Posted on

ไมเกรน (Migraine) ไม่หายขาด ไม่อยากกินยา กลัวผลข้างเคียง ฉีดโบ ช่วยได้ เห็นผลทันที อยู่ได้นานหลายเดือน

ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine) คืออะไร

การปวดศีรษะแบบไมเกรน  เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย  มีการประมาณว่าใน 1 วัน ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประมาณ 3,000 คนต่อประชากร 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา และผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน2:1  โดยพบมากในช่วงอายุ 30 -40 ปี แต่แทบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว การปวดศีรษะอาจจะไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงมาก จนทำงานไม่ได้  ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจะส่งผลต่อปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และที่สำคัญก็คือ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะอาการปวดดังกล่าวมีผลต่อเนื่องไปถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ทำงานไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
สาเหตุ :
– การปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นเป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่งซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าเชื่อได้ว่าอาจมีจุดกำเนิดจากก้านสมองที่ทำงานผิดปกติ หรือเกิดจากภาวะที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล ส่งผลให้หลอดเลือดมีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับกับพันธุกรรมที่ผิดปกติ

ลักษณะอาการ:
– การปวดศีรษะแบบไมเกรน  มีลักษณะค่อนข้างชัดเจน กล่าวคือ มักจะปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาของการปวดอาจแตกต่างกันออกไปในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจมีอาการยาวนานถึง 72 ชั่วโมง
ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดไมเกรนมีดังนี้

  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ
  • การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
  • รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป
  • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน
  • ยาบางชนิด
    วิธีการรักษา
  • การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรน  ก็คือการบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือลดความถี่ของการเกิด และลดความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ ซึ่งวิธีการรักษาแบ่งได้ดังนี้
  • 1. การรักษาด้วยการไม่ใช้ยา : มักจะใช้ในกรณีที่เป็นไม่รุนแรง ได้แก่   การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ
  • 2. การรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน : มักจะใช้ในกรณีที่รุนแรง หรือใช้วิธีที่ 1 แล้วไม่ได้ผล การใช้ยาควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป

การรักษานอกจากยาแล้วโบทอกซ์ก็ช่วยให้ไมเกรนหายได้ไวขึ้น และป้องกันได้หลายเดือน

เมื่อเดือน มิย. ปี ค.ศ .2010 ทาง US FDA ได้ออกมารับรองผลว่า การฉีด Botulinum toxin type A  สามารถลดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนแบบเรื่อรังลงได้
ทำไมฉีดโบ จึงแก้ไมเกรนให้หายได้
เพราะกลไกที่ไปรักษาพบว่า Botulinum toxin type A มีผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้สามารถลดการรับรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวดในระบบประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดการปวดศีรษะไมเกรนได้และบางคนได้ผลทันทีหลังฉีด และยังสามารถช่วยลดความถี่ในการเกิดได้ยาวนานขึ้นถึง 3 -4 เดือน ( ( botulinum toxin inhibits pain in chronic migraine by reducing the expression of certain pain pathways involving nerve cells in the trigeminovascular system. The trigeminovascular system is a sensory pathway thought to play a key role in the headache phase of a migraine attack) .)

ดังนั้น การฉีด Botulinum toxin type A เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง รุนแรง และเป็นบ่อยๆ ที่ไม่ต้องการรับประทานยาต่อเนื่องทุกวัน เพื่อป้องกันและรักษา เพราะการฉีดโบทอกซ์จะทำทุก 3 เดือน ปริมาณยูนิตและบริเวณที่ฉีดจะแตกต่างกัน และควรจะได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาไมเกรนด้วย เพราะถ้าฉีดผิดตำแหน่ง หรือปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาการปวดศีรษะไมเกรนก็อาจจะไม่หายได้
สนใจสอบถามเพิ่มเติมกับสถานบริการที่มีให้บริการกันนะครับ

Posted on

ร่องแก้มลึก (Naso-labial fold) เติมฟิลเลอร์อย่างเดียวช่วยได้จริงหรือ แก้ไข อย่างไร ให้ดูดี อ่อนวัย อย่างมืออาชีพ

ร่องแก้มลึก เติมฟิลเลอร์แล้วไม่ดีขึ้น เพราะอะไร

ปัญหาร่องแก้มลึก ก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงภาวะร่วงโรยตามกาลเวลาที่มากขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ก็จะช่วยให้เรายังแลดูอ่อนเยาว์ลงได้ แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าจะให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ก็ควรจะฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มก็จะแก้ไขปัญหานี้ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งก็อาจจะถูกต้องเพียงส่วนหนึ่ง การแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกอย่างมืออาชีพ มีเทคนิคและการประเมินผลที่มากกว่าแค่การเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้ม ลองว่าดูว่าแพทย์มืออาชีพเค้ามีเทคนิคกันอย่างไร
สาเหตุของร่องแก้มลึก
– เนื่องจากอายุที่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ทำให้ร่องแก้มลึกขึ้น แท้จริงแล้วมีสาเหตุได้หลายอย่าง แพทย์มืออาชีพและมีประสบการณ์ จะประเมินออกมาในมุมกว้างกว่า แก้ไขได้ถูกต้องกว่า และดูสวยงามและดูธรรมชาติกว่า มาดูกันว่าเทคนิคและการแก้ไขเค้าทำกันอย่างไร
1. ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียคอลลาเจน (Volumn loss) :  เป็นสาเหตุแรกที่ทุกคนนึกถึง ทำให้คิดแต่ต้องเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้มที่ลึก แต่การเลือกสารเติมเต็มที่จะใช้ ถือว่าสำคัญมาก ไม่ใช่ยี่ห้อไหน แบบไหนก็ทำให้เติมเต็มได้ แพทย์จะเลือกชนิดของสารเติมเต็มที่เหมาะสมกับบริเวณร่องแก้ม ควรจะมีความหนืดหรือปริมาณ HA (Hyaluronic aicd ) ในความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เหลวไปจนเติมไปแล้วไม่พบความเปลี่ยนแปลง หรือมากไปจนเติมแล้วเห็นเป็นก้อน ไม่สม่ำเสมอ ไม่ธรรมชาติ นอกจากนี้การเลือกเข็มที่จะใช้ ควรเลือกชนิดเข็มทู่ ที่เรียกว่า Canula ในการฉีด เพื่อป้องกันสารเติมเติมไปอุดตันเส้นเลือด  เพราะบริเวณนี้มีเส้นเลือดสำคัญที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณนี้หลายเส้น และถ้าใช้เข็มแหลม อาจจะมีความเสี่ยงไปโดนเส้นเลือดเหล่านี้ได้

ตัวอย่างการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้มโดยตรง ด้วยเข็มทู่ Canula
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึก จากการหย่อนคล้อยด้วยการยกกระชับด้วย Ulthera
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากการหย่อนคล้อย โดยการเติมสารเติมเต็มด้วยเทคนิค Filler Lifting

2.  ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียการหย่อนคล้อย (Skin sagging) : เป็นสาเหตุอีกสาเหตุที่บางคนไม่ค่อยนึกถึง เพราะจริงๆ แล้วการหย่อนคล้อยของใบหน้าบริเวณโหนกแก้มจากอายุมากขึ้น ก็ทำให้เกิดร่องแก้มดูลึกลงได้ โดยอาจจะมีสาเหตุนี้ร่วมกับการสูญเสียคอลลาเจน หรืออาจจะเกิดจากสาเหตุนี้อย่างเดียว ดังนั้นการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม อาจจะไม่ได้ผลมากนัก แพทย์ชั้นเซียนเค้าจะแก้ไขด้วยการยกกระชับผิวหน้าแทน  โดยเปลี่ยนจากการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม มาเปลี่ยนเป็นฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ ด้วยเทคนิค Filler Lifting ซึ่งจะฉีดปริมาณเท่าไหร่ กี่จุด ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาหย่อนคล้อยเกิดในบริเวณไหนของใบหน้า ซึ่งแน่นอนการเลือกชนิดสารเติมเต็มในการฉีดก็อาจจะแตกต่างจากที่ใช้ฉีดเติมร่องแก้ม เพราะลักษณะผิวหนังแต่ละบริเวณของใบหน้า มีความหนาบางไม่เท่ากัน ตำแหน่งไหนใช้เข็มแหลมฉีดได้ ตำแหน่งไหนต้องใช้เข็มทู่หรือ Canula เหล่านี้คือเทคนิคที่ต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์ นอกจากนี้การยกกระชับผิวหน้าโดยรวมด้วยการร้อยไหม การทำ HIFU หรือ Monopolar RF  ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์อาจจะพิจารณาทำร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด สวยและดูธรรมชาติ

3. ร่องแก้มลึกจากการไขมันที่แก้มมากเกินไป : สาเหตุนี้มักจะเกิดในสาวๆ อายุน้อยที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ หรือมีไขมันสะสมที่ใบหน้า โดยที่ไม่ได้มีปัญหาหย่อนคล้อยหรือการสูญเสียคอลลาเจน การลดไขมันที่ใบหน้าด้วยการฉีดเมโสแฟตละลายไขมันอาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าวิธีข้างบน เพราะถ้ายิ่งเติมสารเติมเต็มไปที่ร่องแก้ม ก็ยิ่งทำให้ใบหน้ากลมมากขึ้น การเลือกส่วนผสมของตัวยาที่จะฉีดสลายไขมันก็ต้องเลือกแบบที่ได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อย ซึ่งถือว่าสำคัญมากในการประเมินว่าจะทำให้ไขมันลดลงได้มากน้อยเท่าใด และใช้เวลาเท่าไหร่ด้วย

ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากไขมันที่แก้มเยอะ ด้วยการฉีด Mesofat

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เช็คให้ดีก่อนว่าสาเหตุคืออะไร

การแก้ไขร่องแก้มลึก ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วการทำให้ได้ผลดี ต้องประเมินสาเหตุให้ครอบคลุม และแก้ไขแต่ละสาเหตุไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ เพราะต้องแก้ไขให้ตรงจุด เทคนิคการฉีด ซึ่งอาจจะมีทั้งฉีดตื้น ฉีดลึก หรือฉีดแบบผสมผสาน ที่เรียกว่า Multi-Layer injections การเลือกสารเติมเต็มที่จะฉีดแต่ละบริเวณ การเลือกชนิดและขนาดของเข็มที่เหมาะสม ควบคู่กับการผสมผสานการรักษาแบบองค์รวม พร้อมๆ กับต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งจากบทความนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน ได้ใช้พิจารณาในการเลือกการรักษาการแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ไม่มากก็น้อย

Posted on

7 ปัญหา ตาไม่สวย เราช่วยได้ เพื่อดวงตาในฝัน สวยก่อน ไม่รอแล้วนะ (Beauty tip for Idol Eyes )

ดวงตาในฝัน ให้คนอยากมองต้องทำไง

ดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes คือดวงตากลมโต สดใส มีประกาย เวลายิ้มก็ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ซึ่งจะทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากนี้องค์ประกอบรอบๆ ดวงตาก็ส่งผลให้ดวงตากลมโตของเรา น่าชวนมองมากขึ้น ไม่ว่าจะมีชั้นตาที่ชัดเจน ขนตายาวงอน ขนคิ้วโก่งเรียงตัวเป็นระเบียบ ขอบตาไม่ดำคล้ำ ไม่มีถุงไขมันทั้งเปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง
ปัจจุบัน นวัตกรรมด้านความงาม ได้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของให้เรามีดวงตา และองค์ประกอบรอบดวงตา เป็นดวงตาในฝันได้ไม่ยาก และไม่ต้องเจ็บตัว ต้องผ่าตัดเมื่อเช่นสมัยก่อน ซึ่งผู้เขียนพอจะรวบรวมได้ดังนี้
7 เคล็บลับความงาม ตามนิยาม ทำให้ “ตาสวย”
1. ริ้วรอยรอบดวงตา : ริ้วรอย คือหลักฐานที่บ่งบอกถึงความชรา ซึ่งเราจำแนกออกเป็น 2 แบบ
1.1     ริ้วรอยขณะยิ้ม หรือตีนกา ( Dynamic wrinkle) : เกิดขึ้นเมื่อมีการขยับกล้ามเนื้อหรือยิ้ม เราก็แก้ไขได้ด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin type A  เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่การฉีดBotulinum toxin type A  ก็ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะจะอยู่ได้นานกว่ายี่ห้ออื่นๆ  และควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้ริ้วรอยนั้นลดลง ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป
1.2      ริ้วรอยย่นเล็กๆ ขอบตาล่าง ( Static wrinkle) : ริ้วรอยแบบนี้ แม้จะหยุดยิ้ม อยู่เฉยๆ ก็ย่น ดูแก่ เราก็แก้ไขด้วยการทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการลดริ้วรอย หรืออาจจะใช้เลเซอร์กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Fractional laser 1550 nm ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น ระยะเวลาพักฟื้นไม่กี่วัน

2. หนังตาตก ไม่มีชั้นตา ช้นตาไม่เท่ากัน : กรณีที่เราอายุมากขึ้น ชั้นตาที่เคยเห็นชัด อาจจะโดนบดบังด้วยเปลือกตาบน หรือไขมันที่เปลือกตาบน ทำให้เห็นชั้นตาไม่ชัด หรือหนังตาตก การแก้ไข ถ้าหนังตาตกมาก จากอายุมาก หรือไม่มีชั้นตาเลย ส่วนใหญ่ เราก็แก้ไขด้วยการทำศัลยกรรมตาสองชั้น กรีดตา ยกหางตา ด้วยมีดหรือเลเซอร์
แต่ถ้าไม่อยากผ่าตัด หรือทำเลเซอร์ ให้ไม่อยากมีเกิดแผลเป็น ชั้นตาตกไม่มาก หรือชั้นตาไม่เท่ากัน การทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการตัดหนังส่วนเกินที่ห้อยลงมา หรือชั้นไขมันที่พอกพูนเปลือกตาบน จนบดบังชั้นตาให้ลดลงได้ ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกนึง

3. ขอบตาคล้ำ  : บางคนอาจจะมีปัญหาขอบตาคล้ำ จากพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากปัญหาภูมิแพ้ ขอบขยี้ตาบ่อยๆ จนทำให้เกิดตาอักเสบเกิดรอยดำ จากเม็ดสีเมลานินสะสม เราก็สามารถแก้ไขด้วยการลดจำนวนเม็ดสีเข้มให้จางลงด้วย การทำเลเซอร์เม็ดสีกลุ่ม Q-Swiched Nd:YAG 1064 nm เช่น Revlite laser หรือขอบตาคล้ำจากเส้นเลือดดำ ก็ลดการบวมแดงด้วย เลเซอร์ Long Pulsed Nd:YAG เช่น Gentle YaG

