Posted on

อยากรับประทานวิตามินเสริม ควรเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวหลายตัว อย่างไหน ดีกว่ากัน

การเลือกสูตรวิตามินที่ดีที่สุดสำหรับคนเราทั่วไป ควรจะเป็นสูตรใด หรือ ควรเลือกวิตามินเดี่ยวๆ ที่มีขายทั่วไป หรือวิตามินรวม ลองดูข้อคิดเห็นเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจนะครับ

ข้อคิดเห็นบางแง่มุม ในการเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวๆหลายๆ ตัวในการบริโภคเสริม

  1. ร่างกายต้องการเกลือแร่และวิตามินมากมายหลายชนิดในแต่ละวัน เช่น วิตามินเอ บี ซี เค ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ไอโอดีน ฯลฯ ดังนั้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีเกลือแร่และวิตามินหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวกัน ย่อมครอบคลุมได้มากกว่าและสะดวกกว่าการเลือกรับประทานวิตามินเดี่ยวๆ หลายๆ ตัว
  2. วิตามินเดี่ยวๆ มักจะมีปริมาณสูงกว่าที่ร่างกายต้องการมาก เมื่อรับประทานร่วมกันหลายๆ ตัว อาจทำให้ปริมาณสมดุลที่เหมาะสมแต่ละตัวเปลี่ยนแปลงได้เมื่อต้องทำงานร่วมกัน การเลือกวิตามินรวมที่มีสัดส่วนที่พอเหมาะจะทำให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกันมากกว่า ยกเว้นในรายที่ขาดวิตามินใดวิตามินหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การซื้อวิตามินเดี่ยวหลายๆ ตัว เมื่อรวมมูลค่าแล้ว ย่อมเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลือกวิตามินรวมในเม็ดเดียว
  4. การรับประทานวิตามินรวมสูตรดีๆ เพียง 1 เม็ดต่อวัน ย่อมสะดวกว่าการรับประทานยาวันละหลายๆ เม็ด
  5. การรับประทานวิตามินรวมเสริมอยู่แล้ว สามารถเพิ่มบางตัวเป็นพิเศษได้ถ้าส่วนประกอบไม่เพียงพอ เช่น

– แคลเซี่ยม ปกติร่างกายต้องการวันละ 1,000 มก.ต่อวันถ้าบรรจุในวิตามินรวม อาจจะทำให้เม็ดใหญ่เกินไป ทำให้กลืนลำบาก จึงอาจเพิ่มเติมได้อีกหนึ่งอย่าง
– วิตามินซี อาจเพิ่มได้วันละ 200-300 มก.ต่อวัน กรณีที่ร่างกายต้องการมากขึ้นใน ภาวะเครียด การเจ็บป่วย ขาดภูมิต้านทานโรค

จากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ ลองใช้เป็นหลักพิจารณาเลือกวิตามินสำหรับบริโภคเสริมด้วยตนเองได้นะครับ

Posted on

เชื้อโรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ว่าที่อาวุธชีวภาพ ที่เกิดขึ้นได้ในสงครามอนาคต ติดง่าย ตายไว

โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อของสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์กินหญ้า เช่น วัว ควาย แพะ แกะ คนเริ่มกลัว เพราะในปี 2001 เชื้อโรคนี้อาจจะเป็น อาวุธสงครามเชื้อโรคได้ในอนาคต โดยเฉพาะในอเมริกา เนื่องจากผู้ก่อการร้ายใช้สปอร์ของเชื้อ Bacillus anthracis โรยตามจดหมายและพัสดุภัณฑ์ เมื่อกลางปี 2001
โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เกิดจากการติดเชื้อ Bacillus anthracis ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมบวก สร้างสปอร์ภายในเซลล์ ( ดูภาพประกอบที่ 1) โดย อยู่ในรูปสปอร์ได้เป็นเวลานานหลายปี และมีความทนทานต่อความร้อนแห้งที่อุณหภูมิ 140 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 1-3 ชั่วโมง และความร้อนที่มีไอน้ำได้ถึง 5 นาทีที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส

การติดต่อ: มนุษย์สามารถรับเชื้อ Bacillus anthracis โดยได้รับสปอร์เข้าสู่ร่างกาย ได้ 3 วิธีดังนี้

  1. ทางการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อโรค จากซากสัตว์ที่ตายจากโรคนี้ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ เช่น แปรงโกนหนวด อานม้า ผ้าคลุมของม้า หนังสัตว์ ขนสัตว์
  2. ทางเดินอาหาร โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคนี้
  3. ทางลมหายใจ โดยการสูดดมสปอร์ของเชื้อโรคโดยบังเอิญ เช่นที่เกิดขึ้นกับคนไข้ในอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

ลักษณะอาการทางคลินิกที่ตรวจพบ
1. โรคแอนแทรกซ์ผิวหนัง( Cutaneous anthrax): โดยเชื้อโรคจะสัมผัสกับผิวหนังที่ถลอก หรือมีบาดแผล พบบ่อยบริเวณแขน และมือ แผลมีลักษณะจำเพาะ คือมีลักษณะกลมขนาดเส้นผ่าศูนต์กลาง 1-3 เซนติเมตร เป็นแผลคลุมด้วยสะเก็ดดำล้อมรอบ (eschar) คือมีอาการบวมนุ่มๆ แต่กดไม่บุ๋ม ขอบแข็ง ตรงกลางมีรอยแผลไหม้ดำ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้รอยโรคมีอาการอักเสบและกดเจ็บ
2. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal anthrax) มักพบจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนสปอร์เชื้อโรค มีอาการไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งพบได้ประมาณ 20-60% และช๊อคเสียชีวิต ภายใน 2-5 วันหลังจากมีอาการที่รุนแรง
3. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินหายใจ ( Inhalational anthrax,Woolsorter’s disease)  ผู้ป่วยได้รับการสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการทางคลินิกได้ 2 ระยะ ก็คือ
-ระยะแรกใน 1-2 วัน อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และอาจปวดกล้ามเนื้อ อาการอาจหายๆไปภายใน 2-3 วัน
– หรืออาจจะมีอาการมากขึ้น หายใจไม่ออก เหนื่อยหอบ ขาดออกซิเจน ตัวเขียว และอาจถึงแก่ชีวิตได้ถึง 90% ภายใน 24-36 ชั่วโมง โดยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเลือดออกในสมอง ถ้าทำการรักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาและป้องกัน: 

– ให้ยารับประทานด้วย PenV 250 มก.ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 5-7 วันก็ทำให้เชื้อโรคหมดไปได้ใน 24 ชม.แรกและอาการยุบบวมสะเก็ดหลุดอีก 3-7 วันต่อมา
– แต่ในกรณีที่เป็นรุนแรง หรือติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด อาจจะต้องฉีดยาเข้าเส้นแทน และนอนรพ.

วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์(Anthrax)
มักจะฉีดให้แก่คนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น คนที่ทำงานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ โดยประกอบด้วย การฉีด 6 ครั้ง ใต้ผิวหนังสัปดาห์ที่ 0,2,4,6,12,18 และกระตุ้นปีละครั้ง – โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ในประเทศไทยเป็นโรคที่ต้องแจ้งความต่อข่ายงานเฝ้าระวังโรค กรณีที่ตรวจพบ

Posted on

เลี่ยงแดด ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง เลี่ยงไม่ได้ กินอาหารและวิตามิน ช่วยป้องกันได้

มะเร็งผิวหนัง จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นจากสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน การทำลายชั้นบรรยากาศมากขึ้น ส่งผลให้แสงอัลตราไวโอเลตผ่านลงมาถึงผิวโลกได้มากขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์เราตามมามากขึ้น

แสงอุตราไวโอเลต โดยเฉพาะ UVA,UVB จากการศึกษาในแง่พันธุกรรมพบว่า ทำให้สารพันธุกรรม DNA มีการเปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นการป้องกัน ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาครีมกันแดด การใส่หมวกหรือแว่นกันแดดป้องกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปัจจุบันได้มีสารหรือตัวยาหลายตัวที่ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ดังนี้

1. วิตามินเอ และสารอนุพันธ์เรตินอยด์ : – พบว่ามีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด โดยวิตามินเอจะไปยับยั้งหรือสามารถไป ย้อนกลับกระบวนการเกิดของมะเร็งผิวหนังและหนังแก่ก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว: – พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ(Good-fats) สามารถลดอัตรากรเกิดใหม่ของรอยโรคก่อนมะเร็ง(Actinic keratose) หรือมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. ชาเขียว(Green Tea) : – จัดเป็นเครื่องดื่มที่นิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสารประกอบเป็นกลุ่มต้านอนุมูลอิสระ โดยได้มีการศึกษาพบว่าสารสกัดที่สำคัญจากชาเขียว ชื่อว่า ECGC (Epigallocatechin-3-gallate) สามารถป้องกันการเกิดมะเร็วผิวหนังได้ ทั้งในรูปของยากินและยาทา ได้มีการทดลองทาโลชั่นสารสกัดจากชาเขียว พบว่า ณ ความเข้มข้น 10% ของสารสกัด ใช้ทาก่อนออกแดด 30 นาที สามารถป้องกันแสงอุตราไวโอเลตได้นานถึง 48-72 ชั่วโมง
4. ถั่วเหลือง (soybean): – ในถั่วเหลือง เราพบว่ามีสาร Genistein ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสารIsoflavones ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีผลต่อการเจริญเติบโตของแซลล์ และควบคุมการทำงานของแซลล์มะเร็ง นอกจากนี้สาร Genistein ยังมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. แอสไพรินและยาลดการอักเสบ(NSAID): – โดยพบว่ายามีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclo-oxygenase (COX) ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจและอยู่ในการวิจัยขณะนี้

Posted on

โภชนาการสำหรับผู้สูงวัย : รับประทานอย่างไร จึงจะปลอดภัย ไร้โรค สุขภาย สุขใจ

วัยสูงอายุ คือ บุคคลที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจัดเป็นวัยแห่งความสำเร็จของชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนักสร้างฐานะในวัยหนุ่มสาว เป็นวัยที่มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีลูกหลานรักใคร่และใกล้ชิด

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในกลุ่มคนสูงอายุ
เป็นขบวนการที่สลับซับซ้อนที่อธิบายได้ 4 ประการดังนี้

  1. เป็นสิ่งที่ต้องเกิดตามธรรมชาติ
  2. การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปในข้างหน้า อย่างไม่หยุดนิ่ง
  3. เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อม
  4. เกิดขึ้นภายในเซลล์ โดย เซลล์บางส่วนหยุดการแบ่งตัวทดแทนเซลล์เก่าที่หมดอายุไป และ ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อลดลง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น จึงเกิดโรคความดันโลหิตสูง หรือเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในวัยสูงอายุ ที่มีผลต่อภาวะโภชนาการไ ด้แก่

  1. ร่างกายมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารลดลง จึงมีอาหารท้องอืดเฟ้อได้ง่าย
  2. ขบวนการสร้างและหลั่งน้ำดีจากตับบกพร่อง ทำให้การย่อยอาหารบางประเภทผิดปกติ ทำให้มีผลกระทบต่อการสะสมของวิตามินและเกลือแร่บางชนิด
  3. ความรู้สึกอยากอาหารลดลง เพราะประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นลดลง
  4. การบดเคี้ยวอาหารลดลง จากปัญหาเหงือกและฟัน
  5. โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้มีการจำกัดอาหารบางประเภท จึงทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ

  1. ลดอาหารเค็มทุกชนิด เพราะการลดเกลือโซเดียม จะช่วยเสริมผลของยาลดความดันโลหิต พร้อมกับการลดน้ำหนักตัว
  2. ลดอาหารที่มีไขมันสูง
  3. ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง
  4. รับประทานผักผลไม้มากขึ้น

    ทำอย่างไรจึงจะหยุดบริโภคนิสัยเกี่ยวกับรสเค็มได้
  1. ขวดใส่เกลือ หรือ น้ำปลาที่หมดแล้วไม่ต้องเติมอีก
  2. ไม่วางน้ำปลา หรือ น้ำพริกไว้ที่โต๊ะอาหาร
  3. งดการใช้อาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ซอสปรุงรส บะหมี่สำเร็จรูป
  4. เลือกอาหารว่าง ที่เป็นพวกผลไม้สด
  5. รับประทานอาหารที่ไม่มีผลชูรส ระมัดระวัง ในการใช้ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ ปรุงอาหาร ใช้มะนาว ขิง และเครื่องเทศแทน

เลือกอาหารอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากไขมัน

  1. ใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหาร
  2. เลือกใช้มาการีนที่ทำมาจากน้ำมันพืช
  3. เลือกใช้เนื้อส่วนที่เป็นเนื้อแดง ตัดส่วนที่เป็นมันออก
  4. จำกัดอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ ควรบริโภคในปริมาณน้อยๆ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เนื้อปลา เนื้อไก่แทน งดพวกเครื่องในสัตว์ ตับ
  5. ดื่มนมพร่องมันเนย
  6. จำกัดไข่เพียง 3 ฟองต่อสัปดาห์
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ถั่วลิสง เนย ช๊อกโกแลค
  8. หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์เปลือกแข็ง เช่น หอย กุ้ง ปู

    เลือกอาหารอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากน้ำตาล
  1. ไม่ควรวางขวดน้ำตาลไว้ในโต๊ะอาหาร
  2. เลือกใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลปกติ
  3. เลี่ยงผลไม้บางอย่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่
  4. งดของหวานทุกชนิด
  5. งดดื่ม สุรา น้ำอัดลม แบ่งรับประทานอาหารเป็น 5 มื้อต่อวัน ในปริมาณที่น้อยและคงที่ งดกินอาหารจุกจิก
Posted on

วิตามินที่ได้จากสารสกัดธรรมชาติ ดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์ทางเคมีหรือไม่ เลือกอย่างไร ให้เกิดประโยชน์

ปัจจุบันกระแสความนิยมธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก ไม่ว่าในแง่ของการกลับไปรับประทานอาหารจากแหล่งธรรมชาติมากขึ้น เช่น การรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขัดขาว หรือแนวทางชีวจิตต่างๆ ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อและหวังว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงนั่นเอง
แนวความคิดดังกล่าว ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือวิตามินที่ใช้ในการรับประทานบำรุงร่างกาย ทำให้มีข้อกังขา หรือข้อสงสัยกันว่า ‘ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์หรือไม่?’

ก่อนจะตัดสินใจประโยคดังกล่าว ลองพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ดังนี้

  1. วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ หมายถึง วิตามินที่ได้จากการสกัดจากพืชหรือสัตว์ ส่วนวิตามินจากการสังเคราะห์ จะได้จากปฏิกริยาทางเคมี ส่วนข้อที่เป็นข้อเท็จจริง ก็คือ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติเอง ก็ต้องผ่านขั้นตอนทางอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย
  2. ดังนั้นวิตามินที่ได้จากธรรมชาติ ถ้ามาจากแหล่งผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจจะมีสารปนเปื้อนอืนๆ เจือปนได้ เช่น วิตามินที่มาจากพืชบางชนิด อาจจะมีฮอรโมนผสมหรือเจือปนมาด้วย ถ้าสกัดออกมาไม่บริสุทธิ์พอ อาจจะมีผลต่อเพศชายหรือเด็กได้
  3. การออกฤทธิ์ของวิตามิน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเคมีเป็นสำคัญ ซึ่งทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ และวิตามินที่มาจากการสังเคราะห์ ชนิดเดียวกัน จึงมีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน ผลที่ได้จึงไม่น่าแตกต่างกัน เช่น วิตามินซีซึ่งอาจจะผลิตออกมาได้ทั้งสองวิธี
  4. วิตามินที่ใช้กันในปัจจุบัน บางชนิดได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด เช่น วิตามินดี บางชนิดได้มาจากสังเคราะห์เท่านั้น เช่น กรดแอสคอร์บิค หรือเกลือ ของกรดแอสคอร์บิคในวิตามินซี 1เม็ด
  5. วิตามินที่เป็นกลุ่มวิตามินรวมหลายๆ ชนิด และเกลือแร่ เช่น Z-bec,Centrum มักจะเกิดจากการผสมผสานกันทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติและ วิตามินที่ได้จากการสังเคราะห์
  6. วิตามินที่ผลิตจากบริษัทหรือยี่ห้อเดียวกัน ต่างชนิดกัน อาจจะมีทั้งที่ได้จากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์

จากข้อเท็จจริงข้างต้น ดังนั้นการจะเลือกรับประทานวิตามินจากธรรมชาติหรือวิตามินจากการสังเคราะห์ จึงไม่น่าเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับเราในการตัดสินใจในการเลือกบริโภค แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อช่วยพิจารณา ดังนี้

  1. เลือกผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีสูตรเหมาะสมกับตนเอง
  2. มีปริมาณสารแต่ละชนิดไม่มากหรือน้อยเกินไป โดยอ้างอิงจาก FDA ที่รับรองขนาดที่จะรับประทานเป็นมาตรฐาน
  3. ผลิตภัณฑ์มาจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีการดูดซึมได้ดี ไม่มีสารปนเปื้อนหรือตกค้าง
  4. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
  5. ระบุวันหมดอายุก่อนซื้อทุกครั้ง
  6. ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานอาหารและยา
Natural Vitamin
Chemical Vtiamins

Posted on

ตับสัตว์ : คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร เหมาะกับใคร ต้องระวังอะไรในการรับประทาน

ตับ(Liver) เป็นอวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ เพราะตับจะเป็นแหล่งรวมของเอนไซม์มากมายที่มีประโยชน์ในการก่อให้เกิดกระบวนการหรือปฏิกริยาสำคัญๆ ต่อการทำงานของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และยังมีหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกายด้วย นอกเหนือจากไต

ตับจากสัตว์ ก็มีหน้าที่ไม่แตกต่างจากตับในมนุษย์ ดังนั้นการรับประทานตับจากสัตว์ต่างๆ เราก็จะได้รับเอนไซม์ และสารอาหารหลายๆ ตัวที่มีประโยชน์ต่อตับของมนุษย์เช่นกัน

สารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญจากการรับประทานตับ

  1. ธาตุเหล็ก: – พบว่าธาตุเหล็กจากตับ เป็นธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของเหล็กที่จับกับโปรตีน ซึ่งเรียกว่า Heme Iron ซึ่งดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านขบวนการใดๆ ซึ่ง heme iron นี้ ร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะทำหน้าที่ในการพาออกซิเจน ไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานขึ้น
  2. วิตามินบี 12: – วิตามินชนิดนี้ เป็น วิตามินพลังงาน (Energy Vitamin) เพราะจะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย โดยการเพิ่มการนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ วิตามินบี 12 ยังช่วยให้ heme iron ทำงานได้ดีขึ้น และยังมีความสำคัญในการสร้าง DNA,RNA,Choline และ กรดอะมิโนหลายๆ ตัว ในร่างกาย
  3. กรดโฟลิค: – เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกล้ามเนื้อ และช่วยเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ โดยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12
  4. เอนไซม์ Co-Q10: – ซึ่งพบได้มากในอวัยวะที่มีพลังงานสูง เช่น ตับ ถือว่าเป็นสารกำจัดอนุมูลอิสระ (Anti-oxidants) ที่ดีตัวหนึ่ง ทำให้ป้องกัน และลดการเสื่อมของเซลล์ (Ageing) นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
  5. วิตามินเอ: – พบในปริมาณที่สูง ซึ่งช่วยให้ผิวหนังสุขภาพดี และมีความต้านทานต่อการติดเชื้อ
  6. นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งธาตุสังกะสี

ตับสัตร์เหมาะกับใคร

  1. ลดอาการอ่อนเพลีย หรือเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย
  2. เพิ่มพลังงานในระหว่างออกกำลัง ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเหมาะกับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
  3. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ตับแข็ง จะได้รับสารอาหารเพื่อทดแทน
  4. ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
  5. ผู้สูงอายุที่มีความรู้สึกอ่อนเพลีย หรือหมดเรี่ยวแรงได้ง่าย
  6. สตรีที่มีประจำเดือน เพราะมีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก หรือผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
  7. เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
  8. เพื่มการไหลเวียนของโลหิต
  9. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  10. ช่วยเสริมสร้ามกล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่เล่นกล้าม

ข้อควรระวังในการรับประทานตับ 

  1. นสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่เตรียมจะมีบุตร ควรลดการรับประทานตับ หรือผลิตภัณฑ์จากตับ เช่นตับบด เพราะในตับ 100 กรัมจะมีวิตามินเอ สูงกว่าปริมาณที่ได้รับประจำถึง 16 เท่า และวิตามินเอปริมาณสูงๆ อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปกติได้
  2. ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรรับประทานไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะตับจะมีปริมาณคลอเรสเตอรอลสูง
  3. การรับประทานตับ ควรผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่ถูกวิธี และสุก เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ปะปนมากับตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี โรคพยาธิใบไม้ในตับ

Posted on

Creatine อาหารเสริม เพิ่มพลังงาน สร้างมวลกล้ามเนื้อ สำหรับคนออกกำลังกาย

Creatine เป็นสารประกอบไนโตรเจนชนิดหนึ่งที่พบมากในกล้ามเนื้อ และส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในรูปของ Creatine Phosphate ซึ่งถือเป็นสาร ที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องการในการหดตัว เพื่อสร้างพลังงานจากการเปลี่ยนกลับของ ADP เป็น ATP
ปกติในร่างกายของมนุษย์ขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาต่างๆ กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายจะทำงานอย่างหนัก โดยใช้พลังงาน ในปริมาณที่สูง พลังงานที่ได้นี้ มาจากการสลายโมเลกุลของสารที่อยู่ในร่างกาย เรียกว่า ATP (Adeonosine Triphosphate)
บทบาทของ Creatine
จะมีหน้าที่ในการเปลี่ยนให้โมเลกุลของ ADP กลับไปเป็น ATP ได้อีก เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานจาก ATP ดังนั้นการได้รับสาร Creatine เป็นอาหารเสริม จึงเหมือนการที่ทำให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ทำให้ทำงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงและโตขึ้น
ซึ่งโดยปกติร่างกายจะสร้างจากกรดอะมิโน 3 ตัว คือ Glycine+Arginine+Methionine ดังนั้นหากเรารับประทาน Creatine เป็นอาหารเสริมโดยตรง จึงช่วยลดขั้นตอนการสร้าง และทำให้กล้ามเนื้อ สามารถทำงานได้เต็มที่ ในขณะที่ต้องการพลังงานเร่งด่วน หรือจำเป็น

เหมาะกับกลุ่มคนเหล่านี้
1. ผู้ที่ออกกำลังกายทั่วไป ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. นักกีฬาที่ออกกำลังกายอย่างหนักในระยะเตรียมตัวฝึกซ้อม หรือก่อนการแข่งขัน
3. นักกีฬายกน้ำหนัก หรือนักกล้ามที่กำลังฟิตร่างกาย เพื่อการแข่งขัน
4. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ ประสารกับได้เร็วขึ้น
5. ผู้ที่อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือหักโหม

ขนาดรับประทาน 3-5 กรัมต่อวัน สำหรับนักกีฬาที่ต้องการเพิ่มระดับพลังงานช้าๆ หรือเพิ่งฟื้นจากการแข่งขัน หรืออ่อนล้ากล้ามเนื้อ และ 20-30 กรัมต่อวัน สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว เช่น ขณะแข่งขันยกน้ำหนัก หรือแข่งว่ายน้ำ กรีฑา

Posted on

Beta glucan : สารสกัดจากเชื้อยีสต์ในเห็ด ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ผิวหนัง

Beta glucan เป็น สารในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ ที่พบได้ในพืชผักสมุนไพร และธัญพืชบางชนิด เช่น สาหร่าย โสม ชะเอมเทศ ข้าวบาร์เลย์ แต่ที่พบมากที่สุดคือ ใน “เห็ด” บางชนิด
ทางการแพทย์โดยมีการวิจัยสนับสนุนจากหลายสถาบันทั่วโลกว่า ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ และเสริมฤทธิ์ระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง 
Beta glucan ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคสหลายกลุ่มที่มีคุณสมบัติหลายอย่าง และเชื่อมโยงกันด้วยวิธีการที่ทันสมัย
ผลงานวิจัยทางการแพทย์
– Beta glucan 3 ช่วยรักษาภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติในคนไข้ SLE,รูมาตอยด์,Beta glucan 1,3,1,4 ช่วยรักษา-ป้องกันมะเร็งผิวหนัง(Malignant melanoma)

