้ผลดีกว่าวิธีอื่นอย่างไร

การกรอผิวหน้าด้วยเลเซอร์ จะได้ความแม่นยำในการลอกหน้า ความลึก และบริเวณที่ถูกต้อง แม่นยำกว่าการลอกด้วยสารเคมี หรือการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี และยิ่งแพทย์ที่ทำมีความชำนาญ มีประสบการณ์ จะได้ผลลัพธ์ที่ดี และผลข้างเคียงน้อยสุด โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ผิวหนังมีคุณภาพดีขึ้น ดังนี้

1. ความร้อนจากเลเซอร์ ทำให้มีการลอกผิวหนังชั้นกำพร้าและส่วนบนของหนังแท้ใหม้หลุดออกไป จึงทำให้รอยย่น รอยหลุม บนใบหน้าลดลง (แม้จะไม่หมดก็ตาม)
2. ความร้อนจากเลเซอร์ทำให้เกิดจากหดตัวของ collagen fiber ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยจึงดูจางลง ซึ่งได้ผลดีในบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปาก
3. ความร้อนจากเลเซอร์ ทำให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ได้อย่างช้าๆ ในเวลา 6-12 เดือน จึงทำให้รูขุมขน รอยหลุมดูตื้นและเล็กลงได้

ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

1. ริ้วรอยย่น แบบ Static wrinkle คือรอยย่น ที่ฉีดโบทอกซ์แล้วยังมีร่องรอยเหลืออยู่ หรือบริเวณที่ไม่สามารถฉีดโบทอกซ์ได้
2. รอยหลุมสิว ทุกชนิด
3. รูขุมขนกว้าง
4. ฝ้า กระ ชนิดตื้น
5. ภาวะชราของผิวพรรณ เช่น กระเนื้อ กระแดด กระในคนสูงอายุ
6. รอยสักบางชนิด ที่เลเซอร์ลบรอยสัก กำจัดได้ไม่หมด

ผลข้างเคียง ของกรอผิวหน้าด้วยเลเซอร์

1. อาจมีอาการ หน้าบวมแดง หลังทำ นานมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ทำ
2. ภาวะอักเสบ น้ำเหลืองไหล มักจะเกิดจากการลอกผิว แบบ Ablative laser resurfacing
4. ภาวะการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อนได้ มีน้ำหนอง ซึ่ง มักเกิดได้จากมักจะเกิดจากการลอกผิว แบบ Ablative laser resurfacing
5. รอยดำจากความร้อนของเลเซอร์ อาจจะ เกิดได้นานในคนเอเซีย ถ้าลอกลึกเกินไป
7. รอยแผลเป็น มักเกิดได้จากมักจะเกิดจากการลอกผิว แบบ Ablative laser resurfacing
8. การกรอผิวด้วยเลเซอร์รอบดวงตา ถ้าทำหลายครั้งหรือใช้พลังงานมากเกินไป อาจเกิดการดึงรั้งหนังตา ทำให้เกิดภาวะหลับตาไม่ได้( ectropion) มักเกิดได้จากมักจะเกิดจากการลอกผิว แบบ Ablative laser resurfacing

fractional CO2-Laser resurfacing
fractional Co 2 laser resurfacing
Posted on

CO2 Laser : เลเซอร์ ที่เสมือนมีดผ่าตัดไร้โลหิต พิชิต หูด ใฝ ขี้แมงวัน กระเนื้อ สิวหิน ต่อมไขมัน

CO2 Laser คืออะไร

คือ เลเซอร์รุ่นแรกๆ โดยได้เริ่มมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในการผ่าตัดเนื้อเยื่อที่ผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง( Benign tomor lesions) เช่น ใฝ ขี้แมลงวัน ฯลฯ แพทย์ผิวหนังได้ขนานนาม Co2 laser คือม้าใช้งานทางเลเซอร์ เพราะสามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว ในการผ่าตัดเล็กๆ ไม่เกิดรอยเลือด และมีความแม่นยำในการผ่าตัดมากกว่าใบมีดผ่าตัด แถมไม่มีเลือดให้ดูน่ากลัว ไม่ต้องซับเลือด
เหตุผลที่ไม่มีเลือด เพราะ CO2 laser เป็นเลเซอร์ที่ให้ความถี่ช่วงคลื่น) 10,600 nm จะดูดซึมได้ดีในน้ำ ซึ่ง (80% ของผิวหนังคนเราประกอบด้วยน้ำ) ทำให้พลังงานที่ปล่อยออกจากเครื่องเลเซอร์นี้เกือบ 90 % ( ประมาณ 20-50 ไมโครเมตร) ดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อ ทำให้เกิดความร้อนอย่างรวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดหดตัวและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีเลือดไหลให้เห็นได้

