Posted on

วิตามินกันแดด ( Sun Vitamins) : รับประทานกันแดดเผา เอาไม่อยู่กับครีมกันแดด

แสงแดด ปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาและวิจัยแล้วว่า นอกจากจะมีข้อดีต่อการสังเคราะห์วิตามินต่างๆ ในร่างกายแล้ว ก็ยังมีข้อเสียเช่นกันสำหรับผิวพรรณ เพราะการตากแดดบ่อยๆ โดยไม่ป้องกัน ทาครีมกันแดด..จะทำให้เกิดปัญหาผิวแก่ก่อนวัย เกิดริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น หน้าหมองคล้ำหรือผิวไหม้แดด เกิดภาวะผิวเสื่อมมีเส้นเลือดขยายตัวเป็นรอยแดง ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น อาจจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ฝ้า กระ ตามมาได้
การทาครีมกันแดด ถึือว่าจำเป็น แต่ในบางสภาวะ ที่ต้องตากแดดนานๆ จนครีมกันแดดเอาไม่อยู่ หลุดออก เพราะเหงื่อ หรือในบริเวณที่ครีมกันแดด ทาไม่ถึง เช่นที่หลัง อาจจะมีปัญหาได้
 วิตามินกันแดด ( Sun Vitamins) ปัจจุบันได้มีการค้นคว้าวิจัย วิตามินแบบรับประทานเพื่อป้องกันแสงแดดออกมาด้วย ที่เรียกว่า Systemic Sunscreen ออกมาจำหน่ายกันแล้วนะครับ เพื่อจะป้องกันผิวทั่วตัว โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการทาครีมกันแดดให้วุ่นวาย เหนอะหนะ 
สกัดจากไหน มีสรรพคุณอย่างไร
สกัดจากใบเฟิร์นชนิดหนึ่งในแถบอเมริกาใต้ ที่ชื่อว่า Polypodium Leucomotos ( PLE) โดยมีสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนซ์ในการป้องกัน อนุมูลอิสระมิให้ถูกทำลายจากรังสียูวี ซึ่งพบว่าได้ผลดีกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์เก่าๆ อันได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ที่เรารู้จักกันดี
ออก

ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร
สามารถออกฤทธิ์ได้เร็วหลังรับประทานเพียง 2 ชั่วโมง ในขณะที่การรับประทานวิตามินอี หรือซี จะต้องใช้เวลาในการป้องกันผิวจากแสงแดดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
ออกวางจำหน่ายทั่วไปหรือยัง
ปัจจุบันได้มีบริษัทชั้นนำในอเมริกา ได้ผลิตออกมาจำหน่ายบ้าง แล้วตั้งแต่ปี 2003 โดยบรรจุในรูปของแคบซูล ๆละ 240 มก. โดยให้ชื่อว่า Sun Vitamins โดยใน 1 แคบซูลจะประกอบด้วย เฟิร์น PLE 240 มิลลิกรัม ชาเขียว 50 มิลลิกรัม และสารเบต้าแคโรทีน 10 มิลลิกรัม เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้บางบริษัทยังนำเฟิร์นนี้มาผสมในครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวกันบ้างแล้วเช่นกัน
รับประทานอย่างไร สามารถสั่งซื้อได้ที่ไหน
ขนาดที่รับประทานก็คือ 240-480 มก.ต่อวัน ส่วนผิวเอเซีย ถ้าต้องการให้ผิวขาวใส ออกแดดได้โดยไม่กลัวดำ  สนนราคาอยู่ที่ 1,800 บาทต่อขวดบรรจุ 60 เม็ด รับประทานได้ประมาณ 1 เดือนนะครับ 

วิตามินกันแดดนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า เป็นการป้องกันไม่ใช่การรักษา ดังนั้นคนที่มีปัญหาฝ้า กระ หรือริ้วรอยอยู่ก่อนแล้ว ไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ต้องทำการรักษาควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันการป้องกัน เลี่ยงแดดก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น

Posted on

7 แร่ธาตุและสารอาหารสำหรับผิวพรรณ ป้องกันแก่ก่อนวัย หาง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง

สาเหตุผิวหนังที่เสื่อมหรือแก่ก่อนวัย

  1. แสงแดด ทั้งรังสียูวีเอ ที่ทำลายโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น รังสียูวีบีที่ทำให้เกิดผิวหนังดำคล้ำ หรือทำให้เซลล์ผิวหนังเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงต้องป้องกันด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF (สำหรับป้องกันรังสียูวีบี) และค่า PA (สำหรับป้องกันรังสียูวีเอ) ที่เพียงพอและทาเป็นประจำ
  2. อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นจากปฏิกริยาออกซิเดชั่น จึงได้มีการคิดค้นสารที่เป็น Antioxiants ที่จะจำกัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ ทั้งในรูปของครีมบำรุงผิว และ ในรูปของอาหารเสริม เช่น กลุ่ม Glutathione peroxides,Selenium,Viamin C, Vitamin E, Vitamin A , Beta carotene , Coenzyme Q10
  3. สิ่งแวดล้อม มลพิษ เขม่าควันต่างๆ
  4. ขาดสารอาหาร สำหรับผิวพรรณ หรือรับประทานไม่เพียงพอ

    แร่ธาตุและสารอาหารสำหรับผิวพรรณ
    1. Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย
    – อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะละกอสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น ซึ่งหากรับประทานอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอ อาจจะรับประทานวิตามินซีสังเคราะห์วันละ 500-100 มก.ก็เพียงพอ เพราะหากรับประทานในปริมาณสูงกว่านี้ อาจทำให้ระดับ oxalate ในปัสสาวะสูง เกิดนิ่วในไตได้

2. Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยี่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย
อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มโอเลอิน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว ซึ่งหากรับประทานอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอ อาจจะรับประทานวิตามินอีในรูปอาหารเสริม วันละ 400 มก.ก็เพียงพอ
3. Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีน และสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

4. ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้ และป้องกันมะเร็ง
อาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม
5. ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า
อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ขนมปัง ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก

5. สังกะสี  เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทั้งที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรอไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอ ได้ดีขึ้น มีความสำคัญในการรักษาแผลหรือสมานแผล
อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัด ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.
7. Coenyme Q10 เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 ในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
อาหารที่มีโคเอนไซม์ Q10 ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจตับ ไต เนื้อวัว ส่วนในพืชจะพบได้บ้างในถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง
ปัจจุบันได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

การเลือกสารอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นอาหารผิว ทำให้ท่านสามารถบำรุงผิวพรรณได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องสรรหาจากผลิตภัณฆ์อาหารเสริมออนไลน์ มากมาย หลายยี่ห้อ ราคาก็แตกต่างกันมากมาย พร้อมบรรยายสรรพคุณชวนให้เสียเงินได้ง่ายๆ หรือถ้าจะเลือกก็พิจารณาเลือกอย่างเหมาะสม และในปริมาณที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อสุขภาพของกระเป๋าสตางค์ท่านเช่นกัน

Posted on 4 Comments

“สวยเป๊ะปัง อลังค์เว่อร์ ” ทุกมุมมอง ด้วยดีไซน์รูปหน้า ให้ได้ครบทั้ง 3 มิติความงาม ตามหลัก Golden Ratio

Golden Ratio คืออะไร

Golden ratio (ทฤษฎีสัดส่วนทองคำ) เป็นหลักการที่มีการยอมรับกันทั่วโลก เป็นสัดส่วนที่ทางนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อว่าลีโอนาโด ฟีโบนัชชี เป็นคนออกแบบ โดยเชื่อว่า Golden Ratio เป็นสิ่งที่ช่วยให้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด ภาพถ่าย โลโก้ หรือแม้กระทั่งใบหน้านั้น ดูสมส่วนสวยงามที่สุด ซึ่ง Golden Ratio นั้น ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมายว่าสามารถใช้วัดสัดส่วนความสวยได้จริง แพทย์ดีไซน์ใบหน้า ก็ใช้ Golden Ratio มาวัดสัดส่วนใบหน้า เพื่อความเพอร์เฟคของใบหน้าก็ทำให้รู้แล้วว่าใบหน้าของเราสวยเพอร์เฟคทุกมุมมองหรือยัง
ถ้ายัง แพทย์ก็จะมีการวัดสัดส่วนบนใบหน้า โดยยึดหลัก Golden Ratio เหมือนกันโดยใช้รูปหน้าตรง ดีไซน์หรือแก้ปัญหาที่ด้อยของเรา แบบ 2 มิติก่อน คือ แนวยาว และแนววขวางก่อน ว่าดูดีขึ้นได้หรือยัง ถ้ายังไม่เป๊ะปัง ก็จะพิจารณามิติที่ 3 แนวลึกด้วย ดังนี้

1.ด้านแนวขวางหรือแนวยาว: จะขีดเส้นเป็นแนวขวาง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.1.โครงหน้าส่วนบน (Upper Part) : จะนับจากแนวเส้นผมด้านหน้า ถึงกึ่งกลางตา
1.2.โครงหน้าส่วนกลาง (Middle Part) : จะนับจากแนวกึ่งกลางตา ถึงฐานจมูก
1.3.โครงหน้าส่วนล่าง (Lower  Part) : จะนับจากฐานจมูก ถึงปลายคาง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)

      ซึ่งการแบ่งแบบนี้ จะบ่งบอกว่าสัดส่วนของใบหน้าคนไข้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยพบว่าสัดส่วนใบหน้าที่เหมาะสม ควรจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 33.33 %  หรือเท่าๆ กันทั้ง 3 ส่วน ด้วยอัตราส่วน 1:1:1 ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ คนไข้อยากจะเสริมคาง ถ้าเราวัดสัดส่วนพบว่าโครงหน้าส่วนล่างสั้นกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงจะพิจารณาเสริมคางให้ยาวขึ้น อาจจะด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือฉีดเสริมด้วยฟิลเลอร์ นอกจากนี้อาจจะใช้ประเมินภาวะหางคิ้วตก หางตาตก หนังตาตก ด้วยหรือไม่ จะแก้ไขด้วยการร้อยไหมละลาย หรือทำ Ulthera ก็ต้องดูตามความเหมาะสม

2. ด้านแนวดิ่งหรือด้านกว้าง : :จะขีดเส้นในแนวดิ่ง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน  เพราะจะประเมินว่า องค์ประกอบของใบหน้า ไม่ว่าจะสัดส่วนคิ้ว ตา จมูก ปีกจมูก หรือโหนกแก้ม ได้สัดส่วนหรือไม่ มีรูปหน้าที่กลมเกินไป หรือหน้าเรียวเล็กเกินไป แล้วจะแก้ไขอย่างไร อาทิเช่น
2.1 ถ้าปีกจมูกโตเกินไป อาจจะฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก
2.2 ถ้ารูปหน้าที่กลมเกินไปมีสาเหตุจากอะไร
– ถ้าจากกล้ามเนื้อก็ต้องฉีดโบทอกซ์ลดกรามให้เล็กลง
– ถ้าจากไขมันที่แก้มมากก็อาจจะฉีดสลายไขมันที่แก้มให้ลดลงด้วยตัวยาสลายไขมัน
– ถ้าจากการหย่อนคล้อย ก็ต้องดูว่าเกิดหย่อนคล้อยในชั้นไหน ก็อาจจะยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่ โบทอกซฺ์ยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกกระชับ หรืออาจจะรร้อยไหมยกกระชับ หรือ ทำ RF, Thermage ,Ulthera เป็นต้น
2.3 ถ้ารูปหน้าสองข้างไม่เท่ากัน จะปรับอย่างไร ให้เท่ากัน โดยอาจจะใช้การฉีดโบทอกซ์ปรับรูปหน้า หรือเติมด้วยฟิลเลอร์เพิ่มส่วนที่พร่องให้สมมาตรมากขึ้น

3.    ด้านลึก: ในที่นี้ หมายถึงการประเมินสภาพใบหน้าทุกชั้นผิว ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้
3.1.ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis): เป็นชั้นของเซลล์บุผิวของกล้ามเนื้อลาย ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง สิว ที่ไม่รุนแรง ปัญหาไม่มาก ก็อาจจะแค่ทาครีมรักษา แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจจะช่วยด้วยการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ หรือเลเซอร์
3.2.ผิวหนังชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้( Dermis): ผิวหนังชั้นนี้ จัดเป็นชั้นที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ของคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียงโยงใยเป็นร่างแห มีหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ ฯลฯ เป็นชั้นที่เกิดปัญหาด้านผิวพรรณได้มากมาย เช่น ถ้าเกิดรอยหลุม ฝ้าลึก กระลึก สิวเรื้อรังอักเสบรุนแรง รอยแดงเส้นเลือด แพทย์ก็จะพิจารณาว่าควรจะรักษาด้วยการทำเลเซอร์ที่จำเพาะต่อปัญหา หรือถ้าเกิดการพร่องไปของปริมาณเนื้อที่ลดลง จากการลดลงของคอลลาเจน เช่น ร่องแก้มลึก ร่องตาลึก ก็อาจจะฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม หรือฉีดเสริมจมูกกรณีที่ต้องการให้จมูกโด่งขึ้น
3.3.ชั้นไขมัน ( Subcutaneous Fat): ชั้นนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบ มักจะเกิดจากไขมันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ถ้าไขมันมาก เราก็จะฉีดสลายไขมันให้เล็กลงด้วยยาที่เรียกว่า Mesofat แต่ถ้าไขมันน้อยเกินไป จากอายุมากขึ้น ก็อาจจะฉีดเติมไขมันหรือฟิลเลอร์
3.4.ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscles): ชั้นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าไม่กระชับ หน้าบานจากกล้ามเนื้อโตเกินไป ตรงนี้ส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์เป็นหลัก

Posted on

4 เคล็ดลับ 4 ขั้นตอน กับการล้างหน้าอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่มีผลข้างเคียง หน้าเกลี้ยงใส ไร้สิ่งอุดตัน

การที่มีสุขภาพผิวหน้าที่ดี สะอาด เรียบเนียนใส จึงเป็นความประทับใจต่อผู้พบเห็น ดังนั้นจึงมีคำถามบ่อยๆ ว่าการทำความสะอาดผิวหน้าที่ดีและถูกวิธีนั้นเป็นอย่างไร

4 เคล็กลับกับการทำความสะอาดผิวหน้า

  1. การทำความสะอาดด้วยน้ำ: ถือว่าเป็นการทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด และไม่มีโอกาสแพ้ได้เลย แพทย์มักจะแนะนำให้ล้างได้บ่อยๆ สำหรับคนที่ผิวมัน และผิวแพ้ง่าย เนื่องจากไม่มีสารระคายเคืองต่อผิวหน้า
    แต่น้ำก็มีข้อเสียคือจะชะล้างสิ่งสกปรก แบคทีเรีย ไขมันส่วนเกินได้หมดจดได้ยาก หรือต้องล้างหลายๆ ครั้ง
  2. ารทำความสะอาดด้วยน้ำมัน: เป็นการทำความสะอาดและชะล้างไขมัน ฝุ่นละอองที่ไม่ละลายในน้ำ รวมทั้งเครื่องสำอางแต่งหน้าทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ ครีมล้างหน้า (cleansing creams) นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างน้ำกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่แห้งตึงมากหลังล้างหน้า
    ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่ mineral oil,olive oil แต่น้ำมันก็มีข้อเสียคือ ถ้าน้ำมันบริสุทธิ์ก็จะมีราคาแพง และล้างหรือเช็ดออกได้ยาก เนื่องจากมีความหนืดสูง จึงทำให้มีความรู้สึก เหนอะหนะ และสิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้ (water soluble) ก็ล้างออกได้ยาก ดังนั้นจึงมักจะแนะนำให้ใช้ทั้งวิธีที่ 1 และ 2 ควบคู่กัน
  3. การทำความสะอาดด้วยของแข็งดูดซับสิ่งสกปรกไว้: มักไม่นิยมใช้สำหรับคนทั่วไป แต่จะเหมาะกับคนไข้ที่ลุกจากเตียงมาล้างหน้าไม่ได้ โดยการใช้สารที่มีคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรก ซึ่งได้แก่ silica,talcum,starch,fuller’s earth ทั้งหลาย ทาทั่วใบหน้าแล้วเช็ดออก แต่ก็มักจะไม่สะอาดเท่ากับวิธีที่ 1-2
  4. การทำความสะอาดด้วยการขัดถู: มักไม่นิยมใช้ในการล้างหน้าในชีวิตประจำกัน ถือเป็นกรรมวิธีที่ทำกันในคลินิกผิวหนังหรือสถานเสริมความงาม เช่น การทำการลอกผิวหน้าด้วยการทำ peeling ด้วยกรดผลไม้ ,TCA การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี

4  ขั้นตอนการล้างหน้าที่ถูกวิธี

ขั้นตอนที่ 1.ครีมล้างหน้า 
ควรจะทำการกำจัดฝุ่นละออง คราบเหงื่อใคลและเครื่องสำอางที่ตกแต่งผิวหน้าให้ออกให้หมดจดก่อน โดยเฉพาะในคนที่ต้องแต่งหน้า เป็นประจำโดยอาจจะต้องใช้ครีมล้างหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในไขมัน
ขั้นตอนที่ 2. แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ผสมสารลดแรงตึงผิว 
– ใช้ สบู่ เจล โฟม เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในน้ำ โดยเลือกสารลดแรงตึงผิวที่เป็นอันตรายต่อผิวน้อยที่สุดและมีอำนาจในการชำระล้างได้ดี
ขั้นตอนที่ 3. หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำ 
เพื่อขจัดคราบสบู่ โฟม หรือเจลที่หลงเหลืออยู่ที่ผิวหน้า แล้วตามด้วยโลชั่นปรับสภาพผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ไม่ระคายผิว และสารฝาดสมาน (astringent)ที่ทำหน้าที่ปิดรูขุมขน
ขั้นตอนที่ 4. ทา Moiturizer creams บางๆ
เพิ่มความชุ่มชื้นและนุ่มนวล เพื่อป้องกันผิวหนังแห้งตึงจากการสูญเสียน้ำจากความชื้นในบรรยากาศ โดยเลือกครีมบำรุงให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน เช่น ถ้าผิวมัน ก็ควรเลือกครีมบำรุงประเภท oil free หรือความเข้มข้นไม่มากนัก เพื่อป้องกันผิวหน้ามันมากเกินไป หรือ ในคนที่ผิวแพ้ง่ายก็ไม่ควรเลือกครีมบำรุงที่ผสมน้ำหอม หรือ AHA

Posted on

สลายไขมัน หลากหลายวิธี ให้หุ่นดี ไม่มีพุง เลือกแบบไหนได้ผลไว ไม่รอชาติหน้า

ไขมัน ส่วนเกิน ที่ไม่ต้องการ

ไขมันส่วนเกิน คือ การสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่พึงประสงค์ เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก พุง ฯลฯ ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ในการที่จะโชว์สรีระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วยังพบว่า ถ้ามากเกินไป ก็ทำให้อ้วน ซึ่งอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ภายหลังได้
– การสลายไขมันส่วนเกิน ด้วยการคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย อาจจะเป็นเรื่องยาก สำหรับบางคน และอาจจะต้องใช้เวลานาน จนตบะแตกได้ ดังนั้น จึงหาตัวช่วยอื่นๆ มาสลายไขมันให้ออกไปก่อนแล้ว พอให้มีกำลังใจ ในการควบคุมและป้องกันไขมันมิให้กลับมาใหม่ มาดูการสลายไขมันในปัจจุบัน มีวิธีไหนบ้าง