ประโยชน์ของสาร Beta glucan กับความงาม

  1. ผสมในครีมกันแดด เพื่อป้องกันแสงแดดทำลาย Langerhans cells ลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ (oxygen free radicles) ลดการสลายตัวของไขมันจากแสงแดด ลดอาการแดงจากภาวะ sun burn
  2. ผสมในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ช่วยเคลือบเส้นผมมิให้แตกหักง่าย เมื่อโดนแสงแดด
  3. ผสมในครีมทาสิว เพื่อลดการติดเชื้อ เพื่อความต้านทานของระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดแผลเป็น
  4. ผสมในครีมบำรุงผิว เพื่อสร้างใยคอลลาเจน ชะลอภาวะชราของผิวพรรณ โดยมีคุณสมบัติคล้ายวิตามินซี และวิตามินเอ
  5. ผสมในอาหารเสริม เพื่อช่วยลดอาการติดเชื้อในคนไข้หลังผ่าตัด หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  6. ผสมในครีมรักษาแผลเป็น ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
Posted on

โปรแกรมบริหารร่างกายแบบง่ายๆ คลายเครียด ลดอาการเมื่อยล้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิต

ปัจจุบัน การทำงานในแต่ละวัน เช่น การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ การประชุม ทำให้เราต้องนั่งอยู่กับที่นานๆ แต่ร่างกายมนุษย์ได้ถูกกำหนดให้มีการเคลื่อนไหว ตลอดเวลา ดังนั้นการจำกัดการเคลื่อนไหว จึงอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดและอ่อนล้าได้
ดังนั้น จะแนะนำโปรแกรมบริหารร่างกายแบบง่ายๆ ภายในสำนักงาน ที่สามารถลดอาการปวดเมื่อยจากท่วงท่าที่ไม่ถูกต้อง และช่วยขจัดความเครียด

โปรแกรมการบริหารร่างกายในสำนักงาน

  1. ท่าสำหรับกล้ามเนื้อขา(Wall sits) : ยืนพิงหลังกับฝาผนัง วางเท้ากว้างประมาณช่วงใหล่ แล้วค่อยๆ เลื่อนตัวลงช้าๆ จนเหมือนคุณนั่งเก้าอี้ หยุดนิ่งไว้ 5-10 วินาที จึงค่อยๆ ยืนขึ้นสู่ที่เดิม ทำซ้ำประมาณ 5-10 ครั้ง
  2. ท่าขจัดความตึงเครียดบริเวณหัวไหล่(Soulder Hugs):โอบแขนทั้งสองของคุณไปจับไหล่ของอีกด้านหนึ่ง โดยใช้มือซ้ายจับไหล่ขวาและมือขวาจับใหล่ซ้าย
  3. ท่าบริหารสำหรับร่างกายท่อนบน(Chair Dips): นั่งที่ส่วนปลายของเก้าอี้ และวางเท้ากับพื้น วางมือทั้งสองไว้ที่ท่าปลายเก้าอี้และเลื่อนตัวของคุณออกมาด้านหน้าเก้าอี้ ให้เหลังตรงค่อยๆลดตัวคุณลงมาจนกระทั่งต้นแขนขนานกับพื้น จากนั้นดันตัวกลับขึ้นไป ทำประมาณ 8-12 ครั้ง
  4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อท้อง(Knee-to-Elbow Touches): นั่งบนเก้าอี้วางเท้าบนพื้น วางมือทั้งสองไว้บนศีรษะด้านหลังจากนั้นยกขาด้านซ้ายขึ้นพร้อมกับดึงข้อศอก ด้านขวาลงไปพยายามแตะ หลังจากนั้นให้ทำสลับกันกับอีกข้างหนึ่ง ทำอย่างน้อย 5 ครั้ง
  5. ท่าบริหารต้นขา(Seated Leg Lifts): นั่งลงบนเก้าอี้ เท้าวางบนพื้น จากนั้นยกเท้าพร้อมกันจนขาเป็นแนวตรง นิ่งค้างไว้ประมาณ 5 วินาที จึงลดลงแล้วทำซ้ำ
  6. ท่าสำหรับบริหารอกและท้อง(Twists): นั่งลงบนเก้าอี้ เท้าวางบนพื้น ยกแขนขึ้นมาข้างลำตัว ให้ปลายแขนตั้งฉาก จากนั้นพยายามบิดลำตัวไป ทางด้านซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำให้ ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ต่อจากนั้นบิดตัวกลับที่เดิม ทำซ้ำ 3 ครั้งจึงไปฝึกด้านขวา

โปรแกรมสำหรับการขจัดความเครียดในที่ทำงาน:

  1. เปลี่ยนอิริยาบท หลีกเลี่ยงการอยู่ในอิริยาบทเดิมนานๆ
  2. ควรหาเวลาเล็กน้อย ประมาณ 10-15 นาทีในการเหยียดขา เคลื่อนไหวแขน หรือยืดนิ้วมือ
  3. พยายามพูดคุยในเวลาที่เดิน หรือวิ่งกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้ร่างกายได้ขยับหรือเคลื่อนไหวมากขึ้น
  4. ในระหว่างอาหารกลางวัน เปลี่ยนไปเดินรับประทานนอกสถานที่ เพื่อผ่อนคลายจิตใจและทำให้ขาได้เปลี่ยนอิริยาบท( แต่กลับใหัทันเวลาทำงานนะครับ)
  5. ขณะคุยโทรศัพท์ พยายามยืนคุย เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและการหมุนเวียนโลหิตเปลี่ยนแปลงจากเดิม และช่วยให้การได้ยินของคุณดีขึ้น
  6. ถ้ามีโอกาส หลับตา หรือนอนพักผ่อน ประมาณ 10-15 นาที

Posted on

L-Ornithine : กรดอะมิโน เพิ่มพลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กำจัดสารพิษที่ทำให้อ่อนล้า สำหรับนักกีฬา

L-Ornithine เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโปรตีน ที่นิยมนำมารับประทานเสริมในกลุ่มนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายอย่างหนัก
เพราะ นักกีฬาในหลายๆประเภท การจะเล่นกีฬาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ย่อมต้องอาศัยความแข็งแรงและขนาดของกล้ามเนื้อที่เหมาะสมในกีฬาแต่ละประเภท จึงได้มีอาหารเสริมหลากหลายชนิดที่นำมารับประทานเพิ่มจากคุณค่าของอาหารตามปกติ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
L-Ornithine มีบทบาทต่อร่างกายดังนี้ 
1. เป็นสารตั้งต้นหรือสารหลักของร่างกายในการสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นๆ ได้แก่
 1.1 Glutamic acid ช่วยสร้างสารสื่อประสาทและการทำงานของสมอง ช่วยกำจัดสารพิษพวกไนโตรเจนที่ทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้า หรือปวดเมื่อย และยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
1.2 Citrulline ช่วยกำจัดสารพิษพวกไนโตรเจน และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
1.3 Proline,Hydroxyproline สร้างคอลลาเจน โปรตีน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน กระดูกและผิวหนัง
2. กำจัดของเสียที่เกิดจากการออกกำลังกาย โดยจับกับแอมโมเนียซึ่งเป็นของเสียจากปฏิกริยาการย่อยสลายโปรตีนในระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งถ้าร่างกาย กำจัดออกไม่ทัน อาจสะสมและเป็นอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ เช่น สมอง ซึ่งพบว่าของเสียแอมโมเนียเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคสมองเสื่อม
3. L-Ornithine ในช่วยออกกำลังกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นสาร OKG (Ornithine-Alpha-Ketoglutamate) ซึ่งมีบทบาทดังนี้
3.1 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง Growth hormone ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อขยายขนาดขึ้น และแข็งแรงทนทานมากขึ้น
3.2 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มเมตาบอริซึมกลูโคสให้เป็นพลังงานกับกล้ามเนื้อ
3.3 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีน ทดแทนที่ถูกทำลาย
4. ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากประโยชน์ดังกล่าวของ L-Ornithine ต่อนักกีฬา ทำให้หลายคนที่เกรงว่าจะได้รับกรดอะมิโนไม่เพียงพอต่อความต้องการ และต้องการรับประทานเสริม แนะนำให้รับประทานขนาด 1,500-2,000 มก.ต่อวัน โดยแบ่งรับประทานเป็น 2 มื้อ เช้าและก่อนนอนทุกวัน แต่อย่างใดก็ตามก็ควรรับประทานโปรตีนเสริมร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดกรดอะมิโนชนิดอื่นๆ

Posted on

ผงชูรส สมควรใช้หรือไม่ควรใช้ในการปรุงอาหาร มีอาการแพ้ หรือโทษได้หรือไม่ อย่างไร

ผงชูรส ถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวเรือนเกือบทุกบ้านในแถบเอเซีย ถือเป็นสารปรุงรสที่ได้รับความนิยมกันอย่างนมนานแล้ว ทั้งในร้านอาหารทั่วไป หรือในบ้านเรือน พ่อครัวแม่ครัวบางคนถือว่า ถ้าขาดผงชูรสในการปรุงอาหารจะทำให้รสชาดอาหารไม่เอร็ดอร่อยเท่าที่ควร
ได้มีบางคนสงสัย หรือข้อคำถามกันเป็นอย่างมากว่า ผงชูรสสมควรใช้หรือไม่ควรใช้ในการปรุงอาหาร และมีกลุ่มอาการแพ้ หรือโทษอย่างไรบ้าง
การทดลองผงขูรสอันตรายหรือไม่
ในปี 2529 ได้มีการทดสอบฉีดสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส เข้าเส้นเลือดในสัตว์ทดลอง พบว่ามีการทำลายต่อระบบประสาท เพราะมีการทำงานที่ผิดปกติของสาร Glutamate receptor หรือระบบ Glutamate ที่เกี่ยวข้องกับโรค อัลไซเมอร์ หรือโรคทางระบบประสาทอื่นๆ
แต่เมื่อให้สัตว์ทดลองรับประทานสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ในปริมาณมากๆ กลับไม่พบผลเสียใดๆ อาจจะเป็นเพราะร่างกายมีกระบวนการกำจัดสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ได้ดี
คณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ในอเมริกา ได้สรุปว่า ผงชูรส ที่มีสารประกอบของ Monosodium glutamate(MSG) สามารถใช้ปรุงอาหารได้โดยไม่มีอันตรายต่อสุขภาพทั่วไป แต่อาจจะมีอาการแพ้ได้ในบางคน

อาการแพ้ผงชูรส
1. มีอาการปวดศีรษะ ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานอาหารที่สงสัยว่ามีสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส
2. และพบร่วมกับอาการอื่นๆ อีกอย่างน้อย 2 ชนิด คือ
2.1 แน่นหน้าอก
2.2 หนักและรู้สึกตึงๆ ที่ใบหน้า
2.3 มีอาการออกร้อนที่หน้าอก ลำคอ และหัวไหล่
2.4 ร้อนวูบวาบที่ใบหน้า
2.5 มึนงง
2.6 แน่นท้อง มวนท้อง
สาเหตุการแพ้ผงชูรส
กลไกการเกิดอาการดังกล่าว ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีสมมุติฐานอาจจะเกิดจากสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ไปกระตุ้นระบบการนำกระแสประสาท ( Neurotranmission pathway) ที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสาร Nitric oxide ที่เซลล์เยื่อบุอาหาร (endothelial cell) ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว
ข้อควรระวังและป้องกันการแพ้ผงชูรส
1. ไม่ควรรับประทานผงชูรสในขนาด 3 กรัมหรือมากกว่า มักพบเมื่อรับประทานผงชูรสในรูปของสารละลาย เช่น ซุป ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
2. ไม่รับประทานในขณะที่ท้องว่างหรือไม่ได้รับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่น
3. ผู้ป่วยที่มีประวัติหอบหืด มักจะทำให้มีอาการได้ง่ายและไวกว่า คนปกติ แม้จะมีปริมาณผงชูรสน้อยกว่านี้ก็ตาม

ดังนั้นในกลุ่มคนที่อาการสงสัยการแพ้ผงชูรส ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ปรุงจาก Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส หรือผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ดังนั้นก่อนการบริโภค ควรสอบถามผู้ปรุงอาหาร หรืออ่านส่วนประกอบของสารที่ใช้ว่ามีส่วนผสมของสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส หรือไม่ เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว โดยเฉพาะในผู้ป่วยหอบหืด อาจจะทำให้หลอดลมหดเกร็งตัวได้เฉียบพลัน

