Posted on

Saw Palmetto : สมุนไพรรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน ที่ไม่อยากกินยา กล้วผลข้างเคียง

Saw Palmetto คืออะไร

Saw Palmetto(ปาล์มเลื้อย) : เป็นพืชประเภท ปาล์มใบเลื่อย ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Serenoa repens พบในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ส่วนที่นำมาใช้คือ ผล (Berry)
– เมื่อหลายสิบปีก่อน มีนักวิจัย ชาวยุโรปได้วิจัยผลปาล์มใบเลื่อย และพบว่าไขมันที่สกัดได้จากผลปาล์มแห้งมีสารประกอบที่น่าสนใจหลายชนิด และเรียกสารเหล่านี้ว่า “ไซโทสเตอรอล(Cyto-sterol)” ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนสารต้านแอนโดรเจน หรือสารต้านฮอร์โมนเพศชาย โดยพบว่ามีกลไกในการยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) ดังนี้
1. ยับยั้ง การทำงานของ เอนไซม์ 5-alpha reductase ในการเปลี่ยน ฮอร์โมน Testosterone ไปเป็น dihydrotestosterone (DHT) จึงมีสรรพคุณคล้ายๆ กับยา Finasteride , Dutasteride   แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ
2. ทำให้การทำงานของฮอร์โมน DHT ลดลง โดยไปแย่งจับกับ DHT ที่ Androgen receptors ซึ่งพบได้เด่นชัดในเซลล์ต่อมลูกหมาก ( Prostate cells ) โดยผ่าน ขบวนการ ขัดขวางที่เอนไซม์ 3-ketosteroid reductase

ประโยชน์ของ Saw Palmetto ในวงการแพทย์ 

1. รักษาอาการต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy -BPH: โดยพบว่าสามารถ ลดการเกิดอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) และเพิ่มการไหลของปัสสาวะให้ดีขึ้นได้ ในคนไข้ที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต แต่พบว่าไม่มีผลในการลดขนาดต่อมลูกหมากให้เล็กลง เป็นตัวเลือกที่สอง แทนกลุ่มยา Finasteride Dutasteride แล้ว เพื่อลดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
2. รักษาอาการผมบาง ผมร่วง จากสาเหตุ ฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) : โดยพบว่า จากสรรพคุณในการสามารถ ลดปริมาณ และยับยั้งการทำงานของ DHT จึงเป็นยาตัวเลือกที่สอง รองลงมาจาก Finasteride ,Dutasteride กรณีที่คนไข้รับประทานยา แล้วเกิดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
3. การรักษาสิว : ได้มีข้อสงสัย ว่า ถ้า saw palmetto สามารถต้านฮอร์โมนเพสชายได้ จะช่วยเรื่องการรักษาสิวจากฮอร์โมนเพศชายสูงได้หรือไม่ ปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานสรุปกันชัดเจน ว่า saw palmetto ช่วยทำให้ปัญหาสิวลดลงได้ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัญหาสิว อาจจะมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสิวได้หลายอย่าง

Posted on

Melatonin : เมลาโทนิน ฮอร์โมนชะลอวัย ช่วยให้นอนหลับ ปรับสมดุลร่างกาย

Melatonin เป็นฮอร์โมนธรรมชาติ ชนิดหนึ่งในร่างกาย ซึ่งผลิตจากต่อมไพเนียล(Pineal gland) ซึ่งอยู่ในสมอง โดยพบว่ามีหน้าที่หลักๆ ในการควบคุมการนอนหลับของร่างกาย โดยทำให้เรารู้สึกง่วงนอน (fall asleep) เพื่อที่จะให้เราได้พักผ่อนร่างกายหลังจากที่เราได้ตื่นมาทุกวัน
และยังทำให้ร่างกายมีการผ่อนคลายทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาทเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง
กลไลการหลั่งฮอรโมน ปกติร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Melatonin ในช่วงเวลากลางคืน โดยจะหลั่งสูงสุดในช่วงประมาณ 22.00-23.00 น. จึงถือว่าเป็นช่วงที่ร่างกายควรจะเริ่มนอนหลับได้ ในขณะเดียวกัน จะมีผล ทำให้ เพิ่มการหลั่ง Growth hormone ให้มากขึ้นด้วยในช่วงนี้
ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมน Melatonin ประมาณ 30-100 ไมโครกรัมต่อวัน โดยจะหลั่งสูงสุดในช่วงวัยเด็กและก่อนวัยรุ่น (Puberty) และจะเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยพบว่าเมื่ออายุ 80 ปี ระดับ ฮอร์โมน Melatonin จะลดลงถึง 80% จึงพบว่าในผู้สูงอายุจึงมักจะมีปัญหาการนอนไม่หลับ

ประโยชน์ของฮอร์โมนเมลาโทนิน

  1. ชะลอความชราก่อนวัย เพราะพบว่ามีสมบัติเป็น Anti-oxidants (สารต้านอนุมูลอิสระ)
  2. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรงมากขึ้น ทำให้อาการโรคภูมิแพ้เรื้อรังดีขึ้นได้
  3. บรรเทาอาการปวดศีรษะเรื้อรัง เช่น จากไมเกรน
  4. ช่วยลดระดับความดันโลหิต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
  5. ขับล้างสารพิษในร่างกาย
  6. เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศแก่ร่างกาย
  7. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  8. แก้ปัญหาการนอนไม่หลับ ในช่วงระหว่างเดินทางข้ามทวีบ (Time zone) ที่เรียกว่า Jet Lag(Circadain rhythm disorder)
  9. ช่วยควบคุมความผิดปกติของเนื้อร้ายในร่างกาย ต่อต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
  10. ฮอร์โมนเมลาโทนิน ช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone,ฮอร์โมนเพศหญิง Estradiole และโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้นได้
  11. ฮอร์โมนเมลาโทนิน ไม่ใช่ยานอนหลับ แต่ช่วยทำให้คนไข้ที่ต้องใช้ยานอนหลับเป็นประจำ ลดการใช้ยานอนหลับลง ทั้งในแง่ขนาดและความถี่ในการใช้ยานอนหลับ

อาการและอาการแสดงของภาวะพร่อง ฮอร์โมน Melatonin (Melatonin Deficiency)

  1. คุณภาพการนอนหลับลดลง หลับยาก ตื่นง่าย และจะหลับลงอีกครั้งได้ยาก หลับไม่สนิท
  2. อารมณ์ปรวนแปร หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล อาจจะมีปัญหาซึมเศร้าได้
  3. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น กระปรี้กระเปร่า รู้สึกนอนไม่พอ อยากจะงีบ และง่วงในช่วงบ่ายๆ
  4. หน้าแก่ก่อนวัย บางคนอาจจะมีผมหงอกก่อนวัย
  5. ในเด็กที่ขาด ฮอร์โมน Melatonin จะพบว่ามีการก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าปกติ (Precocious puberty in children)
  6. ภาวะพร่อง ฮอร์โมน Melatonin ทำให้มีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง , Jet Lag, โรคหัวใจขาดเลือด ,อ้วนได้ง่าย ,ข้อเข่าเสื่อม ,มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก,โรคอัลไซเมอร์

การวัดระดับ ฮอร์โมน Melatonin ว่าพร่องจริงหรือไม่ การตรวจจากเลือด ทำได้ยาก เพราะสลายไปเร็ว แต่ก็ยังพอจะมีการตรวจสารใกล้เคียงได้ โดยตรวจวัดจากระดับ 6-sulfatoxy-melatonin ในปัสสาวะ ( เก็บตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมง –24 hours of urine) และตรวจวัดระดับ ฮอร์โมน Melatonin ในน้ำลาย ดังนั้นปัจจุบัน จึงอาศัยอาการ อาการแสดง และอายุ เป็นหลักพื้นฐานในการวินิจฉัยภาวะ พร่องเมลาโทนิน

แนวทางการรักษาภาวะ พร่อง ฮอร์โมน Melatonin (Melatonin Deficiency)

  1. อาหาร พบว่ามีผลไม้บางอย่าง สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเมลาโทนิน ได้ เช่น กล้วย ข้าวโอ๊ต มะเขือเทศ ผลเชอรี่ เป็นต้น เลี่ยงอาหารที่มีผลรบกวนต่อการนอนหลับ เช่น อัลกอฮอล์ กาแฟ นม( ซึ่งอาจจะรบกวนระบบการย่อยอาหาร) ของหวาน
  2. สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการนอนหลับ ควรนอนในห้องมีมืดสนิท ไม่มีเสียงหรืออะไรรบกวน เป็นไปได้ แนะนำให้ใช้ที่ปิดตา ก่อนนอน และอากาศในห้องนอน ควรจะเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และพบว่าในช่วงที่ตื่น หรือตอนกลางวัน ควรจะอยู่ที่ที่แสงจ้า เพื่อให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินให้น้อยลง เพื่อที่จะให้ร่างกายกระตุ้นให้เมลาโทนิน หลั่งมากในตอนกลางคืนแทน (Light therapy)
  3. การให้ ฮอร์โมน Melatonin ทดแทน ปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศทางยุโรป และอเมริกา ประชาชนจะมีปัญหาเรื่องการนอนหลับได้ยากมาก และพบว่าส่วนใหญ่จะมีภาวะพร่องเมลาโทนิน ทำให้บางประเทศจัดให้ ฮอร์โมน Melatonin เป็นกลุ่มอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับ เพราะ ฮอร์โมน Melatonin ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้ารับประทานมากเกินไป อาจจะทำให้ตื่นได้ยาก และมีอาการง่วงนอนในตอนกลางวัน ขนาดที่รับประทาน ปกติจะประมาณวันละ 1-3 มก.ต่อวัน
Posted on

ชายวัยทอง (Andropause ): ภาวะพร่องฮอร์โมน ที่ทำให้ความเป็นชายลดลง แก้ไขอย่างไร?

ชายวัยทอง (Andropauase) คืออะไร
 เดิมเรามีความเชื่อกันว่า ผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตลอดชีวิต ส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จึงเรียกว่าวัยหมดประจำเดือน
แต่ความรู้ใหม่ พบว่าไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ต่างก็ต้องก้าวเข้าสู่วัยทองกันทั้งนั้น โดยมีการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ ประเทศพบว่า ชายทุกคน เมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไป การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงปีละประมาณร้อยละ 1 และเมื่ออายุ 65 ปีจะมีระดับฮอร์โมนนี้ลดลงกว่าช่วงวัยรุ่นถึงร้อยละ 25 เมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วน ทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

อาการ ! ที่บ่งบอกถึง ” ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย “
– เครียด หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย บางครั้งอาจจะรู้สึกซึมเศร้า อยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบพบปะผู้คนหรือเข้าสังคม
– เหงื่อออกมาก เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับก็หลับไม่สนิท
– โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) กล้ามเนื้อเริ่มมีขนาดเล็กลง ไม่กระชับ มีการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ โดยจะสังเกตได้ชัดที่กล้ามเนื้อต้นแขน
– สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ
– การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง
– กำลังวังชา เริ่มถดถอย มีอาการเหนื่อยง่าย เมื่อต้องออกแรงหรือทำงานหนัก
– ผิวหนัง เริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยมากขึ้น ริมฝีปากบาง และผมบางมากขึ้น
– มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก

Andropauase

ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ

– เรื่องของกรรมพันธุ์
– การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย
– มีความเครียดตลอดเวลา
– ความอ้วน
– การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน)
– การดื่มเหล้า สูบบุหรี่
– มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ)
– การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์)
– การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น
– สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

การวินิจฉัย
เนื่องจากมีความแตกต่างของการขาดฮอร์โมนเพศในชายและหญิงวัยทอง คือ ในผู้ชายวัยทองฮอร์โมนเพศจะค่อยๆ ลดลง และไม่ได้ขึ้นกับอายุ อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันผู้ชายแต่ละคน บางคนอาจจะเริ่มมีปัญหาตั้งแต่อายุน้อยๆ (น้อยกว่า 40 ปี ) แต่ผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีบางคนก็ยังมีฮอร์โมนเพศและสุขภาพยังดีอยู่ก็ได้ จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์การวินิจฉัยดังนี้
1. อาศัยอาการ ด้วยการประเมินอาการ 3 ด้าน คือ ด้านร่างกายและระบบไหลเวียน ด้านจิตใจ และด้านเพศ โดยอาศัยแบบสอบถาม ซึ่งช่วยในการคัดกรอง และใช้ในการติดตามผล
2. จากการตรวจเลือด เพื่อหา
2.1 ฮอร์โมนเทสทอสเตอโรน แบบรวม(Total testosterone )
2.2 Sex Hormone Binding Globulin(SHBG) ในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. และควรงดอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชม. (อาจจะดื่มน้ำได้บ้างตอนเช้า) จึงจะได้ค่าที่ถูกต้องและใกล้เคียงความจริง
แล้วนำผลเลือดทั้งสองมาคำนวณให้ได้ค่าฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนอิสระ (Free Testosterone) ซึ่งมีความแม่นยำกว่าการตรวจ เทสทอสเตอโรนรวม แล้วนำผลมาพิจารณาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
แต่จริงๆ แล้วชายวัยทอง ไม่มีตัวเลขระดับฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนที่แน่นอนว่าเท่าไหร่ จึงจะเรียกว่าภาวะพร่องฮอร์โมน ดังนั้นแนวความคิดใหม่ของแพทย์ ด้าน Anti-Aging จึงมักจะแนะนำให้ผู้ชายทุกคน ควรตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศชายในช่วงที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ และตรวจติดตามทุก 10 ปี ว่ามีแนวโน้มการลดลงของฮอร์โมนเพศชายหรือไม่ หรือเมื่อเริ่มมีอาการทางกาย อารมณ์ และเรื่องทางเพศ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นอกจากนี้ แพทย์ ด้าน Anti-Aging อาจจะมีการตรวจระดับฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น FSH,LH,Estradiol,DHEA,Growth hormone(IGF-1) ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

consultation
blood test

จะดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเข้าสู่อาการชายวัยทอง
ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม ให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง นั่นคือ
1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว ชายวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก ชายวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น
3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ตรวจหามะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density

5 การให้ฮอร์โมนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy) :
 การใช้ฮอร็โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวันทองนั้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคที่พอจะป้องกันได้ และประวิงเวลาของโรคที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อดีของการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน คือ การให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวัยทองให้เข้าสู่ระดับปกติ โดยไม่สูงเกินไป จะมีประโยชน์เพื่อลดปัญหาที่เกิดในชายวัยทองดังได้กล่าวมาข้างต้น โดยปัจจุบันมีการให้การให้ฮอร์โมนทดแทนชายวัยทอง ในหลายรูปแบบ เช่น
แบบรับประทาน : พบว่าเดิมมีการใช้การให้ฮอร์โมนทดแทนแบบรับประทาน แต่พบว่ามีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ ถ้าทานติดต่อกันนานๆ เพราะตัวยารับประทานอาจจะผ่านตับได้
กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบทานติดต่อกันนานๆ  แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรจะซื้อยามารับประทานเอง
แบบฉีด : เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ต่ำมากๆ หรือผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) โดยจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายได้เร็วกว่าแบบอื่นๆ และสะดวกในการใช้ เพราะฉีด 1-3 เดือนต่อครั้ง แต่บางครั้งก็พบว่า ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงได้เร็วเช่นกัน และพบว่ามีรายงานว่า การเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างรวดเร็ว จะทำให้ฮอร์โมนเพศชายบางส่วน เปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites จึงมักจะมีการเสริมการให้สังกะสี ควบคู่ไปด้วย เพื่อรบกวนการทำงานของเอนไซม์ Aromatase กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบฉีด แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก(PSA) เป็นระยะๆ หรือตามแพทย์สั่งอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับแบบรับประทาน
แบบทา (Transdermal Testosterone): จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงมาก โดยระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites ) และไม่ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งตับหรือต่อมลูกหมากมากขึ้น
แบบเหน็บ หรือฝังใต้ผิวหนัง : จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงดังสองแบบแรก เช่นกัน และได้ผลใกล้เคียงกับแบบทา สะดวกที่ไม่ต้องทาทุกวัน แต่ไม่สะดวกสำหรับบางคน เพราะมักจะฝังไว้ที่บั้นท้าย เป็นที่นิยมในแถบยุโรป แต่ในเอเซีย ยังนิยมแบบทาและรับประทานมากกว่า

testosterone injection
testosterone gel

ข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน

  1. เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือว่าสงสัยจะเป็น
  2. เป็นมะเร็งเต้านม หรือสงสัยว่าจะเป็น
  3. ต่อมลูกหมากโตทีมีอาการอุดตันการปัสสาวะที่รุนแรง
  4. มีความเข้มข้นของเลือดมากเกินไป
  5. มีการหยุดหายใจขณะหลับ
  6. หัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง
  7. ต่อมลูกหมากโตอย่างรุนแรง จนมีอาการของการอุดตันทางเดินปัสสาวะ
  8. แพ้ฮอร์โมนเพศชาย

การติดตามชายวัยทองที่ได้รับฮอร์โมนทดแทน

 ควรมีการตรวจระดับฮอร์โมนเริ่มต้นไว้ก่อน ที่จะให้ฮอร์โมนทดแทน และการตรวจซ้ำเมื่อครบทุก 3 เดือน หรือทุกปี แล้วแต่แพทย์จะนัดติดตามผล นอกจากการตรวจฮอร์โมนเพศเพื่อการวินิจฉัยภาวะพร่องฮอร์โมน แล้วควรตรวจ

  1. การตรวจเพื่อคัดกรองหาโรคในผู้สูงอายุทั่วไป เช่น ดัชนีมวลกาย สัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ความดันโลหิตสูง ความเข้มข้นของเลือด เบาหวาน ไขมันในเลือด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ ถ้าหากไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายก็อาจจะตรวจความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มเติม
  2. ประเมินพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของชุมชน
  3. ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรได้รับการตรวจ ความเข้มข้นของเลือด และ PSA (เพื่อคัดกรองหามะเร็งของต่อมลูกหมาก) ทุก 3 เดือน
Posted on

ฉีดโบ ปรับรูปหน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) หน้าบาน ให้ดูวีเชฟ (V-Shaped) ฉีดไป ทำไมไม่ได้ผล อยู่ไม่นาน ยิ้มไม่ได้

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) เกิดจากอะไร

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) คือ โครงหน้าดั้งเดิมของชนชาวตะวันออก โดยเฉพาะในแถบประเทศเกาหลี จีน หรือคนไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเป็นโครงหน้า ที่กว้างคางเหลี่ยม สาเหตุของคางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อกราม( masseter muscle )
– สาเหตุของ หน้าเหลี่ยม หรือ คางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อ Masseter ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร ทำงานหนักและเป็นเวลานาน
หน้าเหลี่ยมกับหน้าบาน แตกต่างกันอย่างไร: ต่างกันที่ หน้าเหลี่ยมสาเหตุ มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อหรือกระดูกโครงหน้า แต่ถ้าหน้าบาน สาเหตุอาจจะมีสาเหตุเกิดจากไขมันที่แก้มร่วมด้วย

คำถามที่พบบ่อยๆ กับโบทอกซ์ปรับรูปหน้า

ฉีดอย่างไร ฉีดเข้าตรงตำแหน่งของกล้ามเนื้อ Masseter ประมาณข้างละ 3-6 จุดๆ เทคนิคของแพทย์แต่ละท่าน และปริมาณยุนิตที่ใช้ต่อข้าง หรือแต่ละจุด ขึ้นอยู่กับขนาดของกล้ามเนื้อ
ลดลงได้แค่ไหน ได้มีการทำ CT Scan ขนาดกล้ามเนื้อหลังฉีด พบว่าหลังติดตามผล 1 เดือน จะพบว่าขนาดของคางจะเรียวเล็กลงได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 23%-35% แต่ทั้งนี้ก็แตกต่างกันได้ในแต่ละคน
นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล ส่วนใหญ่จะพบว่ากราม เริ่มลดลงชัดเจน หลังฉีดอาทิตย์ที่ 2-4 และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบทอกซ์ที่ใช้ ถ้าโบทอกซ์ของอเมริกา Allergan จะอยุ่ได้นานสุด 6-8 เดือน ถ้าของเกาหลี อาจจะอยู่ได้ 2-4 เดือน นอกจานี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณยูนิตที่ฉีด และพฤติกรรมการเคี้ยวอาหาร ถ้าระวังระวัง ไม่เคี้ยวของแข็ง ของเหนียว หรือหมากฝรั่ง ไม่นอนกัดฟัน บางคนอาจจะอยู่ได้นานกว่า 6 เดือน ถึงเป็นปี ก็มีพบได้