4.  เบ้าตาลึก : จากการลดลงของคอลลาเจน เมื่ออายุมากขึ้น เกิดร่องน้ำตา เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ให้ดูตื้นขึ้น หรือเรียบเนียนได้ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้ปัจจุบันที่นิยมและปลอดภัย ก็คือกลุ่มสาร HA ( Hyaluronic acids ) ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาขนาดโมเลกุลขนาดใหญ่ปานกลาง สำหรับฉีดในชั้นลึกหรือติดกระดูกเพื่อการค้ำยันหรือดันเบ้าตาให้ตื้น แถมยังทำให้ถุงไขมันเล็กลงได้ด้วย และยังได้มีการพัฒนาฟิลเลอร์แบบใหม่ ให้มีขนาดโมเลกุลของสาร HA ให้มีขนาดเล็กมากเป็นพิเศษที่เรียกว่า Vital light เพื่อฉีดผิวหนังชั้นตื้น ให้ดูเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ซึ่งแพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถเลือกชนิดของสาร HA ที่มีขนาดแตกต่างกัน ฉีดในหลายๆ ชั้น คล้ายขนมชั้น ที่เรียกว่า Multi-Layer filler injection technique

5. คิ้วตก หางตาตก ขอบตาล่างไม่กระชับ : เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน เพื่อให้ผิวกระชับ ลดการหย่อนคล้อยด้วยการทำ Ulthera รอบดวงตา โดยใช้หลักการปล่อยพลังงาน Focused Ultrasound ไปยังชั้นผิวหลังล่างสุด ที่เรียกว่าชั้น SMAS ให้เกิดการตึงตัว และยกตัวสูงขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์หรือโบทอกซ์ ยกคิ้ว ยกหางตา

6. ขนคิ้วบาง :  : ปกติเราก็มักจะใช้การเขียนคิ้ว ปัดขนตาด้วย อายไลเนอร์ แต่ถ้าเราอยากมีคิ้วดกดำ เป็นธรรมชาติ เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างขนคิ้ว ให้ดกดำ ยาวงอนตามต้องการได้ด้วยโลฃั่นปลูกคิ้ว หรือทำ Mesotherapy ปลูกคิ้ว เพือการหวังผลที่ดีขึ้น

7. ถุงไขมันที่เปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง : ถ้าปกติการแก้ไข มี 2 แบบ คือการทำศัลยกรรมเปลือกตา โดยการเลาะถุงไขมันออก มักจะใช้ในกรณีที่เป็นมากแล้ว แต่ถ้าไม่มากนัก เราอาจจะลองทำแบบที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น เราก็สามารถจะแก้ไขไขมันที่เปลือกตาบน ด้วยการฉีด Mesofat สลายไขมัน ส่วนถุงไขมันเปลือกตาล่าง กรณีเป็นไม่มาก มักจะเกิดจากเส้นเอ็นที่ยึดหย่อน เราอาจจะฉีดเติมฟิลเลอร์เข้าไปที่ฐานเส้นเอ็นให้ขึงตึงขึ้น เพื่อดันไขมันให้กลับเข้าไป
ดังนั้น การที่เราจะมีดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่ควรที่จะเลือกการให้บริการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เลือกเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อ.ย. และมีการยอมรับกันทั่วโลก เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาในตลาดมากมาย การตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดี มีคุณภาพ ย่อมเกิดประสิทธิผลในการรักษาได้ดี และปลอดภัย ปราศจากผลข้างเคียงตามมาภายหลัง

Posted on 68 Comments

กรีดตาสองชั้น แก้ชั้นตาไม่เท่ากัน หนังตาตก ด้วยพลังงานพลาสมา (Plexr) โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมหรือเลเซอร์ ไม่มีแผลเป็น

ตาสวย ตาไม่หมวย ใครก็ชอบ

ดวงตา จัดเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ดึงดูดใจใครต่อใครได้ดีที่สุด และเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำให้คนเราสวยขึ้นมากกว่าเดิม โดยพบว่าใครที่มีตาสวย ตาหวาน จะเป็นจุดเด่นที่ทุกคนต่างก็ต้องหันมามอง จะเห็นได้ว่า ดาราที่มีชื่อเสียง ต่างก็มีดวงตาที่กลมโต สดใส มีชั้นตา (ตา 2 ชั้น) และไม่มีรอยย่น หรือรอยพับที่เปลือกตา นอกจากนี้ดวงตายังเป็นตัวบ่งบอกได้ถึงอายุ ว่ายังอ่อนวัย หรือใกล้ร่วงโรย โดยเฉพาะถ้าหนังตาเริ่มตก ชั้นตาไม่เท่ากัน อยากคืนความเยาววัยกับดวงตา โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเลเซอร์ให้เกิดแผลเป็น พลังงานพลาสมาคือทางเลือกแรกที่ตอบโจทย์ได้

Plexr พลาสมา คืออะไร

Plexr จัดเป็นเครื่องมือที่ใช้กรีดผิวหนัง โดยไม่มีแผลเป็นหลังทำ เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอิตาลี ที่ใช้พลังงานพลาสมา โดยเครื่องมือได้นิยมนำมา กรีดตาสองชั้น แก้ปัญหาเปลือกตาตกบดบังชั้นตา ชั้นตาไม่เท่ากัน หรือ ริ้วรอยรอบดวงตา ไม่ใช่พลังงานเลเซอร์ โดยพลังงาน Plasma เกิดจากการเปลี่ยนประจุแก๊สในอากาศ กับหัวของเครื่องมือ โดยพลังงาน Plasma นี้ให้ความร้อนสูงถึง 6,500 Kelvin และเกิดความร้อนที่ผิวหนังที่เพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียส (ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ที่ให้พลังงานสูงและลงลึก ทำลายชั้นผิวให้เกิดแผลเป็นได้มากกว่า) แต่ก็สามารถทำให้ผิวหนังระเหิดหายไป เกิดเป็นชั้นตา หรือทำให้หนังตาที่ตกหายไปในทันที โดยไม่ทำให้เกิดรอยดำ รอยด่าง หรือแผลเป็น เหมือนกับการทำศัลยกรรมด้วยการกรีด หรือ เจาะด้วยเลเซอร์ นอกจากนี้ เครื่อง Plexr พลาสมา ยังไม่มีผลหรือทำอันตรายกับเนื่อเยื่อหรือบริเวณข้างเคียง และยังสามารถทำได้กับทุกสภาพสีผิว ไม่เกิดรอยแผลเป็น หรือรอยเย็บ

พลังงานพลาสมา ทำอะไรได้บ้าง เจ็บมั้ย มีผลข้างเคียง?

1. กรีดตาสองชั้น แก้ไขตาสองชั้นที่ไม่เท่ากัน ทั้งจากของเดิม หรือจากการทำศัลยกรรมมาแล้วชั้นตาไม่เท่ากัน
2. แก้ปัญหาหนังตาตก บดบังชั้นตา
3. ลดไขมันที่เปลือกตา
4. แผลเป็น รอยหลุม รอยแตกลาย
5. รอยย่นที่เปลือกตา ริ้วรอยใต้ตา
6. ใช้แทนเลเซอร์ CO2 ในการตัดหูด ใฝ ขี้แมงวัน สิวหิน ก้อนไขมัน กระตื้น รอยสักทุกชนิด โดยไม่เกิดรอยดำ หรือแผลเป็น

ขั้นตอนในการทำการรักษาด้วย เครื่อง Plasma และการดูแลหลังทำ

1. ทายาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
2. อาจจะรู้สึกร้อนๆ บริเวณที่ทำ
3. เกิดสะเก็ดสีน้ำตาลบางๆตรงบริเวณที่ทำ
4. ล้างหน้าทุกวันแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด (ห้ามถู)
5. หลังล้างหน้า ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และยาสมานแผลตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
6. อาจจะมีอาการปวดแสบร้อนหลังทำ 4-6 ชม
7. อาจจะมีอาการบวมหลังทำ หรือรู้สึกหนักๆ ที่เปลือกตา ประมาณ 1-3 วัน สามารถรับประทานยาลดบวมได้
8. สะเก็ดไม่ควรจะขัด แกะ หรือถู เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบเป็นรอยดำ ปล่อยให้หลุดเอง ใช้เวลา 4-7 วัน
9. ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ไปทำงานได้ปกติ

Posted on

ฉีดโบ อย่างไร ให้ดูดี เป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ยิ้มได้ ยักคิ้วได้ -Botox Intradermal (Dermolift) injection

ทำไมฉีดโบ แล้วดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจหลักการทำงานของโบทอกซ์ก่อนว่า ตัวยาจะไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยในยุคแรกๆ ที่เราเริ่มเอาโบทอกซ์มาใช้ในแวดวงความงาม ประมาณ ปี ประมาณปีค.ศ 1999-2000 โดยนำมาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็พัฒนามาฉีด รอยย่นหน้าผาก หัวคิ้ว ปรับรูปหน้า โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง กล้ามเนื้อคลายตัว( relaxations ) ที่เราเรียกว่าอ่อนแรงลงชั่วคราวนั่นเอง ซึ่งทำให้ ริ้วรอย ตีนกา รอยย่นจึงลดลง ไม่เกิดรอยย่นขณะยิ้ม หรือขมวดคิ้ว โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique ส่วนการที่ฉีดแล้ว ดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้ มักจะขึ้นอยู่กับ
1. ปริมาณยูนิตที่ฉีดเยอะเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อแทบจะขยับไม่ได้ หรือเกือบเป็นอัมพาตชั่วคราว
2. ตำแหน่งที่ฉีดเยอะไป หรือเทคนิคที่ฉีดไม่ถูกต้อง
3. ฉีดไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่นที่ไม่ต้องการ ทำให้ยิ้มได้ลำบากหรือยิ้มไม่ได้

Intradermal (Dermolift) คือ เทคนิคที่ฉีดโบ แล้วหน้าไม่แข็ง เป็นธรรมชาติ

เทคนิคนี้ คือ การฉีดโบทอกซ์ในตื้น หรือ ชั้นหนังแท้ ( intradermal ) หรือชั้นคอลลาเจน ทีแทนที่จะฉีดในชั้นกล้าเนื้อแบบเดิม เพราะมีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่า การฉีดโบทอกซ์ในชั้นนี้ จะทำให้คอลลาเจนหรือกล้ามเนื้อมัดเล็ก เกิดการหดตัว แทนที่จะคลายตัว ทำให้ริ้วรอย ลดลงได้ จากการยืดกล้ามเนื้อให้ตึง ริ้วรอยลึกเลยดูลดลง จึงดูสวยงามและดูธรรมชาติมากขึ้น สามารถจะยิ้ม ยักคิ้ว ขมวดคิ้วได้ ไม่แข็ง มีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถจะฉีดเทคนิคนี้ได้ชำนาญ และได้ผลดี เนื่องจากต้องอาศัยประสบการณ์ การฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผสมตัวยาโบทอกซ์ที่ความเข้มข้นแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่ง เทคนิคการปักเข็มลึกตื้นแค่ไหน ในแต่ละตำแหน่ง องศาการฉีด เวกเตอร์เส้นใยกล้ามเนื้อในแต่ละมัดแต่ละตำแหน่ง

ตำแหน่งไหนที่เหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : หลักๆ ก็คือตำแหน่งที่ที่เราหวังผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ให้เกิดการกระชับ  แต่ไม่ทำให้คลายตัวหรืออ่อนแรงจนขยับไม่ได้นั่นเอง เช่น

  1. รอยย่นบริเวณหน้าผาก โดยทำให้รอยย่นลดลง แต่ยังขยับหน้าผากได้ปกติ ไม่ดูแข็งหรือแสดงสีหน้าไม่ได้ หรือรอยย่นที่เกิดขึ้นใกล้แนวคิ้ว ทำให้ลดลงได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องคิ้วตก หรือคิ้วไม่เท่ากัน
  2. รอยย่นใต้ตา ทำให้ยิ้มได้เป็นธรรมชาติไม่ดูแข็งเกินไป จึงแสดงสีหน้าได้ปกติ แต่รอยย่นจางลง ลดลง ไม่ถึงกับหมด เหมาะกับคนที่ต้องใช้สีหน้าในการแสดงความรู้สึก เช่น กลุ่มนักแสดง นักร้อง หรือที่ต้องใช้ใบหน้าในที่สาธารณะ
  3. การยกกระชับกรอบหน้า บนล่าง เสริมการฉีดลดกราม(ที่ยังนิยมฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ) เพื่อให้กรอบหน้าไม่หย่อนคล้อย เสริมหน้าวีเชฟมากขึ้น
  4. ใช้ยกกระชับหนังตา หางคิ้ว หางตา  โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คิ้วตก หรือหางตายกไม่เท่ากัน
  5. ฉีดพรมทั่วใบหน้า ให้ใบหน้าเต่งตึง กระชับมีน้ำมีนวล ไม่หย่อนคล้อย
  6. ฉีดรอยย่นที่คอ เหนียง ให้กระชับ ลดการหย่อนคล้อย
  7. ฉีดให้รูขุมขนเล็กลง
  8. ฉีดให้คางสั้นลง ได้รูปขึ้น
  9. ฉีดกรอบหน้าให้วีเชฟ เล็กลง
  10. ฉีดให้แนวคิ้วยกขึ้น ทำให้ตาโตขึ้น

บุคคลไหนเหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ที่หวังผลให้ตนเองเยาววัยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถแสดงสีหน้า อารมณ์ได้อย่างปกติ โดยเฉพาะในเพศชาย ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปทำอะไรมา หรือกลุ่มที่ต้องใช้หน้าตาในการแสดงอารมณ์ เช่น ดารา นักร้อง

Posted on

รักแร้ดำ ขาหนีบดำ รอยดำจากท่อไอเสีย ดำได้ ก็จางได้ ไม่กลับมาใหม่ ด้วย Revlite Laser

รักแร้ ขาหนีบดำ รอยด่างดำจากท่อไอเสีย รอยดำที่ใครก็ไม่อยากมี

แม้ว่าปัญหารักแร้ดำ ขาหนีบดำ ขาเป็นรอยด่างดำ จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในที่ลับ ๆ ที่อาจจะดูเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครเห็นหรือสังเกตได้ง่าย แต่ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับคุณได้ หากคุณต้องการจะอวดวงแขน หรือใส่ชุดว่ายน้ำหรือกางเกงขาสั้นขึ้นมา เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว มันอาจจะทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจในการอยากจะอวดรูปร่างของคุณขึ้นมาได้ ดังนั้นจงอย่ามองข้ามจุดเล็กๆ นี้ เพราะอาจจะช่วยให้คุณดูดี มั่นใจ ในทุกช่วงเวลาก็เป็นได้