เอกสารอ้างอิง…….U.S Food and Drug Administration,FDA Blackgrounder(August 31,1995) FDA and Monosodium glutamate(MSG),July 20,2000

Posted on

ชาเขียว (Green Tea) เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น จริงหรือไม่

ชาเขียว( Green tea) มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ตั้งแต่2737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาพระญี่ปุ่นที่มาศึกษาธรรมะในประเทศจีน ได้นำชาเขียวไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น และทำให้ชาเขียวเป็นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่น จนถึงกับมีประเพณีชงชาทีเดียว โดยคนญี่ปุ่น เชื่อกันว่า การดื่มชาจะทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ความเชื่อนี้มีส่วนจริงมากทีเดียว

คุณประโยชน์จากการดื่มชาเขียว: จากผลการวิจัย พบว่า ชาเขียวประกอบไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ดังนี้

  1. Polyphenols ที่สำคัญ คือ flavonoids catechin และ Proanthocyanidins ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำ ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น โดย Catechin ในชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมาก
  2. วิตามินหลายตัว เช่น วิตามินซี บี1 บี2 และวิตามินเค
  3. เกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แมงกานีส โปแทสเซียม ไนอาซิน และโฟลิค แอซิค
  4. ชาเขียวสามารถยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรง ความสามารถในการยับยั้ง ดังกล่าวนี้สูงกว่าวิตามินซีมาก เพราะ Catechin ทำปฏิกิริยาได้เร็วและรุนแรงกว่า
  5. Flavonoids ในชาเขียว ทำให้เซลเม็ดเลือดไม่จับตัวกันเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุที่พบบ่อย ของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ จากการวิจัยพบว่าการดื่มชาวันละ 1 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 44% ทีเดียว
  6. ชาเขียวเป็นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ เราสามารถใช้ชาในการทำความสะอาดแผล การติดเชื้อ จากรา รวมถึงใช้บ้วนปาก เพื่อกำจัดแบคทีเรียในปาก
  7. สารคาเฟอีนในชา จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นขึ้น แม้จากผลการวิจัยพบว่า ในชาเขียวแม้จะมีสารคาเฟอีน แต่ก็ยังน้อยกว่ากาแฟครึ่งหนึ่ง
  8. ฟลูออไรด์ตามธรรมชาติ เมื่อดื่มเป็นประจำหลังอาหารก็จะช่วยลดการเกิดหินปูน ช่วยให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุได้
  9. มีบางรายงานเชื่อว่า ชาเขียวจะช่วยทำหน้าที่สลายไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายให้เป็นพลังงาน จึงมีการผสมชาเขียว ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักเพื่อให้การลดน้ำหนักทำได้เร็วขึ้น
Posted on

ตังกุย (Dong Duai) โสมสำหรับสตรี ที่ต้องการปรับสมดุลฮอร์โมน ปลอดภัย เพราะไม่ใช่ฮอร์โมน

ตังกุย(Dong Quai)
ตังกุยเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทางแพทย์จีนแต่โบราณนิยมนำรากตังกุยมาใช้ประโยชน์สำหรับความผิดปกติของกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆในผู้หญิงและยังได้ผลดีกับผู้หญิงทุกวัย จนได้ชื่อว่า ‘โสมสำหรับผู้หญิง'(Female Ginseng) โดยนำรากของตังกุยมาดองเพื่อสกัดอาสารสำคัญที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์

กลไกการทำงาน 
มีหลักฐานทางการแพทย์หลายอย่างสนับสนุนว่า มีสารบางอย่างในตังกุยที่จะให้ผลการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงแต่ตังกุยไม่ใช่ฮอรโมนเพศหญิงหรือสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงแต่อย่างใด ซึ่งเชื่อว่าอาการผิดปกติหลายๆ อย่างเกิดจากความผิดปกติ ในสมดุลดังกล่าว จึงนำมาใช้ประโยชน์รักษาอาการดังต่อไปนี้

  1. อาการปวดเกร็งระหว่างมีประจำเดือน
  2. อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ มากบ้างน้อยบ้าง
  3. อาการเลือดไหลมากผิดปกติขณะมีประจำเดือน
  4. อาการประจำเดือนกระปริดกะปรอยในผู้หญิงวัยทอง
  5. อาการมีก้อนเนื้อเป็นไตแข็งบริเวณเต้านม ที่มิใช่มะเร็ง
  6. อาการไม่สมดุลทางอารมณ์แต่จิตใจของสตรีในวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอรโมนเพศลดลง
  7. ลดอาการแข็งตัวของผนังเส้นเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้

ปัจจุบันได้มีการนำสารสกัดตังกุย มาใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมตามร้านขายยาทั่วไปหรือศูนย์สุขภาพหลายๆแห่ง เพื่อต้องการประโยชน์ดังกล่าวข้างบน โดยมักจะบรรจุเป็นแคบซูล รับประทานวันละ 6-10 แคบซูล (แคปซูลละ 500 มก) หรือผงนำมาละลายน้ำร้อนดื่มหลังอาหาร พบว่า มีผลข้างเคียทำให้เกิดภาวะผิวไวต่อแสงได้ในบางคนแต่ก็น้อยมาก

Posted on

สเตียรอยด์ (Steroids) : สารเร่งหน้าใส ให้เป็นหน้าเสีย สังเกตอย่างไร ว่าใช่สารอันตราย

สเตียรอยด์ เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ ในการลดการอักเสบ ลดอาการคัน และทำให้เส้นเลือดหดตัว ลดอาการบวมแดง จากการแพ้ ปกตินิยมใช้คลินิกผิวหนัง หรือคลินิกภูมิแพ้
ในปัจจุบันมีการใช้ยาสเตียรอยด์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในการนำมารักษาสิว ซึ่งพบอยู่ในรูปของยาฉีดสิว ยาทาแก้สิวผด ครีมขี้ผึ้ง ยาโลชั่น นอกจากนี้ยังนำมาผสมในครีมทาหน้าขาว โดยมักใช้เป็นสูตรผสมกับยาตัวอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน หรือ เรตินอยด์ ซึ่งการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนี้เองทำให้มีปัญหาผลข้างเคียงของยาตามมา
ผลข้างเคียงที่พบได้ จากการใช้สารสเตียรอยด์
1. เกิดรอยฝ่อยุบของรอยโรค( Atrophy)
2. ผิวหนังบางเห็นเส้นเลือดฝอยแดง ( Telangiectasia)
3. ผื่นแดงราบแบบ Purpura
4. ผิวเปราะบาง แตกง่าย
5. ผิวแห้งและแตก
6. ขนยาวขึ้น
7. ผื่นแพ้สัมผัส
8. สีผิวจางลง หรือเกิดด่างขาว
9. หากใช้ยาเป็นเวลานานจะเกิดการติดยาสเตียรอยด์ ( Steroid Addict ) เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น

วิธีสังเกตและหลีกเลี่ยงครีมที่มี “สารสเตียรอยด์”
1. ครีมต้องไม่มีการแยกชั้นกันของเนื้อครีม เมื่อตั้งทิ้งไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
2. เนื้อครีมต้องไม่เปลี่ยนสีในระยะเวลาอันสั้น อาจจะ 1-3 เดือนหลังจากที่ซื้อ เช่น เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทา หรือเหลือง
3. ครีมที่ใช้ต้องไม่เห็นผลเร็วจนเกินไป โดยเฉพาะเห็นผิวขาวขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 7 วัน เพราะครีมที่ดีควรค่อยๆ ผลัดผิวใหม่ของเราอย่างช้าๆ ใช้เวลา 1-2 เดือน
4. ครีมต้องไม่มีกลิ่นแปลกๆ

  1. อย่าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ที่ราคาไม่เหมาะสมกับสรรพคุณที่บอก เช่น ผิวขาวเห็นผลใน 3-7 วัน แต่ราคาถูกแสนถูก สงสัยไว้ได้เลย ว่าอาจมีสารต้องห้ามผสมอยู่
  2. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์กับบริษัทที่เชื่อถือได้ มีเลขทะเบียนผ่าน อ.ย.
  3. หากอยากเช็คให้แน่ใจ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีชุดตรวจสอบสารต้องห้าม(Test Kit Cosmetic)จำหน่าย แต่ก่อนซื้อปรึกษาผู้ขายก่อนว่าสามารถตรวจสอบสเตียรอยด์ในครีมได้หรือไม่ เพราะสเตียรอยด์มีหลายประเภท อาจใช้หาสเตียรอยด์ประเภทที่อยู่ในครีมไม่ได้
Posted on

เลือกอาหารเสริมอย่างไร ให้คุ้มค่า ได้ประโยชน์ ก่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพของผิวพรรณ

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สำหรับบำรุงผิวพรรณ ในปัจจุบัน ได้มีออกวางจำหน่าย หลากหลายยี่ห้อ ทำให้บางครั้ง เกิดความสับสนในแง่สรรพคุณ และประสิทธิผลที่จะได้รับ ดังนั้นจึงจะจำแนก อาหารเสริมเหล่านี้ ได้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้
1. กลุ่มกรดไขมันจำเป็น( Essential Fatty Acid)
1.1 Evening Plimrose Oil (EPO) – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 มีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดี ขึ้นลดการสูญเสีย จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน มักแนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,300 มก.พร้อมอาหาร ต่อวัน ใน 3 เดือนแรก และลดลงเหลือ ปริมาณ 500 มก.ต่อวัน ในระยะเวลาต่อมา
1.2 Black current oil , Borage oil – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 ชื่อ Gamma Linoleica acid ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ลดการสูญเสีย เช่นเดียวกับ EPO จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน มักแนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,000 มก พร้อมอาหาร
1.3 Multi oil – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 และ Omega 3 ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ลดการสูญเสีย จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน นอกจากนี้ยังให้พลังงานทำให้ร่างกายสดชื่น
2. กลุ่มโปรตีน( Proteins)
2.1 Gelatin – ช่วยเสริมสร้างโปรตีน คอลลาเจน และอีลาสติน ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น พบมากในกระดูกและหนังสัตว์
2.2 Marine Proteins ( Imedene) – เป็นโปรตีนที่พบได้ในปลาน้ำลึก หรือ ปลิงทะเล ช่วยในการสร้างโปรตีน คอลลาเจน และอีลาสติน ให้แก่ผิวหนังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น เหมือนกลุ่ม Gelatin จึงเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งได้

3. กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ ( Vitamins and Minerals)
 3.1 Vitamin E เป็นสาร Antioxidantsพบได้ในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม และนม โดยมี alpha-tocopherol เป็นชนิดที่ active ที่สุด โดยช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว vitamin E เป็น fat soluble vitamins แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากเกินไป( 40,000 IU ) เพราะถ้ารับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดการขัดขวางของวิตามินเค ซึ่งเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ทำให้ไขมันในเลือดสูง เต้านมโตผิดปกติ หรือเส้นเลือดดำอุดตันได้ การใช้วิตามินอี เข้มข้น ทาบริเวณผิวหน้า อาจเกิดอาการแพ้ เกิดสิวได้
 3.2 Vitamin C เป็นสาร Antioxidants ที่ละลายน้ำได้ดี ช่วยให้เซลล์ไม่เสื่อมสภาพเร็ว ช่วยสร้าง Hydroxyproline และ Hydroxyglycine ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ คอลลาเจน และ elastin จึงทำให้ผิวพรรณมีความแข็งแรง และยืดหยุ่น สร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัด ทำให้อสุจิในผู้ชายแข็งแรง
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำวิตามินซี มาใช้ในการรักษาปัญหาผิวหน้า ช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น โดยมักแนะนำให้รับประทาน หรือ นำมาผสมใน ครีมทาหน้า หรือ นำมาละลายใช้ในการทำไอออนโตวิตามินซีพบได้บ่อยในผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว โดยร่างกายต้องการในปริมาณ 60 มก.ต่อวัน แต่ในคนท้อง และคนสูบบุหรี่ต้องการถึงวันละ 140 มก.ต่อวัน หากรับประทานในปริมาณสูง อาจทำให้ระดับ oxalate ในปัสสาวะสูง เกิดนิ่วในไตได้
 3.3 Biotin มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์ DNA,RNA ดังนั้นจะมีผลทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เส้นผม-ขน และเล็บ แข็งแรง ( ได้กล่าวรายละเอียดในบทความเรื่อง biotin ไปบ้างแล้ว)