บทอกซ์แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันหรือไม่ :แม้จะเป็นตัวยาตัวเดียวกัน แต่ผลที่ได้แตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะกระบวนการผลิตให้ตัวยา ออกฤทธิ์ได้คงตัว อยู่ได้นาน เป็นปัจจัยหลักหรือเทคนิคเฉพาะของแต่ละบริษัท ซึ่งก็คือต้นทุนหลักของแต่ละบริษัท ราคาจึงแตกต่างกันมาก ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท เปรีบบเสมือนรถยนต์แต่ละยี่ห้อ มีความต่างกันแม้จะเป็นรถยนต์เหมือนกัน
ฉีดแล้วไม่ค่อยได้ผล หรือไม่พอใจเกิดจากอะไร หลักๆ เกิดจากการดื้อโบทอกซ์ รองลงมายี่ห้อ และปริมาณยูนิตที่ใช้ และที่สำคัีญก็คือเทคนิคที่แพทย์แต่ละท่านฉีด ประสบการณ์และการดีไซน์ใบหน้า เพราะบางครั้งไม่เพียงแต่จะปรับรูปหน้าให้เล็กแล้ว แพทย์บางท่านยังปรับรูปหน้าที่ไม่เท่ากันให้ดูดีขึ้น ปรับความผิดปกติของโครงหน้าที่มีปัญหาได้ตรงจุด
ทำไมบางคนฉีดโบปรับรูปหน้า แล้วยิ้มไม่ได้ : เกิดจากตัวยาไปโดนกล้ามเนื้อ Risorius ที่อยู่ใกล้หรือพาดอยู่บนกล้ามเนื้อกราม Massetter กล้ามเนื้อมัดนี้ทำหน้านี้ทำให้ฉีดยิ้มได้กว้าง ถ้าเกิดปัญหานี้ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วปากเบี้ยว หรือยิ้มแล้วไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าเกิดแล้วแก้ไขยาก ต้องรอให้โบทอกซ์หมดฤทธิ์ไปเอง อาจจะใช้เวลา 1-3 เดือน กรณ๊ต้องการสลายให้เร็วขึ้น การทำ RF ช่วยให้โบทอกว์สลายไปเร็วขึ้นได้

Posted on

หญิงวัยทอง (Menopause ) : ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศ ที่ผู้หญิงไม่อยากให้เกิด

Sad mature woman on bed with her husband in the background

หญิงวัยทอง (Menopauase) คืออะไร 
หญิงวัยทอง เป็นช่วงต่อระหว่างวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยสูงอายุ โดยในช่วงอายุ 40 หรือ 45 ปีขึ้นไป ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะมีการผลิตฮอร์โมนเพศลดลง โดยปกติ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง และมีช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มมาในเวลาที่ไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้างตามกระแสขึ้นลงของฮอร์โมนเพศ เราเรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Premenopause)
จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเข้าสู่วัยนี้แล้ว
สตรีเมื่ออายุมากว่า 40 ปีขึ้นไป ที่มีอาการผิดปกติต่างๆ โดยเฉพาะ 3 M คือ
1. Memory: ความจำเริ่มลดลง
2. Mood: อารมณ์ที่แปรปรวน
3. Muscles: กล้ามเนื้อไม่กระชับ
ควรจะสงสัยว่า เริ่มเข้าสู่วัยใกล้หมดประจำเดือนแล้ว หรือสตรีที่แม้ไม่มีอาการอะไรเลย แต่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันนาน 1 ปี ก็ถือว่า หมดประจำเดือนแน่นอน ในกรณีที่ต้องการทราบผลแน่ชัด
ตรวจสอบให้ชัดเจนได้อย่างไร
สามารถทราบได้โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน โปรเจสเทอโรน ที่ผลิตที่รังไข่ และระดับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ซึ่งถ้าต่ำกว่าค่าปกติ ก็บ่งบอกว่าเริ่มเข้าสู่วัยทองแล้ว (Peri-menopausal syndrome)

อาการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยทอง
ท่านสามารถจะสังเกต ตนเองได้ว่ากำลังจะหมดประจำเดือนหรือยัง โดยเริ่มต้นจากอายุที่เข้าใกล้เลข 40 และจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้

  1. ประจำเดือนมาไม่แน่นอน บางทีมาถี่ๆแล้วทิ้งช่วงหายไปหลายเดือนแล้วกลับมามีอีก มีเลือดประจำเดือนออกแบบมากกว่าปกติหรือมาทุก 2-3 สัปดาห์
  2. อาการร้อนวูบวาบ (Hot Flash) ประมาณ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะเคยมีอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นบางครั้งมีอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติทั้งที่อากาศเย็น หรือมีเหงื่อออกตอนกลางคืนหรือขณะหลับอยู่ อาการเหล่านี้มักเกิดบ่อยในช่วง 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยความรุนแรงจะไม่เท่ากันในผู้หญิงแต่ละคน
  3. มีอาการนอนไม่หลับหรือหลับยาก บางคนตื่นบ่อยๆ กลางดึกหรือตื่นเช้ากว่าปกติ
  4. มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย บางคนมีอาการเศร้าซึม
  5. ปัญหาของช่องคลอด ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่นและความหล่อลื่นลดลง ทำให้เกิดอาการเจ็บเวลาร่วมเพศ หรือมีอาการแสบ คัน
  6. ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะ ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และมีความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง ผู้หญิงวัยทองมักมีอาการปัสสาวะแล้วแสบ กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้หรือไม่นาน ปัสสาวะเล็ดหรือราดเวลาไอจามหรือยกของหนัก
  7. ความเต่งตึงและชุ่มชื้นของผิวหนังลดลงเพราะร่างกายสร้างสารคอลลาเจนลดลง ผิวหนังแห้งง่าย มักมีอาการคัน ตามร่างกาย ริ้วรอยเริ่มลึกและเห็นเด่นชัดขึ้น ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย มวลกล้ามเนื้อลดลง ไม่กระชับ
  8. การเจริญพันธุ์ลดลง เนื่องจากเวลาตกไข่ไม่แน่นอน แต่สามารถตั้งครรภ์ได้เสมอจนกว่าประจำเดือนจะหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

จะดูแลตนเองอย่างไรในวัยหมดประจำเดือน
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า วัยหมดประจำเดือนไม่ใช่วัยเริ่มต้นสู่วัยชรา สตรีวัยนี้ยังคงทำงานได้อย่างกระฉับ กระเฉง ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมดังที่เรียกขานวัยนี้ว่าวัยทอง ดังนั้น สตรีวัยทองควรจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากสื่อต่างๆ สิ่งพิมพ์ พูดคุยกับเพื่อน หรือปรึกษาแพทย์ทางนรีเวช และควรจะมีการปฏิบัติตัวดังนี้

  1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว สตรีวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก สตรีวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้ 
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น
  3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
  4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography) และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density)
  5. ฮอร์โมนทดแทน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาว่าควรรับฮอร์โมนทดแทนหรือไม่

การให้ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยทอง (Hormonal replacent therapy=HRT)
จะมีข้อบ่งชี้ในการให้ เมื่อได้ตรวจระดับฮอร์โมนเพศ แล้วพบว่ามีการพร่องของฮอร์โมน (Hormone Deficiency) เพื่อป้องกันและรักษาอาการดังต่อไปนี้
– ใช้เพื่อรักษาอาการร้อนวูบวาบ (hot flush) ตามร่างกาย ใบหน้า ลำคอ หน้าอก ร่วมกับการมีเหงื่อออกมาก
– ใช้เพื่อรักษาอาการทางระบบปัสสาวะ และระบบสืบพันธ์ เพราะสตรีวัยทอง มักจะมีปัญหาปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆ มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีปัญหาเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรส
– ใช้เพื่อรักษาภาวะกระดูกพรุน
– ใช้เพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันหัวใจ ความจำเสื่อม บำรุงผิวพรรณ

การให้ฮอร์โมนทดแทนมีผลเสียหรือไม่
สมัยก่อน คนเรากลัวเรื่องการให้ฮอร์โมนทดแทนแล้วมีผลต่อมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก ซึ่งก็มีส่วนที่เกิดขึ้นได้ เพราะในสมัยก่อน การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน จะเป็นแบบรับประทาน(Premarin) ซึ่งมีผลข้างเคียงในระยะยาวได้
– แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาการให้ฮอร์โมนทดแทนในรูปแบบของสารสกัดจากธรรมชาติ และได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบของการครีมทาเฉพาะที่แทน (Transdermal forms) ซึ่งมีความปลอดภัยขึ้นมาก และแทบจะไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว แต่ยังไงก็ต้องปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ (Anti-aging Medicine) เพื่อปรับระดับของการให้ฮอร์โมนทดแทนที่เหมาะสม
– ขณะเดียวกันได้มีผลการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ สถาบัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตของสตรีในอเมริกา พบว่า ประมาณ 48% เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเพียง 1.5% เมื่อสตรีวัยทองได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าอัตราการตายจากโรคหัวใจ ลดลงถึง 40% แต่มีอัตราการเพิ่มของมะเร็งเต้านมเพียง 0.15% เท่านั้น จึงมีข้อสรุปว่า การให้ฮอร์โทนทดแทน (เอสโตรเจน) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน จะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย
– นอกจากนี้ยังมีวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดดี (good estrogen) เช่น กลุ่ม flax(ป่าน) seed extracts,Soy,กะหล่ำปลี ,วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ,folic acid,Omega-3 fatty acid (Fish oils ) กลุ่มสมุนไพร เช่น ใบแปะก๊วย ใบขี้เหล็ก เป็นต้น

Posted on

Growth Hormone : ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความสูง และช่วยชะลอวัย ให้คงความเป็นหนุ่มสาวไว้ได้

growth hormone (GH) ทำหน้าที่อะไร 
-โกรทฮอร์โมน growth hormone (GH) เป็นฮอร์โมนชนิดโปรตีน หรือที่เรียกว่า Peptide Hormone เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland ) เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งการ Metabolism ของร่างกาย มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Somatotropin
growth hormone (GH) สำคัญอย่างไร
growth hormone (GH) ในเด็ก มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เด็กที่ขาดหรือพร่องฮอร์โมนนี้ มีผลต่อความสูงของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะเตี้ยแคระ (dwarfs) และเด็กที่มีฮอร์โมนนี้สุงกว่าปกติ ก็จะเกิดภาวะตัวสูงใหญ่ผิดปกติ(Giants)
growth hormone (GH) ในผู้ใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับขบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย การเผาผลาญพลังงาน เกี่ยวข้องกับระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง ตลอดจนการทำงานของปอด หัวใจ ตับ สมอง และอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง
growth hormone เป็นฮอร์โมนสำหรับความเยาว์วัย
เพราะจะหลั่งสูงสุดเมื่ออายุ 20 ปี และหลังจากนั้น ระดับฮอรโมนนี้จะเริ่มทำงานลดลง โดยจะพบว่าทุกๆ 10 ปี growth hormone (GH) จะทำงานลดลงประมาณ 14% โดยพบว่าเมื่ออายุประมาณ 65 ปี growth hormone (GH) จะทำงานลดลงประมาณ 50% ดังนั้นถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ ขบวนการชรา จะเริ่มต้นที่อายุ 20 ปี และค่อยๆ มากขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งก็คือเมื่อย่างเข้าวัยทองนั่นเอง

ภาวะพร่องโกรทฮอร์โมน(GH deficiency) มักจะเริ่มมีอาการให้เห็นทีละเล็กละน้อย ตั้งแต่อายุ 25-30 ปีขึ้นไป แล้วแต่คน แต่จะเริ่มสังเกตชัดขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี และอาการเหล่านี้จะเด่นชัดขึ้นถ้ามีการนอนหลับพักผ่อนไม่เต็มที่ อาการและอาการแสดงที่พบได้มีดังนี้
– รู้สึกอ่อนเพลียง่ายตลอดทั้งวัน คุณภาพชีวิตแย่ลง เรี่ยวแรง(Energy) ถดถอย
– ไม่สามารถทนนอนดึกได้ เช่น ถ้าต้องนอนหลังเที่ยงคืน จะทำให้เพลียและไม่มีแรง กว่าจะฟื้นตัวก็นานหลายวัน ต้องการจะนอนมากกว่า 8-9 ชม.ต่อวัน จึงจะมีเรี่ยวแรงทำงานได้
– เส้นผมเริ่มบางลง ทั่วหนังศีรษะ
– อาการทางผิวหนัง –เปลือกตาเริ่มตก มีถุงไขมันใต้ตา แก้มเริ่มหย่อนคล้อย จมูกและริมฝีปาก บางลง คอเริ่มหย่อนคล้อย มีร่องรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้า ลำคอ
– ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น อ้วนได้ง่าย เริ่มมีพุง มีไขมันส่วนเกินสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
– ความผิดปกติทางอารมณ์- หงุดหงิดง่าย ทนความเครียดไม่ค่อยได้ แม้จะเล็กน้อย อยากจะปลีกตัวจากสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง
– กล้ามเนื้อขาดความแข็งแรง ไม่กระชับ มวลกล้ามเนื้อ (Muscle mass) ลดลง ต้นแขนห้อยเหมือนหนังไก่(Chicken arms)
– สมรรถภาพทางเพศลดลง ผู้ชายอาจจะมีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศไม่เต็มที่ มีปัญหาหลั่งไว ส่วนผู้หญิงก็อาจจะมีความต้องการทางเพศ(Sexual Desire) ลดล

การตรวจวัดระดับ growth hormone
– ในร่วงกายว่าเริ่มลดลงหรือพร่องไปมากน้อยเท่าไหร่ ทางการแพทย์ทำได้ยาก เพราะ growth hormone จะอยู่ในกระแสเลือดเพียงไม่กี่นาที แต่จะเปลี่ยนสภาพเป็น Growth factor ที่ตับแทน
– ดังนั้นการวัดระดับ growth hormone จึงจะใช้การวัดระดับของ Growth factor แทน ในรูปของ Insulin-like growth factor(IGF-1) ซึ่งจะตรวจการในเลือด และใช้เป็นตัวบ่งชี้แทน ระดับ growth hormone ได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่การตรวจที่จะได้ผลดีและถูกต้อง ต้องตรวจช่วงเวลา 6.00-8.00 น. และควรจะงดอาหารก่อนการตรวจเลือดอย่างน้อย 8 ชม. อาจจะพอดื่มน้ำก่อนตรวจได้บ้าง ถ้ากระหายน้ำในตอนเช้า
– การตรวจระดับ growth hormone นอกจากจะตรวจจากระดับ Insulin-like growth factor(IGF-1) แล้วแพทย์มักจะตรวจหาระดับของ IGF-BP-3 (Binding protein) ร่วมด้วย เพราะจะมีระดับผกผันกัน เพื่อให้เปรียบเทียบ ระดับ Insulin-like growth factor(IGF-1) ที่ทำงานอย่างแท้จริง คือถ้าพบว่า ระดับ IGF-BP-3 สูง ก็บ่งบอกว่า ระดับ growth hormone บางส่วนได้จับกับโปรตีน ทำให้ GH จริงๆ ออกฤทธิ์ได้น้อยลง

แนวทางการรักษาภาวะ พร่องโกรทฮอร์โมน (GH deficiency)
ปัจจุบัน ในวงการแพทย์ Anti-Aging พบว่า การเพิ่มระดับ growth hormone สามารถทำให้เราชะลอวัย และฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาใหม่ได้ ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยเดิมๆ (Life Style Change )
1.1 Diet: ควรหันกลับมาบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ และมีคุณค่าอย่าง จริงๆ จังๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีนชนิดดี (good protein) เช่น ปลา ผลไม้ ผัก เนื้อแดง สัตว์ปีก และพยายามเลี่ยง เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ กาแฟ ของหวานทั้งหลาย ผลิตภัณฑ์จากนม เนย งดสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้ระดับ GH ลดลงได้ 
1.2 Exercise : ควรสร้างนิสัยการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 30-45 นาที การออกกำลังที่เหมาะสำหรับการเพิ่มระดับ GH คือการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหม เช่นการวิ่งเหยาะๆ การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นการยกน้ำหนัก เป็นต้น
1.3 การนอนหลับให้เพียงพอ : ควรจะนอนหลับให้สนิทอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และควรนอนไม่เกิน 4-5 ทุ่ม เพราะจะเป็นช่วงที่ฮฮร์โมน Melatonin ซึ่งเกี่ยวกับการทำให้ง่วงและนอนหลับ(จะอธิบายออร์โมนนี้อย่างละเอียดภายหลัง) หลั่งสูงสุด ซึ่งผลของ ฮฮร์โมน Melatonin นี้จะช่วยเพิ่มระดับ GH ได้เช่นกัน
2. การปรับเปลี่ยนด้านจิตใจ : พยายามเป็นคนมองโลกในแง่ดี เลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด สร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การรำไท้เก้ก หรือการสูดหายใจลึกๆ ยาวๆ อย่างน้อยซัก 10 นาที วันละ 3 ครั้งก็ได้ เพราะความเครียด ทำให้ฮอร์โมนทุกตัวในร่างกายลดลงได้

3. อาหารเสริมกลุ่ม Amino acid : พบว่าอาหารเสริมบางตัว สามารถที่จะเพิ่มระดับ GH ได้ แต่ควรจะทานช่วงที่ท้องว่าง หรือช่วงเช้า และ ก่อนนอน เพราะจะเพิ่มการออกฤทธิ์ได้ดีกว่า

3.1 Arginine : ขนาด 7-12 กรัมต่อวัน
3.2 Ornithine: ขนาด .5-8 กรัมต่อวัน
3.3 Lysine ขนาด 1-3 กรัมต่อวัน

พบว่า อาหารเสริมในข้อ 3.1-3.3 มักจะเพิ่มระดับ GH ได้คนหนุ่มสาว อายุระหว่าง 20-35 ปี และพบว่าหลายยี่ห้อ ได้นำ กรดอะมิโนทั้ง 3 ตัว จะผสมกันเพื่อให้ทานง่าย บางคนเรียกว่า Tri-amino Acids

3.4 Glycine ขนาด 5-7 กรัมต่อวัน
3.5 L-tryptophan ขนาด 5-10 กรัมต่อวัน
3.6 L-glutamine ขนาด 2 กรัมต่อวัน จัดเป็นกรดอะมิโนที่สามารถเพิ่มระดับ GH ได้ทุกกลุ่มอายุ แม้แต่คนสูงอายุ ( 32-64 ปี) ปัจจุบันถือว่าเป็นอาหารเสริมกลุ่มอะมิโนที่ได้รับความนิยมสูงสุด

4. การให้ฮอร์โมนอื่นทดแทน (Hormonal Replacement Therapy-HRT) : พบว่าเพื่อคนสูงอายุขึ้น มีฮอร์โมนหลายตัวที่ลดระดับหนึ่ง ดังมีการรายงานทางการแพทย์ว่า เพื่อเราทำการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนตัวอื่นๆ เช่น Testosterone,Melatonin,Estrogen,Thyroid hormone ในคนไข้ที่ขาดออร์โมนเหล่านี้ เมื่อเพิ่มระดับฮอร์โมนเหล่านี้ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ก็มีผลส่งให้ระดับฮอร์โมน GH เพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
5. การให้โกรทฮอร์โมนทดแทน (Growth hormone replacement ): จัดเป็นการเพิ่มระดับ GH ที่ได้ผลที่สุด และเร็วสุด แต่แพทย์มักจะเลือกให้การรักษาเป็นทางเลือกสุดท้าย ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของ GH หลากหลายยี่ห้อ การเลือกพิจารณารูปแบบของการให้ และบริษัทที่น่าเชื่อถือ ถือว่ามีผลต่อการรักษา ที่ใช้กันทั่วๆ ไป ก็คือ
5.1 แบบหยอดหรือสเปรย์ใต้ลิ้น ได้ผลในระดับหนึ่ง เป็นที่นิยม เพราะราคาไม่แพงมาก (ประมาณ 5,500 บาท)
5.2 แบบฉีด GH แต่ถ้าต้องการเพิ่มระดับ GH ที่ได้ผลจริงๆ ต้องใช้การฉีด GH เท่านั้น ซึงในเมืองไทย ยังไม่อนุญาตให้ทำได้ และปัจจุบันก็ยังมีราคาแพงมาก ( ราคาประมาณ 15,000-25,000 บาทต่อ เดือน
ผลข้างเคียงของการฉีด GH พบได้ แม้จะไม่รุนแรงนัก เช่น เกิดภาวะบวมที่ข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) การปวดข้อต่างๆ หรือความดันในสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่าเพื่อหยุดฉีดหรือลดขนาดการฉีดลง ก็สามารถทำให้ผลข้างเคียงเหล่านี้ลดลงได้
ข้อห้ามใช้ในการฉีด GH ได้แก่ คนไข้ท่มีปัญหามะเร็งระยะลุกลาม จอตาผิดปกติ(Proliferative retinopathy) หรือความดันในสมองสูง (Intracranial hypertension)