สลายไขมันด้วยการทำศัลยกรรม

ดูดไขมัน (Liposuction ): เป็น การกำจัดไขมันออกจากร่างกายที่ได้ผลดีทีสุด เร็วสุด แต่ก็มีผลข้างเคียงมากสุด ที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำ อันแรก ก็คือเจ็บ มีแผลใหญ่ต้องเปิดผิวหนัง หลังทำต้องพักฟื้น ต้องใช้ยาชาหรือวางยาสลบ และนอกจากนั้น ทำเสร็จแล้วก็ยังทิ้งริ้วรอยไขมันเป็นคลื่นๆไว้เต็มไปหมด ดูไม่สวยงาม จะใส่บิกีนี่โชว์หุ่นก็ยังไม่ได้ แล้วก็ยังเสี่ยงต่ออันตราย หรือผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด ที่มีข่าวให้ปรากฏกันบ่อยๆ
สลายไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Lipolysis) : หลักการ ก็โดยสอดท่อเข้าไปที่ผิวหนัง ปลายท่อจะปล่อยแสงเลเซอร์ยิงใส่เซลล์ไขมันที่ต้องการสลาย โดนผ่านสายนำเลเซอร์เส้นเล็กๆประมาณ 1 มิลลิเมตร เพื่อให้เซลล์ไขมันที่ต้องการรักษา ถูกสลายจนกลายเป็นน้ำมันทันที ไขมันที่สลายแล้วส่วนหนึ่งจะไหลออกมาทางรูเข็มที่เป็นทางเข้าของสายเลเซอร์ ส่วนที่เหลือจะค่อยๆถูกขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง เป็นวิธีที่ได้ผลรองจากการทำ Liposuction แต่ก็มีผลลัพธ์หลายอย่างที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำซ้ำเช่นกัน เพราะหลังทำก็เจ็บปวด ต้องพันสายรัดแน่น มีน้ำเหลืองซึมตามรูเข็ม เกิดรอยช้ำระบม อาจจะเกิดรอยไหม้จากเลเซอร์ และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ
สลายไขมันด้วยอัลตราซาวด์ ( VASER) โดยแพทย์จะสอดท่อเข้าไปผิวหนังตรงไขมันเฉพาะจุด แล้วจะปล่อยพลังงาน Ultrasound ในระดับความถี่ที่จะไปทำลายเฉพาะเจาะจงแต่กับเซลล์ไขมันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ก้อนไขมันก็จะกลายเป็นของเหลว วิธีนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงโดยเฉพาะเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบๆก้อนไขมัน เสียหายหรือถ้าจะถูกกระทบกระเทือนบ้างก็น้อยกว่า Liposuction , Laser Lipolysis ทำให้ช่วยลดการเกิดรอยบวมช้ำหลังการผ่าตัด และผลการรักษาได้ผลดีกว่า คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการกำจัดไขมันทั่วไป แต่หลังทำก็ยังเจ็บปวด ต้องพันสายรัด และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ เช่นกัน
สลายไขมันด้วยการฉีด Mesofat : วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยการฉีด แพทย์จะใช้เข็มฉีดยา ฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เหมาะกับการทำในบริเวณที่เล็กๆ จะได้ผลดี เช่น แก้ม คาง ต้นแขน โดยไขมันจะค่อยๆ สลาย แม้จะมีผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลช้าและต้องทำหลายครั้ง กรณีที่ต้องการกำจัดไขมันในบริเวณกว้างๆ เช่น พุง ต้นขา อาจจะต้องแทงเข็มหลายครั้งด้วยยาปริมาณมาก ทำให้คนไข้บางคน ยอมแพ้ หรือไม่มีเวลา

สลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรม ให้เจ็บตัว

  1. สลายไขมันด้วยความเย็น ( Coolsculpting) : จัดเป็นเครื่องมือสลายไขมันความเย็น แบรนด์อเมริกา โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม เครื่องแรก ที่เป็น Non-Invasive Lipolysis และได้รับการรับรองว่าได้ผลจริง (Subcutaneous Fat Reduction) FDA USA เมื่อมี ค.ศ. 2010 จากด้วยการสลายไขมันโดยเทคนิคทำให้เซลล์ไขมันตาย (fat apoptosis )โดยเครื่องมือจะส่ง พลังงานคลื่นความเย็น – 11 องศาเซลเซียส เข้าสู่ชั้นไขมันโดยไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันในหมู่ดาราฮอลลีวู้ด และโด่งดังอย่างมากในยุโรป และอเมริกา เมื่อมี ค.ศ 2000 เพียง 35 นาทีต่อจุดหรือต่อการหนีบ ชั้นไขมันจะยุบตัวลง 1-2 นิ้ว หรือ 20-25% ใน  2-3 เดือน ซึ่งได้ผลพอๆ กับการทำ VASER เพียงแต่ต้องรอเวลานานกว่าเท่านั้น สามารถจะทำซ้ำได้อีก ทุก 2-3 เดือน เพื่อการหวังผลที่พอใจ เป็นเครื่องมือสลายไขมันที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 สูงสุดทั่วโลก และมีผลงานวิจัยตีพิมพ์สูงสุด มากกว่า 6 ล้านคนทั่วโลก ส่วนเครื่องสลายไขมันด้วยความเย็นยี่ห้ออื่นๆ ที่เลียนแบบ ไม่ว่าจะเกาหลี หรือประเทศทางยุโรป ยังไม่มีรายงานรับรองผลชัดเจนทั่วโลก
    2.  การสลายไขมันด้วยความร้อน (  Sculpture ) เป็นเครื่องสลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรมตัวที่ 2 ที่ได้รับการรับรองผลจากอเมริกา FDA USA เมื่อ ปี ค.ศ 2017 โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่นช่วง 1060nm ซึ่งทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิ42-47 องศาเซลเซียล บริเวณที่มีเซลล์ไขมัน จึงส่งผลให้เซลล์ไขมันช็อก และค่อยๆตายไปโดยไม่ทำลายอวัยวะข้างเคียง โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายนี้จะถูกขับออกจากร่างกายตามช่องทางการขับของเสียต่างๆ ซึ่งร่างกายจะค่อยๆสลายไขมันที่โดนทำลายออก ซึ่งหลังจากทำการสลายไขมันโดย SculpSure แล้ว จะเห็นผลครั้งแรกในระยะเวลา 6 สัปดาห์และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำการสลายไขมันโดย SculpSure จะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ถึง 24%” ตัวนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก อาจจะเพราะมีผลงานวิจัยน้อย และพลังงานความร้อนจากเลเซอร์ ทำให้คนไม่ค่อยนิยมอยู่กับความร้อนได้ในเวลานาน ๆ
    ส่วนตัวอื่นๆ ที่มีในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น Velashape ,Exilis Elite, Thermage body,Ulthera กลุ่มนี้ไม่มีรายงานรับรองผลจาก US FDA ว่าสลายไขมันได้ แต่รับรองผลว่าช่วยเรื่องกระชับสัดส่วนได้ ( Circumference Reduction not Fat Reduction )
อ้วน ลงพุง ลดพุง ลดโรค ได้ผล ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว
Posted on

รอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง อยากหายไว หน้าใส หน้าไม่แดงหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น Fractional RF ช่วยได้

Fractional RF คืออะไร

Fractional RF  เป็นเครื่องมือที่พัฒนามาเพื่อใช้ในการรักษารอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง เป็นอีกวิวัฒนาการด้านความงาม ที่ใช้เทคโนโลยี่ ของการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF ( Radio Frequency) มาใช้ในการรักษาผิวพรรณ ตัวคลื่น RF จะปล่อยพลังงานออกมา เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ให้กลับมา โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นองค์ประกอบสำคัญของผิวทั้ง 3 ชนิด ในคราวเดียวกัน คือ กระตุ้นการสร้าง Collagen,Elastin และ Hyaluronic acid  ไปพร้อมๆกัน  ซึ่งทั้งสามตัว เป็นโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง เมื่อคอลลาเจน ฟื้นฟู ริ้วรอยก็จะลดน้อยลง ผิวมีความตึงกระชับมากขึ้น ผิวจึงเต่งตึง ฟูขึ้น และอีลาสตินที่มากขึ้นก็ไปทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็ก หรือที่เรียกว่าผิวเด้ง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสารอุ้มน้ำ (Hyaluronic acid  ) จะคอยพยุงคอลลาเจนและอีลาสติน ให้โดดเด่นเห็นชัดเจนบนผิวภายนอก  ดังนั้น การทำ Fractional RF Needle (FRM) จึงเป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้น และฟื้นฟู ใหม่ แบบ เทคโนโลยี รีมิกซ์ใหม่ 3 in 1  คือทำครั้งเดียว ได้ทั้งรอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หน้ากระชับ เต่งตึง  อวบอิ่ม มีน้ำมีนวล ในขณะที่เลเซอร์จะสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างๆ ไม่สามารถจะทำการแก้ไขไปพร้อมๆ กันได้

เปรียบเทียบแท่งพลังงานระหว่าง Fractional laser -Fraxel ,Fine Scan (ขวา) กับ Fractional RF ( ซ้าย)

Fractional RF ต่างจาก Fractional Laser อย่างไร

Fractional RF  เป็นการนำเอา  พลังงานคลื่นวิทยุ RF เป็นแหล่งพลังงานในการกระตุ้นคอลลาเจน สร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยตัดแบ่งพลังงานให้เป็นแบบชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่า Fractional ในขณะที่ Fractional Laser (  Fraxel,Fine scan ) จะใช้พลังงานเลเซอร์ ช่วงคลื่น 1550 nm มาตัดแบ่งพลังงาน ง   โดยมีข้อแตกต่างกันตรงที่ Fractional Laser  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดคว่ำ  (Traditional fractional resurfacing )  แต่ Fractional RF  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดตั้ง (Subablative Rejuvenation ) ซึ่งข้อแตกต่างนี้ อธิบาย
1. รอยดำ : Fractional Laser มีโอกาส เกิดรอยดำ และทำให้ผิวบาง หลังทำมากกว่า Fractional RF  เพราะฐานจะกว้างด้านบน ตามรูป และ มีความร้อนตั้งแต่ปล่อยพลังงานออกมา ผ่านทะลุทะลวงเข้าไปทุกชั้นผิว จนถึงบริเวณรอยหลุม ขณะที่ Fractional RF ฐานด้านบนจะแคบ และพลังงานจะกระจายลงชั้นลึกมากกว่า โอกาสรเกิดรอยดำหลังทำไม่มี
2. การกระตุ้นคอลลาเจน : Fractional RF สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้รอยหลุมกลับมาเต็มได้ดีกว่า เร็วกว่า Fractional laser เนื่องจากฐานปิรามิดคว่ำ ฐานกว้างกว่า จึงทำให้ปล่อยพลังงานได้กว้างกว่า และมากกว่า Fractional laser

Fractional RF มี 2 แบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

  1. Fractional RF Micro Needling  Technology ( F.R.M)  – – เป็น Fractional RF แบบที่ใช้เข็ม นาโนขนาดเล็กมาก  แทงทะลุผ่านชั้นผิวหนังกำพร้า เข้าไปที่ชั้นหนังแท้  ตัวเข็มนาโน จะทำหน้าที่คล้ายๆ Dermaroller ในสมัยเมื่อหลายปีก่อน โดยทำให้เกิด Stamping effect ไปกระตุ้น Growth facter และยังทำลายพังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุม หรือรูขุมขนกว้างหลังจากเข็มผ่านเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแล้ว จะมีการปลดปล่อยคลื่น  RF แบบ Monopolar RF   ที่ระดับ 2MHz เป็นระยะๆ ในอุณหภูมิคงที่  โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ข้อดีก็คือ หลังทำ หน้าจะเป็นสีชมพูนิดๆ วันรุ่งขึ้นก็หาย สามารถไปทำงาานได้ปกติ และ การที่หน้าใส ริ้วรอยลดลง เกิดรอยเข็มที่แทงผ่านทะลุผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ( mild inflammation ) หลังจากนั้นจะเกิดขบวนการซ่อมแซมผิว มีเม็ดเลือดขาวมาซ่อมแซม จึงทำให้เม็ดสี ริ้วรอย เลือนหายได้

2. Fractional RF Non- Needle Technology (E-Matrix) –  เป็น Fractional RF แบบไม่มีเข็ม โดยจะมีหัวที่วางนาบไปกับผิวหน้า แล้วทำการปล่อยพลังงาน RF  ชนิด Bipolar RF   กระแส RF จะลงไปทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป โดยที่บริเวณผิวชั้นบน จะทำให้เกิดการลอกผิวด้านบนออก ในขณะที่ความร้อนบางส่วนจะลงไปบริเวณชั้นล่าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หลังทำ ผลลัพธ์จะพบว่าไม่ลอกผิว (Non-Ablative effects ) 30%  และลอกผิว (Ablative effects  ) 70%  จึงทำให้เม็ดสีจางลง  ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่กลัวเข็ม ผิวหน้ามีรอยด่างดำ หลุมสิวไม่มากนัก ผิวหน้าหย่อนคล้อยบ้าง ไม่มากนัก รูขุมขนกว้าง หลังทำ หน้าจะแดง และเป็นตาข่าย คล้ายๆ กับการทำ Fraxel ต้องพักฟื้น 3-5 วัน รอให้รอยดำลอกออก ผิวหน้าจะกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย รอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนทีมีผิวคล้ำ เกิดรอยดำได้ง่าย เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยดำจางลงได้ช้ากว่าคนผิวขาว

ขั้นตอนในการทำ Fractional RF  
1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดก่อนมาทำการรักษาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะหน้าที่โดนยูวี ผิวหน้าจะอ่อนแอจะไวต่อหัตถการที่มีความร้อนทุกอย่าง
2. ทายาชาก่อนทำการรักษาทุกราย ประมาณ 45-60 นาที หลังเช็ดยาชาออก เช็ดด้วยอัลกอฮอล์ให้ผิวหน้าแห้ง หรืออาจจะเป่าลมเย็นให้แห้ง ในขณะที่ทำ อาจจะรู้สึกเจ็บได้บ้างบางจุด
3. หลังการรักษาอาจเกิดอาการบวมหรือแดง เจ็บเล็กน้อย อาจจะมีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดหลังทำ (มักจะเกิดจากการทำ E-matrix) อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี จะเกิดรอยแดงและรู้สึกร้อนผ่าวได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง และ 1-2 วันหลังทำ อาจเกิดสะเก็ดบาง ๆ แล้วลอกออกไปเอง หรือบางคนอาจจะมีสิวเห่อได้บ้าง แต่จะหายไปเองในเวลา 4-5 วัน
ข้อควรปฎิบัติหลังทำ Fractional RF
1.ควรประคบเย็นหลังทำทันที เพื่อลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่ผิว
2.ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังทำควรทาด้วยวาสลีนเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นตลอดเวลา
3. สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน
4. เมื่อผิวเริ่มหลุดลอก ปล่อยให้ลอกเองตามธรรมชาติ ไม่ควรขัดถูแรงๆ หรือทำการลอกผิวด้วยวิธีต่างๆ
5. หลังจาก 24 ชั่วโมงแรก จึงสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ ควรหลักเลี่ยงแสงแดดจัด ความร้อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการรักษาควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ
6.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรืออบซาวน่า ที่ทำให้เกิดเหงื่อมากกว่าปกติ
7.งดหรือเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดประมาณ 1 สัปดาห์
8.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อมิให้ผิวหน้าแดงมากขึ้น และเพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
จำนวนครั้งในการรักษ
ควรห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยหลุม ความรุนแรง ปกติจะประมาณ 5-10 ครั้ง รอยหลุมจะดีขึนได้มากกว่า 70%
ข้อห้ามในการทำ Fractional RF  
1. ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
2.ผู้ที่ใส่เหล็กดามกระดูก
3. มะเร็งที่ผิวหนัง
4. ผู้ที่ตั้งครรภ์ และอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
5. โรคภูมิคุ้มกันปกพร่อง โรคติดเชื้อ โรคเบาหวานที่ควบคุมอาการไม่ได้
6. มีแผลเปิดที่ผิวหนัง ผิวแห้งแตก
7. ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ได้รับยาละลายลิ่มเลือด
8. ผู้ที่ผ่าตัดดึงหน้า หรือทำตามาไม่น้อยกว่า 1 ปี
9. ผู้ทีทำการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ลอกหน้าด้วยสารเคมี หรือลอกหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ มาน้อยกว่า 3 เดือน

ในความเห็นของผู้เขียน Fractional RF   จัดเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาผิวพรรณ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเรื่องผิวหน้าไม่เรียบเนียน รุขุมขนกว้าง รอยด่างดำ หน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ แถมไม่มีผลข้างเคียงหลังทำเหมือนการทำเลเซอร์แบบเดิมๆ ในอนาคตมีแพทย์หลายท่านคาดว่า Fractional RF น่าจะเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยม หรือเรียกว่าGold Standard ในการรักษาปัญหาผิวพรรณได้ดีเครื่องหนึ่งทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องรอยหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง

Posted on 2 Comments

รูขุมขนกว้าง (Large Pores) ทำอย่างไร ให้รูขุมขนกระชับ ปรับผิวให้เรียบเนียน

สาเหตุของรูขุมขนกว้าง

รูขุมขน คือรูของผิวหนังที่ให้ขนงอกออกมา ปกติท่อที่เปิดตามผิวพรรณทั่วไป จะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และท่อเปิดรูขุมขน
รูขุมขนกว้าง จะถือว่าเป็นปัญหาหรือไม่ใช่ปัญหาก็ได้ เนื่องจากไม่ใช่โรคทางผิวหนังและก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องความสวยงาม เพราะคนที่มีรูขุมขนกว้าง มักจะมีหน้ามัน และมีโอกาสมีสิวเสี้ยนได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีปัญหาดังกล่าว ซึ่งรูขุมขน จะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ
1. อายุ เมื่ออายุเกิน 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนมีโอกาสจะโตมากขึ้นตามธรรมชาติ
2. ลักษณะผิว ในกรณีที่มีผิวหน้ามันมาก โอกาสจะมีรูขุมขนกว้างมากขึ้น จะเกิดขึ้นเร็วและโตกว่าคนที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง
แนวทางการป้องกันรูขุมขนกว้าง
พยายามลดความมันบนใบหน้า เพื่อเป็นการป้องกัน มีได้หลายๆ วิธีดังนี้
1. การล้างหน้าบ่อยๆ
2 เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมัน ซึ่งมักจะได้แก่ สบู่ล้างหน้า หรือโฟมล้างหน้า
3 . การทาโลชั่นลดความมัน หรือเจลควบคุมความมัน
4. การรับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ กรณีที่ผิวหน้ามันมากๆ และได้ปฏิบัติในข้อ 1.1-1.3 แล้วไม่ดีขึ้น ได้แก่ยา roaccutane,Isotretinoin แต่ปัจจุบันไม่ค่อยแนะนำเพราะมีผลต่อตับ ระดับไขมันในเลือด และทารกในครรภ์ได้

การรักษารูขุมขนกว้าง

1 การทำไอออนโต โดยใช้ยากลุ่มวิตามินเอ,hyaluronic acid,aloe vera
2 การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น AHA,BHA เป็นประจำ
3 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)
4 การกรอผิวหน้าด้วย Laser ( Laser Resufacement)
5 การทำ Photorejuvenation ด้วยเครื่อง IPL (Intense Pulse Light)
6 การทำ Skin Needling: จัดเป็นอีกเทคนิคในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเริ่มมีการนำมารักษาในเมืองไทย ประมาณ ค.ศ.2006 โดยพบได้ผลดีมากกว่าแบบเดิมๆ หลักการทำโดยการใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ ติดที่ปลาย กลิ้งไปบนใบหน้า ทำให้เกิดรูเล็กๆ จำนวนมากในชั้นหนังแท้ แล้วให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเอง ทั้งการสร้างคอลลาเจนใหม่ และการเรียงตัวของเซลล์ จึงทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนดีขึ้นได้ เพียงแต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยมีให้บริการ เนื่องจากอย. ไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้
การรักษารูขุมขนกว้าง ตั้งแต่วิธีที่ 1-6  ปัจจุบัน ถือว่าได้ผลน้อย และต้องทำหลายครั้ง ยังไม่ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้มาตรฐานสากล