 3.4 Beta carotene เป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ พบได้ในผักใบเขียว แครอท เนยเหลว และเนยแข็ง เป็น Antioxidants อย่างหนึ่งเช่นกัน
หากขาดวิตามินเอ จะทำให้ผิวหนังแห้งแตก และรูขุมขนแข็งได้ นอกจากนี้ beta-carotene ยังสามารถยับยั้งและป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนังด้วย โดยควรรับประทารวันละประมาณ 30 มก.ต่อวันได้โดยไม่มีอันตราย
 3.5 Silica เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ สกัดจากสมุนไพร Horsetail ซึ่งอุดมไปด้วย กรดซีลีซิค( Silicic Acid) และเกลือซิลิเคต( Silicates) ซึ่งจะให้แร่ธาตุซิลิคอน ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเสริมกระดูก กระดูกอ่อน และสร้างความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective Tissues) จึงมีประโยขน์ต่อการบำรุงเส้นผม เล็บ ไขข้อ และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย
 3.6 Zinc ช่วยในการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ และช่วยให้เซลล์จับวิตามิน เอ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสมดุลย์ของปริมาณไขมัน ในร่างกายควบคุมปัญหาการเกิดการอุดตันของไขมัน ที่ทำให้เกิดสิว
นอกจากนี้ยังช่วยในความจำดีขึ้นด้วย จึงได้มีการนำ Zincมาผสมในสารอาหารเสริม ทั้งในรูปของวิตามินรวม หรือ ยาบำรุงในคนสูงอายุ
3.7 Coenyme Q10 เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

Posted on

งานวิจัย : ผ่าตัดปลูกผมด้วยเส้นผมคนอื่น ได้ผลหรือไม่ อย่างไร หรือเฉพาะเส้นผมเราเอง

ในปัจจุบัน การรักษาปัญหาผมบาง ศีรษะล้านในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
1. การปลูกผมโดยไม่ผ่าตัด ใช้ยารับประทานและโลชั่นปลูกผม
2. การปลูกผมโดยการผ่าตัดย้ายรากผม ( Hair transplant) โดยการใช้เส้นผมของตนเอง แต่ถ้าเจ้าตัวจำนวนทั้งศีรษะก็บางมากๆอยู่แล้ว ยังจะแบ่งให้ไปปลูกที่อื่นๆ อีกหรือ นี่คือปัญหา

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Durham ในอังกฤษ ได้ทดลองตัดเอาหนังศีรษะของอาสาสมัครที่มีผมดกดำ นำไปแยกเอา Sheath ที่หุ้มรากผมออก แล้วนำมาปลูกลงบนท้องแขนของอาสาสมัครอีกผู้หนึ่ง ภายใน 5 สัปดาห์ ปรากฏว่ามีผมขึ้นบริเวณท้องแขนดังกล่าว โดยไม่มีปฏิกริยาต่อต้านเหมือนการเปลี่ยนอวัยวะเลย ขณะนี้กำลังติดตามว่า ผมที่งอกขึ้นมานั้นจะงอกงามเป็นปกติและงอกใหม่ได้เรื่อยๆ ในบริเวณอื่น เช่นที่หนังศีรษะหรือไม่

ถ้าการทดลองประสบผลสำเร็จ ในอนาคตอาจมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการขายเส้นผม แต่คงต้องเลือกเส้นผมที่มีลักษณะคล้ายเส้นผมของเรานะครับ ไม่งั้นคงตลกพิลึก ถ้าบนศีรษะของเรา เดี๋ยวผมเส้นตรงตรงนั้น เส้นผมผมหยิกตรงนี้

Posted on 1 Comment

Leptin : ฮอร์โมนความอิ่ม ที่พิชิตความอ้วน สาเหตุที่บางคนกินไม่รู้จักอิ่ม เพราะเหตุใด

Leptin คืออะไร

คือ ฮอร์โมนที่ควบคุมความอิ่ม ความหิวของร่างกาย โดยสัมพันธ์กับระดับไขมันในร่างกาย ฮอร์โมนเลปติน จะทำงานตรงกันข้ามกับฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ให้เกิดความหิว

ฮอร์โมนเลปตินทำงานอย่างไร?
ควบคุมสมดุล( homeostasis) ของการกินอาหารและการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย มีความเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และยังเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ และการสร้างกระดูกด้วย เพราะ Leptin จะทำให้มีการกระตุ้นการหลั่งสาร alpha-melanin stimaulating hormone ที่ทำให้การอยากอาหารลดลง

ภาวะดื้อต่อเลปติน (Leptin Resistance)
เกิดจากการที่ร่างกายเรามีไขมันส่วนเกินเยอะเกินไปอาจจะเกิดจากพฤติกรรมการกินของคนไทยที่เปลี่ยนไปกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมากขึ้น ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป ส่งผลให้สมอง และฮอร์โมนเลปติน ไม่สามารถสื่อสารกันได้ปกติ ทำใ้ห้การไหลเวียนโลหิตก็จะไม่ดี ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเลปตินในกระแสเลือดเยอะขึ้นไปด้วย ฮอร์โมนเลปตินก็ไม่สามารถเดินทางไปหาสมองได้ ทำให้ไม่สามารถสั่งงานให้สมองรู้จักคำว่าอิ่ม ส่งผลให้

  • กินเยอะขึ้น เพราะสมองเข้าใจผิดว่าร่างกายไม่มีไขมัน และพลังงานแคลอรี่เหลือแล้ว จึงกระตุ้นให้เรากินบ่อย และเยอะขึ้น
  • ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง สมองเข้าใจว่าแหล่งพลังงานเหลือน้อยลง มันก็จะกระตุ้นให้ระบบการทำงานของร่างกายให้ทำงานช้าลง เพื่อประหยัดพลังงานแคลอรี่ ทั้งที่ไขมันที่พุงยังมีเป็นกองๆ

การควบคุมให้ฮอร์โมน Leptin ทำงานได้ปกติ

  • เลี่ยง/งด อาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปส่วนใหญ่จะมี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินไป จึงส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันเยอะขึ้น
  • เน้นไปที่เส้นใยอาหาร: ทั้งชนิดละลายในน้ำ และชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ ล้วนช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น ลดความอยากอาหาร และกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้นด้วย
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายจะช่วยให้ระดับฮอร์โมนอยู่ในระดับปกติ และร่างกายนำไขมันออกมาใช้มากขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้สุขภาพโดยรวมพัง และน้ำหนักเกิน
  • ลดระดับไขมันในเลือด: ไขมันในเลือดที่เรียกว่า ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) นั้นจะไปบล็อคสัญญาณที่ฮอร์โมนเลปตินพยายามสื่อสารกับสมอง ดังนั้นเราต้องลดปริมาณไขมันชนิดนี้ลง เช่น งดดื่มน้ำอัดลม เป็นต้นครับ
  • เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง: โปรตีนช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดความอยากอาหาร กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และ ลดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน ครับ
Posted on

Biotin: ไบโอติน วิตามินสำคัญ เพื่อการดูแลสุขภาพเส้นผมและเล็บ ให้แข็งแรง

โบโอตินคืออะไร

Biotin คือ วิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้ รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ คือวิตามินเอช (Vitamin H) หรือวิตามินบี 7 (Vitamin B7) มักจะพบในสารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี และมีอยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ
ร่างกายต้องการไบโอตินเพื่อช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ ดังนี้
1. ไบโอติน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในขบวนการสร้างและเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน รวมไปถึงการสร้างสาร Pyrimidine ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ DNA,RNA ซึ่งเกี่ยวกับสายยีน และพันธุกรรม
2. ชะลอการเกิดผมหงอก และลดผมร่วง ทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่แตกเปราะง่าย จึงใช้รักษาปัญหาเส้นผมแตกปลาย หรือผมร่วง ผมขาดการบำรุง ดังนั้นจึงถือเป็นวิตามินตัวหนึ่ง ในหลายๆ ตัว ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของวิตามินสำหรับเส้นผม และหนังศรีษะ
3.การรักษาปัญหาเล็บ เปราะ หักง่าย โดยได้มีการทดลองสนับสนุน โดย Lisa G.Hochman และคณะ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำมหาวิทยาลัยแพทย์ เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองให้คนไข้ที่มีปัญหาเล็บเปราะ หักง่าย ( Brittle nail) จำนวน 22 ราย พบว่าได้ผลดี ทำให้เล็บหนาขึ้น และแข็งแรงขึ้น ถึง 63 %


4. การเผาผลาญไขมัน และปรับสมดุลของการไขมัน ทั้งในแง่การรับประทานเข้าไป หรือเผาผลาญให้เป็นพลังงาน จึงพบว่า บางคนจะนำ ไบโดติน บรรจุอยู่ในยา เพื่อใช้ในโปรแกรมลดน้ำหนัก นอกจากนี้ในบางคนยังใช้ในคนไข้เบาหวาน เพื่อลดน้ำตาลในเลือดด้วย
ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าผู้ที่ชอบรับประทานไข่ดิบ ซึ่งจะไปรวมตัวกับสารไบโอตินที่แบคทีเรียผลิตออกมา หรือรับประทาน ยาแก้อักเสบกลุ่มยาปฏิชีวนะนานๆ อาจทำลายแบคทีเรีย ทำให้สารไบโอตินที่ร่างกายผลิตออกมาไม่เพียงพอ จึงต้องรับประทานยา หรือวิตามินที่มีไบโอตินผสมอยู่ทดแทน โดยขนาดที่รับประทาน ถ้าเพื่อป้องกันการขาด Biotin หรือดูแลสุขภาพเส้นผมและเล็บโดยทั่วไป ประมาณ 600 ไมโครกรัมต่อวัน และในขนาดที่ใช้รักษาปัญหาเส้นผมแตกปลาย ผมร่วง เล็บเปราะ หักง่าย แนะนำให้รับประทาน1,000-2,500 ไมโครกรัมต่อวัน บางผลงานวิจัย ได้มีการนำ Biotin มารักษาปัญหาโรคผื่นอักเสบ ในภาวะเซ็บเดิร์ม ( Seborrheic dermatits ) ได้ด้วย Biotin เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ จึงไม่สะสมภายในร่างกาย ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จึงมีความปลอดภัยในการรับประทานอย่างต่อเนื่อง

Posted on

บุหรี่ มีผลต่อผิวพรรณอย่างไร เลิกไม่ได้ ทำให้แก่เกินวัย จริงหรือมั่วนิ่ม

ในปัจจุบัน เราทราบกันดีแล้ว ถึงอันตรายของบุหรี่ ต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง และทำให้เกิดการเสียชีวิตถึงร้อยละ 20 ของสาเหตุการตายทั้งหมด แต่ในบทความนี้ จะอ่านถึงผลของบุหรี่ต่อผิวพรรณ เผื่อว่าจะทำให้ท่านเลิกสูบบุหรี่ได้

ผลของบุหรี่ ทางตรง ก็คือการระคายเคืองต่อผิวหนังชั้นนอก และผลทางอ้อม คือ การไหลเวียนของโลหิตในชั้นหนังแท้ลดลง จากการที่นิโคติน มีผลต่อหลอดเลือดหดตัว ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวลดลง

ลักษณะทางผิวหนังของคนที่ติดบุหรี่

  1. ริมฝีปากดำ
  2. หน้าแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น
  3. รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา มุมปาก รอบปาก เกิดเร็วและมากกว่าวัยอันควร
  4. หน้าหมองคล้ำได้ง่าย
  5. ในผู้หญิง นิโคตินจะทำลายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ลดลง
  6. ควันบุหรี่ ทำให้เกิดการกระตุ้นอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลต่อเส้นใยต่างๆ ในชั้นหนังแท้ เช่น เส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน ทำให้ขาดความยืดหยุ่น
  7. ผิวหน้าอาจมีหลายสี คล้ายฟกช้ำ คือ ผิวสีอมม่วง บริเวณแก้ม ตาแดง และขอบตาคล้ำได้
  8. หน้าซีดเหลือง
  9. มีโอกาสเกิดมะเร็งในช่องปาก และริมฝีปากสูง

ดังนั้น ท่านที่ไม่กลัวตาย จากบุหรี่ อาจเลิกบุหรี่ได้ ด้วยเหตุผลของกลัวไม่สวย ไม่หล่อ ก็เป็นได้