Posted on

โบท็อกซ์คืออะไร ค้นพบได้อย่างไร ออกฤทธิ์ยังไง เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี การดูแลก่อนและหลังฉีด ผลข้างเคียงที่พบได้

ความเป็นมาของโบทอกซ์

– โบทอกซ์ คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum toxin type A สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum Botulinum toxin ถูกค้นพบครั้งแรก ในยุคสมัยของสงครามนโปเลียน ตั้งแต่ ค.ศ. 1795- 1813 เนื่องจากการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไขมัน ไส้กรอก และอาการป่วยเป็นอัมพาต โดย Justinus Kerner นักสาธารณสุขอายุ 29 ปี ผลจากการสังเกตครั้งนั้นนับเป็นหลักฐานสำคัญทางด้านระบาดวิทยาของโรค Botulism ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ botulus แปลว่าไส้กรอก
– ปี 1960 ก็มีการใช้ botulinum toxin กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในการรักษาอาการตาเหล่ (strabismus)และตาปิดเกร็ง (การกะพริบตาที่ไม่สามารถควบคุมได้: blepharospasm) ในปี 1989 บริษัทผู้ผลิต botulinum toxin: Allergan, Inc. (ภายใต้ชื่อ Botox) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S. FDA) เพื่อผลิต botulinum toxin สำหรับรักษาอาการตาเหล่ ตาปิดเกร็งและอาการเกร็งครึ่งใบหน้าสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 12 ปี
– ปี 1993 ได้มีการใช้ botulinum toxin ในการรักษาอาการหดเกร็งของหูรูดปลายล่างของหลอดอาหาร (achalasia: a spasm of the lower esophageal sphincter)
– ปี 1994 Bushara และ Park ก็พบว่า botulinum toxin มีความสามารถในการยับยั้งการหลั่งของเหงื่อได้

โบทอกซ์กับความงาม

– ปี ค.ศ. 1987 Dr. Jean Carruthers ได้พบว่าเมื่อใช้สาร Botulinum toxin type A ในการรักษาอาการตากระตุก ให้หายแล้ว ยังทำให้รอยย่นจากการขมวดคิ้วจางลง จึงได้ตีพิมพ์รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992  จากผลการตีพิมพ์ดังกล่าว ทำให้แพทย์ได้เริ่มต้นฉีดโบทอกซ์กับวงการความงาม มากขึ้นเรื่อยๆ และได้เริ่มนำเข้ามาเผยแพร่ไปทั่วโลก
-ปีค.ศ  1999-2000 ประเทศไทยเริ่มมีการนำ Botulinum toxin type A มาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก   ซึ่งผู้เขียนก็เป็น 1 ในทีมแพทย์ไม่กี่คน ที่ถือได้ว่าเป็นแพทย์ไทยกลุ่มแรก ที่ได้การฉีดสารโบทอกซ์ในเมืองไทย
ปัจจุบันนี้ โบทอกซ์ ได้พัฒนาให้ฉีดได้หลายบริเวณ หลายวัตถุประสงค์ มากขึ้น ลองอ่านบทความนี้
Advanced technique for Botox Injection

โบท็อกซ์ออกฤทธิ์อย่างไร ยี่ห้อไหนดีสุด

กลไกการออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์
– ฉีดชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยจะไปยับยั้ง สารคัดหลั่ง Acetylcholine (Ach) ซึ่งสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อ ให้ทำงาน เคลื่อนไหว หรือ หดตัว เมื่อฉีด Botox จะทำให้ยับยั้ง การรับรู้ของกล้ามเนื้อ จึงไม่เกิดการหดตัว เกร็ง
– ฉีดชั้นผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อเรียบ หรือคอลลาเจนหดตัว กระชับขึ้น
ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในประเทศไทย : ได้แก่ Botox Allergen (อเมริกา),Dysport(อังกฤษ) ,Xeomin (เยอรมัน),Botulax (เกาหลี), Nabuta (เกาหลี),Hugel (เกาหลี)
ถ้าจะถามว่าโบท็อกซ์ (Botox) ยี่ห้อไหนดีสุด : คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์ในการใช้ โดยไม่เกี่ยวกับงบประมาณ ดังนี้

  • ออกฤทธิ์นานสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ลดกราม กล้ามเนื้อมัดใหญ๋ ดีสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ยกกระชับ ดีสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ดือยาน้อยสุด : Xeomin ( เยอรมัน)
  • ปลอมมากสุด : ทุกยี่ห้อ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริการต้องเลือกใช้คลินิกที่มีคุณภาพ ใช้ของแท้ ไม่ใช้ของปลอม เนื่องจากมีคนหิ้วขายอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ หากไม่มีความชำนาญแล้วบังเอิญฉีดไม่ตรงจุด แล้วผลที่ได้ราคาที่จ่ายไปก็อาจจะไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้

การดูแล ก่อน-หลังฉีด และผลข้างเคียง

การปฏิบัติตน ก่อนและหลังฉีดสารโบท็อกซ์
– งดดื่มเหล้า เข้าซาวน่า 4 ชั่วโมง หรือรับประทานยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน หรือยากลุ่มNsaid ยาลดเกร็ดเลือดก่อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเขียวช้ำจากรอยเข็ม
– การประคบด้วยความเย็น ตรงตำแหน่งที่ฉีด ก่อนและหลังการฉีด เพื่อลดอาการปวดหรือรอยช้ำจ้ำเลือด
– ไม่ใช้ร่วมกับการกินยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Aminoglycoside เช่น Kanamycin Amikacin ฯลฯ
– ห้ามนวดคลึงบริเวณที่ฉีด 4 ชั่วโมง พราะจะมีผลต่อกล้ามเนื้อที่ฉีดทำให้โบทอกซ์กระจาย
– ควรเลี่ยงการทำทรีทเม้นต์หลังฉีด 2 อาทิตย์
– หลีกเลี่ยงการฉีดในสตรีมีครรภ์
ผลแทรกซ้อนที่อาจพบได้
– รอยช้ำจ้ำเลือด พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณหางตา
– บวมบริเวณที่ฉีด
– ปวดบริเวณที่ฉีด
– หนังตาตก และมักหายภายใน 2 สัปดาห์
– การแสดงสีหน้า อาจไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเวลาโกรธ หัวเราะ ยิ้ม หรือร้องไห้ มักหายได้เองใน 4 สัปดาห์
– อาจเกิดการดื้อยาได้ กรณ๊ที่ใช้โบทอกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย.
– ยังไม่พบการแพ้ยาที่รุนแรง และเป็นผลเสียต่ออวัยวะภายในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นดังกล่าว สามารถเลี่ยงหรือทำให้เกิดได้น้อยที่สุดได้ ถ้าแพทย์ที่ทำมีความชำนาญในการฉีดและมีประสบการณ์ในการทำมามากพอสมควร ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี ย่อมทำให้การรักษาได้ผล และไม่มีผลข้างเคียง

Posted on

Anti-Aging Medicine : เวชศาสตร์ชะลอวัย การแพทย์ที่ใช้ป้องกันและฟื้นฟูร่างกายให้ดูดีจากภายในสู่ภายนอกแบบองค์รวม

Anti-aging medicine คืออะไร

Anti-aging medicine คือ องค์ความรู้ทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการป้องกัน การดูแลสุขภาพ ทุกๆ ด้านทั้งด้านสรีระร่างกาย ผิวพรรณ โภชนาการ ระดับฮอร์โมน การออกกำลังกาย ภาวะทางจิตใจและอารมณ์ หรือปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำให้คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น อย่างสุขสมบูรณ์ (Vital life)
เนื่องจาก อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลก นับวันจะพบว่าอายุขัย เฉลี่ยจะมากขึ้น คือคนเรามีอายุยืนยาวกว่าในอดีต โดยปี 2564 จะเป็นปีที่ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ อายุขัยเฉลี่ยประมาณ 75 ปี
ทำให้เราต้องคิดว่า “ เมื่อตัวฉันต้องอยู่ในโลกใบนี้อีกนานมากขึ้น ฉันจะต้องทำอย่างไร ที่จะทำให้ชีวิตบั้นปลายของตนเอง อยู่อย่างมีความสุข ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งร่างกายและจิตใจ แบบองค์รวม (Holistics) โดยไม่ให้เป็นไปตามกลไกการเสื่อมของร่างกาย (Aging Process) หรือถ้าจะเกิด ก็ให้เกิดผลน้อยที่สุด สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องตกเป็นภาระแก่ลูกหลาน”


จากประโยคดังกล่าว จึงดูเหมือนว่า Anti-aging medicine ต้องยึดหลักการดูแลและป้องกันสุขภาพเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเป็นการแพทย์เชิงรุก ก่อนที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้น จะเยียวยารักษาอย่างไร ให้เกิดขึ้นช้าที่สุด และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันให้น้อยที่สุด ซึ่งก็ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลายๆ ฝ่าย หรืออาศัยความรู้เฉพาะจากหลายๆ ด้าน ในการประเมินผลการดูแลสุขภาพของคนไข้แต่ละคน

หลักการดูแลสุขภาพตามแนวทาง Anti-Aging

มุ่งเน้นการป้องกันเป็นหลัก เหมือนการมาตรวจสุขภาพตามปกติ แต่ต่างกันที่จะมีการตรวจที่ลงลึกกว่าการตรวจสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การตรวจระดับฮอร์โมน วิตามิน การคัดกรองปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดโรค สารพิษ ภาวะภูิมแพ้อาหารแฝง โดย เวชศาสตร์ชะลอวัยจะมุ่งเน้นเข้าไปว่าในร่างกายเรามีอะไรที่มันยังขาดที่จำเป็นต้องเสริม เพื่อที่จะมีผลดี หรือผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะหากเรารู้ก่อนตั้งแต่ยังไม่เป็นโรคและรีบป้องกันย่อมได้ผลที่ดีกว่า เน้นการดูแลจากภายในของเรา ถ้าภายในดีภายนอกก็จะดูดีขึ้นด้วย
เนื่องจากเป็นการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม จึงต้องอาศัยทีมแพทย์หรือองค์ความรู้จากหลายๆ ด้านทางการแพทย์ เพราะการที่จะทำอย่างไร ให้เกิดชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข( Vital life) ต้องมีการดูแลในหลายๆ ด้านอาทิเช่น
-Life style improvement ( การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น สอดคล้องกับหลักการมีสุขภาพที่ดี)
-Vitamins,Minerals and Trace elements Supplements ( การเลือกรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน เกลือแร่ ที่เหมาะสมกับภาวะของร่างกายที่พร่องไป)
-Lean Body (การมีร่างกายที่สมส่วน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป)
-Hormonal replacements/supplements( การเสริมฮอร์โมนบางตัวที่ร่างกายพร่องไป)
-Healthy Blood and Body ( การมีภาวะที่ปกติในระบบเลือด และร่างกายโดยรวม)
-Mental Status( การมีภาวะจิตใจที่สมบูรณ์)
-Sleep as well ( การนอนหลับพักผ่อนที่เปี่ยมสุข)
-Sex life( การมีความสุขทางเพศอย่างเหมาะสม) /Family Happiness( ความสุขในครอบครัว)
-Diets ( การดูแล การควบคุม และการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัย)
-Exercise (การออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี ต่อสุขภาพ)
-ฯลฯ

กลุ่มคนที่ควรไปพบแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

  1. บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคจากกรรมพันธุ์ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคความดันโลหิตสูง แต่หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะกรรมพันธุ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเท่านั้น ถ้าคิดเป็นสัดส่วนก็เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งบางคนอาจมีความใกล้เคียงกับคนในครอบครัวที่เป็นโรคดังกล่าว จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคตามกันไป
  2. บุคคลที่มีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น
  3. บุคคลที่อยากเริ่มรักษาสุขภาพร่างกายอย่างถูกวิธี  
Posted on 4 Comments

อยากสูงทำอย่างไร ฉีดโกรทฮอร์โมน จะช่วยมั้ย และมีปัจจัยอะไรอีก ที่ทำให้เราสูงขึ้นได้

Growth hormone (GH) ทำหน้าที่อะไร

โกรทฮอร์โมน growth hormone (GH) เป็นฮอร์โมนชนิดที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland ) เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งการ Metabolism ของร่างกาย โดยพบว่า
1. กระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย 
Growth Hormone ในการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นการกระตุ้นตับและเนื้อเยื่ออื่นๆ ให้สร้าง IGF-I(insulin-like growth factor-I)
IGF-I กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์สร้างกระดูกอ่อน ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก นอกจากนี้ IGF-I จะกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและจะมีผลโดยตรงกระตุ้นให้เซลล์กระดูกอ่อนเกิดการพัฒนาจำแนกชนิดต่อไป ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก จึงช่วยให้สูงขึ้นได้ตามวัย
ระยะการเจริญเติบโตและพัฒนาของร่างกาย
1. การเจริญเติบโตในวัยเด็ก ในขวบปีแรก เด็กจะเจริญเติบโตมากที่สุด ในช่วง 4 เดือนแรก ความเพิ่มขึ้น 3 ซม./เดือน หลังอายุ 4 เดือน ถึง 12 เดือน ความยาวเพิ่มขึ้น1.5 ซม./เดือน อายุ 1 – 2 ปี เด็กจะมีความยาวเฉลี่ย 1 ซม./เดือน หลังอายุ 2 ปี จนถึงอายุ 10 ปี อัตราการเจริญเติบโตจะคงที่ ความสูงเพิ่มขึ้น 5 – 6 ซม./ปี
2. การเจริญเติบโตในวัยรุ่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นการเจริญเติบโตในเพศชายและเพศหญิงจะแตกต่างกันชัดเจน เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ดังนี้
– เด็กหญิงไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยสาว อายุ 10 – 10.5 ปี เริ่มมี growth spurt (โตอย่างรวดเร็ว) อายุ 11 ปี ความสูงเพิ่มขึ้น 7 ซม./ปี หลังจากนั้นความสูงจะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุ 14 – 15 ปี ความสูงลดลงเหลือเพียง 0.5 – 1 ซม./ปี ความสูงเฉลี่ยของผู้หญิงไทยขณะมีประจำเดือนครั้งแรก คือ 148.8 ซม. และสูงเต็มที่วัยผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 6.2 ซม.
– ในเพศชายเข้าสู่วัยรุ่นช้ากว่าเด็กผู้หญิง คือ อายุประมาณ 12 – 12.5 ปี เริ่มมีความสูงอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้น 6 ซม./ปี อายุ 14 ปี เริ่มมีการเพิ่มความสูงมากที่สุด 8 ซม./ปี หลังจากนั้นความสูงช้าลง อายุ 17 – 18 ปี ความสูงของคนไทย โดยเฉลี่ย 169.6 ซม
ดังนั้น หลายคนมาที่นึกอยากสูงขึ้น ถ้าอายุเลยวัยรุ่นไปแล้ว จึงไม่สามารถจะทำได้ เพราะกระดูกได้ปิดไปแล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะเพิ่มความสูง ต้องเร่งทำก่อน ที่สายเกินไป ที่จะแก้ไข

ปัจจัยที่มีผลต่อความสูงของคนเรา 

1.กรรมพันธุ์  รูปร่างของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เป็นตัวกำหนดโครงสร้างพื้นฐานของลูกหลาน หากพ่อแม่สูงหรือเตี้ย ลูกก็มีแนวโน้มที่จะมีรูปร่างแบบนั้น ความสูงของลูกสามารถกะคร่าวๆ ได้ ด้วยการนำความสูงของพ่อรวมกับของแม่ แล้วหารสอง (บวก-ลบ ได้ 10 เซนติเมตร)
2. ภาวะโภชนาการ อาหารมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูกอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ควรได้รับอาหารครบ 5 หมู่อย่างพอเพียง สารอาหารที่สำคัญในการทำให้กระดูกแข็งแรง ก็คือแคลเซียม อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม แต่บางคนดื่มนมแล้วท้องเสีย ก็ให้เลี่ยงไปรับประทานปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งก้าง กุ้งแห้ง ผักที่มีสีเขียวเข้มๆ ถั่วเหลือง และงา เป็นต้น
3. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่ง growth hormone ได้เหมือนกัน และยังกระตุ้นให้เซลล์ที่สร้างเนื้อกระดูกดึงแคลเซียมจากเลือดมาสร้างกระดูก และสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วย นอกจากนี้การได้รับแสงแดดอย่างพอเพียงในตอนเช้าหรือเย็น จะช่วยให้มีการสร้างวิตามินดีในร่างกาย เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมได้ คนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ พัฒนาการของกระดูกจะช้ากว่าคนที่เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ

4.การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับให้สนิทและนานพอ จะทำให้ร่างกายหลั่ง growth hormone ออกมาได้อย่างเต็มที่ และพบว่าควรนอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะจะเป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่ง growth hormone ออกมาได้สูงสุด การนอนดึกมีผลทำให้ hormone หลั่งออกมาน้อย และมีผลต่อความสูงได้ ในอนาคต
5. สุขภาพร่างกายและจิตใจ การดูแลสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วย จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ การเจ็บป่วยบ่อยๆ จะทำให้การเติบโตหยุดชะงัก การใช้ยาบางชนิดก็มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย นอกจากนี้ ความเครียดก็เป็นตัวบั่นทอนการเจริญเติบโตได้เช่นกัน
6. ฮอร์โมน ฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโต คือ
6.1 Growth hormone จากการที่ฮอร์โมนตัวนี้ จะมีผลต่อการเจริญเติบโตดังกล่าวข้างต้น คนที่ขาดฮอร์โมนตัวนี้จะมี รูปร่างเตี้ยเล็กกว่าปกติ
ซึ่งจะทราบได้ ก็ต่อเมื่อมีการเจาะระดับฮอร์โมนตัวนี้ว่าต่ำกว่าปกติจริงหรือไม่ คนที่ขาดฮอร์โมนตัวนี้ หากได้รับการฉีด growth hormone ตั้งแต่เด็ก จะทำให้สูงขึ้นได้ แต่ในคนที่มีระดับฮอร์โมนตัวนี้ ปกติ ถึงแม้จะฉีด growth hormone ก็ไม่ได้ทำให้สูงขึ้นอีกแต่อย่างใด
6.2 Thyroid hormone ไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งสร้างจากต่อมไทรอยด์ ก็มีผลต่อสมองและความสูงอย่างมาก ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้ มักจะมีพัฒนาการช้าและเตี้ย
6.3 Sex hormone ฮอร์โมนเพศก็สำคัญเช่นกัน หากเด็กเป็นสาวเป็นหนุ่มเร็ว จะส่งผลให้กระดูกปิดเร็วและค่อยๆ หยุดเจริญเติบโตในที่สุด พบว่าเด็กผู้หญิงที่มีประจำเดือนเร็ว มีแนวโน้มที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สูง ส่วนมากเด็กหญิงที่มีประจำเดือนแล้ว 3 ปี และเด็กชายที่เสียงแตกมาแล้ว 3 ปี มักจะหยุดโตและหมดโอกาสที่จะสูงได้อีก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนบางชนิดก็อาจทำให้เด็กเตี้ยได้ ได้แก่ การมีฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตมากเกินไป เด็กจะมีรูปร่างอ้วนเตี้ย
7. อาหารเสริมกลุ่ม Amino acid : พบว่าอาหารเสริมบางตัว สามารถที่จะเพิ่มระดับ GH ได้ แต่ควรจะทานช่วงที่ท้องว่าง หรือช่วงเช้า และ ก่อนนอน เพราะจะเพิ่มการออกฤทธิ์ได้ดีกว่า
7.1 Arginine : ขนาด 7-12 กรัมต่อวัน
7.2 Ornithine: ขนาด .5-8 กรัมต่อวัน
7.3 Lysine ขนาด 1-3 กรัมต่อวัน พบว่า อาหารเสริมในข้อ 3.1-3.3 มักจะเพิ่มระดับ GH ได้คนหนุ่มสาว อายุระหว่าง 20-35 ปี และพบว่าหลายยี่ห้อ ได้นำ กรดอะมิโนทั้ง 3 ตัว จะผสมกันเพื่อให้ทานง่าย บางคนเรียกว่า Tri-amino Acids ดู
7.4 Glycine ขนาด 5-7 กรัมต่อวัน
7.5 L-tryptophan :ขนาด 5-10 กรัมต่อวัน
7.6 L-glutamine: ขนาด 2 กรัมต่อวัน จัดเป็นกรดอะมิโนที่สามารถเพิ่มระดับ GH ได้ทุกกลุ่มอายุ แม้แต่คนสูงอายุ ( 32-64 ปี)