7 Fractional Laser : ถือเป็นการรักษารูขุมขนกว้าง ด้วยเลเซอร์ กลุ่ม Non-ablative Laser โดยเริ่มมีการนำมารักษาปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ในปี ค.ศ. 2004 และได้การรับรองจาก FDA จากอเมริกา ในปี ค.ศ. 2006 ว่านอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอย ฝ้า กระ ตลอดจนรอยหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบ ให้มีสภาพกลับมาดีขึ้น อย่างได้ผลชัดเจน แล้ว ยังใช้รักษารูขุมขนกว้าง ให้กระชับได้อีก โดยใช้หลักการรักษาแบบนี้ จะลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel จึงเลือกระดับความลึกของการลอกหน้าได้ตามสภาพผิวหน้าและสีผิวของคนไข้ ตั้งแต่ 1/10มิลลิเมตร –2 มิลลิเมตร :ซึ่งถ้าใช้พลังงานต่ำ ก็ได้ผลน้อยและช้า จึงมักจะใช้พลังงานสูง เพราะได้ผลดีและเร็วแต่ผลข้างเคียง เช่น รอยดำ รอยแดง ซึ่งคนไข้ต้องยอมรับ และต้องมีการพักหน้าหลังทำ 4-5 วันและต้องเลี่ยงแดดหลังทำประมาณ 2 อาทิตย์
ส่วนเลเซอร์ที่ใช้หลักการรักษาแบบนี้ ก็ได้แก่ Fraxel,Fine Scan 1550 ซึ่งเลเซอร์ทั้งสองตัวนี้ ปัจจุบันถือว่าเป็น เลเซอร์ที่นิยมนำมารักษาเรื่องรูขุมขนกว้างมากที่สุด เพราะได้ผลดีมากกว่า 60-80% โดยเฉพาะ Fine Scan 1550 จัดเป็นเลเซอร์สำหรับผิวคนไทย หรือคนเอเซีย โดยเฉพาะ อ่านบทความเรื่อง Fine Scan 1550
8  Frctional RF-non needle(E-Matrix)   : จัด เป็นนวัตกรรมล่าสุดของปี 2012 ในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง  เพราะถือว่าได้ผลไม่แพ้ Fractional laser  Fractional Laser เพราะนอกจากจะทำให้รูขุมขนกระชับแลัว ยังลอกผิวด้านบน จากรอยด่างดำให้เนียนใส ขึ้นได้ด้วย  แต่มีข้อจะผลข้างเคียงหลังทำมากกว่า Fractional Laser ตรงที่หลังทำ ผิวหน้าอาจจะมีรอยดำเป็นตารางๆ และต้องพักฟื้นหลังทำ 5-7 วัน เพื่อให้รอยดำลอกออก จัดเป็นการแก้ปัญหารูขุมขนกว้างที่ได้ผลไว แต่ไม่เหมาะกับคนสีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ

Posted on

ฉีดโบ แบบเนเฟอร์ติติลิฟท์(Nifertiti Lift) ลดเหนียง ให้กระชับ ปรับขอบคาง(Jawline) คมชัด

เนเฟอติติลิฟท์ (Nifertiti Lift ) คืออะไร

คือเทคนิคในการฉีดยกกระชับหน้า (Face Lift) ด้วยสารโบท็อกซ์ เพื่อยกกระชับหน้าและลำคอให้ดูงามะะหง เหมือน พระนางเนเฟอร์ติติ ( Nifertitii) ซึ่งเป็นราชินีองค์โปรดของ ฟาโรห์ อาเคนาเตนแห่งอียิปต์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่มีคางสวยที่สุด!!
-เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น ขอบคางที่เคยคมชัด กลับมามีเหนียง สาเหตุเกิดการทำงานมากเกินไป ของกล้ามเนื้อบริเวณกรามหรือขากรรไกร ที่เรียกว่า Platysma muscle จึงทำให้ขอบคางไม่ชัด มีเหนียง การฉีดโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปตรงกล้ามเนื้อ ที่ชื่อว่า Platysma ฤทธิ์ของสารโบทอกซ์จะไปคลายการดึงรั้งของกล้ามเนื้อขากรรไกรและเหนียงคอ บริเวณแนว ขากรรไกร คาง และคอ จึงทำให้แนวขอบคางที่หย่อนคล้อย เกิดการยกกระชับ ขอบคางจึงคมชัดขึ้น
ปัจจุบันผู้ชายนิยมมาฉีดเนเฟอร์ติติลิฟท์กันเยอะขึ้นไม่แพ้ผู้หญิง เพราะทำให้ขอบคางดูคมชัด มีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น โดยเฉพาะเวลามีหนวดเคราประปรายในบริเวณนี้ด้วย จึงทำให้ชวนหลงไหล น่ามอง และดูมี Sex appeal มากขึ้น

Platysma Band คืออะไร

Platysma Band คือ กล้ามเนื้อแนวตั้ง บริเวณลำคอ จะพบได้ชัดเจนในคนที่มีอายุมากและผิวบาง ทดสอบได้ง่ายๆ เวลาเปล่งสำเนียง E จะยิ่งเป็นเส้นที่คอตามแนวลำตอ ยิ่งแข็งแรงมากจะยิ่งทำให้เกิดการหย่อนคล้อยได้มาก การฉีดโบทอกซ์ที่กล้ามเนื้อมัดนี้ จึงช่วยลดการดึงรั้ง ทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นที่ทำหน้าทีดึงขึ้นทำงานได้มากกว่า ขอบคางจึงกระชับขึ้น เส้นเอ็นที่คอ เล็กลง
– การฉีด เนเฟอติติลิฟท์ (Nifertiti Lift ) ทำครั้งหนึ่งอยู่ได้ราว 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ การยกกระชับหน้าด้วยเทคนิค Nifertiti Lift ใช้เวลาไม่นาน ทำเสร็จคนไข้ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมต่อตามปกติ แต่แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญในเทคนิคนี้อย่างแท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น หน้าไม่สมดุล กล้ามเนื้อคออ่อนแรง พูดไม่ชัด กลืนอาหารลำบาก เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะไม่สวยแล้ว อาจกลายเป็นสยองแทนนะครับ

Posted on

ฉีดเสริมจมูก (Nose injection) ให้โด่ง แบบไหน ปลอดภัย ไม่ต้องทำศัลยกรรม ให้เจ็บตัว

เสริมจมูกแบบไม่ต้องศัลยกรรม

การเสริมจมูก เป็นหัตถการที่นิยมทำกันมากที่สุดวิธีในแถบเอเซีย เนื่องจากโครงหน้าของชาวตะวันออก มักจะมีจมูกที่ไม่เป็นสันโด่งสวยงาม เหมือนทางตะวันตก การเสริมจมูกมีด้วยกันหลากหลายวิธีในปัจจุบัน แต่แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 กรรมวิธี ก็คือ
1.เสริมจมูกด้วยการทำศัลยกรรม : ซึ่งถือว่าเป็นที่นิยมของตลาด ได้ลงรายละเอียดไว้แล้ว คลิกอ่านได้
2. การเสริมจมูกแลลไม่ต้องทำศัลยกรรม บทความนี้จะนำเสนอเรื่องการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดให้ทราบพอสังเขป ประกอบการตัดสินใจสำหรับท่านที่ต้องการเติมให้สวย เพิ่มให้หล่อ ดังนี้

การเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นการทำศัลยกรรมเสริมแต่งที่เริ่มเป็นที่นิยม ในระยะไม่นานมานี้ เหมาะสำหรับท่านที่มีสันจมูกเก่าอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้รูป หรือ กลัวการผ่าตัด ไม่อยากหยุดงาน หรือพักฟื้นหลังผ่าตัด หรือกังวลว่าจมูกที่เสริมไปไม่เป็นธรรมชาติ แข็ง หรือกลัวเบี้ยวเอียงในอนาคต โดยแบ่งออกได้ดังนี้

1. การฉีดสารฟิลเลอร์ ( Filler agents)  เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สารฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด แนะนำให้เลือกใช้แบบไม่ถาวร (Temporary Fillers )  และเป็นสารกลุ่ม HA (Hyaluronic acid) เพราะกลุ่มนี้จะผ่านอย. ไม่พอใจ เสริมแท่ง ก็สามารถจะฉีดให้สลายไปได้ ด้วย สาร Hyaluronidase

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :

  1. ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ ไม่พบอาการบวมแดง หลังฉีด สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
  2. จัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ ใช้เติมแต่งแก้ปัญหาจมูกเบี้ยว เอียง หรือฉีดเสริมให้โด่งขึ้น จัดแต่งรูปทรงจมูก ให้ธรรมชาติมาก ขึ้นในคนที่เสริมจมูกด้วยแท่งมาแล้ว ยังดูไม่ธรรมชาติ
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้ เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากสัตว์เหมือนกลุ่มคอลลาเจน จึงไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีด
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก
  8. เมื่อมีปัญหา สามารถสลายไปได้เอง ไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก หรือถ้าไม่พอใจ หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนใจไปเสริมจมูกด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือกระูดูกอ่อน ก็สามารถฉีดให้สลายได้ด้วยสาร Hylauronidase ภายในไม่กี่วัน     การฉีดเสริมจมูกด้วยฟิลเลอร์ จะเห็นว่าตรงสันจมุกดูธรรมชาติ ไม่เป็นแท่งสูงเหมือนการเสริมด้วยแท่งซิลิโคน

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ต้องมีการฉีดเติมบ่อยๆ ทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย (โดยอยู่ระหว่าง 15,000-20,000 บาท)
  4. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก
  5. แพทย์ที่ทำ ถ้าไม่ชำนาญ ลักษณะกายภาพของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงจมูก อาจจะฉีดไปโดนเส้นเลือด ทำให้ปลายจมูกขาดเลือด อักเสบ หรือฟิลเลอร์อาจจะเข้าไปในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่ลูกตา ทำให้เสี่ยงต่อการมองเห็นผิดปกติได้

2 . การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย (Thread ) : การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย จะเหมาะกับคนที่มีสันจมูกที่โด่งอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการปรับรูปทรงให้คมขึ้น ยกปลายจมูกให้เิชิด หรือปรับปลายจมูกให้ยื่นยาวมีหยดน้ำ เป็นอีกเทคนิคหนึ่งการเสริมจมูกที่กำลังได้รับความนิยม  เพราะไหมละลาย จะทำง่ายและสะดวกกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เพราะจะร้อยตรงไหนก็ได้ที่ต้องการ ไหมละลายที่ใช้ ควรเลือกที่ผ่าน อย. แล้ว เช่น ไหม PDO (Polydioxanone)โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี  ไหมละลายที่อยู่นานกว่านี้ ส่วนใหญ่จะยังไม่ผ่านอย.เมืองไทย

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยการร้อยไหม :

  1. ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ ไม่พบอาการบวมแดง หลังฉีด สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
  2. จัด แต่งรูปทรงได้ตามต้องการ จะร้อยไหมยกปลายจมูก ลดปีกจมูก ร่วมด้วยก็ได้
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยการร้อยไหม :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องร้อยไหมซ้ำ ทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ไม่เหมาะกับคนที่แทบไม่มีดั้งเลย เพราะไม่สามารถจะเพิ่มสันให้โด่งได้ตามใจชอบ การร้อยไหม แค่ปรับสันจมูกให้คมชัดขึ้น
  4. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก

3 . การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมัน : เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเสริมจมูก เทคนิคนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง เป็นคนทำ โดยการดูดไขมันจากร่างกายแล้วนำมาฉีดเสริมจมูก คล้ายๆ กับการฟิลเลอร์

จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมัน :

  1. ใช้ไขมันของตนเอง
  2. จัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ
  3. ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30-32
  4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
  5. ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
  6. ไม่มีโอกาสแพ้
  7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก

จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยไขมัน :

  1. ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำ ทุก 1-2  ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
  2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
  3. ต้องฉีดปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะไขมันจะยุบตัวได้ถึง 30-40% หลังฉีด ทำให้คาดหวังผลการรักษาไม่ได้แน่นอน
  4. เจ็บตัวหลายครั้ง เพราะจะต้องทำการดูดไขมันด้วย เสี่ยงต่อแผลเป็น
  5. อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี หลังฉีด อาจจะติดเชื้อได้เช่นกับการผ่าตัดเสริมแท่งจมูก

จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยฟิลเลอร์ ถือว่าได้รับความนิยมกว่าวิธีอื่นๆ เพราะปั้นแต่งได้ตามชอบใจ แต่ถ้าเสริมด้วยไหมละลายอีกที พบว่าผลที่ได้ จมูกจะดูสวยงาม เป็นธรรมชาติ นอกจากจะโด่งได้รูปตามต้องการแล้ว ยังปรับแต่งทรงให้จมูกคมมากขึ้น ใกล้เคียงกับการเสริมจมูกด้วยการผ่าตัด และสามารถเพิ่มหยดน้ำที่ปลายจมูก ยกปลายจมูกให้เชิด ปรับปลายจมูกให้ยื่น ได้ตามต้องการ หากสนใจการฉีดเสริมจมูก หรือเสริมด้วยไหมละลาย หรือทำทั้งสองอย่าง แต่ควรจะปรึกษาหรือทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดเสริมจมูก เพราะผลข้างเคียงเกิดได้ ซึ่งถ้าเกิดแล้ว จะแก้ไขได้ยาก ไม่ควรจะฉีดเสริมกันเองตามหมอกระเป๋า หรือแพทย์ที่ขาดประสบการณ์มากพอ

รีวิวการฉีดเสริมจมูก ปรับทรงจมูก ด้วยฟิลเลอร์ HA
รีวิวการฉีดเสริมจมูกด้วยไขมัน
Posted on

Food Intolerance : ภาวะที่รับประทานอาหารบางชนิดไม่ได้ เกิดอาการผิดปกติ หลายระบบในร่างกาย

ท่านเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่ เวลาที่เรารับประทานอาหารบางอย่างเข้าไปแล้ว เกิดอาการผิดปกติ ไม่สบาย เช่นอาจจะท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย เกิดสิว เกิดผื่นแพ้ ทำให้ภาวะเซ็บเดิร์มรุนแรงขึ้น น้ำหนักขึ้นได้ง่ายหรืออ้วนง่ายมาก นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ท้องเสีย ปวดข้อ ฯลฯ หรือ อาจจะเกิดอาการที่เราอธิบายไม่ได้หลายอย่าง และบางครั้งเมื่อเกิดอาการที่ไม่ทราบสาเหตุแล้วไปพบแพทย์ อาจจะได้รับการรักษาทางด้านจิตใจมากกว่า เนื่องจากคิดว่าเป็นอาการที่เกิดจากสภาวะทางจิตใจหรือความเครียด
ในความเป็นจริง อาการเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วร่างกายรับไม่ได้ ที่เรียกว่าการแพ้อาหารแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรง หรือเกิดภาวะการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ( Food Intolerance)
อาการเหล่านี้พบว่าจะเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วหลายวัน เช่น เรารับประทานนมหรือขนมปังเข้าไปในวันนี้แต่เกิดอาการปวดข้อหลังจากนั้น 3 วัน หรือเป็นอาทิตย์ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะสรุปว่าเกิดจากอาหารชนิดไหน ซึ่งจะแตกต่างจากการแพ้อาหารแบบทันที (Food Allergy) ซึ่งอย่างหลังเราจะสังเกตได้ง่ายกว่า เพราะจะรุนแรงกว่า เกิดได้เร็วกว่า เช่น เกิดผื่นแพ้ ลมพิษ คัน หน้าเห่อ บวมแดง
ภาวะการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ( Food Intolerance)
พบได้ถึง 45% ของคนปกติ การเกิดภาวะนี้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นกับอาหาร และยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจเกิดจากการติดเชื้อราในระบบทางเดินอาหาร, การมีพยาธิ, การติดเชื้อในลำไส้, ความไม่สมดุลของสารอาหารที่บริโภคเข้าไป, การดื่มแอลกอฮอล์ หรือผลมาจากยาซึ่งอาจไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างต่ออาหารมากเกินไป ในภาวะปกติภูมิคุ้มกันจะไปจับกับโปรตีนในอาหารและจะถูกขจัดไปโดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแต่ถ้าระบบภูมิต้านทานทำงานมากผิดปกติร่างกายจะขจัดไม่หมดและจะไปสะสมอยู่ตามข้อหรือระบบย่อยอาหารทำให้เกิดอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้

อาการของภาวะรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ( Food Intolerance)
– ระบบทางเดินหายใจ – ไอ, จาม, หายใจลำบาก, ภูมิแพ้, ติดเชื้อในหู, กรน, หยุดหายใจขณะ นอนหลับ, ปอดบวม, หลอดลมอักเสบ
– ระบบภูมิคุ้มกัน – มีไข้ หรือติดเชื้อได้ง่าย, เป็นแผลในปาก, ติดเชื้อรา
– ระบบประสาท – เชื่องช้า, ซุ่มซ่าม, ปวดหัว, ไมเกรน, เครียด, มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ, โรคจิตเสื่อม
– ผิวหนัง, ผม และ เล็บ – โรคเรื้อน, ผิวหนังอักเสบ, ลมพิษ, ผื่นแดง, ผมร่วง. เล็บฉีกหัก, รังแค
– ระบบเผาผลาญ – หงุดหงิด, น้ำหนักเกิน, น้ำหนักลด, หนาวสั่น, ไทรอยด์เป็นพิษ
– ระบบกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อหรือข้อล็อค, เอ็นหรือข้ออักเสบ, กระดูกบาง, กระดูกแตก, กระดูกพรุน
– ขาดสารอาหาร – อ่อนเพลีย, สมาธิสั้น, ขาดวิตามิน, ขาดธาตุเหล็ก, โลหิตจาง, ขาด แคลเซียม
– ระบบทางเดินอาหาร – ลำไส้แปรปรวน (IBS), ท้องเสีย, ท้องผูก,อาหารไม่ย่อย, แผลใน กระเพาะอาหาร, แผลในลำไส้,อ้วนได้ง่าย
– ระบบสืบพันธ์ – ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ, มีบุตรยาก, แท้ง
– ที่สำคัญ โรคเรื้อรังที่สำคัญอาจจะเกิดตามมาได้ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1,โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis),โรคแพ้กลูเทน (Coeliac disease),โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis),โรคโลหิตจาง (Anemia),มะเร็งลำไส้และกระเพาะอาหาร (Bowel cancer and Stomach cancer),โรคหลอดเลือดหัวใจ (Atherosclerosis),โรคความดันโลหิตสูง,โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hashimoto’s thyroiditis) ถ้าหากเราไม่รักษาอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรือไม่เลี่ยงการรับประทานอาหารที่ร่างกายรับไม่ได้
Food Intolerance Test 
ในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้เราสามารตรวจสอบการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่เรียกว่า Food Intolerance Test โดยใช้เทคโนโลยี Microarray ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากประเทศอังกฤษ ที่มีความแม่นยำสูงมาก ที่สำคัญคือใช้เลือดเพียงปริมาณเล็กน้อย ผลการทดสอบสามารถบ่งบอกชนิดของอาหารที่ร่างกายรับไม่ได้ได้ถึง 221 ชนิด
การใช้ประโยชน์จากผลการทดสอบ Food Intolerance Test 
จากผลการทดสอบภาวะการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ถ้าผลการทดสอบของคุณเป็นบวก บ่งบอกได้ว่าคุณมีปฏิกิริยาการต่อต้านอาหาร ซึ่งจากผลการทดสอบนี้คุณสามารถนำมาปรับเปลี่ยนชนิดของอาหารที่คุณรับประทานให้ถูกต้องและเหมาะสมกับภาวะสุขภาพ เพื่อให้การรับประทานอาหารแล้วเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย และยังเป็นการดูแลสุขภาพจากภายในเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย นอกจากนี้การตรวจหาชนิดของอาหารที่ก่อให้เกิดอาการที่แท้จริง ยังถือว่าเป็นการป้องกัน ที่ดีกว่าการแก้ปัญหาโดยการรักษาอาการของโรคซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วย แต่สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารควรอยู่ภายใต้การควบคุมและดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อความถูกต้องครบถ้วนในการได้รับสารอาหารในแต่ละวัน

Posted on

วิตามินกินกันแดด ( Sun Vitamins) ถ้าป้องกันได้ ก็ไม่ต้องหวั่นผิวเสีย เพราะทาครีมไม่ทั่วถึง

370_2

วิตามินกินกันแดด ได้อย่างไร?