สาเหตุของการเกิดรอยดำ

  1.   เกิดจากการเสียดสี เป็นส่วนใหญ่ แล้วเกิดการอักเสบขึ้นมา เพราะเราทราบมาแล้วว่าเมื่อใดที่เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในผิวคนเอเชีย มักจะมีรอยด่างดำตามมาเสมอ และถ้าเกิดบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้สีผิวดำคล้ำมากขึ้น การเกิดการเสียดสี จากต้นแขน ต้นขาใหญ่แล้วเบียดกันมากเกินไป และบ่อยๆ ซึ่งพบได้คนอ้วน หรือการใส่กางเกงในที่ขอบรัดเกินไป หรือเกิดจากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ อย่างไม่ระวัง เช่นในกลุ่มนักกีฬา
  2. โรคเชื้อราที่ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งมักจะเกิดจากความอับชื้น โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือนักกีฬา โดยเมื่อเกิดการติดเชื้อรา มักจะมีอาการคัน ทำให้เกาแล้วเกิดการอักเสบ แล้วเกิดรอยดำตามมา ซึ่งถ้าไม่ทำการรักษาให้หายขาด และเกิดเรื้อรัง รอยดำก็จะยิ่งชัดและเข้มมากขึ้น
  3. โรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) หรือผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) จากการแพ้โรลออน ขอบกางเกงใน หรือสายรัดขอบยกทรง หรือขอบกางเกงในแน่นเกินไป  ทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน แล้วก็เกาแล้วเกิดการอักเสบ และรอยดำตามมาภายหลัง
  4. โรคติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมักจะอ้วน และภูมิต้านทานต่ำ จึงเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย ทำให้คัน เกาและอักเสบ เกิดรอยดำเช่นกัน
  5. รอยดำจากความร้อน เช่นจากท่อไอเสีย จากการสัมผัสของร้อนแล้วไหม้ เกิดรอยดำ

ทำไงให้หายดำ เป็นปกติแบบไม่กลับมาใหม่

  1. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดข้างต้น คนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ก็ควรจะเริ่มหันมาลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยให้เน้นท่าออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดการเสียดสี หรือสลายไขมันส่วนเกินทีต้นแขน ต้นขา
  2. ไม่ควรใส่ยกทรง หรือ กางเกงในตอนนอน แต่หากจำเป็นต้องใส่ก็ให้เลือกใส่กางเกงในที่ไม่มีตะเข็ม ใส่แล้วไม่รัดติ้ว และไม่ใส่จนรัดเกินไป
  3. ควรเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และไม่ระวัง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการเสียดสีได้ง่าย หรืออุบัตเหตุได้ง่าย
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โดยวิตามินอีสามารถพบได้มากในอาหารจำพวก นม ถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ผัก ฯลฯ ส่วนวิตามินซีจะพบได้มากในผักและผลไม้ วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบได้ โดยเฉพาะวิตามินซี ทั้งแบบฉีดและรับประทานขนาดสูงๆ จะช่วยลดรอยด่างดำได้ดี
  5. ขัดผิว ให้ใช้ฟองน้ำหรือใยบวมขัดเบาๆ บริเวณรักแร้ ขาหนีบในขณะอาบน้ำ อาจขัดไปพร้อมๆ กับตอนถูสบู่เลยก็ได้ โดยให้ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็พอ รอยดำบนขาหนีบของคุณจะค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน แต่ขอย้ำนะครับว่าควรขัดถูแบบเบาๆ เพราะถ้ายิ่งลงแรงขัดมากเท่าไหร่ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงมากขึ้นเท่านั้น พอแดงมากๆ ความดำจากการเสียดสีก็จะมาเยือน และเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
  6. สครับผิวสูตรธรรมชาติ การขัดบำรุงผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว แต่ย้ำนะครับ ว่าให้เลือกที่ไม่ระคายเคืองผิวมากนัก การสครับผิวควรให้ค่อยๆ ลอกออกช้าๆ เหมือนลอกขี้ไคล  ไม่ควรจะถูแรงๆ หรือไม่ใช่ลอกจนแดง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ แล้วกลับมาดำคล้ำได้ใหม่
  7. ดูแลทำความสะอาดผิว มิให้เกิดการอับชื้นได้ง่าย อาจจะโรยแป้งป้องกันความชื้น หรือเมื่อเล่นกีฬาเสร็จก็ควรรีบอาบน้ำทันที ไม่ปล่อยหมักหมม
  8. ทาไวเทนนิ่งครีม เลือกชนิดที่มีสรรพคุณลดการจำนวนเม็ดสีเมลานิน เช่น วิตามินซีเข้มข้น Kojic acid,Albutin ฯลฯ ไม่ควรเลือกชนิดที่มีสรรพคุณลอกผิว เช่น AHA หรือกรดเข้มข้น เพราะอาจจะยิ่งช่วยเพิ่มการอักเสบให้มากขึ้น
  9. ส่วนการรักษาที่ได้ผลดี เร็ว ไม่มีผลข้างเคียงและไม่กลับมาดำคล้ำใหม่ แนะนำ เลเซอร์เม็ดสี : ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม Q-Swithced Nd:YAG laser เช่น Revlite laser , จัดเป็นการรักษาที่ได้ผลตามมาตรฐานสากลทางการแพทย์  เพราะจะแก้ไขปัญหารอยดำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะที่ไหน รอยดำตื้น หรือลึก โดยจำนวนครั้งในการรักษาอาจจะแตกต่างกันแล้วแต่สีผิว ความลึกตื่นของรอยดำ ปกติมักจะทำ 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง ประมาณ 5-10 ครั้งโดยเฉลี่ย โดยควรเลือกช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณช่วยลดเลือนจำนวนเม็ดสี แม้จะต้องทำหลายครั้ง แต่ก็ดีกว่าการเลือกเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณลอกผิว ซึ่งก็เหตุผลเดียวกันคือการลอกผิวบริเวณนี้ไม่ควรทำ เนื่องจากผิวมักจะบอบบางและอักเสบได้ง่ายอยู่แล้ว  เพราะถ้าเกิดการอักเสบขึ้นมา ก็จะทำให้รอยดำกลับมาใหม่ได้อีก และอาจจะมากกว่าเดิมเพราะผลของความร้อนจากเลเซอร์

Posted on

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) โรคเดิมที่เรื้อรัง หายยาก อยากหายไว ไม่อยากกินยา ฉีดโบช่วยได้ เห็นผลทันใจ อยู่ได้หลายเดือน

โรคออฟฟิศซินโดรม คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรม คือ กลุ่มอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ที่เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1.กระดูกและข้อ 2.เส้นประสาท และ 3. กล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่ เป็นอาการของโรคที่พบบ่อยในคนที่ทำงานในออฟฟิศ คนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ และกลุ่มคนไอทีทั้งหลาย ที่ต้องทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวัน  คนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตตลอดเวลา ซึ่งการทำงานติดต่อกันนานๆ แทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไปไหนมาไหน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียด หดเกร็ง เมื่อนาน ๆ เข้าจะก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ บ่า แขน ข้อมือ บางรายปวดเกร็งอย่างรุนแรงจนหันคอ หรือก้มเงยไม่ได้เลย
อาการออฟฟิศซินโดรมที่พบได้บ่อยๆ มีดัง
1. อาการปวดตึงที่คอ บ่า และไหล่ :
หนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ มักมีอาการปวด ตึง บริเวณคอ บ่า และไหล่ บางรายอาจมีอาการปวดเกร็งจนอาจหันคอ ก้ม หรือเงยไม่ได้เลย
2. อาการยกแขนไม่ขึ้น : อาการนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่คอ บ่า จนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง และบางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้วมือด้วย
3. อาการปวดหลัง :เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยสุด  เกิดจากการที่เรานั่งทำงานติดต่อกันนานๆ หรืองานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงตลอดทั้งวันด้วยแล้ว ยิ่งเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย การยกของหนักเป็นประจำหรือการออกกำลังกายหักโหมเกินไปก็เป็นสาเหตุให้ปวด หลังได้เช่นกัน โดยอาจเกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก หรือปวด ตึง กล้ามเนื้อบริเวณหลัง จนบางรายอาจไม่สามารถเอี้ยวหรือบิดตัวได้
4. อาการปวดและตึงที่ขา: เกิดจากการนั่ง เดิน หรือยืนนานๆ จนทำให้ปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งขา บางรายปวดร้าวไปที่เข่าและข้อเท้าก็มี ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการใช้งานขาหนักทุกวันจนเกิดอาการล้าสะสม
5. อาการปวดศีรษะ: ในแต่ละวันคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ อาจจะปวดข้างเดียวแบบไมเกรน หรือปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ท้ายทอย จนทำงานไม่ได้ก็มี

ทำกายภาพบำบัด ฝังเข็ม
ฉีด-Botulinum toxin ลดอาการปวดเกร็ง

ฉีดโบ ช่วยให้หายไว ไม่ต้องทานยา

การรักษาโรค office syndrome มีดังนี้

1. รักษาด้วยวิธีทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และการทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง
2. การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม และ การนวดแผนไทย
3. การรักษาด้วยยารับประทาน :การรักษาด้วยยา แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
3.1 ยารับประทาน :โดยทั่วไปจะใช้เพื่อบรรเทาอาการ เช่น เมื่อมีอาการปวด หรืออักเสบมาก หรือในกรณีที่อาการที่เกิดขึ้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิต ผู้มีอาการควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยา เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับสาเหตุและอาการของตนเอง ยารับประทานที่ใช้บ่อย มี 4 กลุ่ม คือ ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ,ยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxants),ยาแก้ปวดที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น พาราเซตามอล,ยาคลายกังวล
3.2 ยาทาเฉพาะที่: มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล น้ำมัน ซึ่งมีส่วนผสมและการออกฤทธิ์ต่างๆกันดังนี้ ยาทาที่ลดการระคายเคือง (Counter-Irritant),ทำให้เกิดความรู้สึกร้อน หรือเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด มักมีส่วนผสมของแคปไซซิน(พริก) และ เมนทอล เป็นต้น แต่หากการปวดนั้นมีการอักเสบด้วย การใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจะช่วยบรรเทาอาการฯได้ดีกว่า;ยาทาบรรเทาอาการปวด และอักเสบที่กล้ามเนื้อ (Topical NSAIDs)
  4 การรักษาด้วยการฉีด-Botulinum toxin  : เดิมใช้การฉีดยาชา หรือยาฉีดแก้ปวดข้อไปตรงตำแหน่งที่ปวด แต่พบว่า ได้ผลแค่ชั่งคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาปวดได้อีก ปัจจุบัน หลายประเทศได้นำเอา Botulinum toxin มารักษาอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศซินโดรม กันมากขึ้น โดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Muscle spasm) โดยอาศัยฤทธิ์ของBotulinum toxin ที่มีผลต่อการคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดได้ดีและไวกว่าวิธีอื่นๆ ข้างบน เห็นผลทันทีหลังฉีด  และอยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายหรือหายขาดได้นานๆ และผลข้างเคียงจากการฉีดโบทอกซ์ในตำแหน่งกล้ามเนื้อเหล่านี้ก็น้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาวิธีอื่นๆ
แต่ควรจะเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาโรคนี้นะครับ เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าฉีดผิดตำแหน่งแม้เพียงนิดเดียว อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มาก เช่น ขยับคอไม่ได้ หรือคอเอียงไม่เท่ากัน

ป้องกันมิให้การเกิด office syndrome ทำอย่างไร

การรักษาที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ  ถ้าจะป้องกันและรักษาในระยะยาว ต้องแก้ไขที่สาเหตุ ซึ่งสาเหตุของ Office Syndrome นั้นเกิดขึ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ มีการจัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้นั่งอย่างไม่เหมาะสม การอยู่ในท่าเดียวนานๆ เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเดียวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดตัว ขมวดกัน เมื่อไม่ได้พักหรือออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อยืดตัว และยังใช้งานต่อในท่าเดิมๆ กล้ามเนื้อยิ่งหดเข้าไปจนเกิดเป็นก้อนแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นการบาดเจ็บ และอักเสบของกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ไม่ควรละเลย ดังนั้นเมื่ออาการดีขึ้นจากการรักษาข้างต้นแล้ว ควรจะป้องกันการเกิดซ้ำอีกของโรคนี้ ดังนี้

หลักป้องกันการเกิด office syndrome ง่ายๆด้วยตัวเอง

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ในที่ทำงาน ที่ไม่เหมาะสม  มีความสำคัญมากในการป้องกันและบรรเทาอาการ office syndrome ที่แก้ไขได้ตรงสาเหตุ
  • ทุก 1-2 ช.ม. ควรพักจากการทำงาน 2-3 นาที อาจจะเดินไปดื่มน้ำ หรือออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ง่ายๆ ซัก 10-15 นาทีทำงานผสมหรือสลับ เช่น งานหน้าจอ งานจัดเอกสาร หรือ อื่นๆร่วมกัน
  • เหยียดกล้ามเนื้อในระหว่างวัน เช่น ก่อนเลิกงาน วิธีง่ายๆ ก็ คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
  • ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มเก้าอี้ ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม อย่า กำ เกร็ง อุปกรณ์ต่างๆ
  • ฝึกการใช้งาน การพิมพ์ให้คล่อง ฝึกการใช้แป้นลัดในการเข้าถึงคำสั่ง
  • นอกจากนี้การจัดที่นั่งที่ดีจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆได้มาก โดยจุดหลักของการจัดท่านั่งในการทำงานที่เหมาะสมคือ ต้องปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้ขอบตามองแล้วได้ระดับเดียวกับขอบบนของจอ คอมพิวเตอร์ รวมถึงต้องมีที่รองรับแขนซึ่งจะเป็นการช่วยไปถึงไหล่ และต้องมีที่รองรับเท้าด้วย
Posted on

ซีลีเนียม(Selenium) แร่ธาตุที่น้อยคนจะรู้จักว่าดี มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

  • ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่เราอาจจะไม่ค่อยจะคุ้นหูกันมากนัก และน้อยคนที่พอจะรู้ถึงประโยชน์และความสำคัญของซีลีเนียมต่อร่างกาย
  • ซีลีเนียม มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการที่สำคัญต่างๆ ของร่างกาย เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอนไซม์ของระบบ glutathione perioxidase ซึ่งกระตุ้นการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และออแกนิคเปอร์ออกไซด์ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกรดไขมันต่างๆ ระบบ glutathione perioxidase นี้เป็นระบบต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุดภายในเซลล์
  • ซีลีเนียม มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินอี โดยวิตามินอีทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสารเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ซีลีเนียม ทำหน้าที่กำจัดสารเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นให้หมดไป และซีลีเนียมจะทำงานเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอีในการรักษาเนื้อ เยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติ ป้องกันการแก่ก่อนวัย