Posted on

IPL (Intense Pulse Light) คลื่นแสงกับความงาม ต่างกับเลเซอร์ความงามอย่างไร

IPL (Intense Pulse Light)คืออะไร

เครื่องมือที่ใช้รักษาปัญหาผิวพรรณ และความงาม โดยใช้คลื่นแสงที่เข้มข้นสูง ที่มีความยาวช่วงคลื่น ตั้งแต่ 515-1200 นาโนเมตร โดยการเปลี่ยนฟิลเตอร์ ให้เฉพาะบางช่วงคลื่น ถูกปล่อยออกมา แบบ High pass and low cut off หมายถึงว่า ถ้าใช้ฟิลเตอร์ 590 นาโนเมตร หมายถึงว่า ฟิลเตอร์นี้จะคัดกรองคลื่นแสงเฉพาะที่มากกว่า 590 นาโนเมตรให้ผ่านไปที่ผิวหนังได้ ส่วนที่มีช่วงคลื่นต่ำกว่านี้จะไม่สามารถผ่านไปได้
แสงช่วงคลื่นที่ต้องการนั้น แพทย์จะเลือกช่วงคลื่นที่นำมาใช้ให้เหมาะสมกับภาวะที่ต้องการรักษา  และตั้งพลังงานแสงและช่วงเวลาที่ปล่อยแสงให้พอเหมาะ  แสงจะถูกปล่อยออกมาเหมือนไฟแฟลชเป็นเวลา เศษส่วนพันวินาทีในแต่ละบริเวณที่ทำการรักษา
IPL กับเลเซอร์แตกต่างกันอย่างไร?
– IPL เป็นคลื่นแสง ที่ปล่อยพลังงานบางช่วงคลื่น ออกมา ซึ่งอาจจะมีหลายช่วงคลื่น ไม่จำเพาะเจาะจงเหมือนเลเซอร์ที่เป็นพลังงานช่วงคลื่นเดียว ดังนั้นผลการรักษาถ้าเทียบกับเลเซอร์ จึงด้อยกว่าเลเซอร์

IPL ใช้รักษาอะไร ได้ผลแค่ไหน

1. ความผิดปกติของเส้นเลือด ใช้ในการรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงปานกลาง ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1 มม. แต่ประสิทธิภาพก็ยังได้ผลดีสู้เลเซอร์วีบีมที่รักษาเส้นเลือดโดยเฉพาะไม่ได้
2. ความผิดปกติของเม็ดสี ซึ่งพบว่าได้ผลดีปานกลาง สำหรับเม็ดสีที่เข้มกว่าปกติ เช่น ฝ้าบางๆ หรือฝ้าชั้นหนังกำพร้า ( Epidermal melasma) กระ ( Freckle) จะจางลงได้ แต่ก็มักจะกลับมาเป็นใหม่ได้ไว ปานดำ(Becker’s nevus) แทบจะไม่ได้ผลสู้การรักษาด้วยเลเซอร์ กลุ่ม Nd-Yag laser หรือ Pulse dyne laser
3.การกำจัดขนกึ่งถาวร ถือว่า IPL เป็นเครื่องมือกำจัดขนได้เช่นกัน แต่ได้ผลไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับเลเซอร์กำจัดขนโดยเฉพาะ
4. Photorejuvenation น่าจะเป็นข้อเดียวของ IPL ที่พอจะแข่งขันกับเลเซอร์ได้ เพราะช่วยเรื่องหน้าเกรียมแดด หน้าหมองคล้ำ ให้ขาวใสได้ สังเกตุได้ทันทีหลังทำ
5. รอยดำ โดยพบว่า IPL กับการรักษาแผลเป็นรอยดำ พอจะได้ผลบ้าง ถ้ารอยดำจางๆ ไม่ลึกมากนัก แต่ถ้ารอยแดงหรือรอยหลุม แทบจะได้ผลน้อยมาก

ปัจจุบัน IPL มีหลายชนิด หลายคุณภาพตามแต่ผู้ผลิต ราคาจึงแตกต่างกันมาก ดังนั้นก่อนรับการรักษาด้วย IPL ควรสอบถามถึงความมาตรฐานของผู้ผลิต และแหล่งที่มาของเครื่องมือนั้นๆให้ชัดเจนก่อนเสมอ เพื่อประสิทธิผลในการรักษา

Posted on

หัวหอม(Onion) พืชผักสวนครัวธรรมดา ที่ีไม่ธรรมดา สรรพคุณดีมากมายต่อสุขภาพ !

หอม ถือว่าเป็นสารอาหารที่ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่า สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้สารพัด แม้ทุกวันนี้ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันก็ได้ยอมรับแล้วว่า หัวหอมสามารถลดระดับไขมันในเลือดได้ โดยมีรายงานวิจัยหลายชิ้นได้สนับสนุน เรามาลองรู้จักหัวหอมกันดีกว่านะครับ

หอมเป็นพืชในตระกูล Allium แบ่งได้เป็น 1. หอมใหญ่ (Allium cepa Linn.) 2. หอมแดง ( Allium ascalonicum Linn.) (ดูภาพประกอบ)

สรรพคุณหรือประโยชน์ทางยาของหอม มีดังนี้ 

  1. ช่วยลดระดับไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL= Low density lipoprotein) และเพิ่มระดับไขมันในเลือดชนิดดี (HDL= High density lipoprotein)
  2. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. มีสารไซโคลอัลลิอินในการช่วยละลายลิ่มเลือดทำให้ลดอัตราการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้
  4. ลดอัตราการเสี่ยงต่อมะเร็ง โดยนักวิจัยได้ค้นพบว่ากำมะถันในหอม ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งได้
  5. ใช้ลดอาการเป็นหวัดคัดจมูกในยาแผนโบราณ

ปริมาณและวิธีการรับประทาน รับประทานทุกวัน อาจจะเป็นหอมแดง 5-6 หัวหรือหอมหัวใหญ่ ครึ่งหัว ร่วมกับอาหารประเภทอื่น หรือใช้ ปรุงอาหาร หรือซอยใส่ในอาหารประเภทยำ ไข่เจียว ผัด หรือแกงจืด ก็เป็นอาหารง่ายๆ ที่มากด้วยคุณค่าต่อสุขภาพ

ดังนั้นหวังว่าในครั้งต่อไปที่รับประทานอาหาร ท่านคงไม่เขี่ยหอมออกจากจานนะครับ !

Posted on

Aldostadil (Vitaros) : ครีมทาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ได้ผลแค่ไหน แข่งกับไวอะก้าได้หรือไม่ อย่างไร !

Erectile dysfunction(ED) การหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลายต่อหลายคนกังวลมาก โดยเฉพาะในชายที่เข้าสู่วัยทอง ซึ่งคือ ช่วงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เรื่องนี้มิใช่แค่ทำให้ความสุขที่ควรมีลดลงเท่านั้น ยังทำให้เพิ่มความทุกข์ในเรื่องความมั่นใจในตนเองลดลงอีกด้วย
ยากลุุ่ม Viagra พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย โดยการค้นพบโดยบังเอิญในการวิจัยหายาลดความดันโลหิต แต่พบว่ากลับทำให้นกเขาที่อ่อนเปลี้ยคอตก ชูคอขันได้อีกครั้ง แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับยากลุ่มนี้ เพราะมีผลข้างเคียงและข้อระวังมากมาย และต้องรับประทานเข้าไปก่อนทำกิจกรรมรักถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย และในหลายคนก็ไม่กล้ารับประทานต่อหน้าคู่ร่วมรักอีกด้วย
Aldostadil (Vitaros) : เป็นยาอีกกลุ่มที่ได้มีการคิดค้นหายาที่ไม่ต้องรับประทาน ที่รู้จักกันดี ก็คือ Vitaros โดยอยู่ในรูปของ ยาสอดเข้าท่อปัสสาวะ ยาฉีดเข้าองคชาต และสุดท้ายพัฒนามา เป็นยาทาที่ปลายอวัยวะเพศชาย ที่ได้ผลไม่แพ้กับยารับประทาน กลุ่ม Viagra และดูเป็นธรรมชาติที่เมื่อมีอารมณ์ก็ใช้ได้ในทันที
ออกฤทธิ์อย่างไร คุณสมบัติเด่นของยา ยา Aldostadil ก็คือ ออกฤทธิ์ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังทาถูนวด และได้ผลมากกว่า ร้อยละ 83 โดยมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนไวอากา ก็คือ ทำให้หลอดเลือดบริเวณองคชาติขยายตัว
ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงอันตรายอื่นๆ ยังไม่มีรายงานออกมาชัดเจนมากนัก เพราะยาเพิ่งผลิตและวางจำหน่ายในบางประเทศ แต่ได้รับการอนุมัติจากประเทศแคนนาดาและในยุโรป แตก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA แต่อย่างไรก็ตาม alprostadil ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ใช้บำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศสามารถหาได้ในสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงวิธีการฉีดยา และการเสริมอวัยวะเพศชาย

Posted on

สังเกตอย่างไร ว่าเรา หรือคนใกล้ตัวเรามีอาการซึมเศร้า แล้วเราจะช่วยเค้าอย่างไร!

โรคซึมเศร้าคือความผิดปกติของการหลั่งสารเคมีในสมองส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้พฤติกรรมของผู้ป่วยเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน กลายเป็นคนมองโลกในแง่ลบ เศร้า หม่นหมอง หดหู่ เก็บเนื้อเก็บตัว รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เคยสนุกหรือสบายใจไม่มีความสุข ซึ่งคนไทยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน แต่ได้รับการรักษาแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ลักษณะอันแสดงออกของความโศกเศร้า

1. ความรู้สึก : ผู้ที่สูญเสีย อาจมีอารมณ์ต่างๆ ได้ดังนี้
1.1 ความเสียใจ- พบได้บ่อยที่สุด อาจจะร้องให้ออกมาหรือไม่ก็ได้
1.2 ความโกรธ – อาจเป็นผลเนื่องจากความรู้สึกคับข้องใจ ที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลือได้ หรือโกรธที่ถูกทิ้ง ให้อยู่เพียงลำพัง
1.3 ความรู้สึกผิดและโทษตนเอง
1.4 ความกังวล อาจจะกังวลธรรมดา จนถึงมีอาการหวาดกลัว
1.5 ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีชีวิตชีวา
1.6 ความรู้สึกเหงา
1.7 ความรู้สึกคิดถึง
1.8 ความรู้สึกเย็นชาต่อสิ่งรอบกาย
2. อาการทางกาย อาจเกิดได้หลายอย่างดังนี้
2.1 แน่นหน้าอก
2.2 จุกแน่นที่คอ
2.3 ตกใจง่าย
2.4 หายใจไม่อิ่ม
2.5 กล้ามเนื้ออ่อนแรง
2.6 ไม่มีกำลัง
2.7 คอแห้งบ่อยๆ

3. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อาทิเช่น
3.1 นอนไม่หลับ
3.2 เบื่ออาหาร
3.3 น้ำหนักลด
3.4 การติดสินใจเสียไปหรือลดลง
3.5 ไม่สนใจการเข้าสังคม

หลักการและวิธีการให้คำปรึกษา 

  1. ช่วยให้มีการเข้าใจและยอมรับความจริงของการสูญเสีย – วิธีที่ดีที่สุดคือ การให้ผู้สูญเสียได้พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยการให้เขาบรรยาย หรือเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยท่านต้องเป็นนักฟังที่อดทน และคอยช่วยให้เขาพูด และระบายออกมา อย่าห้ามที่จะให้เขาเล่าเรื่องให้ฟัง
  2. ช่วยให้ผู้สูญเสียสามารถยอมรับ และแสดงอารมณ์ที่ตนเองรู้สึกออกมา เช่น อารมณ์โกรธ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกกังวลและช่วยตนเองไม่ได้ ความเศร้าโดยเปิดโอกาสให้เขาได้ร้องไห้อย่างเต็มที่
  3. พิจารณาและให้การช่วยเหลือแนะนำถึงการใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากคนนั้น
  4. ช่วยให้ผู้สูญเสียสามารถลดความรู้สึกผูกพันลงไป โดยกระตุ้นให้เขาสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นบ้าง แต่มิให้เพื่อการทดแทน
  5. ให้เวลาที่จะโศกเศร้า อย่าให้เกิดความคิดว่าไม่ควรเสียเวลาจมอยู่กับควาททุกข์
  6. อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และอาการจากจิตและกายที่ตามมา เป็นเรื่องปกติ มิใช่เป็นอาการของผู้ป่วยทางจิด
  7. ต้องมีความเข้าใจว่า ผลของการสูญเสียและโศกเศร้าแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องคล้ายกัน
  8. ควรให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด
  9. ถ้าทุกอย่างยังไม่ดีขึ้น อาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อป้องกันโรคซึมเศร้าตามมา

อ้างอิง จากบทความวิชาการทางจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Posted on

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) : ด้วยสรรพคุณเพียบล้น จนได้ฉายาว่า “สมุนไพรมหัศจรรย์ “

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) ของชาวจีน เป็นพืชสมุนไพรที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพืชดึกดำบรรพ์ทั้งหลายในโลกนี้ กล่าวคือ มีกำเนิดประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว ในเวชศาสตร์พื้นบ้านของจีนและญี่ปุ่น ถือว่าเป็น สมุนไพรมหัศจรรย์

ส่วนประกอบโดยทั่วไปของ Ginkgo Biloba Flavonoids,Turpinoids,Proanthrocyanidine,Amino acids ต่างๆ ที่มีคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งทำให้การนำออกซิเจนและอาหารไปยังสมองและแขนขาดีขึ้นด้วย

คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายที่สำคัญ 

  1. ป้องกันและรักษาโรคอัลไซเมอร์
  2. ช่วยอาการชาปลายมือ ปลายเท้า และอาการตะคริวที่ขา มือเท้าเย็ฯ
  3. ช่วยการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
  4. ช่วยการได้ยิน รักษาอาการประสาทหูเสื่อม หรือมีเสียงหริ่ง เรไรในหู
  5. ป้องกันและรักษาแผลเรื้อรัง จากเบาหวาน ที่มีสาเหตุจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี
  6. ป้องกันและรักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อันเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ หรือตัน
  7. ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันการเกิดต้อกระจกให้ช้าลง
  8. ช่วยลดไขมันชนิดเลว(LDL) และเพิ่มไขมันชนิดดี(HDL)

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) เป็นสมุนไพร ที่นำมาทำอาหารเสริมที่ขายดี และแพร่หลายในหลายประเทศ เช่น เยอรมัน อเมริกา และประเทศในแถบยุโรป แม้แต่เวชสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA) ได้กล่าวถึงงานวิจัย ของศูนต์วิจัย 6 แห่งในอเมริกา ยอมรับว่า
– ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) มีคุณค่าสูงในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
– เวชสาร Lancet ของอังกฤษ ได้กล่าวถึง ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) ว่ามีคุณสมบัติที่เป็นไปได้ในการชะลอความชรา โดยเฉพาะทำให้การไหลเวียนของโลหิตที่สมองดีขึ้น
จึงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการพิจารณาอาหารเสริมสำหรับสุขภาพของคนสูงอายุ

เอกสารอ้างอิง : Encyclopedia of Natural Medicine,Prima Publishing,Rocklin C.A ”

Posted on

โครเมียม (Chromium) : แร่ธาตุ ที่มีบทบาทในการควบคุมน้ำตาล ไม่ให้กลายเป็นไขมัน

โครเมียม(Chromium ) เป็นแร่ธาตุ ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นสำหรับรางกาย โดยนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า โครเมียมมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส หรือคาร์โบไฮเดรตของเซลล์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
โครเมียม(Chromium) ในร่างกาย พบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Glucose tolerance factor (GTF)

GTF สำคัญอย่างไร
ช่วยเพิ่มการทำงานของฮอรโมนอินซูลิน ที่มีหน้าที่ในการนำ น้ำตาลกลูโคสในเลือดเข้าเซลล์เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรอง โดยเชื่อว่า GTF จะไปเพิ่มตัวรับ(Receptor) ที่เยื่อหุ้มเซลล์ให้สามารถเปิดรับเอากลูโคสเข้าเซลล์ได้มากขึ้น และ GTF ยังเกี่ยวข้องในขบวนการเมตาโบลิซึม ของคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเชื่อว่าสามารถควบคุมระดับของปริมาณคลอเรสเตอรอลได้ด้วย โดยการไปเพิ่ม HDL ทำให้ LDL ซึ่งเป็นตัวปัญหาของการอุดตันของหลอดเลือดลดลง
โครเมียม พบได้ในอาหาร
Brewer’s yeats,ตับ,แครอท,เนย ไข่ กุ้ง ไก่ แอบเปิล กล้วย ผักขม ฯลฯ

ข้อบ่งชี้ในการรับประทาน โครเมียม(Chromium Picolinate) เพื่อเป็นอาหารเสริม

1.ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่เกิดจากการบกพร่องของฮอรโมนอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes= DM type2)
2. นักกีฬาขณะแข่งขัน ที่จำเป็นต้องสร้างพลังงานจากสารอาหาร เพื่อทำให้กล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ในผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก เพื่อลดปริมาณกลูโคสที่มากเกินความจำเป็น เพราะอาจจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้
4. ผู้ที่มีปัญหาระดับไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และมีปัญหาของหลอดเลือดแข็งอุดตันจากไขมันดังกล่าว
โครเมียม(Chromium) ในรูปแบบอาหารเสริม
พบว่า โครเมียม(Chromium) ในรูปของ Chromium Picolinate ถือว่าสามารถดูดซึมผ่านทางเดินอาหารของมนุษย์ได้ดี โดยในปี 1989 สถาบันวิทยาศาสตร์ของอเมริกา ได้ประกาศว่า ปริมาณ โครเมียม(Chromium) ที่ปลอดภัยและจำเป็นสำหรับร่างกาย อยู่ที่ 50-200 Mcg./วัน และในท้องตลาดปัจจุบันได้มีการจำหน่าย โครเมียม(Chromium) ในรูปอาหารเสริม จะประกอบด้วย Chromium Picolinate 200 Mcg/capsule

เอกสารอ้างอิง; Andersan RA. Nutritional factors influencing the glucose/insulin system;Chromium,J Am Call Nutr 1997;16-4-10

Posted on

Coenzyme Q10: อาหารเสริม สารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ชะลอวัย ลดโรคภัย

Coenzyme Q10 คืออะไร

CoQ10 (Ubiquinone) คือ สารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกายพบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) นี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์
– Q10 ถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) มาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง
Q10 ทำงานอย่างไร : Q10 จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์หลัก ในวงจร Kreb ’s or Citric Acid Cycle ) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำการเปลี่ยนแปลงอาหารพวกคาร์โบไอเดรตและไขมันให้อยู่ในรูปของพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้
ประโยชน์ของ Q10
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด : Q10 ช่วยแก้ปัญหาคลอเลสเตอรอลจับเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด ใช้รักษา โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ
2. โรคอัลไซเมอร์: Q10 มี Phenylalanine ช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วย ไอโอดีนทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว อารมณ์ดี ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำดีขึ้น
3. ลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง : Q10 เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant)ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด เพราะอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากแสงแดงง จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ผิวหนัง
4. โรคเกี่ยวกับเหงือก: Q10 เข้าไปในจะช่วยลดและบรรเทาอาการเหงือกบวม ฟันโยก (Periodontitis) ได้
5. โรคเรื้อรังอื่นๆ : พบว่าช่วยให้ไต ทำงานดีขึ้น ในคนไข้ที่มีปัญหาไตวาย ช่วยป้องกันมะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย อย่างไรก็ดียังคงต้องการการศึกษามากกว่านี้เพื่อยืนยันผลดังกล่าว อีกทั้งในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดับคลอเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด และได้รับยากลุ่ม Statin drugs ผู้ป่วยดังกล่าวควรจะถูกแนะนำให้รับประทาน Q10 เพราะยากลุ่มดังกล่าวส่งผลต่อการยับยั้งสร้าง Q10 ในร่างกาย

Q10 พบได้ในอาหารประเภทใด
Q10 นอกจากสังเคราะห์ขึ้นจากร่างกายมนุษย์แล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งอุดมของ Q10 เช่นกัน
-น้ำมันปลา ปลาทะเลลึก เช่น ปลาซาดีน
– อาหารทะเล
– เครื่องในสัตว์ส่วน หัวใจ ตับ ไตของสัตว์ เนื้อสัตว์
– รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง
– บรอคคอลี่ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน
ถ้าปริมาณ Q10 ในร่างกายลดลงจะมีผลอย่างไร
– ถ้าระดับของ Q10 ลดลง ร่างกายจะไม่สามารถแปลงพลังงานจากอาหารให้อยู่ในสภาพที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้เลย ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพตามมาได้
Q10 ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ขนาดที่แนะนำคือ 30 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับคนที่มีอาการโรคชรา หรือโรคอื่นๆ ควรรับประทานในขนาดมากขึ้นคือ 50–100 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อผลในการรักษาโรค แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ควรใช้ในปริมาณที่แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ หรือบนฉลากแจ้งไว้เท่านั้น ไม่ควรใช้ยานี้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

ผลข้างเคียง

  • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
  • สูญเสียความอยากอาหาร
  • ท้องเสีย
  • มีผื่นขึ้น
  • ความดันโลหิตต่ำ
Posted on

ธนาคารอสุจิ : ธนาคารสำรองสเปริ์ม เพื่อการแพทย์ และความหวังของผู้มีบุตรยาก

ธนาคารอสุจิ ได้แก่ การนำอสุจิมาเก็บแช่แข็งเอาไว้ เพื่อนำกลับมาใช้ในภายหลัง ซึ่งการแช่แข็งน้ำอสุจิมีมานานร่วม 50 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันได้มีการรับบริจาคน้ำอสุจิเพื่อนำมาเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการผสมเทียมในโอกาสต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเช็คเลือดผู้บริจาคว่าปราศจากเชื้อเอดส์ หรือโรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธุ์เสียก่อน

วัตถุประสงค์ของการแช่แข็งอสุจิไว้ในธนาคารอสุจิ

  1. สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บน้ำอสุจิไว้ก่อนรับการผ่าตัด หรือรังสีรักษา หรือต้องได้รับยารักษามะเร็ง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นหมันตามมาได้
  2. สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยฝ่ายสามีต้องเดินทางบ่อยๆ ทำให้ไม่อาจอยู่ร่วมกับภรรยาในช่วงตกไข่ได้ หรือในรายที่ในอัณฑะมีตัวอสุจิแต่ไม่ออกมาในน้ำอสุจิ
  3. แช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อใช้ในการผสมเทียมให้คู่สมรสที่สามีเป็นหมัน

วิธีการแช่แข็งน้ำอสุจิ

  1. ให้ผู้ที่จะแช่แข็งอสุจิ เก็บน้ำอสุจิด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แล้วนำมาใส่ในขวดปากกว้างที่ปราศจากเชื้อ
  2. นำน้ำอสุจิไปวิเคราะห์ (semen analysis) โดยควรมีตัวอสุจิไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัว/ซีซี และมีอัตราการเคลื่อนไหวมากกว่าร้อยละ 60 และต้องมีรูปร่างของอสุจิปกติมากกว่าร้อยละ 30 เนื่องจากในเวลาใช้จริง จะมีบางส่วนตายไปประมาณร้อยละ 30-40
  3. หลังจากนั้น อสุจิจะต้องใส่สารละลาย ( เช่น glycerol,sodium citrate,glucosr,fructose,ไข่แดง) ผสมกับน้ำอสุจิ แล้วนำใส่หลอดพลาสติกเล็กๆ แล้วนำไปแขวนไว้ที่ระดับ 15 ซม.เหนือไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเก็บไว้เป็นเวลานานหลายปี

การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค: กรณีที่นำอสุจิแช่แข็งในธนาคารอสุจินำไปใช้กับภริยาของตนเอง ไม่มีปัญหาใดๆ หรือข้อบ่งชี้ที่ต้องคำนึงถึงมากนัก แต่กรณีที่ต้องการผสมเทียมกับอสุจิผู้บริจาคต้องมีข้อบ่งชี้ดังนี้

  1. สามีเป็นหมัน คือ ไม่มีอสุจิออกมาในน้ำเชื้ออสุจิ หรือน้ำเชื้ออสุจิผิดปกติมาก
  2. สามีเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดถึงลูกได้ เช่น โรคเลือด Hemophilia
  3. สามีไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้
  4. หญิงโสดที่ต้องการมีบุตร (แต่ในเมืองไทยยังมีปัญหากันอยู่ในเรื่องผลกระทบต่อเด็กในอนาคต)