นอนก่อน 5 ทุ่ม
ฉีด GH เพิ่มความสูงได้ ถ้าเจาะเลือดแล้วพบว่า GH ต่ำ
Posted on

สิวเสี้ยน : สาเหตุที่เกิด ป้องกันและกำจัดอย่างไร ให้หน้าเรียบเนียนใส ไม่มีสะดุด

สิวเสี้ยนคืออะไร

สิวเสี้ยน (Small Pimple or Trichostasis Spinulosa) เป็นความผิดปกติของต่อมรูขุมขนโดยมีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ หรือเป็นจุดดำๆ หรือมีหนามแหลมๆยื่นออกมาทางรูขุมขน ซึ่งก็คือ เซลล์กระจุกขน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรก คราบเครื่องสำอางค์ อุดตันอยู่ในรูขุมขน และไม่ยอมผลัดร่วงไปตามปกติ พบได้บ่อย บริเวณจมูก หน้าผาก หรือข้างแก้ม และที่หลังบริเวณกระดูกสบัก

สาเหตุของสิวเสี้ยน ได้แก่

  • การทำงานที่มากผิดปกติของฮอร์โมนเพศชาย
  • ปริมาณกรดไขมัน Linoleic Acid ที่อยู่ในซีบัมซึ่งอยู่บนผิวหนังชั้นนอกลดลง ทำให้ผิวหนังได้รับการปกป้องลดลง
  • ระบบภูมิคุ้มกันสร้างสารไซโทไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Pro-inflammatory Cytokines)
  • เชื้อแบคทีเรียสิว ( P. Acnes) ก่อให้เกิดสิวสร้างกรดไขมันอิสระมากเกินไป
  • การรบกวนผิวมากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ, การขัดหรือนวดหน้า การบีบสิว ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้รูขุมขนถูกทำลาย ทำให้รูขุมขน หรือรากขนนั้นแตก ขนจึงมีสิทธิ์ที่จะคุดอยู่ข้างในได้เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นหนามแหลมๆทั้งใบหน้าได้
  • สัมผัสกับสารเคมี เช่น ผลิตภัณฑ์แต่งผม และผลิตภัณฑ์ย้อมสีบางชนิดที่กระตุ้นการก่อให้เกิดสิว
  • สูบบุหรี่
  • การรับประทานอาหารที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดสิว เช่น อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เป็นต้น

การรักษาสิวเสี้ยน

1. ครีมลอกสิวเสี้ยน : โดยครีมจะไปละลายการอุดตันของต่อมไขมัน กับมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เช่น กรดวิตามินเอ(Retinoids) , กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ,เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
2. การลอกผิวด้วยกรดเข้มข้น (Chemical Peeling ) : เช่น TCA,AHA,BHA เพื่อลอกผิวหน้า เปิดรูขุมขนหรือรูสิวเสี้ยน เพื่อง่ายต่อการกดออก หรือดึงออกด้วยครีมคีบสิวเสี้ยน แต่ไม่ช่วยเรื่องสิวเสี้ยนที่เป็นขนๆ เหมือนหนาม
3. Scottape technique: โดยอาจจะอยู่ในรูปของแผ่นแปะจมูกที่เคลือบสารเคมีที่ทำให้ติดแน่น แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยดึงออก แต่ก็มีข้อจำกัด คืออาจจะกำจัดสิวเสี้ยนได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่
4. Laser :  เลเซอร์ที่ใช้มีหลายตัว เช่น Q-Switch Nd:YaG ( Revlite ,Pico laser ), Long-pulsed diode laser (Zoprano) ใช้กำจัดรอยดำ ขนที่คล้ายหนามในรูขุมขน ,Fractional laser 1550 ใช้รักษาสิวเสี้ยนหัวขาว จากท่อไขมันผิดปกติ และกระชับรูขุมขน และป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้อีก

Revlite กำจัดสิวเสี้ยนหัวดำ
Finescan กำจัดสิวเสี้ยนหัวขาว

Posted on

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) ใส่อย่างไร ไม่ปวดขา ไม่เมื่อยล้า แก้ไขยังไง เมื่อเกิดการบาดเจ็บ

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) คือสูงแค่ไหน
โดยทั่วไปรองเท้าที่จะเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าส้นสูงนั้น จะต้องมีความสูงมากกว่า ๔ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้หญิง และสูงมากกว่า ๓ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้ชาย
มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้ความเคยชินกับการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง อย่ามองข้ามความสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลสุขภาพเท้าของตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง 

  1. ขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เรามีรูปร่างสูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันรอยเท้าจะสั้นกว่าปกติ ซึ่งตามหลักของ ชีวกลศาสตร์ ร่างกายจะรักษาสมดุลยากขึ้น กล้ามเนื้อฝ่าเท้าและขาจึงต้องทำงานมากกว่าเดิม เพื่อที่จะพยายามรักษา สมดุลของการทรงตัวให้ได้
  2. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจุดรับน้ำหนักของร่างกาย นั่นคือน้ำหนักจะตกที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ ทำให้เกิด การเบี่ยงเบนของร่างกายไปจากเดิม กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากขึ้น ที่สำคัญบริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก และเป็นสาเหตุของการปวดหลังในอนาคตได้
  3. กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายจะหดสั้นตลอดเวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้บริเวณน่องเกิดความตึงตัวการไหล เวียนของเลือดไม่ดี
  4. การเดินขณะใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ความยาวของการก้าวเท้าสั้นกว่าเมื่อเดินเท้าเปล่า เนื่องจากกล้ามเนื้อน่องมี การหดตัวอยู่บ้างแล้วขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูง ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อต้องทำงานถึบปลายเท้าเพิ่มขึ้นอีก จึงเกิดแรงถีบเพียง เล็กน้อยเท่านั้น
  5. การขึ้นบันไดขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ร่างกายขาดความมั่นคง เพราะต้องเกร็งและระวังว่าจะสะดุดบันได กลัวหกล้ม เลยทำให้กล้ามเนื้อขาต้องทำงานมากกว่าปกติ

รองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะชี้เฉพาะลงไปเลยว่ารองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเหตุปัจจัยของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น รูปร่างอ้วนหรือผอม ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อเป็นอย่างไร ซึ่งคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงก็อาจจะเกิดอันตรายน้อยกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ก็ยังขึ้นอยู่กับ ความเคยชินด้วยว่าใส่รองเท้าสูงมานานเท่าไร อย่างไรก็ตาม การใส่รองเท้าส้นสูงที่มีส้นรองเท้าแหลมและสูง ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้มากกว่าการสวม รองเท้าส้นทึบและเตี้ยอย่างแน่นอน
การบาดเจ็บที่มักเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

  1. เกิดอาการปวดเมื่อย บริเวณฝ่าเท้า นิ้วเท้า และน่อง เพราะกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงต้องทำงานมาก เกินไป จึงทำให้เกิดการเมื่อยล้าได้ง่าย หรือเพราะกล้ามเนื้อบางมัดถูกยึดมากเกินไป หรือการไหลเวียนของเลือดบริเวณ นั้นไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางมัด เช่น กล้ามเนื้อน่องหดเกร็งอยู่เป็นเวลานาน ๆ
  2. เกิดการปวดบางตำแหน่ง เช่น ที่นิ้วเท้า ซึ่งเกิดจากการถูกบีบ การกดทับ และการเสียดสี จากรองเท้า ประเภทแฟชั่นที่อาจจะมีรูปลักษณะแปลก ๆ แต่สวมใส่แล้วไม่สบายเท้า
  3. เกิดอันตรายเนื่องจากอุบัติเหตุ เช่น เท้าแพลงเมื่อเกิดการเหยียบพลาด หกล้มทำให้กระดูกหัด หรือ ตกหลุม

การแก้ปัญหาเมื่อบาดเจ็บ 

– กรณีได้รับอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าแพลง ในระยะ 1-2 วันแรกให้ใช้น้ำแข็งประคบนาน 5-10 นาที ทำวันละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการปวด และพักการใช้ข้อเท้าชั่วคราวโดยการพันด้วยผ้าพันชนิดยืด ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
-กรณีปวดเมื่อยข้อเท้า เมื่อกลับถึงบ้าน ให้แช่เท้าด้วยน้ำร้อน (ที่พอทนได้) ดูให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งน่อง แช่นาน 10-15 นาที พร้อมกับออกกำลังเท้าและนิ้วเท้าไปด้วย โดยการกระดกปลายเท้าขึ้นถึบปลายเท้าลง งอนิ้วเท้า เหยียด นิ้วเท้า หันฝ่าเท้าเข้าด้านใน และหันฝ่าเท้าออกด้านนอก เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และถ้าเป็นไปได้ควรนวดเท้า บ่อย ๆ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาทิ เหยียบกะลา คลึงเท้าด้วยลูกกอล์ฟ และนวดเท้า

แม้บางคนจะทราบดีว่าการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นความสง่าที่มาพร้อมกับความปวดเมื่อย แต่หญิงสาวเป็นจำนวน มากไม่อาจตัดใจลาจากรองเท้าส้นสูงได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน จึงไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงเดินเป็นเวลานานในแต่ละวัน ควรปล่อยให้เท้าได้พักอยู่ใน ท่าสบายบ้าง หรือสลับกับการสวมรองเท้าที่มีความสูงน้อยลงบ้าง เพื่อช่วยให้เลือดบริเวณน่องและเท้าไหลเวียนเป็นปกติ เกิดเป็นหญิงยุคใหม่ จะสวยทั้งทีก็ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องด้วย

Posted on

มาสก์หน้าอย่างไร ให้ตรงกับสภาพผิว ปรับหน้าให้ขาวใส ได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีง่ายๆ

ปัจจุบัน หน้าเนียนใส กำลังเป็นที่นิยมกันในคนที่รักสวยรักงามทั้งหลาย ทำให้ดูสะอาดตา และเป็นที่ดึงดูดใจกับผุ้พบเห็นทั้งหลาย ดังนั้นหลายท่านก็ได้ขวนขวายหาแนวทางที่จะบำรุงรักษาผิวพรรณให้เนียน ขาวใส ไร้ตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาเลือกครีมสารพัดยี่ห้อมาลองใช้
แต่ในยุคนี้ อยากจะให้เราได้ประหยัดค่าใช้จ่ายกันบ้าง ดังนั้นผมจึงได้ลองค้นหาสูตรเคล็ดลับในการทำให้หน้าใสได้ด้วยตนเองมาฝาก โดยการพอกหน้าด้วยวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นการทำให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไปจากผิวหน้า รวมไปถึงพวกสิวอุดตันต่างๆ ก็จะหลุดออกไปด้วยทำให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น ปราศจากสิวฝ้า เลือดลมบนผิวหน้าหมุนเวียนดีขึ้น และเวลาทาครีมบำรุงจะช่วยให้ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าเดิมด้วย ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา และทรัพย์จางได้ลองทำดูนะครับ ดังนี้
Mask สำหรับผิวธรรมดา
ใช้โยเกิร์ต (รสธรรมดา) 1/4 ถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือจนรู้สึกว่าส่วนผสมที่ทาไว้แห้ง จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าเราได้คุณค่าของนมมาช่วยบำรุงผิว และน้ำผึ้งที่กระชับรูขุมขน
Mask สำหรับผิวแห้ง
นำกล้วยหอมสุก 1/2 ลูก มาบดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้ทำให้หน้านุ่มและตึงสวย

Mask สำหรับผิวมัน
นำมะเขือเทศสุก 1 ลูก มาบดหรือสับให้ละเอียด นำมาพอกที่หน้า ทิ้งไว้ 10-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสัปดาห์ละครั้งจะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ วืตามินในมะเขือเทศจะช่วยบำรุงผิวและเซลล์ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี
Mask สำหรับผิวอักเสบเป็นสิว
ใช้น้ำผึ้งทาที่หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและยังช่วยกระชับรูขุมขน มีค่า pH เป็นกลาง สูตรนี้รับรองไม่แพ้ครับ แถมหน้ายังเรียบเนียน และสิวก็จะยุบลงอีกต่างหาก
Whitening Mask
ใช้น้ำมะนาว 1 ลูก น้ำมะนาวฝรั่ง 1 ลูก น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ นำทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ทาถูนวดเบาๆ ที่หน้า ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะทำให้หน้าขาวเป็นธรรมชาติ

เห็นมั้ยหละครับว่า กรรมวิธีหลากหลายนี้ ต่างก็ช่วยให้สีผิวหน้าขาวใส ได้ตามต้องการ ควรเลือกเปรียบเทียบให้เหมาะสมกับสภาพผิว ความต้องการ และความสะดวก กันนะครับ แต่อยากจะแนะนำว่า แม้ว่าผิวหน้าจะเนียนใสได้ตามต้องการแล้ว แต่ก็ไม่ได้คงอยู่อย่างถาวร เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หน้าหมองคล้ำกลับมาได้ใหม่ เช่น แสงแดด ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นก็ต้องหมั่นดูแล ทำทรีทเม้นต์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามเลี่ยงแดด ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ

Posted on

วิธีเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อเริ่มสูงวัย จะปรับตัวอย่างไร ให้มีความสุขกาย สุขใจ ไร้โรคภัยคุกคาม

หน้าที่ของฮอร์โมน
ฮอร์โมนในร่างกายของคนเรา มีหน้าที่หลักในการทำงานคือ การควบคุมอวัยวะและระบบต่างๆ ให้ทำงานได้ตามปกติ ทั้งในแง่การดำรงชีวิตประจำวัน การเจริญเติบโต การนอนหลับพักผ่อน การเผาผลาญพลังงาน การสืบพันธุ์ การควบคุมอารมณ์ ฯลฯ
ซึ่งในร่างกายเราก็มีฮอร์โมนหลายชนิด และร่างกายก็ผลิตหรือหลั่งฮอรโมนจากอวัยวะต่างๆ หลากหลาย แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือแก่ขึ้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย
ตามทฤษฎีว่าด้วยความแก่ (Theory of Aging) พบว่าทฤษฎีเกี่ยวกับฮอร์โมน (The Neuroendocrine Theory) ได้การอธิบายกลไกการเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น โดยพบว่า เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ จะลดระดับลง หรือการมีสร้างลดลง เมื่อมีระดับฮอร์โมนต่างๆ ลดลง สุขภาพของเราก็จะเสื่อมถอยลง เพราะขบวนการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายลดลง ไม่ว่าจะเป็น การซ่อมแซมสิ่งทีสึกหรอ การเจริญเติบโต สมรรถภาพทางเพศ ผิวพรรณ ฯลฯ


การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ เริ่มต้นเมื่อไหร่
โดยตามทฤษฎีพบว่า เมื่อเราอายุย่างเข้า 30-40 ปี ฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งเคยมีระดับสูงในวัยหนุ่มสาว ได้มีการ ลดปริมาณลงเรื่อยๆ มากน้อยแล้วแต่ชนิดของฮอร์โมน ทำให้บางคนเกิดมีภาวะพร่องฮอรโมน ( Hormonal Depletion) เป็นช่วงๆ อาการจะรุนแรงมากน้อย ก็แตกต่าง กันไปแล้วของแต่ละคน ฮอร์โมนหลักๆ ที่มีการลดลงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่
1. Growth Hormone: จัดเป็นฮอร์โมนที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย (Anabolic Hormone) โดยมีบทบาทในการสร้างความเจริญเติบโตของสรีระของร่างกาย จากวัยทารก สู่วัยรุ่น สู่วัยหนุ่มสาว จนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การขาดฮอร์โมนนี้ในวัยเด็ก ก็จะทำให้เราเตี้ย แคระแกร็นได้ (Dwarfs) หรือถ้าเรามีระดับฮอรโมนนี้มากเกินไป ก็จะทำให้เรามี ร่างกายโตผิดปกติ (Giantism) แต่ถ้าภาวะปกติ เราก็จะสูงเตี้ย ตามกรรมพันธุ์และเชื้อชาติของเรา มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการและการออกกำลังกายด้วย เมื่ออายุมากขึ้น การสร้าง Growth Hormone จะลดลง ทำให้เราเกิดมีอาการอ่อนเพลียได้ง่าย ผิวพรรณเหี่ยวย่น ลงพุง กล้ามเนื้อหย่อนคล้่อย และเกิดไขมันสะสมในร่างกายได้ง่ายขึ้น ขาดความกระฉับกระเฉงในการทำงาน
2. Melatonin: จัดเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้รู้สึกง่วงนอน อยากพักผ่อน และมีผลทำให้การนอนหลับได้สนิท นอกจากนี้ยังมีบทบาทหลายอย่าง อาทิ ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน มีผลทำให้เรานอนหลับได้ยากขึ้น หลับไม่เต็มอิ่ม สะดุ้งตื่นได้ง่าย และนอนหลับต่อได้ยากขึ้น

3. Testosterone: จัดเป็นฮอรโมนเพศชาย ที่ทำให้ลักษณะเพศชายเด่นชัด เช่น มีหนวดเครา มีกล้ามเนื้อ ขนตามลำตัว อวัยวะเพศชาย ฯลฯ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และมีความสำคัญเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน ทำให้มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอย อ่อนเพลียได้ง่าย อ้วนง่าย หงุดหงิดง่ายขึ้น ความจำช้าลง ฯลฯ
4. Estrogen: จัดเป็นฮอรโมนเพศหญิง ที่ทำให้ลักษณะเพศหญิงเด่นชัด เช่น มีหน้าอก สะโพกผาย ทำให้มดลูกมีสภาพพร้อมที่จะมีบุตร ผิวพรรณเนียนนุ่ม มีความต้องการทางเพศ ฯลฯ เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40-50 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน ทำให้มีผลต่อการเกิดริ้วรอยได้ง่าย อ้วนง่าย ความต้องการทางเพศลดลง รอบเดือนผิดปกติ เกิดอาการที่เรียกว่าวัยทอง (Perimenopausal syndromes) อาทิ วิงเวียนศีรษะ ร้อนวูบวาบตามลำตัว หงุดหงิดง่าย เครียดบ่อยๆ หดหู่ ซึมเศร้าได้ง่าย ความจำลดลง และทำให้เกิดภาวะกระดูกผุได้ง่าย (Osteoporosis)
5. Progesterone: จัดเป็นฮอรโมนเพศหญิงที่ช่วยปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีรอบเดือน ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของกระดูกและเต้านม เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40-50 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลง ถ้าขาด ก็จะทำให้มีอารมณ์ปรวนแปร ฉุนเฉียวได้ง่าย ก้าวร้าว กระวนกระวาย ขี้วิตกกังวล ปวดรอบเดือน ความรุ้สึกไวต่อการเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่ค่อยถึงจุดสุดยอดในขณะที่มีเพศสัมพันธ์

6. Thyroid Hormone: จัดเป็นฮอรโมนที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญและการใช้พลังงานของร่างกาย มีผลควบคุมระดับความดันโลหิต ชีพจร การคิด การพูด ระบบย่อยอาหาร ระบบปัสสาวะ ระดับไขมันในเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ในบางคนระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงหรือพร่องไป ซึ่งจะมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ท้องผูก นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไวต่ออากาศเย็น มือเท้าเย็น ติดเชื้อง่าย ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ความจำเสื่อม ความคิดอ่านช้าลง และอาจจะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย
7. DHEA: จัดเป็นฮอรโมนที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันและเมตาโบลิซึม จัดเป็นต้นกำเนิดของฮอร์โมนเพศ เทสโตเตอโรน และเอสโตรเจน เมื่ออายุมากขึ้น ในบางคนระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงหรือพร่องไป ซึ่งจะมีผลทำให้ป่วยด้วยโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และโรคซึมเศร้าได้ง่ายกว่าคนปกติ

การวินิจฉัยภาวะพร่องฮอร์โมน
1. การซักประวัติ
2. การตรวจร่างกาย
3. การตรวจระดับฮอร์โมน : ซึ่งมีการตรวจได้หลายทางแล้วแต่ชนิดของฮอร์โมน เช่น อาจจะวัดระดับฮอร์โมนจากเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ

แนวทางแก้ไข
ในแนวทางเวชศาสตร์ชะลอวัย เราเชื่อว่า ฮอร์โมนที่ลดลง ก่อให้เกิดความเสื่อมต่อร่างกาย ถ้าเรามีวิธีหรือแนวทางใด ที่ทำให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ กลับมาเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยทำให้เราชะลอความเสือม หรือชะลอวัย ให้ช้าลง ทำให้เราลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในวัยชราได้ ดังนี้
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น อาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน ฯลฯ เพื่อเพิ่มระดับฮอรโมนต่างๆ ซึ่งแต่ละฮอร์โมน ก็มีแนวทางแตกต่างกัน
2. การให้วิตามิน อาหารเสริม ที่มีผลต่อการกระตุ้นระดับฮอร์โมน เช่น Arginine,leucine,Glutamine ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ Growth Hormone
3. ให้ฮอร์โมนทดแทน Hormonal Replacement Therapy (HRT) : เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่แพทย์จะเลือกทดแทนฮอร์โมนที่ลดลง หรือหลังจากปฏิบัติตามข้อ 1-2 แล้ว อาการและระดับฮอร์โมนไม่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องคำนึงถึง ผลดี ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