ประโยชน์ของซีลีเนียม ที่มีต่อร่างกาย

  • ช่วย ต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แก่และเซลล์เสื่อมสภาพ ปกป้อง DNA เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ มิให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระ(free radicles) จึงชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติ ป้องกันการแก่ก่อนวัย และช่วยชะลอวัย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยบรรเทาโรคแห่งความเสื่อมเรื้อรังหลายชนิด โรคเฉพาะอย่างยิ่งโรคต้อกระจก และโรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์
  • มีบทบาท เกี่ยวกับการหายใจของเนื้อเยื่อโดยทำหน้าที่ช่วยส่งอีเล็คตรอน ช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังของเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ และสามารถทำงานร่วมกับ Q10 ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และโรคลมปัจจุบัน โดยเฉพาะในรายที่มีการขาดสารอาหารชนิดนี้
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ และควบคุมสุขภาพของสายตา ผิวหนัง และเส้นผม
  • ส่งเสริมให้ประจำเดือนของเพศหญิงเป็นไปโดยสม่ำเสมอ และช่วยให้ไข่สุก และจะพบเกลือแร่ชนิดนี้สูงในน้ำเชื้อของผู้ชาย
  • ซีลีเนียม เป็นเกลือแร่ต้านพิษ หรือละลายพิษต่างๆ ในร่างกาย
  • รักษาความยืดหยุ่นของเนื้อหนัง
  • เพิ่มความต้านทานของร่างกาย หรือช่วยเพิ่มศักยภาพของระบบภูมิคุ้มกันหลายประเภท
  • ซีลีเนียม สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อเอชไอวี (HIV) และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน(CD4) ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี จึงช่วยยืดอายุผู้ป่วยในกลุ่มนี้ได้
  • ป้องกันความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ หัวใจล้มเหลว เจ็บหน้าอก และไต ถูกทำลาย
  • ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับ
  • ซีลีเนียม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งลำไส้, มะเร็งปอด, มะเร็งหลอดอาหาร
  • ซีลีเนียมมีความสำคัญต่อการทำงานของไทรอยด์ ภาวะซีลีเนียมต่ำมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง

การขาด ซีลีเนียม จะส่งผลต่อร่างกายในด้านต่างๆ

  • Keshan’s disease เป็นโรคหัวใจที่พบในประเทศจีน บริเวณพื้นที่ที่มี ซีลีเนียม ในดินต่ำ เชื่อกันว่าเกิดจากไวรัส แต่การขาด ซีลีเนียม ทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำ (Total parenteral nutrition) ก็มีสิทธิ์ขาด ซีลีเนียม ได้ คนไข้พวกนี้มักจะมี Erythocyte glutathione peroxidase activity ต่ำ และ ซีลีเนียม ในพลาสมาและเม็ดเลือดแดงต่ำด้วย
  • การขาด ซีลีเนียม จะนำไปสู่การแก่ก่อนวัย ทั้งนี้เพราะว่า ซีลีเนียม ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
  • ใน การศึกษาเกี่ยวกับโรคฟันผุในเด็ก จะสังเกตุเห็นว่าจำนวนฟันผุที่ต้องถอน และอุดมีจำนวนมากขึ้นในเด็กที่มีการขับถ่าย ซีลีเนียม ทางปัสสาวะมาก ซึ่งยังไม่มีทฤษฎีอะไรมาอธิบายการสังเกตุนี้ได้
  • ถ้าขาดในภาวะตั้งครรภ์จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นปัญญาอ่อน
  • ถ้าขาด ซีลีเนียม ในตอนเด็ก อาจทำให้เด็กตายอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ทำให้ประสาทผิดปกติ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อไวต่อการสัมผัส หรือการถูกกด มีอาการไม่ปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ
  • ทำให้การมองเห็นไม่ชัด
  • ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะได้
  • ภาวะซีลีเนียมต่ำมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง

แหล่งที่พบซีลีเนียม ในธรรมชาติ

  • อาหาร ที่มี ซีลีเนียม มากที่สุดได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ เครื่องใน กล้ามเนื้อสัตว์ ปลา หอย ข้าวกล้อง แตงกวา อัลมานด์ ผลิตภัณฑ์จากนม กระเทียม เห็ดต่างๆ บลอคโคลี่ หัวหอม มะเขือเทศ สัตว์ปีก ไข่ และอาหารทะเลต่างๆ
  • ซีลีเนียม ถูกดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก ร่างกายจะเก็บ ซีลีเนียม ไว้ในตับและไตมาก เป็น 4-5 เท่า ของ ซีลีเนียม ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออื่น โดยปกติซีลีเนียม จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ถ้าปรากฏว่ามีซีลีเนียมถูกขับออกมาทางอุจจาระแสดงว่าเกิดการดูดซึมที่ผิด ปกติ

คำแนะนำในการรับประทานซีลีเนียม

  • ปริมาณ แนะนำต่อวัน (RDA) อยู่ที่ 70-200 ไมโครกรัม สำหรับผู้หญิงเท่ากับ 50 ไมโครกรัม สำหรับผู้ชาย 70 ไมโครกรัม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ 65 ไมโครกรัม และสำหรับหญิงผู้ให้นมบุตร 75 ไมโครกรัม และซีลีเนียนที่อยู่ในรูปสารเสริมอาหาร ควรอยู่ในรูป ของคีเลท (chelated form) หรือ L-selenomethionine form
  • ธาตุซีลีเนียมมักอยู่ในรูปแบบ ของอาหารเสริม ที่มีส่วนประกอบของ ซีลีเนียม สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินซี และวิตามินอี โดยซีลีเนียมในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีวางจำหน่ายจะมีปริมาณตั้งแต่ 25 – 200 ไมโครกรัมต่อเม็ด โดยมักจะอยู่ในรูป ซีลีโนเมไทโอนีน (Selenomehionine) ซึ่งจะรับประทานเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อม ชะลอวัย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย  และป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
  • แต่การที่จะรับประทานซีลีเนียม เป็นอาหารเสริม ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอย่างไรก็ตามการรับประทานซีลีเนียมมาก ๆ เกินกว่า 400 ไมโครกรัมต่อวัน จะทำให้เกิดพิษของ ซีลีเนียม (selenosis) ได้ โดยผู้ที่รับประทานซีลีเนียมเกินขนาดจะมีอาการหายใจเป็นกลิ่นคล้ายกระเทียม, คลื่นไส้, ผมร่วง และถ้าใช้เกินขนาดเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจมีภาวะตับวายได้ ดังนั้น ขนาดที่แนะนำในปัจจุบันจึงไม่ควรเกิน 200 ไมโครกรัมต่อวัน และอาจใช้น้อยกว่านั้นในคนที่รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ร่วมด้วย
Posted on

ไวน์แดง(Red wine): ใช่แต่จะได้อรรถรส ยังช่วยลดโรค ลดวัย ทำให้อายุยืนยาว ได้ด้วย เพราะอะไร

Shot of a joyful family drinking red wine and celebrating dinner

ไวน์แดงมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้อย่างไร
“ดื่มไวน์แดงทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย และจัดเป็นเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ประเภทที่ทำให้อายุยืนยาว ”
คำถามนี้ถูกค้นหาคำตอบโดยนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยมีการค้นพบว่าในไวน์แดงนั้นมีส่วนผสมที่ทรงคุณค่าอยู่ชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ Resveratrol คณะนักวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health – NIH) ของประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า สาร resveratrol เป็นสารเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งพบในปริมาณสูงในผิวองุ่นแดงที่นำมาทำไวน์แดง ถั่วลิสงต้ม บิลเบอรี่ บลูเบอรี่ และผลิตภัณฑ์จากพืชต่างๆ
       Resveratrol เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายประมาณปี ค.ศ. 1990 เมื่อมีการศึกษาวิจัยพบว่าสาเหตุที่ชาวฝรั่งเศสประสบปัญหาเรื่องโรคหัวใจน้อยกว่า และมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าพลเมืองของประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปกว่า 18 ประเทศที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงในปริมาณมาก เพราะชาวฝรั่งเศสนั้นบริโภคไวน์แดง ซึ่งมี Resveratrol ในปริมาณมาก นั่นเอง
กลไลการออกฤทธิ์ของ Resveratrol มีฤทธิ์กระตุ้น SIRT1(sirtuin 1)ได้เป็นอย่างดี SIRT1 เป็นเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งมีชีวิตมีอายุที่ยืนยาวขึ้น) มีผลทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญอาหาร (metabolism) มากขึ้นกว่าปกติช่วยป้องกันการสะสมของไขมัน และการเป็นโรคเบาหวานที่ ทำให้ร่างกายมีระดับของน้ำตาลและระดับคอลเลสเตอรอลในเลือดลดลง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและหัวใจหรือผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค

Resveratrol  สารสกัดจากไวน์แดง

ประโยชน์ของ Resveratrol  สารสกัดจากไวน์แดง
1. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและความชราได้อย่างยอดเยี่ยม
2. ช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและยืดอายุให้ยืนยาวได้ถึงร้อยละ 40
3. มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการก่อตัวของเชื้อมะเร็งและการเกิดโรคมะเร็งทุกประเภท หากรับประทานเป็นประจำในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น จะช่วยหยุดยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งจนเซลล์มะเร็งร้ายตายไปในที่สุด
4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
5. ช่วยควบคุมให้ระดับเมตาบอลิซึมในไขมันเป็นปกติ
6. ช่วยป้องกันและลดการเสื่อมของเส้นประสาทสมอง
7. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์คินสัน
8. ช่วยบำรุงตับอ่อนให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตับทุกประเภท
9. ช่วยลดอาการอักเสบของเนื้อเยื้อภายในร่างกาย ช่วยให้อาการอักเสบหายไวมากยิ่งขึ้น
10. ช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ปริมาณสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
ในหนึ่งวันควรรับประทานสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัม เพื่อสุขภาพที่ดี แต่หากต้องการใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคควรรับประทานวันละไม่เกิน 200 มิลลิกรัม ซึ่งหากมากกว่านี้อาจต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
อนึ่งการรับประทานสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ในปัจจุบันอาจไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรับประทานสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ที่มีอยู่ในองุ่นแดงได้ในปริมาณที่มาก หรือบางคนไม่สามารถจะดื่มไวน์แดงได้ทุกวันๆ ปัจจุบันได้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่สกัดจากไวน์แดง Resveratrol ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้การดูแลสุขภาพของเรามีความง่ายดายมากยิ่งขึ้นแทนได้ ซึ่งท่านอาจจะหามารับประทานได้ตามร้านจำหน่ายอาหารเสริมที่วางจำหน่ายทั่วไปในขณะนี้

Posted on

Dutasteride: ยาปลูกผมตัวใหม่ หยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไข ผมบาง ศีรษะล้าน

ไม่มั่นใจ หล่อแค่ไหน แต่ไร้เส้นผม ผมบาง ศีรษะล้าน

ปัญหาศรีษะล้าน  จัดเป็นปัญหาที่ผู้ชายถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆ ที่มีอุบัติการณ์เกิดได้ถึง 10 %  ในคนเอเซีย หรือ 30-40 % ในคนยุโรป อเมริกา ตามที่เราทราบกันแล้วว่า ปัญหาผมร่วง ผมบางมีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน และพอมีแนวทางแก้ไขได้ นั่นคือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT)  สูงกว่าปกติ ซึ่งพบได้ถึง 30-40 % ของสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT) มีกลไกที่เป็นสาเหตุของผมร่วงโดย จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง ผมจึงร่วงได้มากและเร็วกว่าปกติ ทำให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง และสั้นลง ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดของเส้นผมที่เล็กลง ต่อมาได้มีการวิจัยเพิ่มมากขึ้น พบว่า  ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT)  นั้นเกิดได้จากเอนไซม์ 5-Alpha reductase ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 และ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 

ผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน

ยารักษาผมร่วงที่ อ.ย.ทุกประเทศ รับรองผล

1. Finasteride (Propecia) เป็นยารับประทานรตัวแรกที่นำมารักษาผมร่วง ที่ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 1997 และผ่าน อย.เมืองไทยแล้วว่าสามารถลดปัญหาผมร่วงจาก DHT สูง และทำให้ผมขึ้นได้จริง )ซึ่่งเราได้มีการนำมาใช้แล้วมากกว่า 20 ปี แต่สามารถยับยั้งได้แค่ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 โดยไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 ทำให้ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหา ผมบาง จากสาเหตุ DHT ได้ครอบคลุมครบวงจร
2. Dutasteride (Avodart) ถือเป็นยารุ่นที่ 2 ต่อมาจากยา Finasteride ในการแก้ปัญหาผมบาง Dutasteride เป็นตัวยาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 2010 ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต และพบได้ได้ผลดีกว่า ยา Finasteride

หยุดผมร่วงได้แค่ไหน Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 จึงลดระดับ DHT ในเลือดถึง 93 % ขณะที่ ยา Finasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เฉพาะเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 2 จึง ลดระดับDHT ในเลือดได้เพียง  78 %
2.  นอกจากนี้ อัตราส่วนความแรงหรือความสามารถ ของ ยา Dutasteride :ยา Finasteride ในการยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type  2  ยังมากกว่าถึง 3:1 จึงลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้ถึง 93 % ขณะที่ยา Finasteride ลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้เพียง 34-41 %
3. ยา Dutasteride พบว่าไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เหมือนกับยา Finasteride นอกจากนี้ ยังไม่มีผลต่อไต ระดับไขมันในเลือด
4. ยา Dutasteride มีราคาแพงกว่า ยา Finasteride 1.5-2 เท่า

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง ) ในอัตรา  8-9  % ขณะที่ ยา Finasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง)  ในอัตรา 3.7    %
2. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อการลดจำนวนเชื้ออสุจิ  และปริมาณน้ำอสุจิอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเมื่อเทียบกับยาหลอก  ขณะที่ ยา Finasteride ไม่มีผลข้างเคียงต่อจำนวนอสุจิ แต่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอก
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก่อนรับประทานยา Dutasteride ควรจะตรวจระดับ  PSA level ก่อนรับประทานยา Dutasteride และหลังรับประทานยา Dutasterideและตรวจเช็คอีกประจำทุกปี  ดังนั้นถ้าเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะทำให้ตรวจพบได้ช้ากว่าคนปกติ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Dutasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Dutasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน
   ข้อห้ามใช้
    ยา Dutasteride ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้ 

    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วงแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride/Dutasteride)  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy (HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

สลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วนให้เป๊ะปัง ในเครื่องเดียว : Exilis Elite