วิตามินกันแดด ได้ออกมาจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ และเป็นที่นิยม เพราะสะดวก สามารถป้องกันแสงแดดได้ดีตลอดวัน โดยไม่ต้องทาครีมกันแดดให้เหนียวเหนอะหนะ หรือคอยทาซ้ำๆ ทุก 2 – 3 ชั่วโมง
วิตามินกันแดดเกือบทุกยี่ห้อ มักประกอบด้วยวิตามินที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากธรรมชาติที่ดูดซึมได้ง่าย เช่น สารกลุ่ม Astaxanthine เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สกัดได้จากสีชมพูและแดงในสัตว์ทะเล เช่น เปลือกกุ้ง ปู ปลาแซลมอน สารกลุ่มนี้จะช่วยป้องกันอาการผิวไหม้จากแสงแดดและริ้วรอยลึกบนผิว รวมถึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย
1 สารสกัดจากมะเขือเทศ (Tomato extract) มีสารสำคัญ ได้แก่ ไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสื่อมโทรมอันเป็นผลมาจากแสงแดดและมลภาวะ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวดูขาวอมชมพูมีสุขภาพดี
2.สารสกัดจากพืชกลุ่มซิตรัส (Citrus extract) หรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม อุดมด้วยวิตามิน ซี และวิตามิน อี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันผลกระทบจากแสง UV เช่น ผิวหมองคล้ำและการทำลายคอลลาเจน จึงช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสเปล่งปลั่ง

3. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape seed extract) ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะไม่ให้ผิวระคายเคือง ป้องกันการทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวซึ่งทำให้ผิวคล้ำขึ้น และยังมีงานวิจัยที่พบว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่นช่วยให้ฝ้าดูจางลงด้วย
4. วิตามิน ซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมาก ซึ่งช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากแสงแดด ป้องกันผิวเสื่อมโทรม หยาบกร้าน หมองคล้ำ และระคายเคือง มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ เต่งตึง นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้นด้วย
5. สารสกัดอื่นๆ จากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากชาเขียว เฟิร์น และเปลือกสน ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสง UV ทำลายเช่นเดียวกับสารอื่นๆ

กินวิตามินกันแดดอย่างเดียว ไม่ต้องทากันแดดได้ไหม?

วิตามินกันแดด มีส่วนช่วยในการป้องกันผลกระทบที่เกิดจากแสงแดด เช่น ผิวโทรม ผิวหยาบกร้าน และริ้วรอยเป็นหลัก แต่ไม่ได้ป้องกันรังสี ยูวีเอ ยูวีบี แบบเดียวกับครีมกันแดด จึงไม่ควรกินวิตามินอย่างเดียว แล้วออกไปเดินกลางแดดจ้าโดยไม่ทากันแดด เพราะไม่มีอะไรรับประกันผิวเราจะไม่ถูกแดดเผาจนพัง ทางที่ดีก็ควรทำควบคู่กันไป ทั้งกินวิตามิน ทาครีมกันแดด และใช้ร่ม หมวก เสื้อแขนยาวป้องกันแดดด้วย


Posted on

สักมาไม่พอใจ อยากลบออกไป เลเซอร์ Revlite ช่วยได้ หลากหลายสี เห็นผลทันที ไม่มีผลข้างเคียง

ลบรอยสัก(Tatoo Removal) ด้วยเลเซอร์

ปัจจุบัน การสัก ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะทำการสักเพื่อความสวยงามมากกว่าเน้นในเรื่องของไสยศาสตร์เหมือนในอดีต การสัก ในสมัยนี้จึงเป็นที่นิยมสักกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จนกลายเป็นแฟชั่นไปอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมีการสักมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีความต้องการในการลบรอยสักกันมากขึ้นตามมาเช่นกัน ซึ่งอาจจะมีเหตุผลจากเมื่ออายุมากขึ้น เริ่มเบื่อ หรือบางคนต้องทำงาน บางคนเกรงจะกระทบต่อหน้าที่การงาน จึงได้หาวิธีการลบรอยสักที่ทำมาแต่ก่อน

โดยมาก การสัก เพื่อความสวยงามมักจะสักในหลาย ๆ ตำแหน่งเช่น ที่ปาก แก้ม ขอบตา เปลือกตา หัวไหล่ เนินอก แขน ขา ข้อเท้า หรือในที่อื่น ๆ ตามแต่เจ้าของร่างกายต้องการสัก เดิมการสักจะใช้เฉพาะสีดำ ซึ่งลบออกได้ง่าย ด้วยวิธีแบบเดิมๆ เช่น การลบด้วยกรดเข้มข้น สมุนไพร ฯลฯ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีการสักหลากหลายสีมากขึ้น ทั้งสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ ทำให้วิธีการลบรอยสักแบบเดิมๆ อาจจะได้ผลไม่ดีนัก และเกิดผลข้างเคียงและแผลเป็นได้ง่ายหลังการลบรอยสัก ปัจจุบันจึงนิยมจะลบรอยสักด้วยเลเซอร์มากกว่า

การลบรอยสัก ด้วย เลเซอร์ นั้น จะอาศัยพลังงานจาก แสงเลเซอร์ ที่ เข้าไปทำให้เม็ดสีของหมึกที่สักลงไป ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ให้แตกตัวกระจายออก แล้วอาศัยกลไกการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของร่างกายขจัดเอาเม็ดสีที่แตกเป็นชิ้น เล็ก ๆ นั้นออกไป และทำให้ รอยสัก จางลงไป การลบรอยสัก ด้วย เลเซอร์ เป็นการลบรอยสักซึ่งมีความนิยมทำในวงการแพทย์ปัจจุบัน เนื่องจากมีผล้างเคียงต่ำ และผลที่ออกมาสามารถลบรอยสักได้มากกลับไปใกล้เคียงกับผิวหนังเดิม
กลไกในการรักษาแพทย์ก็จะเลือกชนิดของเลเซอร์ ให้เหมาะสมตรงกับสีของรอยสัก ซึ่งแต่ละสีก็จะมีความจำเพาะกับเลเซอร์แต่ละความยาวคลื่น ซึ่งแสงเลเซอร์ก็จะไปทำให้เม็ดสีในผิวหนังแตกออก และถูกขจัดออกทางระบบน้ำเหลือง, ขจัดออกทางผิวหนังตามมา แต่รอยสักแต่ละชนิด หรือแต่ละสี จะได้ผลไม่เท่ากัน ขึ้นกับชนิดของสี ขนาด ตำแหน่ง ความลึก อายุของรอยสักและสีผิวของเจ้าของรอยสัก รอยสักบริเวณแขน หน้าอก ก้นและขา จะไม่ยากนักตรงข้ามกับรอยสักที่นิ้วและข้อเท้า ซึ่งจะแก้ไขได้ยาก นอกจานี้จะพบว่ารอยสักสีดำ สีน้ำเงินและสีเขียว จะได้ผลดีกว่าสีแดง สีส้มและสีเหลือง

ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ตัวไหนดี

RevLite® ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักที่ได้ผลดีสุดในปัจจุบัน (Gold Standard device for multi-color tattoo removal ) เพราะสามารถลบรอยสักได้ตั้งแต่สีดำ สีแดง สีเขียว แม้แต่สีน้ำเงิน ฯลฯ เพราะมีหลากหลายช่วงคลื่นให้เลือกใช้ มากกว่าเลเซอร์รุ่นอื่นๆ ดังนี้
– ช่วงคลื่น 1064 nm สำหรับรอยสักสีดำ
– ชวงคลื่น 532 nm สำหรับรอยสักสีแดง
– ช่วงคลื่น 585 nm สำหรับรอยสักสีน้ำเงิน
– ช่วงคลื่น 650 nm สำหรับรอยสักสีเขียว

ขั้นตอนการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ :

บริเวณที่จะทำเลเซอร์จะได้รับการทาครีมยาชา ประมาณ 30-45 นาที ระยะเวลาในการทำเลเซอร์จะไม่นานนัก ปกติราว 10-15 นาที โดยทั่วไป จะไม่มีอาการเจ็บปวด หรือถ้าเจ็บก็พอทนได้ เพราะจะมีการพ่นไอเย็นจัด (Cool Jet) ในระหว่างที่ทำให้ลดความเจ็บและความร้อนลงได้มาก ภายหลังการทำผิวอาจจะจะตกสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดไปภายใน 5-7 วัน ส่วนใหญ่จำนวนครั้งและระยะห่าง แตกต่างกันไปตามลักษณะของรอยสัก โดยทั่วไปมักต้องทำอย่างน้อย 5-8 ครั้ง โดยมีระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ มักจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นบางกรณีอาจจะเกิดรอยด่างหรือรอยดำ ซึ่งก็สามารถหายเป็นปกติได้ สำหรับการเกิดแผลเป็นมีโอกาสค่อนข้างน้อย ถ้าแพทย์ที่ทำมีประสบการณ์ในการรักษา

การดูแลหลังลบรอยสักด้วยเลเซอร์:

ประมาณ 24 ชั่วโมงหลังทำการรักษาด้วยเลเซอร์ ถ้าเกิดมีบาดแผล ไม่ควรจะโดนน้ำบริเวณที่ทำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ(Normal Saline) โดยใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดแผลเบาๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จนกว่าสะเก็ดจะแห้งและหลุดออก ถ้าปวดก็สามารถทานยาแก้ปวดได้ ถ้ามีอาการอักเสบ บวมแดง ควรกลับมาให้แพทย์ตรวจดูอาการ หาสาเหตุ และทำการรักษา ไม่ควรใช้ครีมหรือเครื่องสำอางใดๆ ทาบนแผลที่ลบรอยสัก จนกว่าสะเก็ดจะแห้งและหลุดออกหมด ควรเลี่ยงแสงแดดบริเวณที่ทำประมาณ 2-3 อาทิตย์ เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำได้ และควรจะมาพบแพทย์ตามนัด

อย่าได้ไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับน้ำยาลบรอยสัก หรือสมุนไพรใดๆ ที่ว่ามีประสิทธิภาพและเห็นผลทันตา แล้วซื้อมาลบรอยสักเองนะครับ เพราะอาจเกิดแผลเป็น หรือไม่ก็เสียโฉมไปเลย ทำให้ต้องมาเวียนแก้ปัญหาในระยะยาวเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ

Facebook: Clinicneo
Instagram: http://bit.ly/2Hs7xVk
Website: http://www.clinicneo.co.th
Add LINE ID ปรึกษาได้ที่ : @clinicneo หรือ ✅Click✅ http://bit.ly/2Jfx2Kh
Tel.: 02-399-3390-1,091-819-4930
……………………………………………………………………..
ฝีมือระดับอาจารย์แพทย์
✅ให้บริการโดยอาจารย์นายแพทย์จรัสพล (หมอเต้ นีโอ)
✅ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ‍⚕️
#อยากลบรอยสักคิ้ว#คิ้วหนา#คิ้วไม่เท่ากัน#คิ้วไม่สวย
✅เห็นผลไว ไร้รอยแผลเป็น สีผิวกลับมาปกติ เครื่องแท้จากอเมริกา
✅คลินิกนีโอ สะดวก สะอาด ปลอดภัย มั่นใจ สวยไว เป็นธรรมชาติ
……………………………………………………………………..
“ความรู้เกี่ยวกับ ลบรอยสักด้วย Revlite Gold Standard tattoo removal “‍
ลบรอยสัก(Tatoo Removal) ได้หลากหลายสี ด้วยเลเซอร์ Revlite
http://bit.ly/2KNdI6U
“RevLite” เลเซอร์เม็ดสีสำหรับฝ้า กระ รอยด่างดำ ลบรอยสัก ที่ได้ผลดี
http://bit.ly/2K9k5TV
เลเซอร์ในแวดวงความงาม(Laser in Cosmetic Dermatology)
http://bit.ly/2Ze3OAF

Posted on 48 Comments

ฉีดโบ ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้มากมาย ไม่ใช่แค่ริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ( Advanced technique for Botox Injection)

ฉีดโบทอกซ์ ยกหางคิ้ว หางตา

โบทอกซ์แก้ปัญหาอะไร

ปัจจุบันฉีดโบที่นิยมฉีดกัน ใช้แก้ปัญหาอะไรบ้าง : เดิมเรารู้แค่ว่าโบทอกซ์ ออกฤทธิ์โดยการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้คอลลาเจน หดตัว แต่ปัจจุบัน มีการนำโบทอกซ์มาแก้ปัญหาอื่นๆ ได้อีกมากมาย ที่หลายคนไม่รู้ จึงขอเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ว่าโบทอกซ์แล้วแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ดังนี้นะครับ
1. ฉีดลดริ้วรอย ตามบริเวณต่างๆ เช่น ตีนกา หน้าผาก หัวคิ้ว รอยย่นเวลาสันจมูก (nasal scrunch)
2. ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ( Facial Contouring)
3. ฉีดลดเหงื่อที่รักแร้ ลดกลิ่นเต่า ลดเหงื่อที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ( Hyperhidrosis)
4. ฉีดลดน่อง แก้ปัญหาน่องโต
5. ฉีดยกคิ้ว แก้หางตาตก ปรับแนวรูปคิ้ว ให้ได้รูปตามต้องการ ปรับตาให้ดูกลมสวยงาม
6. ฉีดยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ( Face Lift or Crown’S Lfiting )

7. ฉีดลดกล้ามเนื้อขอบตาล่าง ที่คล้ายๆ ถุงไขมันใต้ตา Pre-tarsal Muscle)เวลายิ้มจะเห็นชัดขึ้น พบได้บ่อยในคนเกาหลี แต่บางคนอาจจะไม่ชอบ ให้ก้อนนี้เล็กลงได้ เวลายิ้มจะเห็นเป็นก้อนๆ
8.ฉีดลดปีกจมูก และ ฉีดยกจมูกงุ้มให้เชิดขึ้น
9. ฉีดแก้ปัญหายิ้มแล้วเห็นเหงือก (Gummy smile ) ฉีดแล้วการยิ้มเห็นเหงือกจะลดลง
10. ฉีดลดรอยย่นที่ริมฝีปาก กรณีทำปากจู๋ แล้วพบว่ารอยย่นชัดเจน พบบ่อยในคนที่สูบบุหรี่
11. ฉีดยกมุมปาก ( Mationette Line)
12. ฉีดรอยย่นที่คาง ( Mental Crease) หรือรอยบุ๋มที่คาง ( Poply Chin)ที่เวลายิ้มทำให้คางสั้น ให้ดูยาวขึ้น  

13. ฉีดเส้นรอยย่นที่คอให้ดูตืนขึ้น (Neck Line)
14. ฉีดกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ( Microbotox)
15. ฉีดลดต้นแขนใหญ่จากกล้ามเนื้อ
16. ฉีดลดเส้นกล้ามเนื้อที่คอ (Aging Platysma Band)
17. ฉีดลดอาการปวดศีรษะไมเกรน
18. ฉีดลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อจากการทำงาน( Myo-facial office syndrome)
แต่ทั้งนี้ ขอย้ำนะครับ ว่ามีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่ทำได้ทุกอย่าง ก่อนทำควรเลือกที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญ ใช้ของแท้ ผ่าน อย. จึงจะได้ผลดีตามที่ต้องการ ไม่มีผลข้างเคียง

ฉีดโบทอกซ์ ลดน่องโต ก่อนหลัง 3 เดือน

ลดปัญหายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากไป (Gummy smile)
ลดรอยย่นที่คอ
ลดเส้นเอ็นที่คอ
ฉีดยกมุมปาก แก้ปากตก ร่องน้ำหมาก

ลดกล้ามแขน
Posted on

มือเหี่ยว ดูเหมือนแก่ก่อนวัย ป้องกันแล้วก็ไม่ไหว แก้ไขได้ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Hand Rejuvenation with Fillers)

4 เคล็ดลับ ป้องกัน มือเหี่ยว

– ในแวดวงความงามในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเกี่ยวกับการดูแลความงาม และฟื้นฟูผิวหน้า ให้กลับมาสดใส แลดูเยาว์วัย กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางอย่างที่บางคนละเลย หรือไม่สนใจ นั่นก็คือ มือ
แม้จะปกปิดอายุที่แท้จริง จากใบหน้าที่เต่งตึงได้ แต่ส่วนใหญ่กับมือกลับเป็นตัวบ่งบอกอายุที่แท้จริงของเราได้อีกทางหนึ่งทีเดียว ดังนั้นนอกจากดูแลผิวหน้าและผิวตัวเป็นอย่างดีแล้ว อย่าปล่อยให้มือต้องเหี่ยวอย่างเดียวดาย เอาเทคนิคนี้ไปใช้ ให้มือเด็ก เนียนนุ่ม ไม่ดูเหี่ยวจนฟ้องอายุด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากให้หนุ่มๆ จับแล้วว่าแก่ มาดู 5 เคล็ดลับนี้นะครับ
1. ทาครีมบำรุง ถึงแม้เราจะใช้มือทาครีมและคิดว่ามือก็ได้รับการบำรุงจากครีมทาผิวอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ลองเลือกครีมทามือโดยเฉพาะด้วยดีกว่า จะได้เน้นบำรุงไปที่ริ้วรอยและความหยาบกร้านของมือตรงจุดไปเลย ทาบ่อยๆ ทุกครั้งหลังล้างมือก็ยิ่งดี
2. ทากันแดด เพราะแสงแดดมีแสงยูวีที่ นอกจากจะทำให้มือดำคล้ำแล้ว ยังทำให้มือเหี่ยวก่อนวัยได้ด้วย
3. ทำพาราฟินมือ คือการใช้แว็กซ์หรือขี้ผึ้ง มาละลายให้อุ่นๆ แล้วเอามือค่อยๆ จุ่มลงไป ซึ่งความอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรทาอาการนิ้วล็อคได้ เมื่อมือของเรามีการไหลเวียนของเลือดที่ดีแล้ว ก็จะทำให้มือนุ่มขึ้นด้วยนั่นเอง แต่อาจจะต้องทำต่อเนื่องเรื่อยๆ
4. ใส่ถุงมือเข้านอน หลังทาครีมเรียบร้อย เวลาเข้านอน อาจจะมีแอร์ที่ทำให้ครีมระเหยได้ง่าย การใส่ถุงมือก่อนนอน จะได้ป้องกันความมือแห้ง และเป็นการป้องกันครีมจะได้ซึมเข้าผิวไม่หลุดง่าย

ฟิลเลอร์ ฟื้นคืนความเยาววัยให้มือได้ (Hand Rejuveantion)

Fillers : จัดเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อการฟื้นฟูมือให้ดูอ่อนกว่าวัยที่แท้จริง เห็นผลทันที ไม่มีต้องทำศัลยกรรม โดยจะช่วยบำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคุณสมบัติของ Hyaluronic acid ที่มีสรรพคุณดูดน้ำให้ผิว ทำให้ผิวแต่งตึงทันทีหลังฉีด แต่ควรเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่ ปั้นได้ง่าย ไม่เป็นก้อนหลังฉีด เพราะหลังมือเป็นบริเวณที่บอบบาง สังเกตได้ง่าย และที่สำคัญต้องฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ

Fillers ที่ดี ที่จะฉีดมือ ควรจะมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้ คือ 

  1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยการสร้างสมดุลให้กับเซลล์ผิวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
  2. ช่วยสร้างไฟโบรบลัสท์ (Fibroblast)สร้างเซลส์ใหม่อย่างครบวงจร
  3. ช่วยปกป์องผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระและแสงแดด
  4. ให้ความชุ่มชื้น เต่งตึงลดริ้วรอย ขาวใส และความอ่อนเยาว์ อย่างยั่งยืน
  5. เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติลื่นไหล โมเลกุลเล็ก ปั้นแต่งได้ง่าย ดูดน้ำได้ดี เพราะมือมักจะแห้งได้ง่าย และมีปลอดภัย ผ่านอ.ย.
  6. เลือกฟิลเลอร์ที่มีอายุไม่นาน เพราะผิวที่มือ เปลี่ยนแปลงตามอายุ ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่อยู่นานหลายๆ ปี อาจจะมีปัญหาเป็นก้อนๆ ได้ เพราะมือเราต้องขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา
  7. ฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ
เห็นผลทันที หลังฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน 10-12 เดือน
Posted on

DHEA : ฮอร์โมนที่จัดเป็นกลุ่มอาหารเสริม เพื่อการชะลอวัย ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

Portrait of smiling senior man using laptop on porch

DHEA คืออะไร

DHEA ย่อมาจาก Dehydroepiandrosterone จัดเป็นฮอร์โมนเพศชนิดหนึ่ง ที่ผลิตจากต่อมหมวกไต ( Adrenal glands บริเวณที่เรียกว่า Zona reticularis ) พบมากที่สุดในร่างกายของมนุษย์
DHEA เป็นฮอร์โมนตั้งต้นของฮอร์โมนเพศที่สำคัญ อันได้แก่
1. Testosterone(ฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ)
2. Estrogen(ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญ)
3. Androstenidione
DHEA จัดเป็นกลุ่มฮอร์โมนชะลอความชรา (Anti-aging hormone) เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ,Testosterone,Estrogen และเมลาโตนิน (Melationin) โดย DHEA มีหน้าที่สำคัญๆ ดังนี้
1. ควบคุมการผลิตฮอร์โมน 18 ตัวในร่างกาย อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญเป็นต้นตอของฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิง
2. ลดการสะสมของไขมัน
3. เพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยการกระตุ้นการผลิตและการทำงานของเม็ดเลือดขาว
4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง
5. เพิ่มการทำงานของสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น ชะลออาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์
6. ลดอาการวัยทองในสุภาพสตรี ช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ลดโคเลสเตอรอล และลดอาการซึมเศร้า
7. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากมีหลักฐานว่าช่วยลดระดับฮอร์โมน cortisol ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและเป็นสาหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ
8. ช่วยทำให้เส้นผมและขนเจริญเติบโต โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ หัวเหน่า (pubic hairs)
9. ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดริ้วรอย เสริมสร้างคอลลาเจน
10. ช่วยทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น

DHEA Food Source
DHEA Supplements

ฮอร์โมน DHEA ปกติร่างกายจะสร้าง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์และจะมีมากที่สุดเมื่ออายุประมาณ 25 ปี หลังจากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ พบว่า เมื่ออายุ 65 ปีจะมีปริมาณเหลือเพียง 20% ของคนหนุ่มสาว (อายุ 20 ปี ) นอกจากนี้ สาเหตุบางอย่าง เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ ก็ทำให้ระดับฮอร์โมน DHEA ลดลงได้เช่นกัน

DHEA ตรวจได้อย่างไร :
ปัจจุบัน ประเทศไทยเราสามารถจะตรวจหาระดับฮอร์โมน DHEA ได้ในกระแสเลือด โดยการตรวจต้องส่งห้องแลบที่ทำการให้บริการด้าน Anti-Aging โดยเฉพาะ เพราะตามรพ.ทั่วๆ ไป อาจจะยังไม่สามารถให้บริการได้ โดยเมื่อตรวจพบว่า ร่างกายเรามีระดับฮอร์โมน DHEA ลดลง เราจะได้ป้องกันอาการต่างๆ และหาทางเพิ่มระดับฮอร์โมนนี้ให้สูงขึ้น หรือเข้าสู่ภาวะปกติได้

ภาวะพร่อง DHEA :
โดยพบว่า เมื่อใดที่ร่างกายมีภาวะพร่องฮอร์โมน DHEA ( DHEA Deficiency) จะพบมีอาการดังต่อไปนี้

  1. อาจจะมีอาการผมร่วงทั่วหนังศีรษะ เส้นผมบางลง เส้นผมแห้งกรอบ
  2. ขนรักแร้ ขนที่หัวหน่าว ลดลงชัดเจน
  3. อ้วนง่าย มีไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะที่พุง
  4. ความต้องการทางเพศลดลง
  5. เหนื่อยเพลียง่าย (Fatique) หงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนได้ง่าย
  6. ตาแห้ง ผิวหนังแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

แนวทางการเพิ่มระดับ ฮอรโมน DHEA
1. อาหาร : พบว่าอาหารจำพวกปลา ไข่ ผัก ผลไม้ สัตว์ปีก ถั่ว หรือธัญญพืช ต่างๆ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนนี้ให้สูงขึ้นได้
2.การให้ฮอร์โมนทดแทน (DHEA Supplements) : พบว่า DHEA จัดเป็นฮอร์โมนตัวเดียวที่ FDA ของอเมริกา จัดอยู่ในกลุ่มอาหารเสริม เพราะมีความปลอดภัยสูง จะพบว่ามีวางขายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าอาหารเสริมโดยทั่วไป DHEA-S เป็นที่นิยมและขายดีมากในต่างประเทศ ในสหรัฐอเมริกาสามารถหาชื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
ขนาดที่รับประทาน 25 มก.ต่อวัน (สำหรับผู้หญิง) และ 50 มก(.สำหรับผู้ชาย ) ซึ่งพบว่าถ้ารับประทานในขนาดนี้ จะไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใดๆ เพียงแต่บางคน อาจจะมีผิวมัน สิว หรือขนดกมากขึ้น เนื่องจาก อาจจะมีผลไปทำให้ระดับ Testosterone สูงขึ้นได้

Posted on 2 Comments

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen ) ฟื้นฟูผิวฉ่ำวาว มีออร่า ล้ำลึกระดับเซลล์ ด้วยเทคนิคการฝังเข็มตามศาสตร์จีน (Homeopathy)

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen )คืออะไร

คือ การฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ด้วยหลักการธรรมชาติบำบัด (Homeopathy) ในระดับเซลล์ ถูกคิดค้นในปี 1991 โดยแพทย์ชาวเบลเยี่ยม ที่ชื่อ Jan Kersschot ด้วยการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติปริมาณเล็กน้อยในบริเวณจุดฝังเข็ม ตามแบบแพทย์แผนจีน บริเวณใบหน้า ซึ่งเชื่อว่าจุดฝังเข็มดังกล่าว จะทำให้ตัวสารสำคัญที่ฉีดสามารถแทรกซึมเข้าไปในบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถึงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix
– เราเชื่อว่าผิวอ่อนล้า หมองคล้ำ แก่ก่อนวัย เกิดจากมลภาวะภายนอก เช่น แสงแดด สารพิษ ต่างๆ สามารถสะสมและเกิดการทำลายผิวเรา ตรงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix นั่นเอง
– สูตรผสมของมาเด้ คอลลาเจน ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบ Homeopathy โดยมีหลักการบำบัดว่า “ ใช้สิ่งที่คล้ายกัน มารักษาสิ่งที่คล้ายกัน หรือ การนำพิษล้างพิษ ” เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง

มาเด้ คอลลาเจนทำงานอย่างไร

มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน และตัวยาแต่ละตัวก็จะส่งเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน จะฉีดทั้งหมด 20 จุดทั่วใบหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการบำรุงผิว โดยมีกลไกในการทำงาน 4 ขั้นตอนดังนี้

  1. Detoxification: คือการเร่งขับสารพิษและของเสีย ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดริ้วรอยออกจากร่างกาย เพราะถ้าเซลล์ผิวพรรณที่สารพิษหรือของเสียจำนวนมากๆ เซลล์ผิวพรรณก็ไม่สามารถจะได้รับสารอาหารใหม่ๆ เข้าไปหล่อเลี้ยงได้ ดังนั้นจึงต้องขจัดของเสียหรือสารพิษที่อยู่ในเซลล์ผิวพรรณออกไปเสียก่อน 
  2. Metabolism : คือ การเร่งการเผาผลาญพลังงานและการไหลเวียนของเลือด โดยขบวนการนี้จะช่วยให้ผิวพรรณ ได้รับสารอาหารบำรุงผิวที่จำเป็น ทำให้มีกำลังฟื้นฟูตัวเองได้
  3. Nutrients and Cell Therapy : สูตรยาเฉพาะของ มาเด้ คอลลาเจน จะประกอบด้วยสารอาหาร และเซลล์เนื้อเยื่อในจำนวนที่พอเหมาะที่ร่างกายต้องการ เพื่อการสร้างคอลลาเจน และ fibroblasts ใหม่ กับผิวพรรณ
  4. Restructuring : คือการปรับสมดุลให้กับผิวพรรณใหม่ ช่วยให้ผิวพรรณมีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง สามารถต่อสู้กับสาเหตุของความเสื่อมของผิวพรรณได้ ทำให้ผิวสวยแข็งแรง ไม่ถูกทำลายได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

มาเด้ คอลลาเจน เหมาะกับใครบ้าง

1.ผู้มีปัญหาสิวเรื้อรัง ที่สมดุลย์ของฮอร์โมนผิดปกติ Made’ Collagen จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกายให้เป็นปกติ
2. ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทำให้ผิวแข็งแรงและทนทานต่อสารที่ทำให้แพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. ผู้ที่มีฝ้าฮอร์โมน ใจากฮอร์โมนผิดปกติ โดยจะช่วยในเรื่องการหมุนเวียนของเลือด และปรับสมดุลของฮอร์โมน
4. ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ จากแสงแดด และมลพิษ มาเด้ คอลลาเจน จะช่วยขับสารพิษที่ฝังในระดับเซลล์ออกมาจากร่างกาย
5. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเรื้อรัง ทาครีมบำรุงก็ไม่ช่วยอะไร มาเด้ คอลลาเจน จะทำให้ผิวพรรณที่สุขภาพดี เต่งตึง เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ผิวฟูดูฉ่ำน้ำ อย่างดูเป็นธรรมชาติ
มาเด คอลลาเจน ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล มีผลข้างเคียงใดๆ หรือไม่ 
– มาเด้ คอลลาเจน สกัดจากสารสกัดธรรมชาติ และวิตามิน จึงไม่พบผลข้างเคียงใดๆ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วงแรก ควรจะทำต่อเนื่องทุกอาทิตย์ จากนั้นจะฉีดห่างออกไป เป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุก 1-3 เดือน เพื่อบำรุงผิวในระยะยาว
– พบว่า ยิ่งทำตอนอายุยิ่งน้อย ก็จะเห็นผลเร็วกว่า เมื่ออายุมากขึ้น เพราะสภาพเซลล์โดยรวมยังดีอยู่ และไม่ต้องใช้เวลานานในการปรับสภาพ แต่ถ้าอายุมากขึ้น อาจจะต้องทำหลายครั้งมากกว่านี้ เพราะเซลล์ผิวเสื่อมมานานพอสมควร ต้องใช้เวลานานมากกว่าในการให้ฟื้นคืนกลับมาปกติ

Posted on

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี แบบไหน อย่างไร ได้ให้ผลดี ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี ดีแตกต่างกัน

“ผิวหน้าขาวใส” จัดเป็นความต้องการอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักความสวยงาม ไม่ว่าเพศไหน วัยไหน เป็นค่านิยมที่ฮิตติดเทรนด์ ยิ่งไม่มีสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำ แผลเป็น รอยหลุม จึงเป็นยอดปรารถณาเป็นอย่างยิ่ง แต่พอค้นใน Google มีให้เลือกเยอะมาก จนสับสนว่าจะเลือกวิธีไหนดีใ ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามจะรวบรวมเทคนิคหน้าใสต่างๆ เหล่านี้ ไว้ในบทความนี้ เพื่อสะดวกในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผิวหน้า ปัญหา และความต้องการของแต่ละท่าน พร้อมข้อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ขอเรียงลำดับตามความนิยม และการได้ผลดี จากมากไปน้อยนะครับ ดังนี้นะครับ
1.เมโสหน้าใส ( Meso bright) : เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ต้องการเห็นผลท้ันทีหลังทำ หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มสะกิดไปทั่วใบหน้า ลงไปใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน หลังทำนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสมือนเติมอาหารและวิตามินให้แก่ผิวโดยตรง สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส เห็นผลทันทีได้ และไม่ต้องทำบ่อยๆ สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อด้อย : อาจจะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่ทำ ในบางคนอาจจะเกิดการอักเสบ หรือคัน บวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีดได้ ไม่ช่วยรอยแดงสิว

2. มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen) : เป็นการฉีดยาตามจุดฝังเข็ม 20 จุด ตามศาสตร์จีนโบราณ โดยใช้ ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบธรรมชาติบำบัด ( Homeopathy ) มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน ทั้งการทำดีทอกซ์ผิว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การให้อาหารกับผิว ปรับความสมดุล ฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ทำใหผิวฉ่ำวาว มีออร่า เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ หน้าดูอิตโรย ไม่สดใส
ข้อเด่น :  ทำให้ผิวใส ดูมีน้ำมีนวล ทันทีหลังทำ ไม่เคยมีหลักฐานการแพ้ตัวยาที่ฉีด
ข้อด้อย : ไม่เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม หรือเขียวช้ำง่าย การฉีดไปตามจุดฝังเข็ม จะค่อนข้างเจ็บมาก บางคนทนไม่ไหว ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ รอยแดงสิว

3. เลเซอร์หน้าใส (Micro-Laser Peel) : เป็นการทำให้หน้าขาวใส โดยใช้เลเซอร์ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะแต่ละปัญหา โดยแยกการทำงาน ว่าจะยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการสร้างเม็ดสีให้จางลง จาก รอยดำ ฝ้า กระ เลเซอร์เม็ดสี กลุ่ม Q-Switch Nd:YaG Laserเช่น Revlite Lase, Medlite C-6 ที่มารักษา หรือ กลุ่มรอยแดง จากสิว ผิวไม่เรียบเนียน ด้วย V-beam laser
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำ รอยแดงสิว กระชับรูขุมขน ได้ดี และเร็วกว่าทุกๆ วิธี และ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ
ข้อด้อย: ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับวิธีอื่น


4. ครีมทาหน้าขาว(Whitening creams : คือการทาครีมทำให้หน้าขาว อาศัยขบวนการ ให้ครีม หรือสารทั้งหลาย ต้องมีฤทธิ์ในยับยั้ง ขบวนการสร้างเม็ดสีให้ลดลง เมื่อใช้ไปต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ข้อเด่น : ทำให้สีผิวค่อยๆ ขาวขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นในรายที่แพ้ตัวยาบางตัว
ข้อด้อย: ได้ผลแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่สีผิว ส่วนประกอบของครีมความสม่ำเสมอในการทาครีมก็แตกต่างกัน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ใจร้อน และอาจจะทำให้แพ้ได้ในบางคน

5. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling ) คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้เข้มข้น เช่น 30-70 % AHAs,30-50% TCA การเลือกใช้สารเคมีใด ความเข้มข้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
ข้อเด่น : ผิวหน้าขาวไวภายใน 3-7 วันหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลงได้
ข้อด้อย: ทำให้ผิวหน้าลอกได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ระยะเวลาที่ทาทิ้งไว้ ถ้าลอกมากเกินไป หรือลอกบ่อยๆ ผิวหน้าจะบางลงได้ บางรายที่แพ้สารเคมีที่ใช้ แทนที่ผิวหน้าจะขาวใส อาจจะแพ้ แดง ระคายเคือง ผิวหน้าไหม้เกรียม ดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมก็ได้ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนสิีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ

6.ไอออนโต( Iontophoresis) : คือ การใช้เครื่องมือ ที่ทำให้ตัวยาไวเทนนิ่ง แตกตัวเป็นประจุ เพื่อให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น ทำให้ได้ผลมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการทาไวเทนนิ่งครีมปกติ
ข้อเด่น : มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย เหมาะสำหรับคนที่ผิวมัน และมีสิว ไปด้วย เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลงได้ สิวลดลงได้เช่นกัน
ข้อด้อย: อาจจะรู้สึกเจ็บหรือคันยุบยิบในระหว่างทำ (ซึ่งบางคนไม่ชอบ ) ไม่สามารถทำได้ทุกจุดบนใบหน้า บางคนอาจจะทำให้สิวเห่อมากขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติผิวหน้าแพ้ง่าย

7. Phonophoresis : คือ เทคนิคการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยเครื่อง อัลตราโซนิค โดยใช้คลื่นความถี่สูง 20,000 Hz ผลักตัวยากลุ่มไวเทนนิ่งให้ลงลึกสู่ผิวหน้า ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ถือว่าเป็นวิธีทีสะดวก เพราะราคาไม่แพง
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือคันยุบยิบเหมือนการทำไอออนโต นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง
ข้อด้อย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน เพราะกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ มีโอกาสเกิดการแพ้ยาที่ใช้ ได้ผลการรักษาช้า ไม่แน่นอน เพราะมีการงานวิจัย เชื่อว่าไม่ได้ผลเหมือนกัน

8.การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabrasion) : เป็นการกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณี (Aluminium Oxide) ขนาดเล็กมาก โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊ม โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ เหมาะผิวหน้าที่มีปัญหา รอยด่างดำ หมองคล้ำ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส ได้ในทันทีหลังทำ แต่จะมากน้อย แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว ระยะเวลาในการทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ ผิวหน้ามันลดลง รูขุมขนกระชับขึ้นได้
ข้อด้อย: ขณะทำการกรอผิว อาจจะรู้สึกแสบเคือง ระคายผิว และเจ็บในระหว่างที่ทำ และไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวแพ้ง่าย ผู้ที่ตากแดดบ่อยๆ หลังทำต้องเลี่ยงแดด ถ้าทำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลงได้

Posted on

Chelation Therapy : การกำจัดสารพิษ โลหะหนัก ในเส้นเลือด เพื่อสุขภาพที่ดี ชีวิตยืนยาว

โลกปัจจุบัน เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์
ซึ่งจะก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
Chelation Therapy คืออะไร? 
คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก ทางระบบปัสสาวะ
ระยะเวลาในการทำ แต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ทำสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก

Chelation Therapy มีกลไกการรักษาอย่างไร ? 
EDTA จะไปจับกับโลหะหนัก เช่น เหล็ก และ แคลเซี่ยม ซึ่งสะสมพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือด( Plaque) ให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงโลหะหนักเป็นพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายด้วย นอกจากนี้ วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระในขนาดที่เรียกว่า Megadose (ขนาดมากพอที่จะส่งผลในการรักษา) ก็จะไปรักษาหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดดีขึ้น เส้นเลือดจะไม่ตีบตัน

Chelation Therapy มีประโยชน์อย่างไร 

  1. ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด
  2. ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  3. ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
  4. ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
  5. ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี

    ผลข้างเคียงจากการทำ Chelation Therapy 
    ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย

Chelation Therapy เหมาะกับใคร

  1. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ฯลฯ
  2. ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
  3. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
  4. ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
  5. ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
  6. ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้

ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy 

  1. พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล
  2. ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ตรวจหน้าที่ของไต เป็นต้น
  3. ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบ่งบอก ภาวะของเลือด ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค
  4. ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
  5. นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่

Posted on

Live Blood Analysis : การตรวจวิเคราะห์ชีวเคมี เลือดขณะยังมีชีวิต ทางเลือกในการดูโลหะหนัก

Live Blood Analysis คืออะไร

คือ การตรวจชีวเคมีในร่างกาย โดยการตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบของเม็ดเลือดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อดูลักษณะ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำเลือด รวมทั้งสิ่งผิดปกติในเลือด ซึ่งบ่งบอกถึงสภาวะที่แท้จริงของร่างกาย
โดยผลการวิเคราะห์จะแสดงความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดให้ ทราบทันที แบบ Real Time ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ผลกันในทันที โดยเห็นภาพร่วมกันทั้งแพทย์และคนไข้
ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ อาจจะพบเห็น สารตกค้างในเลือด สารพิษ สารโลหะ หนัก ไขมัน ภาวะเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดจาง หรือความผิดปกติในระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบการย่อยอาหาร โรคภูมิแพ้ ระบบฮอร์โมน ตลอดจนภาวะการขาดสารอาหารหรือวิตามินบางอย่าง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรค และความ เสื่อมต่างๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูและการรักษาที่ถูกวิธี

ประโยชน์ที่จะได้จากการตรวจ Live Blood Analysis 
ผลวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ จะบ่งบอกถึง ลักษณะการใช้ชีวิตทั่วๆ ไป เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และแนวโน้มการเกิดโรค โดยจะดูองค์ประกอบหลักๆ ได้ดังนี้

  1. ระบบย่อยอาหาร ภาวะการดูดซึมอาหาร เพื่อวินิจฉัยระบบการย่อยอาหาร ว่ามีความผิดปกติอย่างไรหรือไม่
  2. สารพิษตกค้างในเลือด เช่น โลหะหนัก ต่างๆ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมโดยตรงหรือทางอ้อม
  3. ความสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
  4. สารอนุมูลอิสระในเลือด
  5. ระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะภูมิแพ้ ของร่างกาย
  6. ระบบการหมุนเวียนของเลือด

ขั้นตอนการตรวจ Live Blood Analysis 

  1. แพทย์จะใช้วิธีตรวจโดยเครื่องมือเจาะเลือดแบบปากกา ซึ่งเจ็บเพียงเล็กน้อย และต้องการเลือดเพียง 1 หยด
  2. นำเลือดที่ได้ มาแตะที่สไลด์บางๆ แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Darkfield Microscope  ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะสามารถแสดงผลขึ้นหน้าจอทันที เราจะเห็นภาพการกระจายตัวของเม็ดเลือด ชนิดต่างๆ สารพิษตกค้าง ไขมันในเลือด แบคทีเรีย หรือความผิดปกติอื่นๆ ได้ทันที ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
  3. เมื่อทราบความผิดปกติที่เกิดขึ้น แพทย์จะให้คำแนะนำในการปฏิบัติตน เปลี่ยน Life Style ที่ไม่ถูกต้อง หรือวางแผนการรักษา เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดปกติ เช่น การให้วิตามินหรืออาหารเสริม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หรือการกำจัดสารพิษด้วยการทำ
Posted on

ฝ้า (Melasma) อยากหาย ให้หน้าใส รักษาอย่างไร ให้ถูกจุด หยุดปัญหาเรื้อรัง ป้องกันไว้ก่อน

ฝ้าคืออะไร ชนิดของฝ้าและสาเหตุการเกิดฝ้า

ฝ้า (melasma) คือ ปื้นสีน้ำตาลที่เกิดบริเวณแก้มจมูกหน้าผากคาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกแสงแดด (แต่อาจเกิดที่แขนได้) มักเป็นเหมือนกันทั้ง 2 ข้างของใบหน้า
สาเหตุของการเกิดฝ้า
1. แสงแดดเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น
2. ผิวแห้งขาดการบำรุง จะทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวมัน
3. ฮอรโมน ถือว่าเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าที่สำคัญอีกสาเหตุหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาจทำให้เกิดฝ้าได้
4. เครื่องสำอางค์ การแพ้เครื่องสำอางค์ อาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้
5. พันธุ์กรรม และเชื้อชาติ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้ามีบุคคลใดเคยเป็นฝ้าในครอบครัว จะทำให้บุตรหลาน มีโอกาสเป็นฝ้าได้ถึง ร้อยละ 30-50 และพบบ่อยในคนเอเซียมากกว่าในยุโรป
ชนิดของฝ้า
1. ฝ้าตื้น (Epidermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ และสามารถเห็นขอบเขตได้ชัดเจน
2.ฝ้าลึก (Dermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มีขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจน โดยมากเราจะสังเกตได้ว่าฝ้าชนิดนี้จะกลืนไปกับผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง
3. ฝ้าผสม (Mix type) – ฝ้าที่มีการผสมกันระหว่างฝ้าลึก และฝ้าตื้นบนใบหน้า
4. ฝ้าเลือด ( Vascular melasma หรือ Telangiectetic melasma ) ฝ้าเลือดดังกล่าวเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนผิวหน้า อันเป็นผลมาจากการใช้เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควินิน หรือเสตียรอยด์หรือยาคุมกำเนิด ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกบริเวณพังผืดใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยจะมีสีน้ำตาลแดง

รักษาฝ้าในปัจจุบัน 

1. ครีมทารักษาฝ้า สมัยก่อน ครีมทาฝ้ามักจะมีส่วนผสมของสาร Hydroquinone ซึ่งได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียง อย.ได้ถือว่าเป็นยาอันตราย ไม่อนุญาตให้ผสมในครีมรักษาฝ้า เพื่อวางจำหน่ายทั่วไป ครีมรักษาฝ้าในปัจจุบัน จึงได้เปลี่ยนมาใช้ สารสกัดจากธรรมชาติแทน อาทิเช่น เปลือกสน ,Kogic acid,Albutin, Licorice Extracts,Vitamin C ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์แต่สารแต่ละตัว ก็จะแตกต่างกันไป ในยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ดังนั้นก่อนเลือกครีมทารักษาฝ้า ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อผลการรักษาที่ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง
2. ยารับประทานรักษาฝ้า  มักจะใช้เสริมกับครีมทาฝ้า เช่นวิตามินซี, วิตามินอี ,ยารับประทาน tranexamic acid (มักใช้ในฝ้าเลือด ) การรับประทานยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะยารับประทานบางตัวมีผลข้างเคียงได้

3. การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เม็ดสี : การรักษาฝ้า ด้วยเลเซอร์เม็ดสี( Pigmented laser) เป็นการใช้เลเซอร์ Q-Switched Nd:YaG Laser ซึ่งจัดว่าเป็นเลเซอร์ที่รักษารอยฝ้า ได้ผลดีมากกว่า 70-80% โดยไม่พบผลข้างเคียงใด และเหมาะกับทุกสภาพสีผิว กลไกการรักษา คือการทำให้ฝ้า ค่อยๆ เลือนจางลง โดยไม่ต้องลอกผิว หลังทำจึงไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ ปัจจุบัน Q-Switched Nd:YaG Laser จัดเป็นการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เพราะเห็นผลชัดเจน ไว และไม่มีผลข้างเคียง ออกแดดได้ตามปกติ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเลเซอร์รักษาฝ้า ได้แก่ MedLite ,Revlite , Pico Laser นอกจากนี้ยังนำมารักษารอยด่างดำ ตามใบหน้า ลำตัว หรือหัวนมดำคล้ำ รักแร้ดำ ริมฝีปากดำคล้ำได้ด้วย

3. การรักษาฝ้าด้วยการฉีด(Meso bright) : หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts ,Transemic acid เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มฉีดไปบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ หรือการละลายฝ้าให้ค่อยๆ จางลง วิธีนี้มักจะได้ผลดีเฉพาะฝ้าเลือด หรือฝ้าที่เกิดจากฮอรโมนผิดปกติ ฝ้าบางชนิดอาจจะไม่ได้ผล ดังนั้นก่อนทำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเช่นกัน
ส่วนการรักษาฝ้า วิธีอื่นๆ เช่น การลอกด้วยกรดผลไม้ (Chemical peeling ) , การทำไอออนโต , การกรอผิว การทำ IPL การลอกฝ้าด้วยเลเซอร์ ไม่ค่อยแนะนำ เพราะบางอย่างไม่เหมาะกับผิวเอเซีย ทำให้ดำคล้ำได้ง่าย เกิดผลข้างเคียง บางอย่างยังไม่มีผลงานวิจัยรับรองชัดเจน

การป้องกันการเกิดฝ้า 

1. โฟมล้างหน้า หรือเจลล้างหน้า ควรเลือกล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล ที่เหมาะกับผิวแห้ง เพื่อป้องกันผิวแห้งมากขึ้น
2. ครีมกันแดด ถือว่าเป็นเครื่องสำอางพื้นฐานที่ต้องใช้ตลอดเวลา เนื่องจากมีการวิจัยแล้วว่า แสงแดดนอกจากทำให้เกิดฝ้าแล้ว ยังทำให้เกิดริ้วรอยแก่ก่อนวัย การเลือกใช้ครีมกันแดด นอกจากจะต้องเหมาะกับผิวแล้ว ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของสารกันแดดด้วย ค่า SPF เท่าใด (ค่าสารกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีบี) และค่า PA เท่าไหร่ (ค่าสารกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีเอ) สำหรับผู้ที่เป็นฝ้า ควรเลือกครีมกันแดด ที่มีค่า SPF> 25 และค่า PA++ เป็นอย่างน้อย และควรมีส่วนผสมของครีมบำรุงร่วมด้วย
3. ครีมปรับสภาพผิว อาจอยู่ในรูปของ BHA Creams,AHA gel,BHA gel หรือครีมบำรุงอย่างอื่น เพื่อช่วยปรับสภาพผิวหน้า ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
4. ครีมบำรุงผิว การบำรุงผิวหน้าตั้งแต่วัยเยาว์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี การเลือกครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินเอ ซี อี หรือ EPO พบว่ามีส่วนช่วยในการป้องกันฝ้า และริ้วรอยได้
5. โภชนาการและอาหารเสริม ควรรับประทานผัก ผลไม้ ที่มีคุณค่าทางวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี เพราะพบว่านอกจากป้องกันการเกิดโรคหวัดแล้ว ยังใช้รักษาฝ้าได้ด้วย แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินซี(เม็ด) วันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ควบคู่กับวิตามินอี 1,200 ยูนิตต่อวัน

Posted on

RevLite (Pigmented Laser) : เลเซอร์ลบรอยสัก รักษาฝ้า กระ ทุกชนิด รักแร้ดำ รอยไหม้ ได้ผล ไม่ลอก ไม่แดงหลังทำ

Revlite คืออะไร แตกต่างจากเลเซอร์เม็ดสีตัวอื่นอย่างไร

จัดเป็น Pigmented Laser ชนิด Q-switched Nd:YaG laser ที่ผ่านการรับรองเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลจาก FDA ของอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ 2008
ความแตกต่าง : มีการพัฒนาให้มีคุณลักษณะที่โดดเด่น ด้วยเทคนิคเฉพาะที่ให้พลังงานมากขึ้น แต่ระยะเวลาในการยิงสั้น แบบ nanosecond มีความจำเพาะต่อรอยโรคที่แม่นยำขึ้น จึงได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นกว่าไม่มีความร้อนสะสมที่ผิว เหมือนยี่ห้ออื่นๆ เลเซอร์ RevLite® เหมาะกับทุกสภาพสีผิว สามารถเลือกยิงได้ หลากหลายช่วงความยาวคลื่น(multi-wavelength) จึงเพิ่มขีดความสามารถได้มากกว่า Q-switched laser รุ่นก่อนหน้านี้

RevLite รักษาอะไรได้บ้าง

1. กลุ่มความผิดปกติของเม็ดสี (Pigmented Lesion Removal ) :  ได้แก่ ฝ้าทุกชนิด กระ ปานดำ ปานโอตะ ขนคุด รอยดำรักแร้ รอยดำท่อไอเสีย ขาหนีบดำ รอยดำสิว
2. Rejuvenation : ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ด้วยช่วงคลื่น 1064nm เลเซอร์ RevLite® จึงสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง รอยด่างดำ ทำให้หน้าเนียนขาว เสริมสร้างคอลลาเจน

3. Tattoo Removal (ลบรอยสัก): RevLite® ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักที่ได้ผลดีสุดในปัจจุบันถือว่าเป็น Gold Standard for Tattoo Removal ที่การันตีได้ทั่วโลก ) เพราะสามารถลบรอยสักได้หลายสี ที่เลเซอร์อื่นทำไม่ได้ ตั้งแต่สีดำ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ
4. Hair Removal (กำจัดขนอ่อน ): สามารถกำจัดขนอ่อนที่ใบหน้า หรือขนที่สีไม่เข้มในที่ลับ ซึ่งเลเซอร์กำจัดขน Gentle YAG จะกำจัดขนกลุ่มนี้ได้ไม่ดี เพราะจำนวนเม็ดสีเมลานินน้อย ทำให้เป้าหมายยิงไม่ได้แม่นยำและที่สำคัญ นำมารักษาสิวเสี้ยนได้ดีอีกด้วย

ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนการรักษาและการดูแลหลังการรักษา 
– ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งและคาดอุปกรณ์ปิดตา แล้วทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกด้วย Oxygen Jet peel และเตรียมผิวให้ชุ่มน้ำ ก่อนยิงเลเซอร์ ใช้เวลายิงเลเซอร์ประมาณ 10-30 นาที ระหว่างยิงจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ หากมีกระฝ้ามากก็จะมีเสียงดังไม่ขาดระยะ อาจจะมีอาการเจ็บนิดๆ เหมือนดีดหนังสติ๊ก จากนั้นก็จะทาครีมกันแดด หลังทำสามารถจะแต่งหน้าได้ตามปกติ

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 
ผลข้างเคียงแทบจะไม่มี ถ้ามีก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการยิง เช่น อาจจะทำให้เกิดร่องรอยด่างขาวได้ ซึ่งอาจจะเป็นชั่วคราว ดังนั้นในการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ RevLite® จึงควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทีมีประสบการณ์และมีเทคนิคในการรักษา จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน

ขอบตาคล้ำจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ลบรอยสัก เห็นผลจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ปานดำ รักษาด้วยเลเซอร์ Revlite
Revlite ลบรอยสักได้ทุกสี ไม่มีแผลเป็น
Posted on

กระ (Freckles) : กระตื้น กระลึก กระเนื้อ กระแดด กระกรรมพันธุ์ รักษาอย่างไร ให้จางลง คงความขาว เนียน ใส ให้ใบหน้า

กระคืออะไร มีกี่แบบ

กระ คือจุดด่างดำที่เกิดบนใบหน้า อาจจะมีสีน้ำตาล หรือเป็นสีค่อนข้างดำ กระบางชนิดอาจจะเป็นคล้ายๆ ติ่งเนื้อ มักจะเกิดบนผิวหนัง ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำคอ หน้าอก แขน หรือขา
กระแบ่งได้เป็น 4 ชนิด
1. กระตื้น (Freckle, Ephelis) ลักษณะเป็นสีแทนออกแดง หรือน้ำตาลอ่อน รูปร่างกลมเป็นจุดเล็ก ๆ โดยมักจะปรากฏขึ้นช่วงฤดูร้อน และพบได้ในผู้ที่มีสีผิวค่อนข้างขาว หรือในครอบครัวที่มีพันธุกรรมกระชนิดนี้ รวมถึงกลุ่มคนที่มีสีผมแดงและตาสีเขียวที่มีความเสี่ยงสูง
2. กระลึก(Nevus of Hori) มีลักษณะเป็นจุดสีเทาหรือฟ้าอมเทาหลายจุดที่บริเวณโหนกแก้มสองข้าง มักพบในผู้หญิงเอเชียเนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีขึ้นผิดที่ คือไปอยู่ชั้นหนังแท้

3. กระแดด (Lentigo or Solar Lentigo ) กระชนิดนี้ที่มีสีเข้ม มักเป็นสีแทน น้ำตาล หรือดำ ปรากฏตามบริเวณที่สัมผัสแดด เช่น หลังมือ ใบหน้า บริเวณไหล่และหลังส่วนบน กระชนิดนี้ เป็นได้ทุกกลุ่มอายุ โดยเป็นผลมาจากตากแดดเป็นเวลายาวนาน จึงพบได้มากในผู้สูงอายุ ซึ่งต่อมาอาจจะกลายเป็นมะเร็งผิวหน้ังได้
4. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) ลักษะเป็นก้อนเนื้อ มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กคล้ายหูดนูนขึ้นมาจากผิวหนัง สีน้ำตาลหรือดำอาจมีผิวเรียบหรือขรุขระ ขนาด2-3เซนติเมตร พบได้บ่อยตามใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก ไหล่ ท้อง และหลัง มักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว แต่จะไม่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า มักจะเกิดจากพันธุกรรม แสงแดด เมื่ออายุมากขึ้น หรือโดนแดดมากขึ้น เป็นเวลานาน จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้
ฝ้ากับกระ แตกต่างกันอย่างไร
ฝ้า จะมีลักษณะเป็นปื้นและมีขนาดใหญ่กว่า ขอบเขตไม่ชัดเจน มักจะเกิดในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด ขณะที่ กระ จะเป็นจุดกลมๆ เล็กๆ มีขอบเขตชัดเจน มักจะเกิดกระจายทั่วไป บนใบหน้า

การรักษากระ

1. ครีมทา(Whitening creams) : มักจะเป็นครีมกลุ่มที่ผสมไวเทนนิ่ง เช่น Kojic adic,Albutin,Vitamin C เพื่อให้กระจางลง มักจะใช้ได้เฉพาะกระตื้น แต่ก็ได้ผลไม่ดี
2. การลอกผิวด้วยกรดเข้มข้น (Chemical peeling ): กลุ่มนี้มักจะใช้ได้กับกระตื้น กับกระแดด แค่พอทำให้กระจางลงได้บ้าง ถ้าทำบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้กระกลับมาเป็นใหม่ และรุนแรงกว่าเดิม
3. เลเซอร์ ( Laser ) : การใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย ผลตอบสนองค่อนข้างดี มากกว่า 80-90 % โดยพบว่าเลเซอร์ที่ใช้ก็มีดังนี้
3.1 Pigmented Laser (Q-Switched Nd:YaG Laser) เช่น Revlite ,Pico Laser ซึ่งจัดว่าเป็นเลเซอร์ที่รักษากระได้ทุกชนิด ยกเว้นกระเนื้อ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว ผลการรักษา ขึ้นอยู่กับ จำนวนครั้งและเทคนิคของแพทย์
3.2 Co2 Laser : เป็นเลเซอร์ที่ใช้กำจัดกระเนื้อ สามารถกำจัดออกหมดได้ในครั้งเดียว สะดวกและปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำอาจจะมีรอยแดงๆ ควรเลืี่ยงแดดหรือทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยดำหลังทำ

การป้องกันกระ

นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้แล้ว การหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นทางเดียวที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นกระ หรือมิให้กระกลับมาใหม่ ปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อดังนี้

  • เตรียมพร้อมเผชิญแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง โดยเลือกครีมที่มี SPF 50 เป็นอย่างต่ำ
  • ปกป้องใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ ด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง
  • สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
  • หลีกเลี่ยงการพบเจอแสงแดดช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ที่มีแดดแรง
  • พยายามอยู่ในร่มหรือภายในตัวอาคาร
กระตื้น กระลึก รักษาด้วย Q-Switched Nd:YaG Laser
กระเนื้อ ก่อนหลัง การรักษาด้วย CO2 Laser
Posted on