Posted on

งานวิจัย : น้ำอัดลม ทำให้กรดยูริค สูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์(Gout) ได้ จริงหรือไม่

โรคเก๊าท์ (Gout/ Gouty arthritis) เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริค (Uric acid) ในเลือดมีปริมาณสูงมากผิดปกติ( มากกว่า 7 Mg% ) จนไม่สามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงเกิดการตกผลึกสะสมตามที่ต่าง ๆ เช่น ข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ทำให้เกิดก้อนขึ้นตามร่างกาย
อาการของGout คือ ข้ออักเสบ ปวดข้อรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ไม่ทันข้ามคืน
อาหารที่มีกรดยูริคสูง มักจะมีอาการกำเริบขึ้น เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด กะปิ เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักยอดอ่อน เช่น หน่อไม้ ถั่วงอก สะเดา ยอดกระถิน ยอดผักอ่อน แตงกวา ชะอม น้ำหรือซุปที่สกัดจากเนื้อหรือน้ำต้มกระดูก กุ้ง หอย ปลาซาดีน เป็นต้น
งานวิจัยเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือฟรุคโตส จะมีผลต่อการเกิดโรคเก๊าท์
Choi HK และคณะวิจัย จากฮ่องกง พบว่า ฟรุคโตสในน้ำอัดลม ที่ทำให้กรดยูริคในเลือดสูงขึ้นได้ จากการเพิ่มการแปลงพลังงาน ATP ไปเป็น ADP ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของการเกิดกรดยูริคในร่างกาย
รายละเอียดทดลองวิจัย ได้นำบุคคลากรทางการแพทย์ เพศชาย จำนวน 46,393 คนมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับความถี่ในการดื่มน้ำอัดลม ทั้งแบบผสมน้ำตาลแท้และน้ำตาลเทียม หรือน้ำผลไม้
ผลการศึกษา ในช่วง 12 ปี พบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคเก๊าท์จำนวน 755 ราย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ เช่น พบว่า ถ้าดื่มมากกว่าสัปดาห์ละ 5-6 ส่วน (serving) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.29 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มสัปดาห์ละ 1 ส่วน
เอกสารอ้างอิง..Chot HK,et all.soft drinks,fructost comsumtion,and the risk of gout in men:prospective cohort stusy.BMJ 2008;309-312

Posted on

ทฤษฎีว่าด้วยความชรา (Theory of Aging) : ทำไมเราถึงแก่ มีกลไกการเกิดอย่างไร ในระดับเซลล์

ทำไมเราถึงแก่

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น สังขารของเราก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตามวัฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บและตาย การเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านผิวพรรณ รูปลักษณ์ภายนอก อวัยวะต่างๆ ก็ย่อมเดินทางไปสู่ทางเสื่อมลงๆ ดังเช่น รถยนต์ ยิ่งนานวัน อายุการใช้งานที่มากขึ้น ก็ย่อมทำให้ประสิทธิภาพและ ศักยภาพต่างๆลดลง
นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มหลายคน ที่พยายามจะอธิบายทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องแก่ จึงต้องมีโรคภัยหรือมีการเจ็บป่วย ที่ทำให้เราต้องสูญเสียการทำงานบางอย่าง หรือเกิดการตายในที่สุด โดยได้มีการสรุปออกมาได้ดังนี้
ทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging)
ได้อธิบายออกมาในแง่ของโมเลกุลของเซลล์ที่เสื่อมออกมา เป็น 2 หัวข้อใหญ่ๆ คือ
1. เสื่อมตามโปรแกรมที่ตั้งไว้แล้ว (Biological Clock) หมายถึง ในวงจรชีวิตของคน หรือสัตว์ทั้งหลาย ได้มีการตั้งเวลาไว้ก่อนแล้วว่า อายุขัยของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนั้น ควรจะประมาณกี่ปี เช่น สุนัขก็จะประมาณ 10-15 ปี คนเราก็ประมาณ 70-80 ปี ยุงมีอายุขัยประมาณ 1-2 วัน เป็นต้น
2. เสื่อมจากอุบัติเหตุหรือปัจจัยภายนอก (Accidental or environment aging) ซึ่งหมายถึงการเสื่อมหรือการสิ้นอายุขัยที่เราทำขึ้นมาเอง เช่น จากอุบัติเหตุ สิ่งแวดล้อม การไม่ดูแลใส่ใจในสุขภาพตนเอง เป็นต้น

Life Style
hormone decline

จากทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) ใหญ่ๆ ข้างต้น ได้มีการพยายามศึกษา และหาเหตุผลในการอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้ง มากขึ้น ทำให้เกิด ทฤษฎืความแก่ปลืกย่อยออกมาอีกมากมายที่พอจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายแล้ว ดังนี้

  1. The Wear and Tear Theory : โดยเชื่อว่าคนเราแก่จากการที่เซลล์ของเราถูกทำลาย จากการใช้งานมากเกินไป หรือใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักดูแลสุขภาพ
    – เช่นการพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เกิดสารพิษปนเปื้อน เกิดการติดเชื้อโรค เป็นต้น จึงทำให้เสื่อมลงๆ เปรียบเหมือนรถยนต์ที่ใช้งานหนักมานาน และไม่ทะนุถนอม ก็จะทำให้เครื่องพังได้เร็วขึ้น ดังนั้นอายุขัยแต่ละคน จะมีชีวิตยืนยาวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเรานั่นเอง
  2. The Neuroendocrine Theory: เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ จะลดระดับลง เช่น ในเพศหญิงจะมีระดับ Estrogen,Progesterone จะลดลง ส่วนเพศชายจะมีระดับฮอร์โมน Testosterone ลดลง
    – นอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนตัวอื่นที่ลดลงเหมือนกันทั้งในเพศหญิงและชายคือ Growth Hormone,Cortisol, Melatonin ฯลฯ ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ เป็นฮอร์โมนหลักๆ ที่มีผลต่อการทำงานของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ เมื่อมีระดับฮอร์โมนลดลง สุขภาพของเราก็จะเสื่อมถอยลงเช่นกัน เพราะทำให้การซ่อมแซมสิ่งทีสึกหรอ หรือการทำงานต่างๆ ลดลง
  3. The Genetic Control Theory: เชื่อกันว่ายีนส์จากพันธุืกรรมของแต่ละคน ได้เป็นตัวกำหนดอายุขัยของแต่ละคนตามเชื้อชาติ เช่น การมีประวัติโรคภัยจากกรรมพันธุ์ ในการสืบทอดทางสายเลือด ทำให้คนเราอายุไม่เท่ากัน
    – เช่น คนที่มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ก็จะมียีนส์ที่ด้อย และถ่ายทอดไปยังบุตรหลาน ทำให้มีโอกาสเกิดเบาหวานได้ง่ายกว่าคนที่ ไม่มีประวัติทางครอบครัว เป็นต้น ซึ่งทำให้มีการค้นคว้าวิจัยในอนาคต ที่จะทำการเปลี่ยนถ่ายยีนส์ที่ไม่ดีออกไป แล้วคัดสรรยีนส์ที่แข็งแรงทดแทน ที่บางคนอาจจะเคยได้ยินที่เค้าเรียกว่า Gene testing and Gene Therapy หมายถึงการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี การ Screen ยีนส์ที่ไม่ดี ก่อนการสมรส หรือการคัดสรรสายพันธุ์ที่ดี เพื่อสืบทอดทายาท เป็นต้น

4. The Free-Radical Theory:  ทฤษฎืที่ว่าด้วยสารอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าสารอนุมูลอิสระ(Free radicles) ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นจากแสงแดด สารเคมีบางอย่าง ฯลฯ เป็นตัวการในการทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ โดยไปทำลายและรบกวนการสร้าง DNA ซึ่งเป็นยีนส์ในการสังเคราะห์โปรตีน รบกวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนสนิมของรถยนต์ที่จะคอยกัดกร่อนร่างกายให้เสื่อมสภาพ
จึงได้มีการแก้ไขด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ที่เรียกว่า Anti-Oxidants เช่น วิตามินซี วิตามินเอ CoQ10 Idebenone ฯลฯ ออกมาป้องกันภาวะชราดังกล่าว
5. Telomerase Theory of Aging: พบว่าเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์มีการแบ่งตัวตลอดเวลาเพื่อการเจริญเติบโต โดยมีโครโมโซมในยีนส์เป็นตัวที่มีบทบาทสำคัญ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในโครโมโซม จะมี Telomeres เป็นตัวที่กำหนดบทบาทความแข็งแรงของโครโมโซม
โดยพบว่ายิ่งอายุมากขึ้น เซลล์ก็จะแบ่งตัวมากขึ้น ทำให้ความยาวของ Telomeres จะยิ่งสั้นลง ทำให้เซลล์ลดความแข็งแรง และเสื่อมตายในที่สุด ทั้งนี้ยังพบว่า ขบวนการดังกล่าวอาศัยเอนไซม์ Telomerase เป็นตัวนำพาการแบ่งตัว ในงานวิจัย พบว่าในเซลล์มะเร็งจะมีเอนไซม์ Telomerase มาก และทำให้เซลล์แบ่งตัวตลอดเวลาจนผิดปกติ เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง ได้มีการทดลองนำสารที่ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ Telomerase ทำให้พบว่าสามารถป้องกันและรักษามะเร็งได้ในอนาคต
ปัจจุบันศาสตร์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย(Anti-Aging Medicine) ได้มีการศึกษา ทดลอง ค้นคว้า กันอย่างต่อเนื่อง และก็มี ทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) หลากหลาย บทความ งานวิจัย ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
Waste Accumulation Theory
– Mitochondrial Theory,Cross-Linkage Theory
-Autoimmune Theory
– Carorie Restriction Theory
– Gene Mutation and DNA Damage Theories,Rate of Living Theory,Order to Disorder Theory ฯลฯ
ซึ่งงานวิจัยหาสาเหตุของความชราหาความเป็นไปได้ในการป้องกัน รักษา เพื่อชีวิตที่ยืนยาว แข็งแรง ในอนาคต และเป็นการเอาชนะธรรมชาติที่มนุษย์ได้พยายามค้นคว้า ศึกษา ทดลอง อย่างไม่หยุดยั้งในการเรียนรู้นี่เอง นำมาซึ่งการพัฒนาองค์ความรู้มากมาย ก็คงต้องติดตามความก้าวหน้าด้านการแพทย์กันต่อไป

Free-Radical
Telomere
Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ มีได้หลายวิธี แบบไหนได้ผลดี Facelift -Update!

วิธียกกระชับ ปรับรูปหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาหย่อนคล้อย ริ้วรอย เป็นปัญหากวนใจ ให้รำคาญ การยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ก็จัดเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์วัย เต่งตึงขึ้นแล้ว ริ้วรอยต่างๆ ลดลงได้อีกด้วย เราแบ่งการยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ออกได้เป็น 3 หลักการใหญ่ๆ ดังนี้
1. การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) – จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ถือว่าเป็นที่นิยมมานานหลายทศวรรษ เพราะเปรียบเสมือนการยกเครื่อง ครั้งใหญ่ของใบหน้า โดยการกรีดผิวหนังบริเวณหนังศีรษะหรือขมับ แล้วตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยไม่ต้องการออกไป แล้วดึงรั้งผิวหน้าให้เต่งตึงขึ้น แน่นอน! ย่อมเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ได้ผลแน่นอน เห็นผลไว แต่ก็ทำให้ท่านต้องมีบาดแผลหลังผ่าตัด ต้องเจ็บตัว ต้องพักฟื้น และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญ ในการทำศัลยกรรมตกแต่งอย่างมาก ผลที่ได้จึงจะพอใจและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ที่สำคัญไม่สามารถจะทำได้บ่อยๆ ดังนั้นการทำ การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) จึงมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และมักจะนิยมทำกันในคนที่อายุมากๆ แล้วเท่านั้น ( ปัจจุบันแพทย์มักจะแนะนำให้ทำเมื่ออายุมากกว่า 60-70 ปี )

2. การยกกระชับผิวหน้ากึ่งผ่าตัด(Semi-Surgical Facelift) – จากผลไม่พึงประสงค์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วยการผ่าตัด ทำให้ทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาการยกกระชับผิวหน้าให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ได้ผลดีพอควร ผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบแรก นั่นก็คือ การยกกระชับผิวหน้าด้วยไหมละลาย สอดไปในชั้นหนังแท้ หรือชั้นไขมัน เพื่อยกกระชับหน้า เห็นผลทันทีหลังทำ ใช้เวลาทำไม่นาน ไหมที่ใช้ เป็นไหมละลายได้ โอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ไหมที่ ผ่านอย. รับรองว่าปลอดภัย ปัจจุบัน มีเพียง 2 ยี่ห้อ เท่านั้น คือไหมอิตาลี ( Definisse ) ผสมผสานกันระหว่างวัสดุ PLLA และ PCL กับไหมเกาหลี ( Mint Thread) ซึ่งเป็นไหม PDO ไหมละลายที่นำมาร้อยกระชับ แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
– ไหมละลายแบบมีเงี่ยง ซึ่งมีชื่อเรียกกันได้ หลายอย่าง เช่น ไหมกุหลาบ ไหมบาก ฯลฯ มักจะเหมาะกับการหย่อนคล้อยที่ไม่ต้องการจะผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น หลังทำยึดเกาะยกกระชับทันที หลังทำอาจจะต้องพักฟื้น 5-7 วัน มักต้องทำซ้ำทุก 12-18 เดือน
– ไหมละลายแบบไม่มีเงี่ยง ปัจจุบัน ที่ผ่าน อย. มีเฉพาะไหม Mint Mono ไหมแบบนี้ นิยมนำมาร้อยเสริมแบบมีเงี่ยง ให้เก็บรายละเอียด หรือใช้เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งจะ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

3. การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด(Non-Surgical Facelift) -จัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการยกกระชับผิวหน้า ที่ถือว่าเจ็บตัวน้อยสุด ผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลดีพอสมควร ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการยกกระชับผิวหน้า ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์กันมาแล้ว ซึ่งจะไล่เรียงดังนี้
3.1 การนวดหน้า ( Facial Massage) : จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอนุรักษ์นิยม คือมีมาแต่โบราณกาล เห็นได้บ่อยในร้านเสริมสวย สปา คลินิกความงามทั้งหลาย โดยการใช้มือคนเราในการนวดผิวหน้า อาจจะใช้ครีมหรือตัวยา สมุนไพรต่างๆ ร่วมด้วย การกดจุด จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอ่อนๆ ที่ได้ผลน้อยที่สุด ราคาถูก เหมาะกับผิว ที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนัก (อายุน้อยกว่า 30 ปี) และก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หยุดทำเมื่อไหร่ ผิวหน้าก็คืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม
3.2 การยกกระชับผิวหน้าด้วยเลเซอร์ หรือ คลื่นแสง(IPL): ก็จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าชั้นตื้น โดยใช้พลังงานเลเซอร์ หรือคลื่นแสง IPL ไปกระตุ้นชั้นหนังแท้ให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา จึงทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ ได้ผลเร็วและพอควร ไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่มีผลข้างเคียงใด แต่ก็ต้องทำหลายครั้ง และก็ได้ผลกับผิวที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนักเช่นกัน (อายุน้อยกว่า 40 ปี)

3.3  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Botox : มีการค้นพบว่า คุณสมบัติของสาร Botulinum toxin tyoe A ถ้าฉีดตื้นไปในชั้นหนังแท้ จะทำให้กล้ามเนื้อเรียบหรือคอลลาเจนหดตัว เกิดการกระชับขึ้นในชั้นผิว แทนที่จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเหมือนการลึก ในการลดกรามหรือริ้วรอย เทคนิคนี้ เรียกว่า Dermalift มักจะนิยมนำมาฉีดยกกระชับ กรอบหน้า ขอบคางให้คมชัด ได้ผลทันทีหลังฉีด เหมาะกับผิวที่ไม่หย่อนคล้อยมากนัก
3.4  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Fillers : จะพบว่าเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือจะมีการสูญเสีย คอลลาเจน มวลกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่มวลกระดูก แล้วทำให้เกิดการหย่อนคล้อยขึ้น ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมส่วนที่หายไป (Volumn loss) หน้าจะกระชับขึ้นได้ ผิวหน้าเต่งตึง และดูเป็นธรรมชาติ  แต่ก็อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน ก็อาจจะต้องเติมซ้ำ (Touch up)

3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF): เป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นตัวควบคุมปริมาณของพลังงาน มีทั้งแบบยิงตื้นแค่ชั้นหนังแท้ (Bipolar RF) เช่น เครื่อง RF ทั่วๆ ไป และแบบยิงลงลึก (Monopolar RF) เช่น Thermage, Exillis Elite ฯลฯ ที่ลงลึก ถึงชั้นไขมัน เกิดความร้อน สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวที่แข็งแรง กระชับ นุ่มนวล และดูอ่อนกว่าวัย และอยู่ได้นานมากกว่า10-12 เดือน
3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นเสียง : โดยใช้คลื่นเสียง ( Focused Ultrasound ) ยิงลงไปในชั้นไขมัน เช่น HIFU หรือยิงลงลึก ถึงชั้น SMAS เช่น Ulthera เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยความร้อนเฉพาะจุด โดยพบว่า Ulthera จะแตกต่างจาก HIFU ตรงทีลงลึกกว่ามาก และแพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ผ่านหน้าจอของเครื่อง ( SEE and TREAT ) ทำให้การรักษาที่แม่นยำกว่าการยิง HIFU อยู่ได้นาน 3-18 เดือน แล้วแต่ชนิดหรือยี่ห้อของเครื่อง Ulthera คือ Gold Standard Treatment สำหรับการยกกระชับผิวหน้าที่ลงลึกสุดและถือว่า Ulthera คือเครื่องมือชนิดเดียวที่ US-FDA ให้การรับรองผลว่าได้ผลจริง


โบทอกวซ์ลิฟท์กรอบหน้า
Ulthera ยกกระชับทั่วหน้า
ฟิลเลอร์ยกกระชับร่องแก้ม

Posted on

Glutathione : สารต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษ ชะลอวัย แล้วยังช่วยให้สีผิวขาวขึ้น

Glutathione
สารต้านอนุมูลอิสระ( Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเรียกว่า Universal Antioxidant จากกระบวนปฏิกิริยา ชีวเคมีในเซลล์ทั่วไป
สร้างที่ไหนในร่างกาย
ที่ตับของเรา การสร้างสารนี้ต้องอาศัย เอนไซม์ อย่างน้อย 2 ชนิด ดังนั้น หากมียีนผิดปกติเกี่ยวกับเอนไซม์ ทั้ง2 ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้ จึงต้องมีการเสริมเพิ่มเติมทดแทน
ลักษณะทางเคมี
Glutathione เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic

บทบาทและหน้าที่ของสาร Glutathione

  1. การขจัดสารพิษ (Detoxification) กลูต้าไธโอน ช่วยสร้างเอ็นไซม์ ชนิดต่างๆ ในร่างกายโดยเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่นพวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์(สุรา) สารพิษจากบุหรี่
  2. ต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น(Antioxidant) จึงช่วยป้องกัน ริ้วรอยเหี่ยวย่นจากวัยที่มากขึ้น และป้องกันภาวะเสื่อมของเซลล์ได้ โดยในบางประเทศ ได้นำมาใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับคนชราที่มีปัญหาความจำเสื่อม หรือภาวะอัลไซเมอร์ และยังส่งเสริมให้วิตามินซี และวิตามินอี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และทำงานได้เต็มที่มากขึ้น
  3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้น การทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูต้าไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน มีรายงานการวิจัยทางการแพทย์หลายที่ ได้นำสาร Glutathione มาฉีดให้กับคนไข้โรคเอดส์ เพื่อเพิ่มระดับ CD4 ให้สูงขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง และลดอุบัติการณ์การติดเชื้อแทรกซ้อน
  4. ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้(skin whitening)โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น DOPAquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome, DHI….Pheomelanin,Eumelanin (ซึ่งกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำสีผิวคล้ำ ผลลัพธ์ คือทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เกิดขึ้นไม่ถาวร