เครื่องเดียวครบ จบเรื่องไขมัน ยกกระชับปรับสัดส่วน

ปัญหา ไขมันส่วนเกิน ผิวหน้า ผิวกาย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ จัดเป็นปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่ง ของผู้ที่ดูแลและห่วงใยในสุขภาพและภาพลักษณ์ของตนเอง เพราะการมีรูปร่างที่สมส่วน กระชับ มีสัดส่วนโค้งเว้า ของสตรีเพศ หรือกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมชายชาตรี ต่างเป็นสุดยอดปรารถนากันทีเดียว เพราะ ถ้าเรายังฟิต ยังเป๊ะ ทุกอณูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหล่ะก็ อายุเป็นเพียงตัวเลขที่เราไม่เคยหวั่นไหว
ปกติ เวลาเราต้องการจะสลายไขมันส่วนเกิน หรือจะยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน ลดการหย่อนคล้อย เราต้องใช้การรักษาแยกกัน ใช้เครื่องมือต่างกัน ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
แต่ Exilis Elite คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดยเครื่องเดียวครบ จบทุกปัญหาไขมันส่วนเกิน ไม่กระชับ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น และได้ผลรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และที่สำคัญราคาไม่แพงเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ที่เคยมีมาก่อน

Exilis Elite คืออะไร ทำงานอย่างไร

คือเครื่องมือในการสลายไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน สามารถสลายไขมัน กระชับผิว ลดการหย่อยคล้อยในเครื่องเดียว โดยไม่ผ่าตัดหรือเจาะให้เจ็บตัว ( Non- Surgical body contouring and tightening ) โดยใช้หลักการทำงานร่วมกัน ของคลื่น Monopolar RF กับ Continuous Ultrasound
ทำงานอย่างไร
–  Exilis Elite จะส่งพลังงานความร้อนของคลื่น Monopolar RF ลงลึกไปในชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวกระชับ และชั้นไขมัน ไปสลายไขมันส่วนเกิน โดยสามารถจะ ลงลึกถึงชั้นไขมันได้ถึง 2.5 ซม. โดยไม่รู้สึกร้อนมากจนทนไม่ไหว เพราะมีระบบ Cooling System ที่หัว applicator จึงรู้สึกเพียงอุ่นๆ ที่ใต้ผิวหนัง ในขณะที่ทำ และยังมีระบบ Continous Ultrasound ทำงานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเราทราบมาก่อนแล้วว่า Ultrasound ช่วยกระชับผิวหน้า ผิวกายที่หย่อนคล้อย จึงช่วยทั้งกระชับสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน ไปในคราวเดียวกัน โดยกลไกการทำงานที่ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้กระชับผิวจากคลื่นความร้อน Monopolar RF  +Ultrasound และสลายไขมันด้วยความร้อนที่พอเหมาะ ที่จะทำให้เกิดเซลล์ไขมันตาย (Fat cell apoptosis) ซึ่งคือที่ อุณหภูมิ 41-43 องศาเซลเซียส โดยมีหัววัดอุณหภูมิให้ Monitor ในระหว่างทีทำ ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกข้อที่ เครื่อง Monopolar RF  รุ่นก่อนๆ ไม่มี

Exilis VS Thermage

1. Exilis และ Thermage การทำงานไม่แตกต่างกัน ต่างใช้คลื่นความร้อน Monopolar RF เหมือนกัน
2. Thermage แนวพลังงานลงลึกกว่าและแคบตามแนวดิ่ง ไม่มี Ultrasound ส่วน Exilis เนื่องจากมี Ultrasound ร่วมด้วย คล้ายเครื่องนวดหน้าหรือตีไขมัน จะลงกว้างกว่าในแนวขวาง
3. Exilis มีจอมอนิเตอร์ บ่งบอกพลังงานในหน้าจอว่าเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคนมั้ย หรือพลังงานพอหรือไม่ในการสลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน
4. Exilis จะปลดปล่อยพลังงานที่คงที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนได้ทั่วถึง ป้องกันการสะสมความร้อนเฉพาะจุด จึงไม่เกิดการไหม้ (burn) ผิวหนัง
5. หัวทำหน้าของ Exilisสามารถกำจัดริ้วรอยย่นใต้ตา ได้ผลดีกว่าเครื่องใดๆ เพราะสามารถบังคับให้ชิดดวงตาได้เท่าที่ต้องการ

มีขั้นตอนการทำอย่างไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่
-แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แต่ถ้าสามารถดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนจะมาทำจะยิ่งดี เพื่อให้ผิวหนังชุ่มน้ำ เพื่อจะได้ทนกับความร้อนได้ดีขึ้น และลดการสูญเสียน้ำจากความร้อนที่ผิว
– ไม่ต้องแปะยาชาให้เสียเวลา ก่อนทำพนักงานจะทำการติด PAD ที่ด้านหลังหรือสะโพก ใกล้บริเวณที่จะทำทรีทเม้นต์ ทาเจลหล่อลื่น(ที่สำหรับทำ IPL ) ทาก่อนแล้วก็เริ่มทำได้ โดยอุณหภูมิจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เมื่อได้ที่แล้ว อุณหภูมิจะหยุดแค่นั้น การปลดปล่อยพลังงาน RF ก็จะสม่ำเสมอเป็นแนวระนาบ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับ เครื่องยี่ห้ออื่น
– เมื่อรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เจ้าหน้าที่ก็จะยกหัวขึ้นพักชั่วคราวโดยไม่รู้สึกว่ามี  Spark ให้สะดุ้งหรือเจ็บ เมื่อค่อยยังชั่วก็ค่อยเริ่มทำการรักษาต่อ โดยเวลาที่ทำก็แล้วแต่พื้นที่ อาจจะ 15-20 นาที โดยเครื่องจะคำนวณจากคอมพิวเตอร์
ผลข้างเคียงว่าจะมีอาการ Burn หลังทำหรือไม่
ไม่ต้องกังวล  เพราะ มีระบบตรวจวัดค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทาน ด้วยระบบ Intelligence Impedance ที่เหมาะสม หลังทำอาจจะมีอาการแดงที่บริเวณที่ทำ ประมาณ  30-60 นาทีก็หายเป็นปกติ ส่วนความร้อนที่สะสมในชั้นไขมัน จะยังรู้สึกได้นานถึง 24-36 ชั่วโมงหลังทำ

Ekilis Elite สามารถทำได้ในบริเวณใดบ้าง และมีข้อห้ามในการทำหรือไม่
– สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัยที่เริ่มมีปัญหาหน้ากลม ไขมันส่วนเกิน และหย่อยคล้อยไม่กระชับ และ สามารถจะทำได้ทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ไขมันใต้คาง (เหนียง) คอ หน้าอก หย่อนคล้อยในผู้หญิง หรือนมโตในผู้ชายที่เรียกว่า Gynecomastia หน้าท้อง บั้นเอว สะโพก ต้นขา หรือน่องที่มีไขมันมาก
ข้อห้าม ก็เฉพาะในบริเวณที่มีบาดแผล และในสตรีมีครรภ์เท่านั้น และในคนที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง หรืออื่นๆ ก็สามารถทำได้

Posted on

Ulthera ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ครั้งเดียวจบ ครบทุกปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

Ulthera คืออะไร

Ulthera คือ เครื่องยกกระชับ ปรับรูปหน้า แบรนด์อเมริกา ทำงานโดยการปล่อย คลื่นเสียง Focus Ultrasound คลื่นจะเปลี่ยนเป็นความร้อน 63 องศา ถึงชั้น SMAS ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม
SMAS สำคัญอย่างไร
– มีความสำคัญในการยึดผิวหนังเข้าไว้กับกระดูกเป็นเหมือนชั้นกาวสองหน้าที่คอย เชื่อมผิวกับโครงร่างใบหน้าเข้าไว้ด้วยกัน เพราะปัญหาหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากความเสื่อมหรือความอ่อนแอของชั้น SMAS
Ulthera ทำงานอย่างไรตรงชั้น SMAS
-พลังงานความร้อนจุดเล็กๆ จำนวนมากของ Ulthera จะ มุ่งเป้าหมายตรงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) แล้วทำการซ่อมแซม ส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ คล้ายกับการยิงแมกซ์เย็บกระดาษให้ยึดติดกัน
– โดยในขณะที่ทำ แพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ( SEE and TREAT ) ในขณะที่เครื่องอื่น ไม่มี ทำให้เห็นจุดบกพร่องของผิว และทำการรักษาได้แม่นยำ และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆ กระชับขึ้น รูปหน้าเล้กลง และดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้ผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เปรียบเทียบ Ulthera กับการยกกระชับด้วยวิธีอื่นๆ

1. Ulthera พลังงานจะลงลึกสุดถึงชั้น SMAS ขณะที่ Thermage or Exilis ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุ จะลงถึงเพียงชั้นไขมันหรือคอลลาเจน
2. พลังงานของ Ulthera เป็น Focuse Ultrasound Original จึงโฟกัส ตรง SMAS ได้แม่นยำทุกจุด และตรวจเช็คได้จากจอมอนิเตอร์ ส่วน HIFU ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า แต่ละยี่ห้อลงลึกได้ทุกครั้งที่ยิงมั้ย เพราะไม่มีจอมอนิเตอร์ให้สังเกตได้
3. การร้อยไหมยกกระชับผิว ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นไขมันหรือคอลลาเจน ส่วนชนิดของไหม ไม่ว่าไหมก้างปลา หรือแบบไหนก็ไม่สามารถลงลึกได้มาก ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ชนิดของไหม ปกติจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. การทำเลเซอร์ยกกระชับผิว เฃ่น Gentle YaG or V-beam เพื่อจะทำ Rejuvenation พลังงานจะ ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือกระชับผิวส่วน ปกติจะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
5. ฉีดโบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้า จะช่วยกรณีที่อายุยังไม่มาก และกรอบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย จะฉีดชั้นเดียวกับที่ทำเลเซอร์ กระชับหน้า โดยจะออกฤทธิ์ที่ชั้นกล้ามเนื้อด้านบน ส่วนการฉีดกล้ามเนื้อชั้นลึก ด้วยโบทอกซ์ มักจะใช้ในการปรับรูปหน้า ซึ่ง Ulthera ก็ช่วยได้ระดับนึง เมื่อผิวหนังกระชับขึ้น หน้าก็จะดูเล็กลงได้ เช่นกัน โบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้าจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
6. การนวดหน้า ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และตื้นกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือเลเซอร์กระชับผิว พวกนี้อยู่ได้ 1-2 อาทิตย์
ดังนั้นถ้าหวังผลยกกระชับในส่วนลึก ให้ได้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้าที่ทำที่ชั้น SMAS เหมือนกัน ก็คงมีแต่เครื่อง Ulthera เท่านั้นที่สามารถนำมาทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือทำให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้า ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำไปทำงานได้ตามปกติ

Ulthera เหมาะกับใคร
        ผู้ที่มีเริ่มมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ได้แก่ การลดลงของคอลลาเจนตามอายุ การสูญเสียไขมันที่ใบหน้า มีไขมันสะสมบริเวณข้างแก้มและเกิดเหนียง ได้แก่ 

  1. ผู้ที่มีหน้าใบหน้าคล้อย ไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีคิ้วตก หรือ หนังตาตก
  3. ผู้ที่มีกรอบรูปหน้าไม่ชัดเจน 
  4. ผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยใต้คาง
  5. ผู้ที่มีผิวหนังคอและเนินอกไม่กระชับ 
  6. ผู้ที่มีปัญหาคล้อยที่แขน
  7. ผู้ที่มีหน้าท้องไม่กระชับ 
  8. ลดภาวะเหงื่อออกมากที่รักแร้

ผู้ใดที่ไม่ควรทำ Ulthera

  1. ผู้ที่ได้รับการฝังแผ่นโลหะหรือฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์บริเวณผิวหน้าและลำคอ
  2. สตรีตั้งครรภ์
  3. ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลมชัก หรือเป็นเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำ

ผลการรักษาและข้อควรระวัง

  1. ให้ผลการรักษาเทียบเคียงกับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงใบหน้า ส่วนได้ผลมากน้อยแค่ไหน ีขึ้นอยู่กับจำนวนLines ที่ยิง ความแรง และประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ
  2. หลังทำ ไม่มีรอยแผลเป็น ใช้ระยะเวลาสั้นในการดูแลรักษาผิวหน้า อาจพบอาการบวมแดงเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษาและหายเป็นปกติภายใน 1-2 อาทิตย์
  3. อาจเกิดความปวดขณะทำ ลดความปวดได้ด้วยการทายาชา ก่อนการทำ 45-60 นาที.
  4. อาจพบห้อเลือด เกิดขึ้นได้หากพลังงานโดนเส้นเลือด อาการจะดีขึ้น 3-7 วันหลังการรักษา
  5. หากพลังงานโดนเส้นประสาท อาจทำให้เกิดการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ชาชั่วคราวได้ จะหายได้เองใน 1-2 เดือน
  6. อาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้ หากยิงด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
  7. ผลการรักษาจะเห็นชัดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน การรักษาต่อครั้งจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  8. ผู้ป่วยควรจะกลับมาหลังจากทำการรักษา 3 เดือน สำหรับการประเมินซ้ำ

Posted on 2 Comments

จิ้ม 8 จุด หยุดยั้งการร่วงโรยตามวัย แก้ไขปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปรับรูปหน้า (8 Points Face Lift with Fillers )

8 จุดบนหน้า สัญญาณบอกความชรา พาให้เราดูร่วงโรย

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนอกจากริ้วรอยเหี่ยวย่นแล้ว การสูญเสียหรือลดลงชั้นคอลลาเจน ชั้นไขมัน มวลกระดูก (Volume loss) ก็ทำให้เราดูแก่กว่าวัยได้ ซึ่งจะสังเกตได้ชัดเจน 8 จุด ได้แก่บริเวณเหล่านี้

1.ร่องน้ำตา หรือเบ้าตาลึกขึ้น จนบางครั้งเหมือนคนอดนอน
2.โหนกแก้มเริ่มแบนมากขึ้น จนบางครั้งเห็นเป็นธารน้ำตา (Indian line)
3.แก้มที่เคยเป็นอวบอิ่มเป็นลูกส้มหายไป
4.ร่องแก้มเริ่มลึกขึ้น
5.เวลายิ้ม มุมปากตก มีร่องน้ำหมาก
6.คางเริ่มห้อย เริ่มมีเหนียง
7.ขอบคางเริ่มไม่คมชัด
8.แก้มตอบ มีรอยย่นเป็นริ้วๆ

การสูญเสียมวลไขมัน คอลลาเจน สาเหตุของความหย่อนคล้อย

ฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ (Filler Lifting )กลับมาอ่อนวัยได้

เราทราบว่าสาเหตุที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เกิดจากการที่คอลลาเจนที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (Volume loss) นั่นเอง   ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสารเติมเต็มเข้าไปทดแทนคอลลาเจนที่หายไปตรง 8 จุดที่มีปัญหาดังกล่าว โดยเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มี % HA สูง และมีความหนืดมาก จะมีคุณสมบัติยกกระชับได้ด้วย นอกจากการเติมเต็ม เช่น Perlane ,Juvederm Voluma,Perfectha Subcu. โดยใช้เข็มทู่ (Canula ) วางลึกบนกระดูก ทั้งประเภทของฟิลเลอร์และเทคนิค ตำแหน่งการวางที่ถูกต้อง จะยกกระชับปรับรูปหน้า เติมเต็มหน้าให้กลับมาอ่อนวัยได้
ข้อดีการยกกระชับด้วยฟิลเลอร์ ท่านจะยังสามารถขยับกล้ามเนื้อ หรือแสดงสีหน้าได้ปกติ เป็นธรรมชาติ และก็ถือว่า เทคนิคนี้อยู่ได้ 10-18 เดือน และในระหว่างนี้อาจจะต้องมีการฉีดเพิ่มเติม เพื่อ Touch Up บ้าง