การประเมินคู่สมรสที่จะรับบริจาคอสุจิแช่แข็งของผู้บริจาค

  1. สามีภรรยา จะต้องพูดคุยกันและประเมินสภาพจิตใจในการยอมรับ
  2. ซักประวัติ ตรวจร่างกายของภรรยา พร้อมทั้งการตรวจภายใน ให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ
  3. ตรวจเลือดเพื่อดูโรคติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส เอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี
การแช่แข็งอสุจิ
คู่สมรสที่มีบุตรยาก
ผู้บริจาคอสุจิ
การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

การประเมินผู้บริจาคอสุจิ ( ในโรงเรียนแพทย์มักจะขอจากนักศึกษาแพทย์ ซึ่งมักมีสติปัญญาดี ) ดังนี้

  1. ต้องมีสุขภาพแข็งแรง น้ำเชื้อมีคุณภาพดี
  2. อายุไม่ควรเกิน 40 ปี
  3. ไม่มีโรคทางพันธุกรรม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี
  4. มีลักษณะใกล้เคียงกับสามีผู้บริจาค เช่น รูปร่าง ส่วนสูง สีผิว สีผม เชื้อชาติ และกรุ๊บเลือด

วิธีการผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

  1. คาดคะเนวันตกไข่ของฝ่ายภริยา โดยใกล้วันตกไข่ จะนัดมาตรวจวัดขนาดถุงไข่ด้วยอัตราซาวด์ หรือแนะนำให้ตรวจฮอรโมนเกี่ยวกับการตกไข่(LH) หรือวัดปรอทอุณหภูมิพื้นฐาน
  2. เมื่อถึงวันตกไข่ นำน้ำอสุจิที่บริจาค ออกมาทำให้เหลวในอุณหภูมิห้อง แล้วฉีดเข้าไปในบริเวณที่ปากมดลูกและช่องคลอดส่วนบน หรือฉีดเข้าโพรงมดลูกโดยตรง

ผลของการตั้งครรภ์ เกิดได้ในอัตรา ร้อยละ 10 ต่อการผสมเทียม 1 ครั้งและอัตราการตั้งครรภ์สะสมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ฉีด ซึ่งพบว่าความสำเร็จจะเกิดประมาณร้อยละ 60-80 ในการฉีดไป 12 รอบเดือน หรือ 1 ปี ซึ่งต่อมาได้มีการประเมินบุตรที่คลอดออกมา พบว่าการพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และมีอัตราหย่าร้างน้อยกว่าการหย่าร้างโดยทั่วไป

ข้อควรคำนึงในการใช้อสุจิบริจาคในประเทศไทย 

  1. ไม่สมควรให้มีการซื้อขายในเชิงพาณิชย์ ( ตามกฏเกณฑ์แพทยสภา)
  2. ไม่ควรให้รู้กันระหว่างผู้บริจาคและผู้รับบริจาค เพื่อป้องกันการทวงสิทธิภายหลัง
  3. ไม่สมควรให้เด็กที่เกิดมาทราบหรือรู้จักกับเจ้าของอสุจิบริจาค
  4. คู่สมรสไม่ควรบอกใครว่าตั้งครรภ์จากอสุจิบริจาค
  5. ผู้บริจาคอสุจิ ไม่ควรใช้การบริจาคซ้ำเกิน 25 ครั้ง เพื่อป้องกันการสมรสกันในสายเลือดใกล้ชิดกันในอนาคต

ดังนั้น ธนาคารอสุจิส่วนใหญ่ในประเทศไทย มักจะเป็นการแช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อนำไปใช้บริการคู่สมรสที่มีบุตรยาก ซึ่งฝ่ายสามีเป็นหมัน และเมื่อเป็นการบริจาคเซลล์สืบพันธ์ จึงต้องคำนึงถึงจริยธรรมหลายประการดังกล่าวข้างต้น

Posted on

Brow Lifting : 4 เทคนิค ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับลุคใหม่ให้ดู สดใส เยาว์วัย

เทคนิคการยกคิ้วมีกี่แบบ

 แนวรูปคิ้ว บ่งบอกถึงอารมณ์ โครงหน้า และก่อให้ความสวยงามแก่ใบหน้า รูปคิ้วที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันได้ การปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว ก็เพื่อปรับเปลี่ยนลุคให้ดูต่างจากเดิม หรืออาจจะช่วยทำให้เยาววัยขึ้น
ในคนที่อายุมากขึึ้น อาจจะมีหางคิ้วตก หางตาตก ทำให้ตาสองชั้น เริ่มดูไม่ชัดเจน ดังนั้นการปรับแนวรูปคิ้ว การยกคิ้ว จึงเป็นความต้องการของคนไข้อีกอย่างหนึ่งที่มาพบได้บ่อยๆ จึงจะจำแนกการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว วิธีต่างๆ ดังนี้ 

1. Botox : เปลี่ยนแนวรูปคิ้ว โดยหลักการที่ว่าโบทอกซ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว อ่อนแรงลง เลยทำให้กล้ามเนื้อในส่วนที่ใกล้เคียงทำงานได้เด่นกว่า จึงเกิดการดึงรั้งให้รูปคิ้วเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนใหญ่คนที่นิยมฉีดโบทอกซ์ปรับแนวคิ้ว ก็เพื่อยกคิ้วให้สูงโก่ง จากหางคิ้วตก เพื่อฉีดแล้ว จะทำให้รูปคิ้ว ได้รูปสวยตามต้องการ และยังทำให้ดวงตากลม และยังช่วยยกหนังตาบนตกได้ด้วย
แพทยที่ทำจะต้องมีความรู้เรื่องกล้ามเนื้อที่ทำงานรอบดวงตา และแนวคิ้วเป็นอย่างดี จึงจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว แต่อาจจะได้ผลในระดับหนึ่ง และ อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
2. Fillers: ฟิลเลอร์เริ่มมีบทบาทในการปรับแนวรูปคิ้ว โดยเป็นทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง เพราะได้ผลแน่นอนกว่า และอาจจะปรับแต่งเสริมให้ได้รูปแบบแนวคิ้วที่ต้องการได้แม่นยำกว่าการฉีดโบทอกซ์ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังชั้นลึก จะช่วยค้ำยันให้แนวคิ้วยกขึ้นได้ตามต้องการ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปรับแนวรูปคิ้ว คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และเห็นผลทันทีหลังทำ  อยู่ในนานกว่าประมาณ 8-12 เดือน

3. Ulthera : เป็นทางเลือก ที่สามารถมาปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว เพราะสามารถลงลึกสุดกว่าการยกคิ้วแบบอื่นๆ สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญสำหรับปกป้องการหย่อนคล้อยของใบหน้า จะใช้ในคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย เมื่ออายุมากขึ้น  
ข้อดีของการปรับแนวรูปคิ้วด้วย Ulthera  คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และถือเป็นการยกคิ้วกึ่งถาวร เพราะอยู่ได้นานสุด ถึง 18 เดือน แต่ก็มีข้อเสียคือ คาดหวังผลได้ยาก แม้จะเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังทำ แต่ก็ต้องรอดูผลที่ชัดเจนอีกประมาณ 3-4 อาทิตย์   และก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่า และเจ็บมากกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือฟิลเลอร์
4. ร้อยไหม : การร้อยไหมยกคิ้ว จัดเป็นอีกทางเลือกเช่นกัน โดยใช้ไหมละลาย ชนิด PDO แบบไม่มีเงี่ยง หรือแบบมีเงี่ยง ในการยกปรับแนวคิ้ว
วิธีนี้ถือว่าเป็นทีนิยม เพราะราคาไม่แพง ไม่ต้องพักฟื้น และปรับแต่งแนวคิ้วในการต้องการตามทิศทางไหมที่ดึงรั้ง ตามต้องการ แต่การหวังผลก็ได้ระดับหนึ่ง และอยู่ได้ 6-12 เดือน

Posted on

อัลฟัลฟา (Alfalfa) : บทบาทในการกระตุ้นให้มีความอยากอาหาร แก้ไขความผิดปกติของลำไส้

อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นพืชล้มลุก ตระกูลถั่ว มีรากหยั่งลึกลงในดินยาวถึง 130 ฟุต ทำให้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) สามารถดูดซัมเอาแร่ธาตุที่สำญต่างๆ จากพื้นดินในระดับความลึกต่างๆ ไว้ได้อย่างมากมาย แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบซึ่งจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และร่างกายก็สามารถนำเอาแร่ธาตุจากธรรมชาตนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ซึ่งส่วนที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ ก็คือ ส่วนของใบ

สรรพคุณที่ค้นพบจากพืช อัลฟัลฟา (Alfalfa) 

  1. Saponin ซึ่งมีรสขม จะมีฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสารนี้ยังช่วยลดการอุดตันของเกร็ดเลือดในเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ด้วย จึงทำให้ลดอัตราการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ได้ลดลงด้วย
  2. Isoflavone and Flavone ซึ่งเป็นสารสเตอรอล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอรโมนเอสโตรเจนในเพศหญิง จึงมีประโยชน์สำหรับสตรีที่มีความบกพร่องในเรื่องฮอร์โมน เช่น สตรีวัยหมดประจำเดือน
  3. Chlorophyll พบได้ในปริมาณสูง ซึ่งคลอโรฟิลล์นี้จะมีผลในการกำจัดสารพิษและสารแปลกปลอมต่างๆ ในเลือด ทำให้ลดการสะสมของยาหรือสารอันตรายต่างๆ ได้ และยังกระตุ้นให้ร่างการสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ทำให้ร่างการแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า
  4. Beta-carotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีบทบาทในการเป็น Antioxidants ที่ดี ลดการเสื่อมของเซลล์และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้
  5. Nataural Fluiridw ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ฟันแข็งแรง ลดการทำลายฟันโดยแบคทีเรียต่างๆในช่องปากได้
  6. แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก สังกะสี ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของแร่ธาตุเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
  7. วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ บี1 บี6 ซี อี และเค ในปริมาณสูง ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของวิตามินเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
Posted on

Microdermabrasion : กรอหน้า ผลัดเซลล์ผิวให้อ่อนวัย หน้าใส ไร้รอยด่างดำ

Microdermabrasion คืออะไร

คือ การกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system)
– มีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ และขนาดของผลึกครีสตัลก็แตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ในการใช้งาน และปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือให้ทันสมัยและสะดวกขึ้น โดยการใช้ผลึกครีสตัลของเพชร ( Diamond crystal) มากรอผิวแทนซึ่งจะมีการระคายเคืองน้อยกว่า และสะดวกกว่า

กรอผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง

1. หน้าหมองคล้ำจากแสงแดด
2. สิวอุดตัน ทั้งประเภทหัวดำ และหัวขาวให้หลุดลอกออก สิวเสี้ยน
3. ริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยบริเวณหางตา
4. ผิวหนังที่หยาบกร้าน แตกลาย เช่น บริเวณท้อง ขา
5. รอยดำตามผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิว รอยดำตามลำตัว ขาหนีบ
6. รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ามัน
7. รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ รอยเย็บแผล
8. ฝ้าจางๆ ที่ไม่ลึกมาก
9. กระแดด กระในคนสูงอายุ
10.ผิวหน้ามัน เพราะการกรอผิว ทำให้ไขมันที่เคลือบผิวหน้าชั้นนอก หลุดลอกออก และทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันในท่อไขมัน ลดลง

ผลข้างเคียง

  1. ความรู้สึกระคายเคือง แสบ ที่ผิวหน้าในระหว่างที่ทำ และหลังทำ ซึ่งอาจจะต้องทาครีมบำรุง หรือสารให้ความนุ่มเนียนหลังทำ
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดด ในระยะ 1-7 วันหลังทำขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว
  3. อาจจะมีรอยแดง หรือรอยซีดจาง หลังทำและจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน
  4. รอยดำจากจากการระคายเคืองผิว
  5. กรณีที่กรอลึก เช่นในคนที่มีปัญหาท้องลาย ขาลาย หรือรอยแยกแตกของผิวหนัง อาจจะมีอาการบวม เลือดซึม หรืออักเสบหลังทำได้ และจะดีขึ้นภายใน 1-3 อาทิตย์