บทบาทของ Glutathione ในแวดวงความงาม
จากคุณสมบัติของการเป็น Whitening และ Anti-Oxidant ของสาร Gluthathione ทำให้ได้มีการทำการสังเคราะห์สารตัวนี้ขึ้นมาทางกรรมวิธีทางเคมี โดยอาจจะอยู่ในรูปของอาหารเสริม หรือ ผสมกับไวเทนนิ่งตัวอื่นๆ เป็นคอกเทล แล้วนำมาใฃ้ประโยชน์ด้านความงาม โดยแบ่งได้เป็น
1. ชนิดรับประทาน : มักจะผสมในรูปของอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัว เช่น เปลือกสน เพราะจะเสริมฤทธิ์กันทำให้ได้ผลมากขึ้น เนื่องจากตัวกลูต้าเอง ดูดซึมไม่ดีนัก
2. ยาฉีด ถือว่าดูดซึมและได้ผลที่สุด เพราะตัวยาไม่ต้องผ่านขบวนการดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ บางประเทศ (ยกเว้นประเทศไทย ที่ยังไม่อนุญาตให้ฉีดได้ ) ได้มีการนำ Glutathione 600 มก. มาผสมกับวิตามินซี 2,000 มก. นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน
ผลข้างเคียงของการใช้สาร Glutathione 
– สีผิวขาวขึ้นโดยไปหยุดการสร้างเอ็นไซม์เม็ดสี ทำให้ผิวจะไวต่อรังสียูวีมากขึ้น และได้รับอันตรายมากขึ้นจากแสงแดด ทำให้เกิดฝ้า กระ หรือมะเร็งผิวหนังได้ง่ายขึ้น เหมือนคนผิวขาวทางตะวันตกที่มีอุบัติการณ์นี้ได้มากกว่าคนแถบตะวันออก
– กรณีที่ฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อหวังผลให้ได้มากขึ้น เร็วขึ้น อาจจะเกิดการแพ้ได้อย่างรุนแรง ถึงกับเสียชีวิตได้
– อาจจะทำให้จอประสาทตาไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้การมองเห็นผิดปกติได้

Posted on

Idebenone : สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ (Super -Antioxidants ) ชะลอวัย ที่ได้ผลดีกว่าทุกตัว

Idebenone คืออะไร

Idebenone คือ สารที่สังเคราะห์ที่พัฒนามาจาก สาร Co-enzyme Q10 ซึ่งเรารู้จักกันดี เป็นนวัตกรรมใหม่ของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงประสิทธิภาพจนได้รับการขนานนามว่าเป็น Super -Antioxidants Idebenone
Idebenone ดีกว่า Co-enzyme Q10 หรือสารต้านอนุมูลอิสสระตัวอื่น อย่างไร
Idebenone มีความแตกต่างจาก CoQ10 เนื่องจากการทำงานของ CoQ10 ใน mitochondria ค่อนข้างจำกัด และ Idebenone เป็นตัวช่วยให้การทำงานได้ดีขึ้น
และดีกว่า สาร Antioxidants ตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี เพราะมีขนาดของโมเลกุลเล็กมาก และสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน อีดีบีโนนจึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ทำให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งการทำงานของเซลล์หมายถึง การสร้างคอลลาเจน และการทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระด้วย
อีดีบีโนนมีประสิทธิภาพโดดเด่นกว่าสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ โดยใช้ค่า EPF (Environment Protection Factor) หรือ ค่าการปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อม เป็นตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสาร Antioxidants ซึ่งได้ทำการทดสอบ 6 ตัว ดังตารางนี้ ซึ่งดูได้จากตารางการเปรียบเทียบข้างล่าง โดย พบว่า Idebenone เป็น Super -Antioxidants ที่ได้ผลดีกว่า และมากกว่า Coenzyme Q10 ถึง 40 เท่า

Test
Idebenone
CoQ10
Vitamin E
Vitamin C
Kinetin
Lipoic Acid
Sunburn Cell Assay
20
6
16
0
11
5
Photochemiluminescence
20
15
20
20
10
5
Primary Oxidative Products
16
5
10
3
20
4
Secondary Oxidative Products
19
12
17
12
10
 
UVB-Irradiated Keratinocytes
20
17
17
17
17
7
Total Points
95
55
80
52
68
41

ที่มา : Paper presented by DiNardo Joshep C., Lewis Joseph A. II, Neudecker , Birgit A. MD , Bekyarov Dimitar MD , Wieland Eberhard MD , Maibach Howard I. MD at Annual Meeting of the American Academy of Dermatology ; February 6-11 ,2004 ; Washington , DC.

บทบาทสำคัญของสาร Idebenone

  1. ใช้รักษาภาวะ ความผิดปกติของสมองจากระบบหลอดเลือด ( vascular cerebral pathology )
  2. ภาวะสมองเสื่อมตามอายุ ( degenerative cerebral pathology ) ได้แก่ ภาวะความจำเสื่อม การรับรู้ที่ผิดปกติ การพูด ความสนใจผิดปกติ หรือ ความผิดปกติทางสมองที่แสดงออกทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย ( psycho-motor activity disorders ) รวมถึง ความผิดปกติด้านอารมณ์
  3. สารต้านอนุมูลอิสระและอาหารเสริมสำหรับภาวะชะลอวัย ( Anti-Aging Products) เพื่อป้องกันและลดปัญหาริ้วรอย และภาวะเสื่อมตามวัย
  4. ภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ ( Cerebral arteriosclerosis)
  5. เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ (Consequences arising from cerebral infarction or cerebral haemorrhage.)
  6. ความจดจำรับรู้เสื่อม ตามอายุ (Cognitive senile deficit) หรือ กลุ่มโรคสมองเสื่อม ( Multi-coronary dementia)
  7. โรคของหลอดเลือดสมองผิดปกติชนิดเรื้อรัง( Chronic cerebral-vascular disease)
  8. ความจำเสื่อมจากโรคอัลไซม์เมอร์ ( Slight or moderate Alzheimer’s-type dementia)

ผลข้างเคียงของยา 

พบว่าอัตราการเกิดผลข้างเคียง พบได้น้อยมาก โดยทั่วไปก็คล้ายๆ ยารับประทานตัวอื่นๆ ทั่วไป อาทิ การแพ้ยา ระบบอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ระบบประสาท เช่น ปวดหัว เวียนหัว นอนไม่หลับ ซึม ระบบเลือด เช่น เม็ดเลือดขาวบางตัวต่ำ ค่าการทำงานของตับสูงขึ้น เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

Posted on

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน หลายคนไม่ต้องการ หยุดยั้ง สาเหตุ ป้องกัน รักษาได้ ไม่ต้องกังวล

สาเหตุของผมร่วง

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน : เป็นปัญหาที่พบได้ 10 % ของคนเอเซีย และ 50% ในคนยุโรป อเมริกา โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผมร่วงถ้าเกิน 100 เส้นต่อวัน ถือว่าผิดปกติ ต้องรีบหาสาเหตุแก้ไข ก่อนจะหัวล้าน
สาเหตุของผมร่วง
1. ผมร่วงแบบมีแผลเป็น: มักเกิดจากการมีบาดแผล หรืออุบัติเหตุ เป็นส่วนใหญ่ บางครั้ง อาจเกิดจากการติดเชื้อเช่น งูสวัด โรคSLE ซึ่งมักแก้ไข หรือทำให้เกิดผมใหม่ได้ยาก แบบนี้อาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ( Hair Transplantation)

2. ผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น: 90% ของผมร่วง จะเป็นแบบไม่มีแผลเป็น พอจะมีทางแก้ไขให้มีผมงอกขึ้นมาใหม่ได้ โดยสาเหตุของผมร่วงชนิดนี้ แบ่งย่อยได้เป็น
2.1 กรรมพันธุ์ พบได้ 30% ของคนที่มีปัญหาผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น มักเกิดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางคนอาจพบว่าผมเริ่มร่วงและบาง ตั้งแต่วัยรุ่นและศีรษะล้าน-บาง ก่อนวัยกลางคนเสียอีก ลักษณะผมบางจากกรรมพันธ์ุ มักจะพบค่อยๆ เถิกไปทางด้านหน้า หรือแง่งผม คล้าย M-Shaped
2.2 ฮอรโมนเพศชาย DHT สูงกว่าปกติ : พบได้ 30% โดยฮอร์โมน ทำให้อายุขัยของเส้นผมสั้นกว่าปกติ ทำให้ผมงอกใหม่ทดแทนไม่ทัน ลักษณะผมบางจาก DHT สูงมักจะพบค่อยๆ ผมร่วงบางบริเวณกระหม่อม หรือกลางศีรษะ ในผู้ชาย หรือบางทั่วๆ ไป ในผู้หญิง

2.3 ความเครียด(Stress) พบว่าความผิดปกติทางอารมณ์ จะทำให้หลอดเลือด ที่มาเลี้ยงบริเวณหนังศีรษะหดตัว ทำให้เซลล์ผมขาดสารอาหาร จึงทำให้ผมแฟบเล็กลงและร่วงในที่สุด ผมร่วงจากความเครียด มักจะร่วงทั่วไปทั้งศีรษะ บางเท่าๆ กัน
2.4 โรคผมร่วงหย่อม (Alopecia Areata -AA ) ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรรมพันธุ์ ปฎิกิริยาออโตอิมมูนในร่างกาย ความเครียด ลักษณะผมร่วงประเภทนี้ จะร่วงแหว่งเป็นวงๆ อาจจะวงเดียวหรือหลายวง ได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่
2.5 การติดเชื้อที่หนังศีรษะ( Infection) จาก เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา บนหนังศีรษะ ซึ่งจะทำให้หนังศีรษะอักเสบเกิดอาการคัน มีรังแค จึงเกิดการเกาและดึงรั้งเส้นผม ทำให้ผมร่วง ลักษระผมร่วงแบบนี้ มักจะร่วงทั่วๆ ไป หรือบางหย่อมได้

2.6 โรคประจำตัวบางอย่าง(Chronic Disease) เช่น มะเร็ง โรคต่อมทัยรอยด์ผิดปกติ ซิฟิลิส หรือ ได้รับสารหรือแพ้ยาบางตัว เช่น ยาต้านมะเร็ง ยาในกลุ่มรักษาโรคไทรอยด์ หรือจากผลของยาบางตัว เช่น
– ยาในกลุ่มรักษาโรคหัวใจหรือใจสั่น
– ยาในกลุ่มป้องกันการแข็งตัวของเลือด
– ยารักษาโรคเก๊าท์ วิตามินA
– ยาเคมีบำบัดการฉายรังสี
2.7 ผลจากการกระทำของตนเอง( Trichotillomania) ซึ่งเกิดจากอุปนิสัยของเราเอง เช่น การชอบถอนผม การแกะเกา ดึงทึ้งผม การถอนผมคัน เวลาเผลอ ที่เวลาใช้ความคิด
– หรือคนไข้ที่มีปัญหาทางสภาพจิตใจ เครียด แล้วดึงทึ้งผม มักจะทำซ้ำๆ โดยมักจะเกิดบริเวณเดิม ๆ และมีรูปแบบของการบางไม่ชัดเจนเหมือนแบบอื่นๆ

การป้องกันและรักษา

1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดปลูกผม
     1.1 หาสาเหตุ   โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หรือาอาจจะตรวจเลือด ถ้าพบสาเหตุก็จะรักษาที่สาเหตุที่ทำให้ร่วงก่อ  เช่น รักษาภาวะอักเสบของหนังศีรษะ การติดเชื้อ ลดภาวะเครียด  แก้ไขพฤติกรรมในบางอย่างในผู้ป่วยที่ชอบดึงทึ้งผม แก้ไขโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับผมร่วง
1.2. กรณีที่ผมร่วงจากพันธุกรรม หรือ ฮอร์โมน DHT พบได้บ่อยสุดถึง 60-70 %  สามารถทำการรักษาได้่ง่ายๆ 3 วิธีดังนี้
1.2.1 การเลือกใช้แชมพู โลชั่น ยารับประทาน ควรรับประทานยาลดระดับฮอร์โมน DHT และทาโลชั่นปลูกผม และ/หรือร่วมกับการรับประทานวิตามินสำหรับเส้นผม
1.2.2 Laser Hair : ใช้เลเซอร์ ชนิด Diode Laser ทำการปล่อยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า เลเซอร์เย็น(Cold beam) ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม เพื่อให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Photo-Biostimulation ซึ่งกล่าวถึง “แสงคือพลังงานอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สามารถอยู่รอดได้ด้วยแสง และเซลล์เส้นผมก็คือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง จึงเข้าข่ายในทฤษฎีนี้ด้วย”

  1.2.3 Meso-hair : เป็นการฉีดสูตรยา หรือคอกเทลยา กับวิตามินสำหรับเส้นผม หรือบางคนใช้ PRP ที่เป็นเลือดปั่นเอาพลาสมา ที่เชื่อว่ามี Stem cell สร้างเส้นผมใหม่ ฉีดด้วยปืนดิจิตอลเข้าไปที่หนังศีรษะที่บาง ลึกลงไปถึงเซลล์ผม ซึ่งเป็นการรักษาที่นำมาเสริมการรับประทานยาและยาทา โดยมีรายงานจากฝรั่งเศสว่า ช่วยทำให้เส้นผมงอกได้เร็วขึ้นและเพิ่มขึ้น กว่าเดิมถึง 2-3 เท่า
2. การทำศัลยกรรมปลูกย้ายรากผม :
การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation) เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน มักจะใช้ในกรณีที่ศีรษะล้านมาก หรือใช้การรักษาด้วยวิธีที่ 1 แล้วได้ผลไม่เต็มที่ โดยอาจจะใช้การผ่าตัดด้วยศัลยแพทย์เฉพาะทางเส้นผม หรือใช้หุ่นยนต์ปลูกย้ายรากผม  ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ ได้ผลไว แต่หลังทำ ก็ต้องป้องกันด้วยการรับประทานยา ป้องกันผมร่วงกลับมาใหม่

Posted on

หวีเลเซอร์เย็น (Cool Laser Hair Treatment ) ลดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำได้ ไม่ต้องเจ็บตัว

เลเซอร์เย็น คืออะไร

คือ เลเซอร์ชนิด Diode Laser ที่มีการปล่อยแสงเลเซอร์สีแดง ความยาวช่วงคลื่น ประมาณ 600 nm โดยพลังงานเลเซอร์จะออกมาจากซี่แปรงของหวี โดยใช้หลักการ Low Level Laser Therapy (LLLT) หรือ แสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า Cold beam ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม
โดยพบว่าจะไปออกฤทธิ์ที่ Mitochondria ของเซลล์เส้นผมให้มีการสร้างพลังงาน ATP มากขึ้น จึงช่วยทำให้เกิดนำออกซิเจน มาเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น จึงทำให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น และมีความเงางามมากขึ้น

หวีเลเซอร์ รักษาเส้นผมบาง

Laser -comb ( Hairmax) จัดเป็นเครื่องมือเลเซอร์พลังงานต่ำ (Low Level Laser therapy) ชนิดแรกของโลก ที่นำมารักษาปัญหาเส้นผม โดยได้รับการรับรองจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และผ่าน อย. ของประเทศไทยแล้ว ว่าเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และช่วยทำให้สุขภาพเส้นผมดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารของ TIME ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2000 (Invention of the year) นอกจากนี้ Barbara walters ยังยกย่องให้เป็น Hot New Product และลงข่าวในรายการของ ABC,CBS,FOX และ NBC เผยแพร่ทั่วโลกด้วย
Lasercomb( Hairmax) เมื่อทำการฉายไปบนหนังศีรษะในพลังงานและระยะเวลาที่เหมาะสม พบว่าพลังงานแสงที่ปล่อยออกให้นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานและนำออกซิเจนให้แก่เส้นผมแล้ว ยังสามารถ จะช่วยนำพาซึ่งสารอาหาร วิตามิน ยา (ที่รักษาเส้นผม) มาสู่เซลล์ผมได้มากขึ้น จังนิยมนำมาฉายแสงเลเซอร์ ก่อนการทำ Mesohair จะช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

หลังจากหวีเลเซอร์ (Hairmax) ออกสู่ท้องตลาดได้ ไม่นาน ก็มีหวีเลเซอร์ยี่ห้ออื่นๆ ออกมาในตลาดมากมาย หลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้รับการรับรองว่าได้ผลดี เหมือนกับ ของ Hairmax ต่อมาHairMax ได้มีการพัฒนาให้มีหลากหลายแบบมากขึ้น ทั้งแบบคาดผม สวมทิ้งไว้ และด้วยหลักการที่ บางที่ได้มีการพัฒนาแบบครอบทั้งศีรษะ ให้นั่งทำการฉายแสงเลเซอร์เย็น
มีการทดลองและงานวิจัยมากกว่า 3,500 ชิ้น ที่พบว่า หลักการดังกล่าวได้ผลดี โดยพบว่า 93% ของผู้รับบริการ พึงพอใจต่อผลการรักษา โดยพบว่า 45 % ของผู้ใช้ สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 6 อาทิตย์ และพบว่า 45% พึงพอใจหลังการใช้ในอาทิตย์ที่ 6-12 และพบว่า 10% ของผู้ใช้ พึงพอใจหลังใช้แล้ว มากกว่า 12 อาทิตย์

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว
Posted on

วัยรุ่น ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อให้ร่างกายเติบโตได้อย่างเต็มที่

วัยรุ่น ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก( WHO 1986a) คือ วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายในลักษณะที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เป็นช่วงที่มีการพัฒนาด้านจิตใจจากเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงจากภาวะพึ่งพาพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไปสู่การพึ่งพาตนเอง และต้องรับผิดชอบ ส่วนใหญ่คนเราจะก้าวสู่วัยรุ่น เมื่ออายุได้ประมาณ 10-13 ปี และสิ้นสุดอายุวัยรุ่นเมื่ออายุ 19 ปี แล้วก็ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในอายุครบ 20 ปี

การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่น มีดังนี้

  1. มีการขนาดของสรีระ ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก อย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่ร่างกายสร้างเนื้อกระดูก และความแข็งแกร่งของกระดูก นับเป็นช่วงสุดท้ายของ ชีวิตเด็กที่จะสามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการได้เต็มศักยภาพตามพันธุกรรม
  2. ในผู้หญิงมีการขนาดของหน้าอก ตั้งแต่อายุ 8 ปี และจะขยายจนเต็มที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12-18 ปี
  3. เริ่มมีพัฒนาการของขนตามส่วนต่างๆ ที่แสดงลักษณะทางเพศ เมื่ออายุ 9-12 ปี และมีการขยายขนาดของอวัยเพศเมื่ออายุประมาณ 12 ปี
  4. เสียงเริ่มแตกพร่า และห้าวขึ้นเมื่ออายุประมาณ 14 ปี และเป็นอยู่ประมาณ 1-2 ปี จึงจะบังคับเสียงได้ปกติ
  5. ในผู้หญิงจะเริ่มมีรอบเดือนในช่วงอายุ 10 -15 ปี
  6. มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ จิตใจ และการเข้าสังคม
    จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากมายเช่นนี้ ทำให้ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีความต้องการพลังงานและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณสูง
    ถ้ามีรูปแบบการบริโภค ที่ไม่เหมาะสมและถูกต้อง มีค่านิยมที่ผิด เช่น กลัวจะอ้วน รูปร่างไม่สมส่วน ทำให้มีการจำกัดอาหาร และขาดการออกกำลังกาย จะทำให้การเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เกิดภาวะชะงักงัน ภาวะทุพโภชนาการ ทำให้เกิดภาวะแคระเกร็น ตัวเตี้ย สมองไม่พัฒนาทำให้การเรียนรู้ลดลง จนอาจจะทำให้ เกิดโรคภัยประจำตัวในอนาคตได้

แนวทางโภชนาการที่ดี สำหรับวัยรุ่น กรมอนามัยแนะนำให้วัยรุ่นไทยอายุระหว่าง 13-18 ปี ปฏิบัติตนดังนี้

  1. ควรรับประทานโปรตีน ร้อยละ 10-15 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  2. ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 45-65 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  3. ควรรับประทานไขมัน และน้ำมัน ร้อยละ 20-30 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน โดยเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ10
  4. ควรรับประทานผัก ปริมาณ 2-4 ส่วนต่อวัน หรือประมาณ 4-6 ทัพพี ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  5. ควรรับประทานผลไม้ ให้ได้วิตามินและเกลือแร่ ปริมาณ 3-5 ส่วนต่อวัน
  6. ควรรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม วันละ 1-2 แก้ว
  7. ควรรับประทานแคลเซี่ยม เพื่อการพัฒนาการของกระดูกที่ดี โดยควรได้รับปริมาณ 1,200-1,500 มก.ต่อวัน หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่นผักใบเขียว ก้านผัก ปริมาณ 2-3 ส่วนต่อวัน
  8. ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ เครื่องในสัตว์ เพื่อการพัฒนาที่ดีของกล้ามเนื้อ และระบบเลือด ในปริมาณ 12-15 มก.ต่อวัน
  9. ลดปริมาณการบริโภคอาหารที่มีรสหวานจัด หรือเค็มจัด ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อย
  10. ในวัยรุ่นที่เล่นกีฬา ควรรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงกว่าปกติ เน้นอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต กลุ่มที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม และธาตุเหล็ก ดื่มน้ำใน ปริมาณที่เพียงพอในช่วงที่เล่นกีฬา และอาหารว่างควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว ควรปรึกษานักโภชนาการเป็นพิเศษ สำหรับการเลือกรับประทาน
  11. ไม่แนะนำให้วัยรุ่นทานอาหารกลุ่มมังสวิรัติ เพราะส่วนใหญ่จะเลือกรับประทานไม่ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ มักจะเกิดภาวะขาดอาหาร หรือวิตามินได้