อนึ่งแต่ใช่ว่าแพทย์ทุกคน จะฉีด 8 Points Face Lift ได้สวยงามเป็นธรรมชาติ เพราะต้องมีการเรียนรู้ และฝึกฝน ต้องมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มาก่อนหลายปี และต้องมีความรู้รายละเอียดของฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อเป็นอย่างดี เพราะฟิลเลอร์ ที่แม้จะเลือกที่ผ่านอย .ซึ่งเป็นสาร Hyaluronic acid เหมือนกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ความหนืดก็ต่างกัน ก็ให้ผลไม่เหมือนกันได้ และตำแหน่ง 8 จุดนี้ ก็มีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน เนื้อผิวแตกต่างกัน ไม่งั้นก็อาจจะไม่ได้ผล หรือฉีดแล้วเห็นเป็นก้อนนูน ดูไม่ธรรมชาติ

เทคนิคการฉีดเองก็สำคัญ แพทย์ต้องรู้กายวิภาคของเส้นใยกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพราะการฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับจะแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์แบบสารเติมเต็ม แต่จะเป็นการฉีดเพื่อไปค้ำยันหรือต้านการหย่อนคล้อย แต่ละที่ก็ฉีดลึกตื้นไม่เหมือนกัน บางที่ก็ฉีดที่ชั้นใต้ผิวหนัง (Dermis) บางทีก็ต้องฉีดที่เหนือชั้น SMAS บางที่อาจจะต้องฉีดที่ใต้ชั้น SMAS ติดกระดูก

นอกจากนี้ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ฉีดเทคนิดแตกต่างกัน เพราะโครงหน้าของผู้ชาย กับผู้หญิงไม่เหมือนกัน มุมมองฉีดให้หล่อ กับมุมมองฉีดให้สวย ถือเป็นศิลปะเฉพาะของแต่ละเพศ ที่สำคัญต้องรู้ว่าฉีดอย่างไร ถึงจะปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

Posted on 2 Comments

Mini-Thermage (Athron C ) : ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ราคาเบาๆ หย่อนแค่ไหน ก็เอาอยู่

Mini-Thermage (Athron C ) คืออะไร? 

คือ เครื่องมือในการช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยโดย โดยใช้เทคนิคการรักษาด้วย คลื่นความร้อนสูง โดยมี ช่วงความถี่วิทยุแบบ monopolar RF ที่ลงได้ลึกถึงชั้นไขมัน และลึกกว่า เครื่อง RF ทั่วๆ ไป  ไม่เจ็บ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้นโดย ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิว จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่คลายตัวและยืดออกไปตามอายุนั้นกระชับตัวขึ้น ความร้อนยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผิวของคุณหนาขึ้นและเรียบเนียนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
Thermage-Mini (Athron C )  ทำงานอย่างไร ? 
Thermage-Mini (Athron C ) มีหลักการทำงานเหมือนกับ เครื่องThermage เดิม( ที่มีราคาแพงหลายหมื่น ถึงแสนบาทต่อครั้งที่ทำ ) โดยจะทำงานโดยการส่งผ่านความร้อนลงไป ที่ผิวหนังชั้นลึก (Dermis) ทำให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง 2 มิติ คือการหดตัว จากทางด้านข้างเข้าหากันและการหดตัวจากด้านบนกับด้านล่างเข้าหากัน ทำให้ผิวกระชับตึง ใบหน้าเล็กลง ลดการหย่อนคล้อย และลดเลือนริ้วร้อย และที่สำคัญราคาถูกกว่ามาก เพียง 5,000 บาทต่อครั้ง  ขั้นตอนก็สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ ซึ่งต่างจากเลเซอร์อื่นๆ วิธีการนี้สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว  FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ฯ และประเทศไทย ได้รับรองผลว่าได้ผลในการยกกระชับจริง และอนุมัติให้ใช้ได้มาแต่ปลายปี 2003 ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่


ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
– Mini -Thermage (Athron C ) ได้พัฒนาคุณภาพได้ใกล้เคียงกับThermage มากที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมือยกกระชับยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด และได้พัฒนามาเป็นรุ่นล่าสุดนี้ จนสามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจน หลังทำเสร็จ และจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนและดีขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นผลสูงสุดในเดือนที่ 6  การทำการรักษาด้วย Mini -Thermage (Athron C ) เพียงครั้งเดียว ก็จะเห็นความแตกต่างว่าผิวหน้าดีขึ้นในทันทีหลังการทำ ผิวของคุณจะตึงขึ้น เรียบขึ้น ประมาณ 30% และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสังเกตเห็นว่า ผิวจะเรียบตึงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำต่อเนื่องประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 1-2 อาทิตย์ จะพบว่าผลการรักษาจะอยู่ได้นานมากกว่า 3-6 เดือน และอาจทำซ้ำได้เป็นระยะๆ การทำแต่ละครั้งใช้เวลา 20- 30 นาที
Mini-Thermage (Athron C )  แตกต่างจาก Thermage อย่างไร ?
– MinI-Thermage-Mini (Athron C ) หลักการทำงาน ใช้พลังงานความร้อน แบบเดียวกับ Thermage คือ ใช้ Monopolar RF เหมือนกัน แต่จะทำงานในชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันเช่นกัน แต่ตื้นกว่า Thermage และเจ็บน้อยกว่า ราคาถูกกว่ามาก เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และเพิ่งจะเริ่มมีปัญหาการหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีปัญหาการหย่อนคล้อยเฉพาะในชั้นหนังแท้ (Dermis) อาจจะใช้ทำการรักษาเสริมการร้อยไหมยกกระชับผิวหน้า การทำฟิลเลอร์ การทำเลเซอร์ยกกระชับ โบทอกซ์ลิฟท์หน้า หรือหลังทำเมโสแฟตลดแก้ม แล้วหลังทำ แก้มไม่กระชับ

Posted on

วิตามินซี ช่วยลดระดับยูริคในเลือด ทำให้เกิดโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้

วิตามินซี จัดเป็นวิตามินตัวหนึ่งที่มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ สรรพคุณ กันอย่างมากและต่อเนื่อง
จัดเป็นวิตามินที่หาง่าย ราคาถูก และสามารถหารับประทานจากผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และมีคุณประโยชน์หลายด้าน …

จากเดิมได้มีรายงานยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า วิตามินซี จะมีบทบาทในเรื่องของผิวพรรณ (เช่น การป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV,ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนาของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis),กำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง,สารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ),ช่วยในการสมานแผล ,ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง) ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัด และทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรงแล้ว

มีรายงานอีกหลายรายงานพบว่า วิตามินในขนาดสูงๆ ( ประมาณ 500 มก.) สามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้ด้วย ซึ่งได้มีคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ ได้ทำการทดลองดังนี้

ได้มีอาสาสมัครผู้ใหญ่ จำนวน 184 คน ที่ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้ โดยได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยมีปัจจัยด้านอายุ เพศ ในเกณฑ์เฉลี่ยเท่าๆ กัน โดยให้กลุ่มหนึ่ง รับประทานวิตามินซี (Ascorbate) วันละ 500 มก. และอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอก โดยใช้เวลาในการทดลองมีกำหนด 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซี ค่าระดับยูริคในเลือดลดลง 0.5 มก.ต่อเดซิลิตร ( จากเดิมอยู่ที่ 5.1 มก./ดล.) ในขณะที่กลุ่มที่รับประทานยาหลอก ไม่พบการเปลี่ยนแปลง ( จากเดิมที่ระดับ 7.0 มก./ดล.)

จากผลงานวิจัยนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า กลไกการทำงานของวิตามินซี จะไปรบกวนกระบวนการสร้างกรดยูริคอย่างไร คงต้องหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง แต่ก็มีรายงานการวิจัยเล็กๆ อีกหลายกลุ่มที่ได้ยืนยันว่าการใช้วิตามินซีร่วมกับการรักษาโรคเกาต์ จะทำให้ผู้ป่วยลดอัตราการเกิดการอักเสบลงได้ และช่วยลดระดับกรดยูริคในปัสสาวะด้วย จึงทำให้ อัตราการเกิดนิ่วในไตลดลงได้ด้วย ดังนั้นการที่หลายท่านรับประทานวิตามินซีเป็นอาหารเสริม จึงน่าจะยินดีที่ได้รับประโยชน์อีกด้านเพิ่มขึ้น

Posted on

hair colors causes cancer? : ย้อมสีผม บ่อยๆ ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ !

ปัจจุบันการย้อมสีผม ถือเป็นแฟชั่นที่ฮิตกันอย่างแพร่หลาย ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการย้อมปิดผมขาว หรือการย้อมผมด้วยสีอื่นๆ ซึ่งในอเมริกามีการสำรวจพบว่า การย้อมสีผมพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีชาวสหรัฐฯ และมากกว่า 10 % ของบุรุษเมืองมะกัน จึงทำให้มีหลายคนกลัวว่า การย้อมสีผมบ่อยๆ จะทำให้เกิดอันตรายขนาดเป็นมะเร็งหรือไม่

ได้มีการเรียกร้องกันอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ที่มิใช่อาหารของยุโรป ให้ทำการศึกษาและวิจัยผลของสารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอย่างจริงจัง เช่น กลุ่มสาร Aromatic amine ,Arylamine ซึ่งอยู่ในยาตัวละลาย สีย้อมผม ทำให้ก่อเกิดสารก่อมะเร็งหรือไม่ เพราะมีบางงานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น

ทางองค์กรอาหารและยา(FDA) ของสหรัฐอเมริกาและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ กลับมีความเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่ายาย้อมผมทำให้เกิดมะเร็งได้จริง จึงยังไม่มีการประกาศห้ามจำหน่าย และทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 องค์กรก็กำลังเฝ้าระวังและติดตามงานวิจัยด้านนี้อย่า’ใกล้ชิดต่อไป ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะยังไม่มีการทบทวนงานวิจัยด้านนี้อย่างมีระบบและจริงจัง
Taskkouche B และคณะได้จุดประกายความคิดเพื่อขจัดความกังขาเรื่องนี้ ด้วยการทบทวนผลงานวิจัยที่ผ่านมา จำนวน 79 รายงาน แบบเป็นระบบได้ผลพบว่า การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด ( Non-Hodkin lymphoma,Hodkin Lymphoma,Muliple myeloma,Leukemia) ถึง 1.15 เท่า ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ แต่การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบกระเพาะปัสสาวะเพียง 1.01 เท่า และการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1.06 เท่า ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ

ดังนั้นการผลงานรวบรวมการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้หลายท่านเกิดความกังวลและไม่แน่ใจหรือมั่นใจว่าจะย้อมสีผมหรือไม่ ถ้าอยากปลอดภัยและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ท่านที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นอินเทรนด์ หรือไม่กลัวแก่และไม่กังวลผมหงอก ก็ควรจะงด ลด เลี่ยงการย้อมสีผมกันดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การย้อมสีผม แน่นอนสิ่งที่ตามมาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สุขภาพเส้นผมจะอ่อนแอลง อาจจะเกิดปัญหา ผมร่วง ผมบาง เส้นผมไม่มีน้ำหนัก ขาดความนุ่นนวล สละสลวย ภายหลังได้

เอกสารอ้างอิง : Takkouche B,et al.Personal use of hair dynes and risk of cancer,JAMA 2005;293:2516-25

Posted on

งานวิจัย : ขนมปังฟอกขาว VS ช็อกโกแลต อย่างไหน ทำให้เกิดได้สิวได้ง่ายกว่า

ขนมปัง VS ช็อกโกแลต กับการเกิดสิว

ได้มีรายงานวิจัย ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ในอเมริกา พบว่า ขนมปังฟอกขาว และ ซีรีล หรือเมล็ดธัญพืชอบแห้ง เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้มากกว่า ช็อกโกแลตหรืออาหารมันจัดอีก
เหตุผล เพราะอาหารประเภทแป้งที่ได้ผ่านกระบวนการฟอกสี หรือขัดสีธรรมชาติให้กลายเป็นสีขาวนั้น จะทำให้กระเพาะอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะถูกดูดซึมได้ง่าย จึงกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ออกมาย่อยเพื่อเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาลและพลังงานต่อไป แต่ก็ทำให้มีปริมาณ IFG-1 (Insulin-like-growth-factor) สูงขึ้นได้ด้วย

อินซูลิน และ IFG-1 จะมีผลต่อการผลิตฮอรโมนเพศชาย Testosterone มากขึ้นด้วย จึงทำให้มีการผลิตไขมัน ที่ต่อมไขมัน Sebaceous glands มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น และ Sebum นี้เองเป็นที่โปรดปราน ของเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีโอกาสเกิดสิวอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า IFG-1 ยังทำให้เซลล์ผิวหนังที่เรียกว่า Keratinocytes แพร่กระจาย และทำให้สิวลุกลามไปหลายๆ แห่งด้วย

ดังนั้นท่านที่ชื่นชอบอาหารแป้ง ขนมปัง อาหารที่ย่อยง่าย ทั้งหลาย คงต้องพึงระวังภาวะสิวลุกลามไว้บ้างนะครับ

Posted on

น้ำยาบ้วนปาก (Mouth wash) : เลือกอย่างไร จึงจะได้ผล ปลอดภัย ลดโรคในช่องปาก

ปัจจุบันจะพบว่า มีน้ำยาบ้วนปาก ออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมายหลากหลายยี่ห้อ พร้อมกับการโฆษณาตามสื่อต่างๆ โดยการอ้างสรรพคุณ ต่างๆ โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อโรคในช่องปากและลำคอ ขจัดกลิ่นปาก ลดการอักเสบของเหงือก ทำให้ปากหอมสดชื่น และลดฟันผุได้ด้วย เรามาเรียนรู้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจริงเท็จเพียงใดนะครับ