CO2 Laser รักษาอะไร

1. กระเนื้อ (seborrheic keratosis) กระตื้น กระแดด กระในคนสูงอายุ
2. ขี้แมลงวัน ใฝ
3. หูด ติ่งเนื้อ (wart)
4. สิวหิน ( syringoma )
5. แผลเป็นนูน (Keloid)
6. ต่อมไขมันอุดตันอุดตันชนิดต่างๆ ( Xanthelasma , adenoma sebaceous )
7. หลุมสิวบางชนิด ( Ice -Picked Scars
หลังทำอาจจะมีสะเก็ด หลุดออก ใน 1-3 วัน หรืออาจจะรอยดำได้ โดยเฉพาะในคนสีผิวเข้ม ควรเลืี่ยงแดดหลังทำอย่างน้อย 2 อาทิตย์

Fractional CO2 Laser ต่างจาก CO2 Laser อย่างไร

Fractional CO2 Laser: ก็คือ CO2 Laser ความยาวช่วงคลื่น 10,600 nm เหมือนกัน แต่เปลี่ยนหัว Hand piece จากที่ปล่อยลำแสงเป็นลำตรงเส้นเดียว ที่ใช้ตัดเนื้อเยื่อ ให้ปลดปล่อยลำแสง เป็นจุดเล็กๆ เพื่อแบ่งซอยพลังงานจากลำแสงขนาดใหญ่ ให้เป็นชนาดเล็กลง จำนวนมาก   และนำมาใช้ประโยชน์ในการการลอกผิวหน้า ผลัดเซลล์ผิวหน้า รักษาหลุมสิว ริ้วรอยเล็กๆ หรือฝ้า กระ ชนิดตื้น หลังยิงโอกาสเกิดรอยดำได้เช่นกัน โดยเฉพาะในคนสีผิวเข้ม ควรเลี่ยงแดดหลังทำ อย่างน้อย 2 อาทิตย์เช่นกัน

CO2 Laser กำจัดขี้แมงวัน เห็นผลทันทีหลังทำ
CO2 Laser กำจัดใฝ เห็นผลทันทีหลังทำ

Posted on

เหงื่อออกมากกว่าปกติ(Hyperhidrosis) รักแร้เปียก มือเท้าเปียก มีกลิ่นตัว เท้าเหม็น แก้ไขอย่างไร

สาเหตุ เหงื่อออกมากกว่าปกติ(Hyperhidrosis)

การหลั่งเหงื่อ ถือว่าเป็นภาวะปกติของร่างกายที่จำเป็น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยกลไกการหลั่งเหงื่อจะส่งผ่านปลายประสาท ของระบบประสาทอัตโนมัติ ที่เรียกว่า Sympathetic nervous system
ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperthydrosis) คือภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก แม้ในสภาพอากาศปกติ พบได้ประมาณ 1 % ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะอาการออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (Primary Hyperhidrosis) กลุ่มนี้ ที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ซึ่งเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย คนไข้ในกลุ่มนี้ มักพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ในกลุ่มวัยรุ่น ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 30-40 ของกลุ่มนี้ มักจะมีประวัติทางกรรมพันธุ์ร่วมด้วย
  • กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhidrosis)
    คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อในปริมาณมาก ออกทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในเวลานอน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของโรคอื่น ๆ เช่น
    – โรคไทรอยด์เป็นพิษ ทำให้ร่างการมีการเผาผลาญสูง
    – โรควัณโรคปอด
    – โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    – ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะอ้วนมาก ๆ
    – หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
    – การรับประทานยาบางชนิด เป็นต้น