ตัวอย่างรายการอาหารสำหรับวัยรุ่น

วัยรุ่นชาย : มื้อเช้า – ข้าวสวย 4 ทัพพี ต้มเลือดหมูตำลึง 1 ถ้วย ส้มเขียวหวาน 1 ผล , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ 1 ชาม นม 1 กล่อง ผลไม้ เช่น สับปะรด 8 คำ หรือฝรั่ง 1 ผลขนาดกลาง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 4 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก ต้มยำไก่ใส่เห็ด 1 ถ้วย และส้มโอ 2 กลีบ , มื้อก่อนนอน : กล้วยน้ำว้า 1 ผล

วัยรุ่นหญิง : มื้อเช้า – ข้าวต้มทะเล 1 ถ้วย มะละกอ 8 ชิ้นคำ , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1 ชาม นม 1 กล่อง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 3 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก แกงจืดเต้าหู้สาหร่าย 1 ถ้วย มะม่วงสุก 1/2 ผล

ดังนั้นสรุปแนวทางในการปฏิบัติและแก้ไขด้านโภชนาการสำหรับวัยรุ่นให้มีสุขภาพที่ดีนั้น จึงควรส่งเสริมให้รับประทานอาหารอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ และ ควรให้ครบทั้ง 5 หมวดอาหาร คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ -วิตามิน และน้ำ โดยมีความหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ ร่วมกับการมีการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดยออกกำลังกายในแง่เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อร่วมด้วย ส่วนอาหารประเภทฟาสต์ฟูด ซึ่งเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ จะทำให้เกิดภาวะอ้วน และไม่แข็งแรง ในระยะยาวอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ได้ จึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารมาเป็นกลุ่มสร้างเสริมแคลเซียม และธาตุเหล็ก จะได้ประโยชน์สำหรับอายุในช่วงนี้มากกว่า

Posted on

งานวิจัย : “การเดิน” ช่วยป้องกันสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ได้ เดินไกลแค่ไหน จึงจะได้ผล

ปัญหาโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์)
เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่สูงอายุทั้งเพศชายและเพศหญิง การรักษาในปัจจุบันยังได้ผลไม่ค่อยดีนัก แม้จะมียาป้องกันและรักษามากมาย กลุ่มแพทย์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้พยายามหาทางป้องกันและรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
การเดินช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้อย่างไร
โดยพบว่าการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
– ได้มีการทดลองโดย Abbott RD และคณะ จากสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองและวิจัยกลุ่มคนสูงอายุ จำนวน 2,257 ราย ในกลุ่มอายุ 71-93 ปี โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้การเดินแบบไม่หักโหม กับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาระหว่างปี 2534-2536 โดยเลือกกลุ่มที่มีสมรรถภาพ ทางกายอยู่ในเกณฑ์ดี และติดตามผลการตรวจร่างกายทางระบบประสาท 2 ช่วงเวลา คือ ระหว่างปี 2537-2539 และระหว่างปี 2540-2542 แล้วใช้แบบทดสอบ ที่ได้มาตรฐานเป็นเกณฑ์วัด

ผลการศึกษ
พบว่า ในจำนวน 2,257 รายนี้ พบว่าเกิดโรคสมองเสื่อมขึ้นในระหว่างที่ศึกษา จำนวน 158 ราย (คิดเป็น 15.6 คน/1000 คน/ปี) ในจำนวนนี้พบว่า
– 101 คน เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างเดียว แบบไม่ทราบสาเหตุ
– 30 คน เป็นอัลไซเมอร์จากหลอดเลือดผิดปกติ
– ที่เหลืออีก 27 คน เป็นทั้ง 2 แบบ ร่วมกับภาวะอื่นๆ เช่น พาร์กินสัน
แบ่งกลุ่มตามลักษณะการเดินพบ
ผลการทดลองดังนี้
– คนที่เดิมมากกว่า 2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 10.3 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 1-2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 14.1 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 0.25-1 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.6 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.8 คน/1000 คน/ปี

ผลสรุป
พบว่า คนที่ออกกำลังกายโดยการเดินน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน จะมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่เดินมากกว่า 2 ไมล์/วัน ถึง 1.9 เท่า ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ให้ความเห็นว่า การเดินช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมในคนสูงอายุได้ผลอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ชาย ส่วนในผู้หญิง ที่ออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการเดินอย่างสม่ำเสมอ มีความสามารถทางสมอง สติปัญญา และความคิด ความจำได้ดีกว่ากลุ่มที่ออกแรง กายน้อยกว่าเช่นกัน

Posted on

เส้นเลือดขอด(Varicose Vein) รักษาได้ ถ้าแก้ไขที่สาเหตุของปัญหา อวดขาได้ไม่อายใคร

เส้นเลือดขอดคืออะไร

คือ ภาวะหรืออาการของผนังเส้นเลือดดำเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการยืดขยายของเส้นเลือดอย่างไม่เป็นระเบียบ เกิดการพองขยายตัวเป็นแนวคดเคี้ยว มักจะพบในชั้น ผิวหนังชั้นผิว ( Superficial areas) ในบริเวณขา โดยเฉพาะที่น่องและต้นขา ส่วนบริเวณอื่นๆ พบได้น้อย เช่น ที่ข้อเท้า หลังเท้า
สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดขอด
1. พันธุกรรม : กรณีที่มีประวัติครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นเส้นเลือดขอด จะทำให้มีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดได้มากกว่าคนปกติ
2. หญิงตั้งครรภ์ : จะเกิดการอุดตัน การปรับของเส้นเลือดดำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและมดลูกที่โตขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ความดันภายในทำให้เลือดไหลกลับไปช้าลง ซึ่งอาการเส้นเลือดขอดนี้ ปกติหายได้เองภายใน 3 เดือน แต่บางคนก็ยังคงมีอาการอยู่
3. อาชีพที่ต้องยืนนานๆ เช่น พนักงานขาย พยาบาล ครู ช่างผม ช่างแต่งหน้า ฯลฯ
4. น้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้เกิดแรงดันที่สูงขึ้นภายในหลอดเลือดบริเวณขา เป็นสาเหตุให้เกิดเส้นเลือดขอดที่ขาได้
5. ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดบริเวณที่ขา เกิดการเสื่อมประสิทธิภาพขึ้นมาได้ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดติดขัดไปด้วย

อาการ ข้อสังเกตเบื้องต้น และการป้องกัน

1. ถ้าเดินหรือยืนนานๆ แล้วมีอาการเป็นตะคริว ปวดเมื่อยบริเวณขา ปวดตึงบริเวณน่อง หรือมีอาการขาบวมร่วมด้วย ก็มีแนวโน้มว่าโรคเส้นเลือดขอดได้มาเยือนเราแล้ว
2. ถ้าเป็นมากขึ้น จะสังเกตเห็นเส้นเลือดในบริเวณขา ชัดขึ้น ผนังมักจะมีคล้ำ และคดเคี้ยวไปมา
3. อาชีพที่มีความเสี่ยง ควรจะการป้องกัน เฝ้าระวังอาการมิให้เป็นมากขึ้น โดยการใส่ ถุงน่องเส้นเลือดขอด จะทำหน้าที่ในการบีบรัดบริเวณขาเวลาที่เราเดินหรือยืน ระดับแรงดันที่แนะนำคือ Class 2 (20-35 mmHg) ซึ่งเป็นระดับที่แพทย์ แนะนำให้ใช้และควรใส่ตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ยกเว้นขณะที่นอนไม่ต้องใส่ แต่ให้ยกปลายเท้าให้สูงประมาณ 30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้สะดวกขึ้น
4. ควรหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งห้องเท้านานๆ
5. อาการเจ็บปวดป็นมากขึ้น เมื่อเราต้องยืนเป็นเวลานานๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนที เช่น แผลเรื้อรัง การอักเสบของเส้นเลือดขอด ขาบวม ปวดขา แนะนำว่าควรไปพบแพทย์

การรักษาเส้นเลือดขอด

1. การฉีดสารทำให้เส้นเลือดขอดยุบตัว (Sclerotherapy) : มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1-3 มม. โดยทำการฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการทำลายผนังเส้นเลือด เช่น Aethoxysclerol,3% Nacl วิธีนี้สามารถทำได้ทั้งที่คลินิก และรพ. เพราะไม่ต้องนอนพักฟื้นรักษาตัว แต่หลังฉีดยาควรจะพันด้วย ผ้า Elastic Bandage ไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อทำให้เส้นเลือดยุบตัวได้ดีขึ้น แต่การรักษาแบบนี้ก็ไม่หายขาด อาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ นอกจากนี้อาจจะมีผลข้างเคียงตามมาได้เช่น ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีรอยดำคล้ำตามแนวที่ฉีดยา ผิวหนังอาจจะมีเนื้อตาย( Skin Necrosis) มีอาการปวดบริเวณที่ฉีด หรือเกิดการแพ้ยา
2. เลเซอร์ คือการใช้เลเซอร์ ความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร   ถ้าเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 3 มม. แล้วปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปทำลายเส้นเลือด หลังทำไม่ต้องนอน รพ.วิธีนี้เป็นการรักษาที่ไม่เกิดบาดแผล มีความปลอดภัยและรวดเร็ว และเจ็บตัวน้อยที่สุด คนที่มีเส้นเลือดขอด แต่วิธีนี้จำเป็นต้องทำหลายครั้ง ในทุกๆ 6-12 สัปดาห์ และต้องทำต่อเนื่องไปนานหลายปี จนเส้นเลือดขอดหายไปจริงๆ

3. การผ่าตัด: มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางประมาณ 4-6 มม. โดยศัลยแพทย์ระบบหลอดเลือด จะทำการตัดเส้นเลือดขอดที่มีปัญหา ออกไป มักจะทำกรณีเป็นรุนแรง ขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ ช่วงขาพับ ขาหนีบ วิธีนี้มักจะหายขาด หลังผ่าตัดควรใส่ถุงน่องสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ และควรใส่ตลอดเวลา เป็นเวลาติตต่อกันไม่น้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดพบได้น้อย โดยอาจจะมีจ้ำเลือดใต้ผิวหนังได้ในบริเวณที่ผ่าตัด แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
4. การรักษาเส้นเลือดขอดโดยคลื่นความถี่วิทยุ วิธีนี้จะใช้การเจาะผ่านรูเข็มขนาดเล็ก แล้วใส่ไปในขดลวดขนาดเล็ก โดยคลื่นตัวนี้จะไปทำให้ผนังเส้นเลือดดำฝ่อลง แต่หลังจากทำไปแล้ว ก็ต้องคอยสังเกตอาการอีกที เพราะอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุนี้ ไม่ทำให้เจ็บปวด ใช้เวลาไม่นาน
5. การทานยาเพื่อบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด เป็นยาในกลุ่มไดออสมินและเฮสเพอริดิน เป็นตัวยาที่จะยับยั้งกระบวนการอักเสบให้ลดลง และช่วยให้ลิ้นในหลอดเลือดดำ กลับมาเป็นปกติ

Posted on

เซลลูไลท์ (Cellulite) ศัตรูตัวร้าย ที่ทำลาย ความมั่นใจ กำจัดออกไปได้ ไม่เจ็บตัว

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร

คือ ก้อนไขมันใต้ผิวหนังที่ทำให้ผิวหนังแลดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนเปลือกผิวมะกรูด เชื่อว่าเกิดจากการที่ไขมันเคลื่อนตัวสูงขึ้นมาอยู่ในชั้นของผิวหนัง หรือเกิดจากการที่มีการไหลเวียน ของระบบเลือดในบริเวณนั้นลดลง การคั่งของน้ำเหลือง และฮอร์โมนที่ไม่สมดุล
– เหตุผลที่ไขมันส่วนนี้ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ เพราะไขมันใต้ผิวหนังบางครั้งมีจำนวนมากจนกลายเป็นก้อนไขมัน ซึ่งแต่ละก้อนจะมีเปลือกเหนียวๆ หุ้ม ทำให้แลดูภายนอกเห็นเป็นลอนๆ ของก้อนไขมัน
– บริเวณที่มีการสะสมของเซลลูไลท์มากก็คือ บริเวณต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง รอบเอว และสะโพก เราสามารถตรวจสอบเซลลูไลท์ด้วยตัวเองโดยใช้วิธีง่ายๆ คือ ถ้าลองใช้สองมือบีบตรงต้นขา ถ้าพบกับผิวหนังที่มีลักษณะขรุขระเป็นก้อนคล้ายผิวส้ม นั่นคือเซลลูไลท์

การรักษาเซลลูไลท์

1. ควบคุมอาหาร และป้องกันมิให้อ้วนเพิ่มขึ้น : จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ต้านเซลลูไลท์ เช่น พืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพราะวิตามินอีและซีจะช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น และอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืช จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตให้มากขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูง ของหวาน อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
2. การออกกำลังกาย : พบว่าการออกกำลังกายอาจทำให้ผิวที่ตะปุ่มตะป่ำดูดีขึ้น เพราะการออกกำลังกายทำให้เกิดการเผาผลาญ ไขมันเป็นพลังงานทำให้ก้อนไขมันมีขนาดเล็กลง นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดโตขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อที่โตขึ้นมักมีขนาดสม่ำเสมอ (ไม่เหมือนก้อนไขมันที่เวลาโตมักแลดูตะปุ่มตะป่ำ) จึงทำให้แลดูว่าผิวเรียบขึ้น
3. การนวด : โดยใช้ฝ่ามือนวดไปมาลงน้ำหนักที่ละน้อย เริ่มจากหัวไหล่เพื่อลดบริเวณแขน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ก็ใช้ฝ่ามือทั้งสองนวดสลับกันจากหน้าท้องถึง หน้าอก บริเวณสะโพกนั้นลูบขึ้นในลักษณะเดียวกัน และบริเวณเรียวขา เริ่มตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงบริเวณขาอ่อน นวดให้ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรียวขา ซึ่งอาจจะ ใช้ควบคู่กับครีมลดไขมันเฉพาะส่วน หรือใช้เครื่องนวดที่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้เซลลูไลท์แตกตัว แต่ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ช่วยในเรื่องของการกระชับชั่วคราวมากกว่า

4. X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ในการสลายเซลลูไลท์ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน ( Acoustic wave technology ) แบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว
5. การสลายไขมันส่วนเกิน อาจจะทำได้ทั้งแบบศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดดูดไขมัน (Liposuctions) ทั้งด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ (VASER) หรือใช้เลเซอร์ในการดูดไขมัน หรือ อาจจะใช้เครื่องมือที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น การสลายไขมันด้วยความเย็น (Coolsculpting )หรือด้วยความเลเซอร์ร้อน (Sculture)

Posted on

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy): รักษารอยแตกลาย ได้ผลดี และสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะที่

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) คืออะไร

คือ เครื่องมือที่นำมาทำการรักษารอยแตกลาย สลายไขมันส่วนเกิน หรือเซลลูไลท์ โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เข้าไปที่ชั้นผิวหนังที่แตกลาย หรือชั้นไขมัน
หลักการทำงานของ Carboxytherapy :
1. รอยแตกลาย : การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ในรอยแตกลาย ด้วยความดันสูง จะทำให้ผิวแตกลายที่เป็นพังผืด ฉีกขาด เกิดจากซ่อมแซม สร้างเซลล์ผิวใหม่ สีผิวที่ซีดจาง จะกลับมาเกือบเป็นสีผิวปกติ รอยแตกลายจึงดูจางลง
2. การสลายไขมัน : ก๊าซที่ฉีดเข้าชั้นไขมัน จะละลายกับน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค กรดคาร์บอนิค ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด แล้วเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันให้แตกออก จึงกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และเกิดเส้นเลือดใหม่ขึ้นมา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
2.1 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำหน้าที่กำจัดและทำลายเซลล์ไขมัน
2.2 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำหน้าที่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดการขับของเสีย หรือไขมันออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น


ตอนนี้ใช้รักษาอะไร

คาร์บ๊อกซี่เธอราปี ได้มีการนำเข้ามาใช้แล้วในวงการความงาม เมื่อประมาณปี พ.ศ . 2548  ตอนนั้นถือเป็นเครื่องสลายไขมัน ยุคแรกๆ เป็นทางเลือกแรกในการสลายไขมันเฉพาะที่ ที่สนนราคาไม่แพง  และสะดวก ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่หลังจากที่มีเครื่องมือและวิธีใหม่ๆ ในการสลายไขมันออกมาสู่ท้องคลาด เช่น การฉีดเมโสแฟต การสลายไขมันด้วยความเย็น(Coolsculpting) การสลายไขมันและกระชับสัดส่วนในเครื่องเดียว เช่น Exilis Elite จึงทำให้การสลายไขมันด้วยเครื่องคาร์บอกซี่ ลดความนิยมลง เพราะช่วงทำ จะค่อนข้างเจ็บมาก ใช้เวลาทำแต่ละครั้งนาน และต้องทำหลายๆ ครั้ง จึงจะเห็นผลขัดเจน
ปัจจุบัน เครื่องคาร์บอกซี่ จึงยังนิยมใช้เฉพาะกับการรักษายังใช้ในการรักษารอยแตกลาย เพราะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียง ไม่เกิดรอยดำหลังทำเหมือนกับการยิงเลเซอร์รักษารอยแตกลาย

Carboxy รักษารอยแตกลายต้นขา
Carboxy รักษารอยแตกลายหลังคลอด
Posted on

การดูแลผิวพรรณ และขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิว อย่างไรให้ถูกวิธี เมื่อย่างเข้าหน้าหนาว

เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว สุขภาพผิวพรรณในช่วงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ผิวหน้าจะแห้งตึงได้ง่าย การบำรุงดูแลผิวหน้า อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จึงจะแนะนำขั้นตอนในการดูแลผิว ในช่วงหน้าหนาวกันอย่างง่าย ๆ ดังนี้นะครับ

  1. เช็คผิวหน้าก่อนว่า ลักษณะผิวในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวผสม ในช่วงนี้
  2. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือกที่ไม่มีฟองมากนัก เพราะฟองมากๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงได้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีส่วนประกอบของสารเคลือบผิว เช่น Lanolin,Urea ซึ่งมักจะพบในกลุ่มเจลล้างหน้า หรือโฟมไม่มีฟอง เพื่อลดการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  3. ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพราะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงมากขึ้น
  4. ไม่ควรดูดสิวเสี้ยนในช่วงนี้ เพราะจะทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย
  5. งด หรือละเว้นการขัดหน้าด้วยครีมที่มีเม็ดขัดหน้าในช่วงนี้
  6. ควรดื่มน้ำสะอาด มากๆ เพื่อเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  7. ควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดเกลี้ยง เมื่อกลับถึงบ้าน และทาครีมบำรุงผิวทันที
  8. สำหรับผิวผสม บริเวณ T-zone ที่มัน อาจใช้สบู่ล้างหน้ าหรือโลชั่นเช็ดหน้าได้บ้าง
  9. มาส์คหน้า อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ด้วยครีมบำรุง สำหรับสาวผิวแห้ง
  10. หลีกเลี่ยง การทำ Peeling ไม่ว่า ด้วย AHAs,BHAs ,TCA หรือ ครีม เจลที่ส่วนผสมของกรดผลไม้ เพื่อป้องกันผิวหน้าลอกมากขึ้น
  11. กรณีที่ทำไอออนโตประจำ แนะนำให้ลดความเข้มข้นของ วิตามินเอที่ใช้ทำประจำ และเพิ่มสารหล่อลื่นผิว เช่น Hyaluronic
  12. กรณีที่รับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ เช่น roaccutane,acnotin,Isotane อาจจะต้องลด Dose ของยาลง หรือ งดรับประทาน ถ้าผิวหน้าแห้งตึงมาก
  13. นวดหน้าด้วยครีมบำรุง อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต
  14. ทาครีมบำรุง( Moisturizer) เช้าและก่อนนอนทุกวัน
  15. เมื่อมีปัญหาด้านผิวหน้า ควรพบแพทย์ประจำทันที
  16. ในผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าอักเสบเซ็บเดิร์ม อาจจะมีอาการกำเริบขึ้นได้ การทาครีมแก้แพ้ ครีมบำรุงผิว และพักผ่อนให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัย ที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น อัลกอฮอล์ ภาวะเครียด
  17. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การผิงไฟ หรือความร้อนที่ให้ร่างกายอบอุ่น เพราะจะยิ่งเพิ่มการแตก แห้ง ตึงของผิวพรรณ

ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวพรรณ

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
  2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง
  3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
  4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
  5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
  6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
  7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
  8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
  9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
Posted on

งานวิจัย : พักผ่อนนอนหลับแค่ไหน จึงไม่อ้วน

พฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่ : ดร.สันเจย์ ปาเทล จากมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่
โดยได้ทำการสุ่มตัวอย่างผู้หญิงจำนวนกว่า 70,000 คน ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยด้านสุขภาพของสหรัฐฯ ในโครงการ ” Nurses Health Study” โดยนักวิจัยได้ติดตามเก็บข้อมูลน้ำหนัก และพฤติกรรมการนอนของผู้หญิงเหล่านี้นานถึง 16 ปี
ผลการวิจัย พบว่า
– ในผู้หญิงที่มีเวลานอนพักผ่อนคืนละ 5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านี้ จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5.4 ปอนด์
– สตรีที่มีเวลานอนพักผ่อนมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน และจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.6 ปอนด์ในช่วง 10 ปีต่อมา
เหตุผลที่ผู้หญิงที่นอนน้อยแล้วจะอ้วนได้ง่าย เพราะการที่คนนอนน้อย จะทำให้ร่ายกายอ่อนเพลีย เกิดความเครียด จึงทำให้อยากทานอาหารมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกายน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ฮอร์โมนตามธรรมชาติทีตอบสนองต่อความเครียดจากการนอนไม่พอ เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง หรือทำให้พฤติกรรมการกินอาหารเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งกล่าวโดยสรุปพบว่า สตรีที่นอนน้อยกว่าวันละ 5 ชั่วโมง จะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 32% และจะมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน ( วัดจากค่าดัชนีมวลกาย BMI) ประมาณ 15 % ดังนั้นสาวๆ ทั้งหลาย รีบนอนแต่หัวค่ำกันเถอะ เพื่อสัดส่วนที่สวยงาม น่าหลงใหล

Posted on

ฺ น่องปูด น่องโต ฉีดโบ โชว์ขาเรียว ไม่เป็นมัด จัดไป ใส่ขาสั้นได้ ( Botox for Radish-like Legs)

น่องโต เกิดจากอะไร

เรียวขาที่สวยงาม เป็นจุดดึงดูดทางเพศแก่ผู้ชาย รองมาจากใบหน้าและหน้าอก น่องโต จึงปัญหาที่ทำให้สาวๆ ไม่กล้า ใส่ขาสั้น หรือชุดว่ายน้ำ อวดสายตาให้คนได้ ชาวจีนให้สมญานามของผู้หญิงน่องโตว่า “ขาหัวผัดกาดแดง ( Radish-like Legs)
น่องที่โต ก็คือ กล้ามเนื้อที่น่องที่เรียกว่า Gastrocnemius muscles ที่ทำหน้าที่ สำคัญในการเดิน การกระโดด หรือการวิ่ง งอหลังเท้า เหยียดนิ้วเท้า ถีบฝ่าเท้าลงและช่วยงอเข่าด้วย แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. กล้ามเนื้อน่องด้านใน (Medial Gastrocnemius-MG)
2. กล้ามเนื้อน่องด้านนอก (Lateral Gastrocnemius-LG)
 ส่วนฉายา “ขาหัวผักกาดแดง” ก็คือ การโตขึ้นของกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius (MG)
นอกจากนี้ ยังมีกล้ามเนื้อที่ลึกลงไปชั้นในใกล้กระดูกขา คือ กล้ามเนื้อ Soleus (SL) ทั้ง 2 มัดกล้ามเนื้อ ในส่วนปลายจะรวมตัวกันเป็นเอ็นร้อยหวาย ( Achillis Tendon)ที่ทำหน้าที่ในการเขย่งข้อเท้า งอข้อเท้า

การแก้ไขปัญหาน่องโต

1. การผ่าตัด : จัดเป็นวิธีดั้งเดิม ก่อนจะมีการฉีดสารโบทอกซ์ลดน่อง ได้ผลดี เร็ว และถาวร แบ่งเป็น
1.1 การผ่าตัดเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ (Selective Neurectomy) จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนี้อ่อนกำลังลง มีขนาดเล็กลง ซึ่งถือว่าทำให้ได้ผลเร็ว หลังผ่าตัดฟื้นตัวได้เร็ว แต่ข้อเสียคือ บอกไม่ได้แน่นอนว่าน่องจะลดลงแค่ไหน และอาจจะทำให้การควบคุม การทำงานของขาผิดปกติได้
1.2 การผ่าตัดกล้ามเนื้อน่องด้านใน ( Total excision of MG) วิธีนี้คือการตัดกล้ามเนื้อมัดนี้ออกไป ปัจจุบันไม่ค่อย นิยม เพราะทำให้เกิดรอยแผลผ่าตัดยาวถึง 5-8 ซม. ระยะเวลาพักฟื้นนาน และทำให้การทำงานของขาผิดปกติ
1.3 การผ่าตัดแบบเหลากล้ามเนื้อทั้ง 3 มัดMG+LG+SL ( Muscle sculture) ก็คือการค่อยๆ ตัดกล้ามเนื้อที่ไม่เข้ารูป ออกทั้ง 3 มัด โดยจัดแต่งให้เข้ารูปที่ต้องการ แต่ก็มีผลเสีย คือ ใช้เวลานานในการผ่าตัดและพักฟื้น ราคาแพง และเกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด

2. ฉีด Botox ลดน่อง : เป็นทางเลือกใหม่ ในการแก้ปัญหาน่องโตโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เกิดผลข้างเคียง ไม่ต้องพักฟื้น โดยแพทย์จะฉีด Botox ที่กล้ามเนื้อ Gastrocnemius ทั้งสองด้านนอกและด้านใน โดยเน้นที่กล้ามเนื้อน่องด้านในเป็นหลัก เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของน่องโตเป็นหัวผักกาดแดง
ผลการรักษา พบว่าทำให้สามารถลดขนาดน่องลงได้ภายใน 1-3 เดือน ผลงานนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะใน ประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์กลุ่มแรกๆ ที่นำสาร Botox มาแก้ปัญหาเหล่านี้
ส่วนปริมาณยูนิต ขึ้นอยู่กับขนาดน่องโตมากน้อยแค่ไหน โดยแพทย์จะทำการประเมินเบื้องต้น โดยจะให้คนไข้ยืนเขย่งเท้า เพื่อแสดงให้เห็นขนาดของ กล้ามเนื้อ แล้วจะทำเครื่องหมายรอบๆ บริเวณน่องโตดังกล่าว แล้วค่อยๆ ฉีด Botox เป็นจุดเล็กๆ ในปริมาณ 4 ยูนิตต่อพื้นที่ประมาณ 2 ตร.ซม. ซึ่งแต่ละข้างจะใช้ปริมาณโบท๊อกซ์ประมาณ 100-150 ยูนิตต่อน่อง 1 ข้าง แต่ด้วยการออกฤทธิ์ชั่วคราวของ Botox จึงต้องฉีดซ้ำทุก 6 เดือน

Posted on

ครีมทาหรือยากิน ในการรักษาโรคทางผิวหนัง ยาหมดอายุ ดูอย่างไร ใช้ยังไง ให้ได้ผล ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง

การใช้ยาทา และยารับประทาน สำหรับโรคผิวหนัง บางครั้ง ผู้จ่ายยาแก่ท่าน อาจจะให้รายละเอียดได้ไม่ชัดเจน ทำให้ประสิทธิผลการรักษาอาจจะไม่เต็มที่ หรือเกิดผลข้างเคียง……ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งจะได้นำประเด็นหลักๆ สำคัญมาให้ทราบดังนี้
แขมพูยา กลุ่ม Coal tars (น้ำมันดิน)
– เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบ รังแค สะเก็ดเงิน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของครีม ขี้ผึ้ง หรือแชมพู สำหรับแชมพู หลักการใช้ควรใช้น้ำอุ่นชโลมหนังศีรษะให้เปียกก่อน แล้วค่อยใช้แชมพูที่พอเหมาะทาถูให้ทั่วหนังศีรษะ แล้วทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วค่อยล้างออก อาจจะต้องสระซ้ำอีกครั้ง อาจจะสระทุกวันหรือทุกอาทิตย์แล้วแต่แพทย์จะสั่ง ส่วนกรณีที่เป็นแบบครีมหรือขี้ผึ้ง หลังทาควรจะเลี่ยง แสงแดด ระวังตัวยาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า หรือเส้นผม เพราะจะทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมเปลี่ยนสีได้
ยารับประทานแก้แพ้
– ยากลุ่ม Antihistamine เช่น Chlorpheniramine, Atarax ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการง่วงซึม ควรระมัดระวังในการขับขี่หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องกล ไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ หลังรับประทานยาแก้แพ้ เพราะจะเสริมฤทธิ์ทำให้ง่วงมากขึ้น นอกจากนี้ยาทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง และควรระวัดระวังในผู้ที่มีอาการหอบหืด ต้อหิน ยากลุ่มนี้ ไม่จำเป็นต้องทานตามแพทย์กำหนด เมื่ออาการดีขึ้น อาจจะหยุดยาเองได้

ครีมทาลดรอยดำ ( Depigmenting agents) 
ได้แก่ กลุ่มยา Hydroquinone ซึ่งจัดเป็นยาที่ใช้ได้ แต่ต้องอยู่ในความควบคุม หรือสั่งจ่ายได้เฉพาะจากแพทย์เท่านั้น จัดเป็นตัวยารักษารอยดำที่ได้ผลดีตัวหนึ่ง แนะนำให้ทาเฉพาะรอยดำตามลำตัวได้วันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าทาที่ใบหน้าให้ทาเฉพาะก่อนนอน และเลี่ยงแดด หรือทาครีมกันแดด ยาตัวนี้ ควรใช้เท่าที่จำเป็น เพราะยากลุ่มนี้ใช้ไปนานๆ อาจจะเกิดผลข้างเคียง เช่น ด่างขาวถาวร หรือรอยดำมากขึ้นจากผลของยา ปัจจุบันมียาตัวใหม่ๆ ที่มีสรรพคุณไวเทนนิ่งที่ปลอดภัยกว่ายาตัวนี้ ดังนั้นปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาทุกครั้ง ไม่ควรเลือกใช้ยาเอง ยากลุ่มนี้ควรเก็บในช่องเย็นธรรมดาไม่ต้องแช่แข็ง
ยารับประทานรักษาเชื้อรา
-ได้แก่ยา Griseofulvin และยา Ketoconazole ควรแนะนำให้รับประทานหลังอาหารทันที หรือรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันสูง จะทำให้ตัวยาดูดซึมได้ดี
– สำหรับยา Griseofulvin เมื่อรับประทานรักษาเชื้อรา ควรเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดด เพราะมีผลทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด และเลี่ยงการรับประทานอัลกอฮอล์เพราะจะทำให้ปวดศีรษะได้
– ส่วนยา Ketoconazole ไม่ควรรับประทานพร้อมยาลดกรด จะประสิทธิภาพของยาจะลดลง ยาทั้งสองตัว ควรรับประทานให้ครบกำหนดเวลาที่แพทย์สั่ง ไม่ควรหยุดยาเอง ส่วนกรณียาฆ่าเชื้อราแบบฟอกตามลำตัว (สำหรับรักษาสิวจากเชื้อราที่หลัง หรือกลาก เกลื้อน) ควรจะใช้หลังจากฟอกสบู่เสร็จแล้ว แล้วทาทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยไม่ต้องฟอกสบู่ซ้ำอีก

คำแนะนำอื่นๆ โดยทั่วไป

  1. การปิดทับยา มักจะใช้เพื่อต้องการให้ยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น มักจะใช้กับยาที่รักษาหูด หรือตาปลา โดยหลังทายาควรใช้ผ้าพันแผลหรือเทปปิดทับบริเวณที่ทายาทิ้งไว้ทั้งคืนหรือประมาณ 12 ช
  2. การเก็บรักษายา โดยทั่วไปจะระบุไว้ที่ฉลากการใช้ยา ถ้าไม่ระบุ ควรจะเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง อากาศถ่ายเทสะดวก อย่าปล่อยยาให้โดนแสงแดดเพราะจะทำให้ยาเสื่อมสภาพได้ ไม่ควรเก็บยาในที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว และหลีกเลี่ยงการเก็บยาไว้ในที่มีอากาศร้อน และไม่ควรเก็บยาไว้ในตู้เย็น ยกเว้นยาครีมบางชนิด แต่ก็ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง
  3. ครีมหรือขี้ผึ้ง ให้สังเกตการแยกชั้นของตัวยา หรือการหดตัวของครีม หรือจุดด่างดำที่เนื้อครีม (ซึ่งแสดงว่ามีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์) ถ้าสังเกตพบ แนะนำให้หยุดใช้ยานั้นทันที เพื่อป้องกันผลข้างเคียง หรือประสิทธิภาพของยาอาจจะลดลง
  4. ยาเม็ด ที่เปลี่ยนสี แตกร่วน หรือสีซีดลง หรือมีกลิ่น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนจะใช้ยาต่อไป
  5. ยาแคบซูล ที่มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น บวมหรือพองออก หรือจับกันแน่น ผงยาเปลี่ยนสี ควรหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์
  6. ยาน้ำ ถ้ามีการตกตะกอน หรือความสม่ำเสมอของยาไม่เท่ากัน มีการแยกชั้น ซึ่งเมื่อเขย่าให้เข้ากันแล้ว ทำไม่ได้ ควรหยุดใช้ทันที
  7. การสังเกตยาหมดอายุ ควรดูวันที่ที่ผลิต และวันหมดอายุ ถ้าไม่มีระบุไว้ ให้ใช้หลักเกณฑ์ดังนี้

7.1 ยาเม็ด มักจะมีอายุได้ประมาณ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.2 ยาน้ำ มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.3 ยาฉีด มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.4 ยาครีม มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.5 ยาขี้ผึ้ง มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์

Posted on

สิว ไม่อยากไปหาหมอ หรือร้านยา สั่งออนไลน์มีหลักในการเลือก และใช้ยาอย่างไร

ยาสิวมีอะไรบ้าง เลือกตัวไหน แล้วใช้อย่างไร

1. ครีมแก้อักเสบฆ่าเชื้อสิว : ที่นิยมใช้กันในการทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว ได้แก่ กลุ่ม Erytromycin,Clindamycin
วิธีใช้ แนะนำว่าก่อนใช้ ควรล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง แล้วค่อยทายาให้ทั่วบริเวณที่เป็นสิว วันละ 2 ครั้ง การทาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นบริเวณที่ทา ทิ้งไว้อาการจะหายไปได้เอง ควรทายาทิ้งไว้จนแห้งสนิทจึงค่อยทายารักษาสิวตัวอื่นๆ ไม่ควรหยุดยาเอง แม้อาการสิวจะดีขึ้น
ข้อควรระวัง ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะกลุ่มนี้มักจะต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จากการทากลุ่มนี้ คือ ผิวหนังแห้ง ระคายเคือง การเก็บรักษายากลุ่มนี้ ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา ไม่ต้องแช่แข็ง
2. Benzoyl peroxide( BP) : จัดเป็นครีมทาป้องกันและรักษาสิวที่ดีตัวหนึ่ง ที่ยังไม่มีรายงานการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียสิว
วิธีใช้ มักจะให้ทาก่อนล้างหน้า ก่อนทาครีมตัวนี้ ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด และทำผิวหน้าให้สะอาดก่อน อาจจะทาทั่วหน้าหรือทาทิ้งไว้บริเวณที่เป็นสิว ประมาณ 5-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
ข้อควรระวัง การทายาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นเล็กน้อย ถ้าทนไม่ไหว อาจจะลดระยะเวลาในการทาทิ้งไว้ เหลือ 5 นาที วันละครั้ง เมื่อสภาพผิวหนังปรับสภาพทนยาได้ดีขึ้น จึงค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการทาทิ้งไว้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการทายา บริเวณที่ผิวหน้าบอบบาง เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก หรือเนื้อเยี่ออ่อน ระวังยาอย่าให้สัมผัสกับเสื้อผ้า หรือเส้นผม เพราะยาอาจจะกัดให้เกิดรอยด่างได้
– กรณีที่ต้องการใช้ยาทาวิตามินเอร่วมด้วย (เพื่อรักษาสิวอุดตัน) ควรทายาห่างกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลงแล้ว ยังทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้มากขึ้นได้

3. ครีมทาสิวอุดตันกลุ่มวิตามินเอ ( Retinoids ) : จัดเป็นกลุ่มยาทาที่ใช้กันบ่อยๆ ในการรักษาสิว โดยเฉพาะกลุ่มสิวอุดตัน เช่น Retin-A , Tretinoin, Differin
วิธีใช้ ควรใช้เมื่อผิวหน้า แห้งสนิทหลังล้างหน้าประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองลงได้ ระยะเวลาในการเห็นผลจึงต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์ การทาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นบริเวณที่ทา ควรทายาทั่วใบหน้าในตอนกลางคืน และใช้ครีมกันแดดในช่วงเช้า
ข้อควรระวัง ไม่แนะนำให้ทาตอนเช้า เพราะตัวยาจะไวต่อรังสียูวี ในสัปดาห์แรกๆ ของใช้ยาทากรดวิตามินเอ อาจจะเกิดอาการสิวเห่อได้มากขึ้น ไม่ต้องหยุดทายา ให้ทาต่อไปเรื่อยๆ สิวจะค่อยๆ ฝ่อและหลุดหายไป
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ ผิวหนังลอก แดง และแห้ง ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่การแพ้ยา เมื่อผิวหน้าปรับสภาพได้ดีขึ้น อาการเหล่านี้จะลดลง
4. ยารับประทานกลุ่มวิตามินเอ(Vitamin A derivatives): ได้แก่ Roaccutane,ISOTANE,Acnotin เป็นยารับประทานสำหรับกรณีรักษาสิวที่เป็นรุนแรง ลดหน้ามัน
ข้อควรระวัง ผิวหน้าจะไวต่อแสง ปากแห้ง คอแห้ง ตาแห้ง (ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์) ผมร่วง (พบได้ร้อยละ 10) มีผลต่อทารกในครรภ์ และระดับไขมันในเลือดสูง หรือตับทำงานผิดปกติได้ ยากลุ่มนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

5. ยาปฏิชีวนะรับประทาน : หรือยาแก้อักเสบที่ใช้รักษาสิว ยากลุ่มนี้ ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่
5.1 กลุ่มยา Tetracycline : ที่นิยมใช้และรู้จักกันดี ได้แก่ Tetracyclines,Doxycycline
ข้อควรระวัง
1. ไม่ควรรับประทานช่วงที่ท้องว่าง เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้
2. ไม่แนะนำให้ทานร่วมกับนมหรือยาลดกรดหรือยาที่มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้การดูดซึมยาลดลง
3. ไม่แนะนำให้ทานร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดลดลง หรือถ้าจำเป็น ควรทานห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง หรือเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ยาฉีดคุมกำเนิดหรือถุงยางอนามัย
5.2 กลุ่มยา Co-trimoxazole : อาทิเช่น Bactrim มักจะใช้กรณีที่สิวที่เกิด ไม่ได้เกิดจากเชื้อสิวปกติ
วิธีใช้ หลังรับประทานควรดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่ว มักจะพบปัญหาแพ้ยากลุ่มนี้ได้บ่อย อาการที่พบได้ คือ เกิดตุ่มน้ำพองใส มีผื่นแพ้ คัน และเจ็บคอ ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรหยุดยาทันที และรีบปรึกษาแพทย์
6. ยาทาลอกขุย (Peeling Agents) : ได้แก่กลุ่ม Salicylic acids,AHA,BHA,Sulfur มักจะใช้ในการรักษาสิวบริเวณอื่นๆ เช่น ลำตัว คอ แขน ขา เพื่อทำให้เกิดการหลุดลอกของสิว ทำให้สิวฝ่อ หรือทำให้หัวสิวเปิดออก แล้วหยุดออกไปเอง
วิธีใช้ เวลาใช้ต้องล้างหน้าและอาบน้ำให้สะอาด (กรณีสิวตามลำตัว) ซับให้แห้ง ทายาบางๆ 1-2 ครั้งต่อวัน โดยไม่ต้องล้างออก ถ้าต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียสิว ชนิดน้ำหรือเจลร่วมด้วย แนะนำให้ทาหลังยากลุ่มนี้ ยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิว ไม่ต้องหยุดยา อาการจะหายไปได้เอง เมื่อใช้ยาไปซักระยะเวลาหนึ่ง ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ไปนานๆ มักจะการเปลี่ยนสภาพ เช่น สีอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล แสดงว่ายาเสื่อมสภาพ ให้ทิ้งไปไม่ต้องใช้ต่อ