ส่วนประกอบของน้ำยาบ้วนปาก 
1. ส่วนประกอบพื้นฐาน (Basic ingredient)
1.1 อัลกอฮอล์: ทำให้รุ้สึกสดชื่น ใช้เป็นตัวทำละลายสารแต่งกลิ่นรส และยังช่วยทำความสะอาดช่องปากและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ
1.2 สารแต่งกลิ่น: เป็นตัวทำให้น้ำยาบ้วนปากน่าใช้ เพิ่มความรู้สึกสดชื่น ทำให้ลมหายใจสะอาดชั่วคราว สารแต่งกลิ่นบางตัว สามารถมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้
1.3 Hemectant: จะช่วยรักษาความชื้น ป้องกันการตกผลึก
1.4 Surfactant: ใช้ในการทำละลายสารแต่งกลิ่นรส ทำให้เกิดฟอง
1.5 น้ำ: เป็นตัวช่วยหลักในการรวมของส่วนผสมหลายๆ อย่าง
2. สารที่ออกฤทธิ์จำเพาะ (Agents for specified effect)
2.1 Astingents salts: ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ Zinc chloride โดยสารเคมีนี้จะทำให้บรรเทาอาการเจ็บคอ และลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ลดการเกิดกลิ่นปากลงได้
2.2 Antimicrobial agents: สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้กัน โดยมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นปาก ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลาย ได้ดีเรียงจากมากไปน้อย ก็คือ Chorhexidine, ,Phenolic compound Listerine,Alkaloid sanguinarine
แต่พบว่า Chorhexidine จะมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดคราบน้ำตาลบนเคลือบฟันได้ และอาจจะทำให้ ต่อมรับรสของลิ้นเสียไป มีการหลุดลอกของช่องปากได้ ดังนั้นในเมืองไทย จึงนิยมใช้ Listerine มากกว่า ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของ FDA,ADA มากว่า 100 ปีแล้ว
2.3 Fluoride: ที่นิยมมักจะอยู่ในรูปของ Sodium fluoride เพราะเตรียมในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากได้ง่าย และมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันฟันผุได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ป้องกันต้านฟันผุได้ดี และลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวเคลือบฟัน มักจะผสมในรูป Standnus fluoride มากกว่า

ความปลอดภัยในการใช้น้ำยาบ้วนปาก 

– น้ำยาบ้วนปากที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ไม่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ทำให้เกิดการลอกของเยื่อบุช่องปาก แต่พบว่าผู้ใช้น้ำยาบ้วนปาก จะเกิดการอักเสบรอยแผลเฉียบพลันได้ประมาณร้อยละ 30 ตามส่วนประกอบข้างบน
ควรใช้น้ำยาบ้วนปากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีปัญหาในช่องปาก แต่ไม่ควรเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพราะเมื่อได้รับการรักษาและแก้ไขแล้ว ควรหยุดใช้ทันที เพราะหาก ใช้ติดต่อกันในระยะเวลานาน จะทำให้แบคทีเรีย เกิดการดื้อยาได้ นอกจากนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้ที่สูบบุหรี่ร่วมด้วย
– ไม่แนะนำให้ให้ใช้ในเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี เพราะอัลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปาก ทำให้เป็นอันตรายต่อเด็กได้
นอกจากนี้ การทำความสะอาดช่องปาก โดยการแปรงฟัน ใช้ใหมขัดฟัน ไม้จิ้มฟัน หรืออุปกรณ์ฉีดน้ำ ทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพื่อ ขจัดเศษอาหารทิ้งทันที จะช่วยลดกลิ่นปากและลมหายใจเหม็นได้ และในความเห็นส่วนตัว พบว่าน้ำผสมเกลือ ก็เป็นยาอมบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพดีและหาง่าย ราคาถูก เช่นกัน อาจจะไม่มีผลข้างเคียงเหมือนน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายก็ได้

เอกสารอ้างอิง : บทความเรื่อง ‘ น้ำยาบ้วนปาก’ โดย ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพจาก http://www.dailymail.co.uk/health/article-1113422/Mouthwash-causes-oral-cancer-pulled-supermarkets-say-experts.html

Posted on

สูบบุหรี่ นอกจากจะทำลายสุขภาพ งานวิจัยยังชี้ชัดว่าเป็นการเสพสารเสพติดชนิดหนึ่ง

การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดนิโคติน การเลิกสูบบุหรี่ในบางคน สามารถทำได้ยากแสนยาก เนื่องจากบุคคลนั้นได้เสพติดกับสารนิโคติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบุหรี่
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดชนิดหนึ่ง คล้ายกับการเสพติดเฮโรอิน โคเคนหรือยาบ้า เลยทีเดียว

หลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนว่า นิโคตินเป็นสารเสพติด มีดังต่อไปนี้

  1. การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยับยั้งได้: เพราะได้เคยมีรายงานว่า แม้คนป่วยจากพิษบุหรี่เอง ก็สามารถจะเลิกบุหรี่ได้เพียงไม่เกิน 50 %
  2. นิโคตินออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก : ทำให้ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ผ่อนคลายซึ่งเป็นปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียด มีความตื่นตัว จึงทำให้อยากสูบบุหรี่อีก โดยเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่ติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่ง และนำพาให้เกิดการผูกติด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงอยากจะสูบบุหรี่ในแต่ละวันเกิดขึ้นมากในบางอารมณ์ เช่น หลังอาหารเวลาเครียด โกรธ หรือในขณะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
  3. บุหรี่…สูบแล้วไม่เคยอิ่ม : ปกติหลังการสูบบุหรี่และสูดควันเข้าไปในปอด นิโคตินจะเข้าสู่สมอง ใช้เวลาไม่เกิน 19 วินาที และถึงจุดสุดยอดเมื่อบุหรี่หมดมวน ทำให้ทันอกทันใจแก่ผู้สูบบุหรี่ จึงแสดงพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก (ซึ่งในการเสพด้วยวิธีอื่น เช่นการเคี้ยว จะใช้เวลามากกว่ามาก )
  4. นิโคติน ทำให้เกิดการดื้อได้ : ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่อย่างติดต่อกันนานๆ มักจะมีแนวโน้มสูบบุหรี่ปริมาณมากขึ้น สังเกตได้จากผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ในตอนแรกจะมีอาการมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อสูบมวนต่อไป
  5. นิโคติน ทำให้เกิดอาการได้ ถ้าระดับนิโคตินในเลือดต่ำลง : ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ค่อนข้างชัดว่า บุหรี่เป็นสารเสพติด เช่นเดียวกับยาบ้า หรือ เฮโรอิน แต่อาจจะมีอาการน้อยกว่า ดังนี้ อาจจะหงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ อยากอาหารเพิ่ม น้ำหนักตัวเพิ่ม ความรุนแรงของอาการขาดนิโคตินมากน้อย แตกต่างกันในแต่ละคน และสัมพันธ์กับปริมาณนิโคตินที่ได้รับก่อนหน้าจะหยุดสูบบุหรี่
  6. เมื่อเลิกบุหรี่ได้แล้ว ก็ยังจะมีโอกาสกลับมาสูบได้อีก :คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเลิกบุหรี่ มักจะต้องพยายาม มากกว่า 1 ครั้ง การหวนกลับมาสูบบุหรี่อีกเป็นปรากฏการณ์เดียวกับที่พบในผู้ป่วยที่พยายามจะเลิกเสพเฮโรอิน หรือเลิกดื่มสุรา โดยพบว่าผู้ที่พยายาม จะเลิกบุหรี่ ร้อยละ 60 จะกลับมาสูบบุหรี่อีกในเวลา 3 เดือน และร้อยละ 75 ในเวลา 6 เดือน
  7. บุหรี่ ทำให้เกิดอาการอยากเสพอย่างรุนแรงได้ : พบว่าในบางคนที่หยุดสูบบุหรี่กระทันหัน จะมีอาการเสี้ยน ยาไม่แตกต่างจากสารเสพติดชนิดอื่นๆ และอาจจะมากกว่าผู้เสพติดเฮโรอิน สุรา หรือโคเคนเสียอีก

    อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิ
Posted on

ยาคุมกำเนิด รับประทานนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?

Portrait of a young woman holding birth control pills

ในปี 2539 ได้มีรายงานการรวบรวมผลการศึกษาทางระบาดวิทยา 54 รายงานทางการแพทย์ ว่าหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1.24% แต่อย่างไรก็ยังมีข้อกังขากันอยู่ ว่ารายงานดังกล่าวเชื่อถือได้แค่ไหน
Marchbanks PA และคณะในอเมริกา ได้ทำการวิจัยใหม่อีกครั้ง ในเรื่อง การรับประทานยาคุมกำเนิด ทำให้อีตราการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่ โดยได้ทำ case control ด้วยทั้งในกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อนและกลุ่มที่กำลังรับประทานยาคุมอยู่ โดยทำการศึกษาจากหญิงอายุ 35-64 ปี โดยเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 4,575 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไป จำนวน 4,682 ราย พร้อมทั้งได้มีการสอบถามประวัติ ย้อนหลังในเรื่องการรับประทานยาคุมกำเนิด
ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มคนที่ขณะนี้ยังรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ มีอัตราเสี่ยงเท่ากับ 1% ส่วนกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน มีอัตราเสี่ยง ต่อมะเร็งเต้านม เท่ากับ 0.9% คณะผู้วิจัย จึงสรุปว่า การรับประทานยาคุมกำเนิดในปัจจุบันหรือเคยกินมาก่อน ไม่มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังได้สรุปเพิ่มเติมว่า ในคนผิวดำ คนผิวขาว หรือ คนที่รับประทานยาคุมด้วยขนาดเอสโตรเจนมากน้อย หรือ คนที่รับประทานนานมากน้อยเพียงใด หรือ คนที่มีประวัติครอบครัวมีมะเร็งเต้านม หรือ เริ่มรับประทานยาคุมตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เอกสารอ้างอิง………….Oral contraceptives pill and the risk of breast cancer, N Eng J Med 2002;346:2025-32

Posted on

เบาหวาน กับการขาดสาร”อิโนซิทอล” ที่มีความสำคัญต่อระบบประสาทและการกำจัดไขมัน

อิโนซิทอล (Inositol) เป็นสารชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี ที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและระบบการกำจัดไขมัน ในภาวะปกติ หรือร่างกายสมบูรณ์ จะสามารถสร้างได้เองจากกลูโคส แต่ในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีความผิดปกติในการนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ประโยชน์ อาจเกิดภาวะขาดสารตัวนี้ได้

กลไกการทำงานของ อิโนซิทอล (Inositol): เมื่อร่างกายได้รับสารนี้เข้าไป อิโนซิทอล (Inositol)จะถูกเปลี่ยนเป็น Phosphatidyl Inositol ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) โดยเฉพาะเยื่อหุ้มระบบประสาท(Myelin Sheath) เซลล์รากผมที่ทำหน้าที่สร้างผม เซลล์ ไขกระดูก ดังนั้นเมื่อขาดสารนี้ ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะหรือเซลล์นั้นๆ ได้

นอกจากนี้ยังพบว่า อิโนซิทอล (Inositol) ยังเป็นตัวกระจายไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มการใช้ไขมันอิสระในเซลล์ จึงช่วยลด ภาวะไขมันในเลือดสูงได้ด้วย

อาการขาดสาร อิโนซิทอล (Inositol) ในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ผิวหนังอักเสบ แบบ Eczema คือ มีอาการอักเสบบวมแดง คัน หรือ ลอกเป็นขุย
  2. ท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวลำไส้ ทำงานผิดปกติ จึงทำให้อาหารไม่เคลื่อนตัวและตกค้างในลำไส้ใหญ่
  3. อาจเกิดความผิดปกติในดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน ต้อกระจก ต้อหิน และการมองเห็นผิดปกติได้
  4. เกิดภาวะผมร่วงได้ เพราะสารนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการในการสร้างเซลล์เส้นผมให้เจริญเติบโตตามปกติ
  5. ทำให้ภาวะเส้นเลือดอุดตัน หรือมีการแข็งตัวของผนังเส้นเลือดได้ จากการที่โคเรสเตอรอลเกาะที่ผนังเส้นเลือดในปริมาณที่สูงเกินไป
  6. เกิดภาวะเสื่อมและอักเสบของปลายประสาท ทำให้มีอาการชา หรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้าได้

ได้มีผลงานการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การให้ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีอาการดังกล่าวจากการขาดอิโนซิทอล (Inositol) ควรรับประทานสารนี้เสริม ร่วมกับโคลีน จะทำให้ฟื้นฟูอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และป้องกันภาวะมะเร็งได้ ( เนื่องจากเชื่อว่า สารประกอบของ อิโนซิทอล (Inositol) คือ Inositol Hexaphosphate มีส่วนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน T-cell ) โดยขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน อิโนซิทอล (Inositol) วันละ 500-1,000 มก.ต่อวัน โดย แบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าเย็น

Posted on

Pycnogenol : สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์ กับคุณประโยชน์มากมาย ในบทบาทอาหารเสริม

เปลือกต้นสนมาริไทม์ จากฝรั่งเศส ในตระกูลพันธุ์ Pinus marittma ซึ่งขึ้นอยู่ในริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสประกอบด้วยสารอาหารกว่า 40 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นรู้จักในนางว่า Pycnogenol®
– ดร.เลสเตอร์ แพคเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์ดเลย์ ได้รายงานผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสารสกัดจากเปลือกต้นสนชนิดนี้ พบว่าสารสกัดที่ได้ล้วนมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เซลล์อวัยวะต่างๆ เสื่อมโทรม โดยพบว่าสารอาหารที่สกัดได้จัดอยู่ในกลุ่ม Bioflavonoids ประเภทต่างๆ เช่น โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน และกลุ่มกรดผลไม้ร่วมเสริมฤทธิ์กัน
– โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน C และ E ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันและลดการทำลายเซลล์จากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา

ผลงานวิจัยที่พบคุณประโยชน์จากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส มีดังนี้ 

  1. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย ปรับปรุงคุณภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell,B-cell )
  2. รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีแรง ทำให้ทนทานต่อการออกกำลังกายมากขึ้น
  3. ปกป้องเซลล์ประสาทจากพิษของผงชูรส
  4. ลดการอักเสบในผู้ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบ ในต้านฤทธิ์ของอนุมูลซูเปอร์ออกไซด์
  5. กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน ยังเข้ารวมตัวกับคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็น โครงสร้างของผิว ทำให้ผิวพรรณมีความกระชับ ไม่หย่อนยาน
  6. ช่วยผ่อนคลายการบีบเกร็งของหลอดเลือด เมื่อมีความเครียด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และพบว่าในวารสารการวิจัย ทางการแพทย์ของ Thrombosis research พบว่ามีฤทธิ์การลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ของสารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส ใกล้เคียงกับ ยาแอสไพริน ทำให้ลดผลข้างเคียงด้านการใช้ยาแอสไพรินในแง่ ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
  7. ช่วยป้องกันการตกตระกอนของโคเลสเตอรอลบนผนังหลอดเลือด โดยป้องกันการเกิดการ Oxidation ของ LDL-Cholesterols
  8. ป้องกันและบรรเทาอาการความดันโลหิตสูง โดยสกัดกั้นากรทำงานของเอนไซม์ ACE ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดความดันโลหิตสูง
  9. ทำให้อาการเส้นเลือดโป่ง ขอด ปวด บวม ชา ตามช่วงขา และอาการเรื้อรังของหลอดเลือดดำดีขึ้น
  10. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง(Super Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า

สารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียง และมีความปลอดภัย ทางรัฐบาลอังกฤษ ได้อนุมัติให้ เป็นสารอาหารที่ใช้ได้ทั่วไป และทาง FDA สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเสริมมานานมากกว่า 10 ปี และในประเทศไทยได้นำมา ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ท่านสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ตามร้านขายอาหารเสริมทั่วๆ ไปแต่ สนนราคาก็แพงเอาการอยู่ ประมาณ เม็ดละ 38-40 บาทต่อแคปซูล 50 มก. คุณต้องรับประทานประมาณ 1-2 เม็ด ต่อมื้ออาหารทีเดียว

เอกสารอ้างอิง : Watson,R.reduction of Cardiovascular Disease Risk Factor By French Maritime Pine Bark Extracts. Cardiovascular Reviews and Reports.1999;326-329.