Fine Scan 1550 : เลเซอร์รักษาสิวเรื้อรัง รอยหลุมสิว รูขุมขนกว้าง เซ็บเดิร์ม สำหรับผิวเอเซีย

Fine Scan 1550 คืออะไร

คือเลเซอร์ ประเภท Erbium Grass Fiber ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm โดยการยิงเลเซอร์เป็นลำเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อทำให้เกิดการทำลายที่ผิวหนังเป้าหมาย เช่น รอยหลุม รูขุมขนกว้าง ท่อไขมันที่อุดตัน หรืออักเสบ แล้วก่อให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ (micro-injuries) หลังจากนั้นก็จะเกิดการสมานแผล และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หลังทำ ผิวหน้าจึงกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง รอยหลุมตื้นขึ้น รอยด่างดำ จางลง นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมท่อไขมันอุดตันอักเสบในคนที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ ให้หายขาดได้ด้วย
Fine Scan 1550 แตกต่างจาก Fraxel Re:Store หรือไม่ อย่างไร
เป็นเลเซอร์ชนิดเดียวกัน ต่างกันที่ Fraxel Re:Store นำเข้าจาก USA ขณะที่ Fine Scan 1550 เป็นเลเซอร์ที่ประกอบในประเทศ แต่ใช้อะไหล่แท้ จากอังกฤษ และหัวอ่าน Scanner จาก อเมริกา ได้ผลดีใกล้เคียงกับ Fraxel Re:Store แต่ผลข้างเคียง เรื่อง ระยะเวลาพักฟื้น รอยดำ รอยแดง หรือรอยดำ หลังทำ จะน้อยกว่า Fraxel Re:Store

ทำไม Fine Scan 1550 จึงเหมาะกับผิวเอเซีย

  1. หัวยิง :  หัวยิง เป็นรูปสี่เหลี่ยม แนบสนิทกับใบหน้า จึงให้พลังงานสม่ำเสมอ และกำหนดขอบเขตได้ง่าย ไม่ยิงซ้ำจุดเดิม จึงไม่ทำให้เกิดการยิงซ้ำ จนเกิดการสะสมของความร้อนในแต่ละจุด มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
    2. ระบบการปล่อยพลังงงาน : Fine scan จะปล่อยเลเซอร์ แบบสเปรย์สี และพ่นแบบสุ่มไปมาหลายๆ พื้นที่ ลดอัตราการเกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ที่ลำแสงเลเซอร์จะพ่นแบบคลี่พัดจีนหรือแปรงสี scan แนวเดียวทีละแถว โดยเมื่อยิ่งทำไปนานๆ ความร้อนจะสะสมที่หางแถวไปเรื่อยๆ ซึ่ง มักจะเกิดรอยดำหรือรอยแดงได้ง่ายกว่า
    3. ความเร็วของเลเซอร์ : ยิงด้วยความเร็วสูง (ไม่ถึง 1/1000 ของวินาที) ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละจุดเล็กๆที่ถูกยิง จะไม่เปิดปากแผลด้านบน จึงไม่เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ หลังทำจึงไม่ค่อยมีแผลชัดเจน ไม่มีเลือด หรือสะเก็ดมากนัก ไปทำงานได้ตามปกติ ขนาดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นมันเล็กจนมองเกือบไม่เห็น

Fine Scan 1550 รักษาอะไรได้บ้าง 

  1. รอยหลุมสิว : ใช้ได้กับหลุมสิวทุกชนิด จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้หลุมสิวตื้นขึ้น  ผลการรักษาพบว่า หลังทำเพียงครั้งเดียว รอยหลุมตื้นขึ้นประมาณ 30%
  2. รูขุมขนกว้าง :  โดยลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  3. ริ้วรอย เหี่ยวย่น รอบดวงตา : กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับขึ้น โดยพบว่า มีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทย 20 คน (รพ.รามา) พบว่า หลังทำ 8 ครั้ง ห่างกันทุก 1 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ดีขึ้นประมาณ 40-50%
  4. รอยแตกลาย : ทำลายพังผืดหรือเม็ดสีผิวผิดปกติ สร้างคอลลาเจน และสร้างเม็ดสีเมลานินใหม่ สิผิวที่แตกลาย ก็จะค่อยจางลดลง โดยพบว่าหลังทำ 3 ครั้ง ริ้วรอยแตกลายดีขึ้น 70-90%
  5. สิวเรื้อรัง : เนื่องจากปัญหาสิวอักเสบ หรือสิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ มีสาเหตุจากความผิดปกติของต่อมไขมัน หรือท่อไขมัน การทำ Finescan เหมือนการล้างท่อที่อุดตัน และยังทำให้รอยแดง รอยดำ จากสิว ดีขึ้นได้ด้วย
  6. เซ็บเดิร์ม : โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากต่อมไขมันผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแดงเป็นขุย ตามซอกจมูก หัวคิ้ว มักจะเป็นๆ หาย ๆ การทำ Finescanจะไปทำลายต่อมไขมันที่ผิดปกติ สามารถช่วยหายขาดได้นานขึ้น

Posted on

เลเซอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร ทำไมต้องมีหลายเครื่อง เลือกยังไง ให้ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง

เลเซอร์(Laser) คืออะไร

Laser ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiations เลเซอร์ความงาม มีมากมาย หลายแบบ หลายยี่ห้อ แต่ที่เหมือนกันคือจะ ทำงานแตกต่างจากแสงทั่วๆไป โดย เลเซอร์เมื่อทำงาน จะมีพาพลังงานจำนวนมากไปด้วย ทำให้สามารถผลิตความร้อนได้ในปริมาณมากด้วยเช่นกัน สมบัติเด่น 4 ประการของแสงเลเซอร์ คือ

  1. มีทิศทางเดียวแน่นอน ( Collimated)
  2. มีความถี่เดียว เป็นแสงสีเดียว ( Monochromatic)
  3. มีเฟสเดียวกัน และ มีหน้าคลื่นเดียว (Coherent)
  4. มีความเข้ม/จ้าสูง 

เลเซอร์แต่ละแบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

เลเซอร์ด้านความงาม มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง แต่หลักๆ การทำงาน เลเซอร์แต่ละชนิดจะมีต้นกำเนิดของพลังงานลำแสงที่แตกต่างกัน จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยหลักที่แพทย์จะเลือกเลเซอร์ประเภทใด มาใช้ในการรักษาปัญหาด้านผิวหนัง หรือด้านความงาม จึงต้องเลือกจากปัจจัยหรือคุณสมบัติของเลเซอร์นั้นๆ ให้เหมาะสม หรือ พูดง่าย ถ้าจะรักษาด้วยเลเซอร์แล้ว คุณภาพหรือประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้ผลดีเพียงใด น่าพอใจมากน้อยแค่ไหน นอกจากยี่ห้อของเครื่องที่ได้มาตรฐานสากลแล้ว ยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้
1. Wavelenth ( ความยาวช่วงคลื่น ) : มีหน่วย เป็น นาโนเมตร(nm) ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดของเลเซอร์แต่ละประเภท เพราะความยาวช่วงคลื่น จะตัวกำหนดในเรื่องของการยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมายหรือปัญหาของผิวพรรณ ได้ถูกต้องและได้ผล เพราะปัญหาแต่ละอย่าง การรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องเลือกช่วงคลื่นที่ตรงกับปัญหานั้นๆ

2. Fluence ( พลังงาน ) : มีหน่วยเป็น จูลหรือมิลลิจูล( J/mJ ) โดยเมื่อแพทย์เลือกช่วงคลื่นของเลเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ต่อมาแพทย์จะเลือกพลังงานในการยิงเพื่อทำลายเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งถ้าใช้พลังงานมาก ก็ได้ผลมากกว่า แต่ก็เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า ตรงนี้แหละ คือความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำเลเซอร์ แต่ละคน จะเลือกพลังงานในการยิงให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของคนไข้ และสีผิวของคนไข้ โดยถ้าพลังงานมาก ก็เกิดผลข้างเคียงมาก สีผิวเข้ม ก็เกิดผลข้างเคียงมากกว่าสีผิวอ่อนกว่า
3. Pulse Duration ( ระยะเวลาในการยิงแต่ละครั้ง ) : มีหน่วยเป็น วินาที(sec) ถ้าใช้ระยะเวลาในการยิงนาน ก็จะได้พลังงานมาก ได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น เลเซอร์บางเครื่อง ก็สามารถแบ่งระยะเวลาการยิงเป็นช่วงๆ SubPulses เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอที่ต้องการ แต่มีความร้อนสะสมน้อย เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น วีบีมรุ่นแรก แบ่งพลังงานเป็น 4 ช่วง ต่อมาแบ่งเป็น 8 ช่วงเพื่อให้ยิงได้แรงขึ้น แต่ผลข้างเคียงลดลง

4.Spot size ( ขนาดหัวยิง ) : ขนาดมีผลต่อการกระจายของพลังงานเลเซอร์
– หัวยิงขนาดใหญ่ พลังงานก็ลงได้ลึกกว่าหัวยิงขนาดเล็ก แต่การกระจายของพลังงานที่ไม่ต้องการก็มากกว่า แพทย์จะเลือกใช้หัวยิง แล้วแต่บริเวณและความต้องการให้ลงลึกตื้นแค่ไหน หรือต้องการความแม่นยำแค่ไหน
5. Cooling System (ระบบการให้ความเย็น ) : เพราะเลเซอร์ ก็มีความร้อนเกิดขึ้น ดังนั้น ก่อนจะยิงเลเซอร์ ต้องเตรียมผิวหนังคนไข้ให้พร้อม เช่นอาจจะแปะหรือทายาชาทิ้งไว้ให้ชา หรือทำให้ผิวหนังของคนไข้มีความเย็นระดับหนึ่ง เพื่อมิให้เจ็บเกินไป ระหว่างที่ทำ หรือ มิให้ผิวหนังบริเวณที่ยิงเกิดรอยไหม้จากความร้อนของเลเซอร์ ซึ่งอาจจะมีหลายแบบ เช่น การใช้เจลเย็นทา,การใช้หัวยิงเลเซอร์ที่มีระบบ cooling อยู่แล้ว (เช่น วีบีมเลเซอร์ )หรือการพ่นไอเย็นจัด ระหว่างทำ เช่น เครื่อง Cooling Jet

6.Scanner Type (การปรับลำแสงเลเซอร์ ) : ในเลเซอร์บางประเภท เช่น กลุ่ม Fractional Laserจะเป็นการยิงลำแสงเป็นรูเล็กๆ โดยผ่านเครื่องกรองเลเซอร์ ซึ่งมีหลายแบบ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ใช้ตะแกรงกรองเลเซอร์ให้ผ่านเป็นรูเล็ก ๆจนพัฒนาเป็นเครื่อง scanner ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ ให้การกระจายของลำแสงเลเซอร์ละเอียด ไปทั่วๆ บริเวณแบบสุ่ม เพื่อลดความสะสมเฉพาะที่ จึงทำให้โอกาสเกิดรอยดำหรือผลข้างเคียงยิ่งน้อยลง เช่น Finescan 1550 ได้มีการปรับตรงนี้ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น
– ดังนั้น รพ.หรือคลินิกด้านความงาม ที่ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ จำเป็นต้องมีเครื่องเลเซอร์ไว้หลายประเภท แต่ละประเภทจึงมีลักษณะ เฉพาะ แตกต่างกัน เลเซอร์เครื่องเดียว ไม่สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณได้ทุกชนิด แพทย์จะต้องเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา ที่สำคัญ สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำเลเซอร์ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเลเซอร์แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่อาจทำให้การทำเลเซอร์กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน อันได้แก่ สีผิว บริเวณที่ทำ ความรุนแรงของปัญหา ฯลฯ

Posted on

เลเซอร์ และเครื่องมือต่างๆ ในการรักษาปัญหาผิวหน้าและความงาม

ความงามของผิวหน้า อาศัยเลเซอร์กับเครื่องมืออะไรบ้าง

ในคลินิกทำหน้า นอกจากการทำทรีทเม้นต์ ให้ครีมทา ให้ยารับประทาน หรือฉีดโบทอกซ์ ฟิลเลอร์แล้ว ยังมีหัตถการอื่น ที่ใช้เครื่องมือ หรือเลเซอร์ในการรักษาปัญหาผิวหน้า และความงาม ซึ่งได้ แบ่งกลุ่มตามปัญหาของคนไข้ ได้ดังนี้
1.กำจัดเนื้องอกธรรมดาของผิวหนัง :
กลุ่มติ่งเนื้อ กระเนื้อ ขี้แมงวัน ใฝขนาดไม่ใหญ่นัก โดยการทำให้ผิวหนังหลุดลอกออกไป ข้อดีของเลเซอร์คือ ไม่มีการเสียเลือด เหมือนการผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องใช้การจี้ไฟฟ้าห้ามเลือด จึงลดอันตรายจากความร้อนลงได้มาก เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ CO2 Laser 10,600 nm
2. เลเซอร์ลอกผิวหน้า (Laser Resurfacing :
การลอกผิวด้วยแสงเลเซอร์นี้ ผิวหนังแท้จะลอกออก โดยเลือกความตื้นลึกได้ แต่ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง มักจะนำมาทำการรักษา ริ้วรอย หลุมสิว ผิวหนังเสื่อมจากโดนแสงแดด นานๆ (Photoaging) เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Fractional CO2 Laser Erbium:YAG laser 2.940 nm,fractional laser 1550 nm

3.ฝ้า กระ รอยดำ ปานดำ :
มักจะใช้ในรักษาปัญหาเม็ดสีมากผิดปกติ โดยการลดจำนวนเซลสี ทำให้รอยโรคลอกออก หรือทำให้จางลง ปัจจุบัน มักจะเลือกทำให้จางลง เพราะจะได้ไม่มีผลข้างเคียง รอยดำ หรือทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG
4. ปานแดง รอยแดง รอยคล้ำจากเส้นเลือด เส้นเลือดขอด : หลักการ คือ เลือกเลเซอร์ที่ไปออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดฝอยแดง หรือหลอดเลือดดำหดตัวลง แต่บางครั้งอาจจะต้องทำร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เช่นการฉายเลเซอร์ ควบคู่กับการฉีดยา เข้าหลอดเลือดในกลุ่มเส้นเลือดขอด สามารถทำลายเส้นเลือดตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 จนถึง 3 mm เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Pulse dye laser ( V-beam ),Long-pulsed laser( GentleYaG,Coolquide), IPL


6. ลบรอยสัก : ปัจจุบันรอยสักเกือบทุกสี สามารถลบออกได้ด้วยเลเซอร์ ซึ่งข้อดีคือ ไม่มีแผลเป็นหลังทำ เหมือนกับการลอกออกด้วยกรดเข้มข้น พบว่ารอยสักสีดำ แดง จะได้ผลดีกว่ารอยสักสีอื่นๆ
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG ,Q-switched ruby
7. กำจัดขน : ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำจัดขนได้ถาวร 100 % เพียงแต่อาจจะทำให้ลดลงและทำให้ขนใหม่ขึ้นได้ช้าลง ได้ผลดี ในกลุ่มขนสีดำ หรือสีเข้ม ขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ขนแขน ขนในที่ลับ และได้ผลน้อย หรือต้องทำหลายๆ ครั้ง ในกลุ่มขนสีอ่อน เช่น ขนที่ใบหน้า หรือขนขนาดใหญ่ เช่น หนวดเครา
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL Long-pulsed ์Nd:YAGlaser ,Long-pulsed alexandrite laser , Long-pulsed diode laser

8. เลเซอร์ชนิดแสงความเข้มข้นสูง :
บางคนก็จัดเป็นเลเซอร์ บางกลุ่มก็จัดเป็นคลื่นแสงความเข้มสูง ่ข้อดี คือ เครื่องเดียวนำมารักษา ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการลดเซลล์สี การรักษาหลอดเลือด การกำจัดขน หรือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เนื่องจากไม่เฉพาะเจาะลง จึงได้ผลไม่ดีนัก และเนื่องจากเป็นคลื่นแสง จึงมีความร้อน โอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยไหม้ รอยดำ จึงเกิดได้ง่าย โดยเฉพาะคนสีผิวเอเซียหรือสีผิวเข้ม เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL
9. ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า : หลักการก็คือกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้ความร้อนลึกลงไปใต้ผิว แต่ละระดับ ว่าต้องการแก้ไขตรงไหน หรือการร้อยไหม ซึ่งมีหลายแบบ ลงไปในชั้นผิว หลังทำจะมีการตึงตัวของผิวหนัง ร่วมกับการสร้างคอลลาเจนผิวหนังก็จะดึงกระชับ ปรับหน้าหย่อนคล้อย เครื่องมือ กลุ่มนี้ได้แก่ RF,HIFU,Thermage ,Titan,Exilis Elite,Ulthera ,การร้อยไหม

Posted on

เมโสแฟต (Mesofat) : ฉีดสลายไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง ลดไขมันส่วนเกิน ได้ทุกบริเวณ

เมโสแฟต คืออะไร

คือการฉีดยาเข้าไปในชั้นไขมัน ตัวยาจะไปสลายไขมันในบริเวณที่ไม่ต้องการ ทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ เป็นส่วนใหญ่
ชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทั้ง เมโสแฟต แฟตบอมบ์ เมโสไลโป ฯลฯ แต่จริงๆ หลักการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตัวยาที่ใช้ ปริมาณที่ใช้ และบริเวณที่ฉีด
ตัวยาที่ใช้มีอะไรบ้าง
เนื่องจากได้รับความนิยมมาก ไม่แพง และสะดวก จึงมีการพัฒนาสูตรยา ออกมามากมายในตลาด แต่จะขอแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
1. ตัวยาที่จัดเป็นยาและมีผลงานวิจัยรองรับ : ได้แก่ Phosphatidylcholine (PC), Deoxycholate (DC) ,L-Carnitine กลุ่มนี้สลายไขมันด้วยการทำให้ไขมันแตกตัวออกเป็นไขมันเหลวผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ ข้อดี คือ ฉีดปริมาณไม่เยอะ เพียง 1-2 CC ก้ได้ผลดี เพราะสรรรพคุณยาเข้มข้น ทำให้ไม่เจ็บตัวมาก รอยช้ำน้อย แต่ก็มีข้อเสียคือ มักจะแสบเวลาฉีด บางคนบวมหลังฉีดได้
2. ยาและสารสกัดธรรมชาติ ที่ยังไม่มีการรับรองผล : กลุ่มนี้มักจะนำมาผสมกับกลุ่มแรก ให้ออกฤทธิ์มากขึ้น ได้แก่ Caffeine, vitamin B5, Theophylline, Archichoke extract,Tyrosine,Aesculus hippocastanum, Juglans regia กลุ่มนี้กลไกการสลายไขมัน คือช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตกับระบบน้ำเหลือง จะได้เรื่องกระชับผิวเป็นหลัก ถ้าจะให้ได้ผลสลายไขมัน ต้องฉีดปริมาณมากกว่าเป็น 10 เท่า ข้อดีคือไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ไม่บวม ถ้าบวม น่าจะเกิดจากปริมาณที่ฉีดเยอะมากกว่า



ฉีดบริเวณไหนบ้าง

หลักการคือ สลายไขมัน ในส่วนที่การออกกำลังกายไม่ช่วยมากนัก เช่น

  1. ลดแก้ม
  2. ลดเหนียง
  3. ลดเปลือกตาบน
  4. ลดจมูกชมพู่ ส่วนข้อ 5-7 มักจะใช้ฉีดกรณีมีไม่มากนัก ถ้ามากต้องใช้วิธีอื่นแทน เช่นการดูดไขมัน หรือสลายไขมันด้วยเครื่องมือ
  5. ลดพุง ลดหน้าท้อง บั้นเอว
  6. ลดต้นแขน ลดต้นขา
  7. ลดไขมันที่น่อง