พบได้บ่อยบริเวณไหน

ผู้ป่วยบางรายมีเหงื่อออกมากมากกว่าปกติ แบ่งได้เป็น
1. กลุ่มเหงื่อออกทั่วๆ ไป : เนื่องจากเหงื่อช่วยระบายความร้อน คนที่มีเหงื่อออกทั่วลำตัว จะทำให้ขาดความสมดุลของอุณหภูมิของร่างกาย อาจจะทำให้รู้สึกเย็นหรือหนาวมากกว่าคนปกติ
2. กลุ่มเหงื่อออกเฉพาะที่ : พบได้บ่อยที่สุด มักจะทำให้ขาดความมั่นใจ การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก บริเวณที่พบได้บ่อยๆ คือ
– รักแร้ (พบบ่อยสุด) ทำให้เกิดกลิ่นตัว รักแร้เปียก ดูเป็นที่รังเกียจ ของคนทั่วไป
– บริเวณฝ่ามือ ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือหยิบจับอะไรแล้วลื่น หรือไม่กล้าจะจับมือทักทายใคร
– บริเวณฝ่าเท่า ทำให้ เท้ามีกลิ่นอับ ใส่รองเท้าแล้วถุงเท้าแฉะอึดอัด หรือใส่รองเท้าแตะแล้วลื่น
– ใบหน้า : อาจจะเสียบุคคลิกภาพ แต่งหน้าไม่ติด

แนวทางการรักษา

กรณีที่ทราบสาเหตุ ถ้าแก้ไขที่สาเหตุ และรักษาหาย อาการดังกล่าวจะดีขึ้น
กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุ  มักทำการรักษาได้ยาก แต่พอมีแนวทางแก้ไขได้ดีขึ้น ดังนี้
1. การใช้สารป้องกันเหงื่อ ( antiperspirants) ที่ใช้ได้ดี คือ 20-25 % Aluminium chloride in 70 % alcohol แต่มักได้ผลในกรณีที่เป็นไม่มาก และต้องใช้บ่อยๆ
2. การทำ ไอออนโตโฟรเรซิส มักทำบริเวณฝ่ามือ แต่ต้องทำบ่อยๆ แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะไม่สะดวกในการต้องไปทำอยู่เรื่อยๆ
3. การใช้ยากล่อมประสาท เพื่อแก้ภาวะวิตกกังวล อาจได้ผลบ้าง แต่ไม่ดีนัก หรือ การใช้ยากลุ่ม Atropine ก็มักเกิดผลข้างเคียง ทำให้ปาก คอแห้ง จึงไม่เป็นที่นิยมเช่นกัน

  1. การฉีดสาร botox : สาร Btlulinum toxin นอกจากจะ สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท Acethylcholine ทำให้กล้ามเนื้อคล้ายเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้ว ยังทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ช้าลงด้วย เหงื่อจึงลดลง มักได้ผล ในการฉีดสารนี้ที่บริเวณ รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ซึ่งสามารถลดปัญหาดังกล่าวได้นาน 6-12 เดือน และต้องมาฉีดซ้ำ แต่ก็เป็นที่นิยมในต่างประเทศ มากกว่าการทำการผ่าตัด เพราะเจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องนอนรพ.
  2. การผ่าตัดต่อมเหงื่อทิ้ง มักใช้กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ โดยการผ่าตัดเส้นประสาทบริเวณทรวงอกโดยการส่องกล้อง ที่เรียกว่า endoscpoic thoracic sympathectomy ซึ่งพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล และหายขาด เกือบ 90-97 % แต่ได้ผลดีเฉพาะเหงื่อออกบริเวณรักแร้ มีความปลอดภัยสูง แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
Posted on

ฉีดเมโส (Mesotherapy) : โชว์หน้าเข้ม หน้าใส หน้าเล็ก ด้วยสูตรยาผสม (Cocktails ) เข้าสู่ผิวหนัง

Mesotherapy คืออะไร

Mesotherapy เป็นการรักษารูปแบบหนึ่งในการฉีดสารที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ ( เช่น สารอาหาร กลุ่มวิตามิน โคเอนไซม์ กรดอะมิโน) เป็นคอกเทล เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งชั้นนี้จะประกอบไปด้วย ไขมัน(fat) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues) เพื่อจุดมุ่งหมายในการรักษาในหลากหลายรูปแบบต่างๆ โดยอุปกรณ์ที่ได้ฉีดอาจจะเป็นเข็มกับไซริงค์ธรรมดา หรือเข็มที่มาพร้อมกับปืนดิจิตอลที่ปรับโดสยาและความลึกตื้นได้แม่นยำขึ้น
คิดค้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1952 โดย Dr. Michel Pistor ซึ่งเป็นแพทย์ชาวฝรั่งเศส โดยได้มีการ นำเทคนิคนี้มาใช้กับการรักษา ความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ความผิดปกติของประสาทข้อมือ ช่วยเรื่องอาการเครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะไมเกรน การคลายกล้ามเนื้อ ต่อมาประมาณปี 1987 เทคนิดนี้ได้มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นทั้งในกลุ่มแพทย์ทางยุโรปและอเมริกา โดยนำมาฉีดเพื่อแนวทางการรักษาด้านอื่นๆ มากขึ้น

ฉีดเมโส มีกี่แบบ

1. เมโสแฟต (Mesofat): ฉีดลดไขมันส่วนเกิน เป็นที่นิยมกันมากสุด มีการพัฒนาด้วยสูตรคอกเทลในการสลายไขมัน ทั้งเป็นแบบตัวยา ( เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ หรือสารสกัดธรรมชาติ เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ  เข้าไปยังบริเวณที่มีการสะสมของไขมัน ทำให้เกิดการขัดขวางการสะสมของไขมัน และสลายเป็นไขมันเหลว ผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ บริเวณที่นิยมฉีดได้แต่บริเวณที่ไขมันไม่มากนัก เช่น แก้ม จมูก ท้องแขน ใต้คางหรือเหนียง เพราะถ้าบริเวณที่ไขมันสะสมมาก อาจจะเจ็บมาก รอยช้ำเยอะ และมีผลข้างเคียงจากยาได้มาก

2. เมโสหน้าใส ( Mesobright) เพื่อให้ผิวขาวใส มีน้ำมีนวล และคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น โดยการฉีดสารไวเทนนิ่ง เช่น วิตามินซี Albutin เข้าไปที่ผิวหน้าในปริมาณน้อยๆ หลายๆ จุดทั่วใบหน้า และทำซ้ำกันทุกอาทิตย์ต่อครั้ง เพื่อไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ให้ทำงานลดลง
3. เมโสปลูกผม หนวด เครา (Mesohair) โดยได้มีการฉีดสารอาหาร และวิตามินสำหรับเส้นผม เข้าไปในหนังศีรษะด้วย และเทคนิคนี้ ได้มีการดัดแปลงโดยนำตัวยา Finasteride,Minoxidil.Biotin ฯลฯ ที่เดิมใช้เฉพาะในรูปของยาทา ยารับประทาน มาพัฒนาในรูปของยาฉีด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น และได้ผลเร็วขึ้น บางที่นำมาดัดแปลงให้ในการปลูกขนคิ้ว หนวดเครา ให้ได้ผลมากขึ้นด้วยเสริมการทายาและรับประทานยาปลูกคิ้ว หนวดเครา

ข้อห้าม และข้อควรระวัง

ข้อห้ามในการทำ Mesotherapy  มีกำหนดไว้ดังนี้

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ผลข้างเคียง ที่พบได้ในการทำ Mesotherapy

  1. อาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 2-3 ชั่วโมง
  2. พบเกิดอาการคันบริเวณที่ฉีดได้ ประมาณ 15-20 นาทีหลังฉีด แต่ถ้านานกว่านั้น แนะนำให้พบแพทย์ เพราะอาจจะแพ้ยาได้
  3. อาจจะบวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีด หรือรอยช้ำ ได้ ประมาณ 1-2 อาทิตย์
  4. อาจจะเกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้ ถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ ในบริเวณที่ฉีดต่างๆ