ข้อห้ามในการทำ Mesofat

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Mesofat และข้อควรระวัง

1. ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่
2. อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 1-3 วัน ดังนั้น ควรเลี่ยงการ การเข้าอบซาวน่า การนวด การดื่มอัลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเม้นต์ใดๆ หลังทำประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
3. ควรเดินออกกำลังกายเบา ๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ แอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับและรีดไขมันให้ออกจากร่างกายเร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่
4. เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก
5. ป้องกันการหย่อนคล้อยหลังทำ ควรจะทำการยกกระชับบริเวณที่ทำ ด้วยเครื่องมือยกกระชับ ต่างๆ เช่น RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น อาจจะเสริมด้วยการตีสลายไขมันด้วยเครื่อง Slimming Machine กรณีที่ไขมันเกาะตัวแน่นเกินไป

ข้อควรระวัง

หลายๆคลินิกแข่งขันด้านราคากัน ทำให้มีการลดคุณภาพ หรือเปลี่ยนตัวยา เพื่อให้ได้กำไร โดยมีการใช้ยาบางอย่าง ที่แม้ได้ผลเร็ว แต่มีผลข้างเคียง เช่น

  1. ยากลุ่มเสตียรอยด์ เช่น Dexamethasone พวกนี้ไขมันลดได้ จากการทำให้ไขมันฝ่อ ฉีดไปนานๆ อาจจะเกิดรอยบุ๋มเฉพาะจุด จะทำให้ระบบฮอร์โมนต่างๆของร่างกายผิดปกติ และทำให้ภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
  2. Hyarulonidase : เป็นยาที่สลายฟิลเลอร์ ถ้าเอามาฉีดไขมันทำให้เซลล์ไขมันแตกเช่นกัน แต่ก็ทำให้ HA ที่ดีๆใต้ผิวของเราก็ถูกทำลายไปด้วย ทำให้เหี่ยวเร็ว แก่เร็ว และตัว Hyarulonidase นี้ ยังพบอัตราการแพ้ยาสูงอีกด้วย หมอกระเป๋าใช้ตัวนี้เป็นตัวหลักเลย

Posted on 2 Comments

ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ รักษาอย่างไรให้หาย ป้องกันยังไง ไม่ให้กลับมาเป็นใหม่

สาเหตุ ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ

  • กรรมพันธุ์ หรือเชื้อชาติ เม็ดสีผิวของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติหรือกรรมพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อสีของริมฝีปากด้วย
  • บุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่ ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว จนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงริมฝีปากไม่เพียงพอ นอกจากนี้ นิโคตินยังอาจก่อตัวเป็นคราบอยู่บริเวณริมฝีปากและทำให้ปากดำได้เช่นกัน
  • แสงแดด หากสัมผัสยูวี จากแสงแดดมากเกินไป ร่างกายจะป้องกันตนเองด้วยการผลิตเม็ดเมลานิน (Melanin) หากผลิตออกมามากเกินไป เม็ดสีเมลานินจะมีสีเข้มขึ้นจนทำให้ปากเป็นสีดำ
  • สารในลิปสติก ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ อักเสบ และระคายเคืองบริเวณริมฝีปาก จนทำให้ปากเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำได้
  • โรคพิวทซเจคเกอร์ซินโดรม (Peutz-Jeghers Syndrome) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งส่งผลต่อเม็ดสีในร่างกายของผู้ป่วย ทำให้เกิดจุดสีดำขึ้นในบริเวณต่าง ๆ เช่น นิ้ว ปาก หรือริมฝีปาก เป็นต้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือยาต้านมาลาเรีย อาจเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินในร่างกายให้สูงขึ้น จนทำให้ปากดำคล้ำได้
  • ชาเขียวบางชนิด มีสารนิกเกิลปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณริมฝีปากจนปากดำได้

ป้องกันและรักษาอย่างไร

  • เลิกสูบบุหรี่ นอกจากทำให้สุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยก่อนวัย และเสี่ยงเกิดโรคร้ายอื่น ๆ ยังป้องกันปากดำได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือยาสีฟัน ชาเขียว เพนสะอาจมีส่วนประกอบของนิกเกิล ควรศึกษาส่วนประกอบและข้อมูลผลิตภัณฑ์บนฉลากอย่างละเอียดก่อนเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่ทำให้แพ้ โดยบันทึกส่วนประกอบทีของลิปสติ ที่่เคยแพ้ไว้ เพื่อไว้เปรียบเทียบกรณีเปลี่ยนลิปสติก แล้วควรเลือกลิปติกที่ป้องกันรังสี UV ได้ โดยมี SPF > 30
  • เลเซอร์ลดเม็ดสี จัดเป็นการรักษาได้ผลดี รวดเร็ว และถาวร โดยมีการยิง 2 วิธี คือ
    1. การยิงให้ค่อยๆ เลือน วิธีนี้เหมาะกับรอยดำคล้ำที่มาแต่กำเนิด หรือกรรมพันธุ์ เพราะจะช่วยลดเม็ดสีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสามารถทำให้รอยดำจางลงถาวรได้ แต่ต้องทำหลายครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกสองอาทิตย์
    2. การยิงให้ลอก โดยจะใช้ความยาวช่วงคลื่น 532 m วิธีนี้จะเหมาะกับรอยดำที่เกิดจากการแพ้ลิปสติก หรือการอักเสบจากการแกะเกา เพราะเป็นรอยดำตื้น วิธีนี้หลังทำรอยดำจะลอกออก ทำ 1-2 ครั้ง ห่างกันทุกสองอาทิตย์
  • สักริมฝีปาก เป็นการเสริมความงามแบบถาวร แต่อาจจะดูไม่ธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออาการแพ้ต่อสีที่ใช้สัก เป็นต้น
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Posted on 8 Comments

ขอบตาดำ (dark circles) ขอบตาคล้ำเป็นแพนด้า เบ้าตาลึก สาเหตุจากอะไร แก้ไขอย่างไรดี

สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง

1. อดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ : สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเล่นเนต หรือดูหนังละคร ดึกๆ ดื่นๆ ทำให้เกิดการเสียสมดุล ทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ ทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น
2.การขยี้ตาบ่อยๆ : เช่นจากภาวะ ภูมิแพ้ ตาแห้ง ทำให้เกิดการระคายเคืองแถวๆ รอบดวงตา ทำให้ต้องขยี้ตาบ่อยๆ จึงเกิดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินให้เพิ่มจำนวนขึ้นในบริเวณนั้น นอกจากนี้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่ เป็นเหตุให้ขอบตาคล้ำในที่สุด
3..กรรมพันธุ์หรือเชื้อชาติ : เช่น พวกแขก หรืออาหรับ กลุ่มนี้จะมีเม็ดสีเมลานินสะสมรอบดวงตา

4.หลอดเลือดดำใต้ตาขยายมากผิดปกติ (Vasculature inflammation) : ซึ่งสาเหตุก็เกิดได้หลายอย่าง เช่น จากโรคบางอย่าง เช่น ภาวะการขาดธาตุเหล็ก หรือขาดสารอาหารอื่น, โรคไต , การอดนอน , การสูบบุหรี่, ชา-กาแฟ, โรคภูมิแพ้ หรือในคนสูงอายุ ที่ผิวหนังใต้ตาเริ้มบางลง จึงเห็นเส้นเลือดำได้ชัดเจนขึ้น
5.ขอบตาคล้ำ จากเบ้าตาลึก : : ซึ่งจริงๆ แล้ว บางคน จะมีโครงสร้างของกระดูกใบหน้า ที่แปลกกว่าคนอื่นๆ คือ อาจจะมีโหนกแก้มสูง และมีเบ้าตาลึก หรือคนที่อายุมากขึ้น เกิดการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตายุบลงไป เกิดเป็นรอยพับ ทำให้เห็นเป็นรอยเขียวๆคล้ำใต้ตาเหมือนขอบตาคล้ำจากสาเหตุอื่นๆ

การป้องกัน-รักษา ขอบตาคล้ำ เบ้าตาลึก

1. รอยดำคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติ
1.1. พยายามนอนหลับ พักผ่อนให้เต็มที่
1.2. รักษาโรคประจำตัวที่ทำให้เกิดการขยี้ตาบ่อยๆ เช่น โรคภูมิแพ้ ตาแห้ง โรคไต ฯลฯ
1.3. การมาสค์รอบดวงตา อาจจะด้วยแตงกวา ถุงชา หรือมาสค์สำเร็จรูปต่างๆ ที่มีวางจำหน่าย หรือการเลือกครีมทารอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่ง ทาทุกวันก่อนนอน
1.4 ทาครีมรอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่งต่างๆ
1.5 การทำเลเซอร์ลดเม็ดสีที่ผิดปกติ : แก้ไขขอบตาคล้ำ ตาดำเป็นแพนด้า ได้จากทุกสาเหตุที่ทำให้เกิดเม็ดสีเข้มขึ้น ไม่ว่าจะจากปัญหาเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ การอักเสบเรื้อรังจากการขยี้ตา หรือภูมิแพ้ เลเซอร์ที่ใช้ ก็เป็นกลุ่ม Q-Swithched Nd:YaG เช่น Revlite , Pico laser ได้ผลดี สะดวก หายเร็ว ไม่มีแผลหลังทำ

2. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเส้นเลือดดำขยายตัว : การรักษาปัญหารอยดำคล้ำ หรือรอยช้ำบวม จากเส้นเลือดดำขยายตัว มีได้วิธีเดียว คือการยิงเลเซอร์กลุ่ม Long-Pluse Nd:YaG laser เช่น Gentle YaG จะทำให้หลอดเลือดดำหดตัว รีดรอยคล้ำจากเส้นเลือดให้หายไป เห็นผลทันทีหลังทำ ส่วนใหญ่จะทำไม่กี่ครั้ง ก็แทบจะหายได้ถาวร
3. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเบ้าตาลึก : เบ้าตาที่ลึก อาจจะเกิดจากเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ หรือการขยี้ตา จึงเกิดรอยพับ หรือทำให้เกิดถุงไขมันเล็กๆ ปูดออกมา แก้ไขได้ไม่ยาก การฉีดFiller ที่เป็นพวก Hyaluronic acid เพราะมีโมเลกุลเล็ก นวดง่าย ไม่เป็นก้อน การฉีดเติมก็อาจจะมีหลายเทคนิค เข็มที่ใช้ก็อาจจะเป็นเข็มคม หรือเข็มทู่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ หลังทำ เห็นผลทันที ร่องตาลึก กลับมาเป็นปกติ รอยพับก็จะหายไป ถุงไขมันลดลง และทำให้รอยดำคล้ำรอบดวงตาก็หายไปด้วย

Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วน ลดอายุ ลดความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency-RF)

RADIOFREQUENCY TECHNIQUE (RF) คืออะไร

คือ เทคโนโลยีในการรักษาผิวหน้า ด้วย คลื่นความถี่วิทยุความถี่สูง โดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นลึก และประสานไปกับการนวดพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัย อุณหภูมิของร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น แต่ไม่เกิน 42° C
– ซึ่งกลไกการทำงานโดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ลงไปในทุกชั้นของผิวหนัง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้

  1. ผิวชั้นบนสุด คือ มีผลให้สิวเสี้ยนบางส่วน ฝ้าและกระบางส่วน และเซลล์หนังกำพร้าที่หมดอายุแล้วหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียน ขาว ใสขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง ริ้วรอยตื้น ลดลงได้
  2. ผิวหนังแท้ คลื่นวิทยุมีผลให้ผิวหนังชั้นนี้สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เคยหย่อนคล้อยตึงกระชับขึ้น
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีผลให้เกิดการละลายของไขมันเข้าไปสู่หลอดน้ำเหลือง ทำให้สามารถลดขนาดของไขมันในถุงใต้ตา ใต้หู ใต้คาง ส่งผลให้ค่อยๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า

RF มีกี่ชนิด กี่แบบ

การเลือกชนิดของ RF แต่ละแบบ แพทย์จะพิจารณาตามเหมาะสมของปัญหาผิวพรรณ ความลึกตื้นของปัญหา เวลา และงบประมาณ ดังนี้
1. Bipolar RF: ส่วนใหญ่จะเรียกว่าเป็น RF เฉยๆ โดย ส่งพลังงานจากสองขั้ว และมักจะออกฤทธิ์ที่ชั้นผิวหนังส่วนบน ช่วยยกกระชับ และลดไขมัน มักจะใช้ที่ใบหน้า เป็นส่วนใหญ่ มักพบเป็นเครื่องเดี่ยวๆ หรือผสมผสานกับ IPL เหมาะกับการกระชับผิว ข้อดี คือไม่เจ็บขณะที่ทำ แต่ได้ผลชั่วคราวแค่เป็นอาทิตย์  และสำหรับผิวตื้นๆ ไม่หย่อนคล้อยมากนัก เป็นที่นิยมเพราะราคาถูก
2. Monopolar RF: เป็น RF จากขั้วเดียว และมี Plate รองไว้ที่ด้านล่าง จะออกฤทธิ์ในชั้นที่ลึกกว่า Bipolar RF อาจจะถึงชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ มักจะเน้นในแง่รักษาความหย่อนคล้อยของผิวพรรณชั้นลึก การกำจัดไขมันส่วนเกินตามลำตัว ใช้ได้ทั้งใบหน้าและลำตัว เนื่องจาก มีความแรงและพลังงานลงลึก มักจะเรียกเป็นชื่อยี่ห้อมากกว่า เช่น Thermage , Exilis Elite , Min-Thermage อยู่ได้นานหลายเดือนถึงเป็นปี RF ชนิดนี้เป็นนิยม เพราะได้ผลดีกว่าแบบอื่นๆ แต่ราคาก็ค่อนข้างแพง
3.Tripolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ผสมผสานระหว่างการทำงานของ Bipolar RF + Monopolar RF ในเครื่องเดียวกัน พบว่าการได้ผลสู้แบบ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้รับความนิยม
4.Mulipolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ส่งพลังงานจากหลายขั้ว ใช้หลักการทำงานแบบผสมผสาน คลื่น RF จะลงลึกกว่า Bipolar RF แต่ตื้นกว่า Monopolar เพียงแต่ควบคุมทิศทางได้ดีกว่า Monopolar RF และพบว่าขณะที่ทำไม่เจ็บมากเท่ากับการทำด้วย Monopolar RF เพราะใช้พลังงานน้อยกว่า แต่ผลที่ได้ ก็สู้ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ จึงไม่ได้รับความนิยมเช่นกัน

RF ช่วยอะไรได้บ้าง

  1. ยกระชับผิวหน้า หย่อนคล้อยทำให้ยกกระชับขึ้นทุกจุดของหน้า                                        
  2. ปรับรูปหน้า กางน้อยลง คางเรียว ใบหน้าเล็กลง เป็นรูปไข่มากขึ้น
  3. คืนความเยาว์วัยให้ผิว คือ การลบเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก สันจมูก รอบดวงตา รอบปาก และคอ
  4. กระชับรูขุมขน คือ การทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รูขุมขนเล็กลง หลุมสิวตื้นขึ้น
  5. ผิวหน้าขาวใส คือ การปรับสีผิวให้ขาวสว่างมากขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง
  6. ยกกระชับปรัวสัดส่วน คือ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ไม่เกิดการสะสมของของเสียและไขมันส่วนเกิน และยังทำให้เนื้อเยื่ยได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังดูกระชับ ตึง ไม่หย่อนคล้อย
Exillis ลดเหนียง ยกกระชับขอบคาง

Exillis ยกกระชับหน้าท้อง

Posted on

L-Glutamine : กรดอะมิโน ในรูปอาหารเสริม กับการเพิ่มกล้ามเนื้อ และ Growth Hormone

Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งในร่างกายของคนเรา มีกรดอะมิโน อยู่ 2 ชนิด คือ
1. แบบจำเป็นต่อร่างกาย (Essential Amino Acid)
2. แบบไม่จำเป็นต่อร่างกาย (Non-Essential Amino Acid)
โดยพบว่า Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยมากกว่า 60% ของ Glutamine จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ (Skelaton Muscle) ซึ่งมีโครงสร้างหลักๆ เป็นโปรตีน ดังนั้น Glutamine จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกล้ามเนื้อนั่นเอง
L-Glutamine คือ อาหารเสริม ที่นิยมใช้กันในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น นักเพาะกาย นักยกน้ำหนัก นักยิมนาสติก นักมวย ที่ต้องการให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มากขึ้น โตขึ้น
เพราะ เมื่อเรามีการออกกำลังกายอย่างหนัก ร่ายกายของเราจะมีความต้องการใช้ Glutamine จำนวนมาก แต่ร่างกายสร้างได้ไม่เพียงพอ จึงอาจมีการสลายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มปริมาณกลูตามีนให้มากขึ้นตามความต้องการ เป็นผลให้เกิดภาวะการสูญเสียกล้ามเนื้อ (Muscle breakdown) ขึ้นได้ ดังนั้นกลุ่มนักกีฬาเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องทาน Glutamine ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพื่อเลี่ยงจากปัญหาการสูญเสียกล้ามเนื้อจากการสลาย Glutamine โดยจะรับประทานเป็นอาหารเสริม สำหรับสุขภาพ โดยพบว่าบางคนนำมารับประทานควบคู่กับกลุ่มเสริมสร้างโปรตีนโดยเฉพาะ เช่น Whey Protein

ประโยชน์ของ Glutamine

  1. หน้าที่คล้าย Branched Chain Amino Acids (BCAAs) BCAA คือจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่ง Growth hormone ได้ถึง 4 เท่า
  2. ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้เป็นหวัดและติดเชื้อได้ยากขึ้น
  3. ช่วยฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วย ให้กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น
  4. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสังเคราะห์โปรตีนและการเติบโตของกล้ามเนื้อ ลดการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อในขณะออกกำลังกาย โดยการช่วยทำลาย กรดแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อในขณะที่ออกกำลังกายได้ ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายได้นานขึ้น จะมีผลทำให้ มีการหลั่งฮอร์โมน Growth hormone ให้มากขึ้น ทางอ้อมเช่นกัน
  5. ช่วยลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ (Muscular Dystrophy) โดยเฉพาะในคนสูงอายุ ที่ระดับฮอร์โมนเพศเริ่มลดลง ทำให้มวลกล้ามเนื้อจะลดลง การรับประทาน Glutamine ทดแทน จะช่วยลดภาวะดังกล่าวให้รุนแรงน้อยลงได้
  6. สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองได้อีกทางหนึ่ง ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น ป้องกันภาวะสมองเสื่อมจากสูงอายุ
  7. ช่วยรักษาปัญหาแพ้อาหาร(food allergy ) ในกลุ่มที่มีระบบกาย่อยอาหารผิดปกติ เช่น ในกลุ่ม Leaky Gut Sybdrome,Irritible bowel syndrome,Ulcerative Colitis.
  8. ช่วยเพิ่มระดับ Glutathione ในร่างกายให้สูงขึ้นได้ ซึ่งถ้าต้องการทราบประโยชน์ของ Glutathione ก็ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว

     ขนาดที่แนะนำสำหรับการรับประทาน L-Glutamine ในรูปอาหารเสริม คือ 1.5-6.0 กรัมต่อวัน หรือรับประทานในปริมาณที่แพทย์แนะนำ และควรแบ่งมื้อทานหลายๆ ครั้ง กรณีที่ต้องการรับประทานเพื่อหวังผลที่ดีที่สุด แนะนำให้ทานช่วงท้องว่าง จะช่วยดูดซึมได้ดีกว่า และเวลาที่เหมาะสมคือหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือช่วงก่อนนอน จัดเป็นกรดอะมิโนที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง ยกเว้นในรายทีแพ้กลุ่มสาร Monosodium glutamate (ที่พบในผงชูรส)