Posted on

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) อาการแบบนี้ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไรดี

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) คืออะไร

คือ ภาวะที่ลิ้นจะมีลักษณะลายคล้ายแผนที่ ไม่เรียบ แดง สวย เหมือนลิ้นคนทั่วไป ขอบเขตชัด และไม่พบเกสร( papillae) ของลิ้น พบได้ประมาณ ร้อยละ 1-2 ของประชากรทั่วไป พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ทำให้ผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายลิ้นและทำให้ลิ้นไวต่ออาหารที่มีรสเผ็ดหรืออาหารร้อน อย่างไรก็ตาม ลิ้นลายแผนที่ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่อันตราย ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อหรือเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งแต่อย่างใด และในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะนี้ิ
สาเหตุของลิ้นลายแผนที่
ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิด Geographic Tongue อย่างแน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น

  • ภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง เพราะผู้ป่วย Geographic Tongue มักมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่องร่วมด้วย
  • โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่มักทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกแบ่งตัวมากผิดปกติจนเกิดแผ่นปื้นที่หนาและตกสะเก็ดตามร่างกาย จนส่งผลให้รู้สึกคันและไม่สบายตัว โดย Geographic Tongue เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
  • พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยเป็น Geographic Tongue มาก่อนก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน

การรักษาลิ้นลายแผนที่

ผู้ป่วยมักไม่ต้องเข้ารับการรักษา เพราะภาวะ Geographic Tongue ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรง ไม่มีผลต่อการรับประทานอาหาร หรือ การรับรสอาหาร แม้จะทำให้รู้สึกไม่สบายลิ้นในบางครั้ง รวมทั้งอาการที่ปรากฏอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ ไม่มีความจำเป็นต้องหายามาทา
-อาจจะมีอาการระคายเคืองหรืออาการไวต่อสิ่งกระตุ้นของลิ้นได้ เช่น หากรู้สึกระคายเคืองลิ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสจัด เผ็ดร้อน หรือมีกรด ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านั้น
-ตวรงดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีรสเผ็ดร้อนด้วย เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
โดยปกติ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนระยะยาวตามมา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง ซึ่งมักเกิดร่วมกับลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ และอาจทำให้ระคายเคืองหรือรู้สึกเจ็บลิ้นในบางครั้ง
การป้องกันและรักษา
ยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะนี้ แต่ผู้ป่วยอาจหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ลิ้นเกิดการระคายเคืองได้ เช่น งดรับประทานอาหารบางประเภท ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากบางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองลิ้น
– รายที่มีอาการรุนแรง อาจรับประทานยากลุ่มแก้อักเสบกลุ่ม NSAID เช่น Iprobufen หรือยาป้ายแผลในปาก เช่น Kenalog in oral base เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดบนผิวลิ้น รวมถึงอาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาต้านฮิสตามีนหรือ   เพื่อช่วยลดการอักเสบ การระคายเคือง และอาการเจ็บปวด  

Posted on

Collagen : คอลลาเจน แบบไหนให้ประโยชน์ และได้ผล ช่วยลดริ้วรอย ชะลอวัย ให้ดูอ่อนเยาว์

collagen เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ scleroprotein ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน( connective tissue) โดยจะอยู่ในรูปของ fiber ที่ประกอบด้วย peptide chain( สายไขมัน) 3 สายที่เรียกว่า triple helix
คอลลาเจนสร้างโดย fibroblast ผลิตสารสำคัญ 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นของคอลลเจนจะเสียไป โดย พบว่าคอลลาเจนจะเหนียวมากขึ้นและอุ้มน้ำได้น้อยลง ดังนั้นจึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้ง่าย
จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่อนยานของผิวหนัง และริ้วรอย ทำให้มีการหาหนทางแก้ไขและหาสารที่มีผลในการสร้างคอลลาเจน
แหล่งของคอลลาเจน
1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลายที่รับประทานเข้าไปถูกย่อยสลายจนแตกตัว และก่อตัวขึ้นใหม่เป็นโปรตีนในลักษณะอื่น ๆ เช่น โปรตีนที่ช่วยในกระบวนการรักษาแผล ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หรือคอลลาเจนนั่นเอง
2. ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่จะน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น คนเราจะค่อย ๆ สูญเสียคอลลาเจนไปประมาณ ปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น และบริเวณข้อต่อเริ่มไม่แข็งแรงตามไปด้วย

การเพิ่มคอลลาเจน ทำได้กี่แบบ อะไรบ้าง ได้ผลแค่ไหน
1. คอลลาเจนแบบครีมบำรุงผิว : กลุ่มนี้ พบว่าให้ผลไม่แตกต่างกับ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดอื่น ๆ คือ ลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคอลลาเจนหรือไม่มีคอลลาเจนต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการซึมผ่านและถูกดูดซึมไปสู่ผิวหนังชั้นลึก ครีมบำรุงผิวใด ๆ จึงไม่มีประสิทธิภาพลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบเลือนริ้วรอยได้
2. คอลลาเจนแบบรับประทานบำรุงผิว : อาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายออนไลน์ ขณะนี้ ช่วยลดการเสื่อมของผิวหนังได้มั้ย งานวิจัยในปี 2014 พบว่าได้ผลเพียง 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ต้องรับประทานคอลลาเจนดังกล่าวนานกว่า 60 วัน
3. คอลลาเจนแบบฉีด : ที่เรียกว่าการฉีดแบบ Filler แทนคอลลาเจนส่วนที่สูญเสียไปของผิว ซึ่งสกัดจาก วัว
( Bovine collagen) แต่ พบว่ามีอัตราการแพ้สูง เพราะสกัดจากสัตว์ อย. ของไทยปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์คอลลาเจนได้อย่างถูกกฎหมาย และปัจจุบัน ก็ไม่มีจำหน่ายแล้ว จึงมาใช้ฟิลเลอร์ ที่เป็น กรดไฮยาลูโรนิก แทน เพราะผ่าน อย.และปลอดภัยกว่า
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การเพิ่มคอลลาเจน ให้ผิว ไม่ว่าวิธีใด ได้ผลน้อยมาก ปัจจุบันแพทย์จะเปลี่ยนมาใช้การฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮยา ทีผ่าน อย.ทดแทน คอลลาเจนที่สูญเสียไป เพราะได้ผลขัวร์ และอยู่ได้นานกว่า
ขอเตือน ว่าอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่กล้าวอ้างสรรพคุณสินค้า ว่าทดแทนหรือเพิ่มคอลลาเจนได้ นอกจากจะเสียเงิน เสียเวลาแล้ว ยังเสียรู้ ด้วย

Posted on

X Wave therapy : แก้ไข เซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ขาใหญ่ เพราะไขมันสะสมเป็นก้อน ให้ดีขึ้นได้

Cellulite คืออะไร ?

โดยปกติแล้ว ร่างกายคนเรามีไขมันเพื่อช่วยป้องกันอวัยวะและให้ความอบอุ่น แต่ถ้ามีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป เช่นบริเวณเอว หน้าท้อง สะโพก และต้นขา และเป็นเวลานานจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ทำให้การไหลเวียนโลหิตและของเหลวภายในร่างกายผิดปกติ
ก่อให้เกิดกรดที่เป็นพิษต่อร่างกาย อันเป็นสาเหตุที่มาของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้สำหรับบางคน โรคอ้วนยังส่งผลต่อความเป็นอยู่ อาชีพการงาน และความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย

Cellulite เป็นไขมันชนิดหนึ่ง มีความคงตัวและสลายตัวได้ยาก มักจะสะสมอยู่ในชั้นผิวหนังตามบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ ต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง
ทำให้ผิวหนังมีลักษณะเหมือนเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด หย่อนคล้อย และไม่กระชับ
ปัจจัยการเกิด เซลลูไลท์ ได้แก่
– กรรมพันธุ์
– เพศ : มักจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
– อายุ: มักจะพบได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป พบได้บ่อยในคนอายุมากกว่า 40 ปี
– โฮร์โมนเพศหญิง (ช่วงวัยรุ่น, ตั้งครรภ์, ก่อนและหลังหมดประจำเดือน)
– จำนวนไขมันที่มีในร่างกาย
– ความหนาของผิวหนัง
– การใช้ชีวิตประจำวัน ( life style) เช่น การกินไขมันอิ่มตัวหรือน้ำตาลมากเกินไป หรือการดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อ และก่อเกิดไขมันสะสมเฉพาะส่วน
– การสูบบุหรี่
– ภาวะเครียด
– ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด, ยานอนหลับ, ยาขับปัสสาวะ

X Wave therapy คืออะไร

X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ใหม่ล่าสุดในการสลายเซลลูไลท์ โดยผลิตจากบริษัท  BTL  Medical Technology Ltd. ประเทศอังกฤษ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน Acoustic wave technology ในการไปสลายไขมันและเซลลูไลท์ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว (new US FDA approved non-invasive aesthetic device for reduction of cellulite using acoustic wave technology)
หลักการทำงานของ X Wave therapy 
– เครื่องมือ  X Wave therapy จะมีการปล่อยคลื่นการสั่นสะเทือนแบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด(acoustic massage tip as a conductive electrode delivering electable electrical waveform pulses) ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และการนวดสั่นสะเทือนจะทำให้ก้อนไขมันแตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ
– ส่วนระยะเวลาในการทำ อาจจะใช้เวลา 20-40 นาที แล้วแต่บริเวณที่ทำ โดยทำห่างกันทุก 1 สัปดาห์ ประมาณ 8-10 ครั้งก็จะเห็นผลได้ชัดเจน และถ้า

X Wave therapy สามารถจะทำบริเวณใดได้บ้าง ทำบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน

  1. ท้องแขน ( Upper arms)
  2. บั้นเอวสองข้าง (Love handles)
  3. หน้าท้อง (Abdomen)
  4. สะโพก (Buttocks)
  5. ต้นขา (Thighs)

ความแตกต่างระหว่างเซลลูไลท์กับไขมัน
-คนเราทุกคนมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่เรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้วซึ่งไขมันดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความร้อน และป้องกันการกระแทกต่อกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและอวัยวะภายใน ไขมันจะสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว โดยน้ำหนักตัวมาก ก็จะมีไขมันมาก การแก้ไข ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีลดน้ำหนัก สลายไขมัน หรือกำจัดไขมัน
– ส่วนเซลลูไลท์ เป็นไขมันที่มีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ ไม่ได้ช่วยรับการกระแทกเหมือนไขมันปกติ และมักพบอยู่เฉพาะบางแห่งของร่างกายเท่านั้น เช่น สะโพก, ต้นขา, หน้าท้อง และ เต้านม เซลลูไลท์ ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวเสมอไป วิธีการตรวจสอบว่ามี เซลลูไลท์หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยการบีบผิวหนังบริเวณต้นขาขึ้นมา ถ้าพบว่า มีลักษณะ ตะปุ่มตะป่ำ ให้สงสัยว่าน่าจะมี เซลลูไลท์ ซึ่งเซลลูไลท์ มักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การแก้ไข ด้วยการลดน้ำหนักไม่ช่วยให้ เซลลูไลท์ ต้องทำการสลายหรือกำจัดด้วยเครื่องตีเซลลูไลท์ เช่น X-wave therapy หรือการผ่าตัดศัลยกรรมดูดไขมัน

ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave
ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave
Posted on

ฟิลเลอร์คืออะไร : รู้ก่อนฉีด รู้ก่อนทำ ผ่านอ.ย.มั้ย ไม่พอใจ แก้ไขยังไง จึงจะได้ผล ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

ฟิลเลอร์คืออะไร แตกต่างจากการฉีดโบทอกซ์อย่างไร

– ฟิลเลอร์(Fillers) แปลว่าสารเติมเต็ม จึงทำงานเกี่ยวข้องการเติมส่วนทีพร่องหายไป ให้เต็มขึ้น กระชับขึ้น เพื่อจะลดปัญหาจากเนื้อหรือคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายที่ลดลง( Volumn loss ) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย จากของเดิมที่ไม่มี เช่นการฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้มที่ลึก การฉีดฟิลเลอร์ร่องตาที่ลึก การฉีดฟิลเลอร์เสริมดั้งจมูก การฉีดฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากอวบอิ่ม การฉีดฟิลเลอร์เสริมคาง ซึ่งความลึกตื้นในการฉีดส่วนใหญ่จะฉีดในชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นส่วนใหญ่ซึ่งอยุ่เหนือชั้นไขมัน และกล้ามเนื้อ
– ส่วนการฉีดโบทอกซ์จะทำงานกับกล้ามเนื้อเป็นหลัก ฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่เราไม่ต้องการ เช่น ลดริ้วรอยจากการขยับของตีนกาเวลายิ้ม การย่นหน้าผาก การย่นเวลาขมวดคิ้ว หรือกล้ามเนื้อกรามใหญ่ฉีดกล้ามเนื้อให้หน้าเรียวเล็ก หรือการฉีดใต้ผิวหนัง เพื่อยกกระชับปรับรูปหน้า

ฟิลเลอร์จะเลือกยี่ห้อไหนดเช็คยังไงว่าผ่าน อ.ย.

-ฟิลเลอร์ในปัจจุบันที่ปลอดภัย และแพทย์นิยมใช้กัน จะต้องเป็นกลุ่มสารไฮยาเท่านั้น (Hyaluronic acid-HA) และต้องเป็นสารไฮยาที่ไม่ได้สกัดจากสัตว์ จึงมีโอกาสแพ้น้อย ขบวนการสังเคราะห์ไฮยาลูรอนิกนี้จะมีลักษณะโมเลกุลคล้ายกับสารไฮยาลูรอนิกใน ร่างกายมนุษย์ และขอย้ำว่าเท่านั้นนะครับ และมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อที่ผ่านอย.เมืองไทย ท่านต้องตรวจสอบให้ดี ถามหมอให้แน่ชัดว่าใช้ยี่ห้ออะไร จำไม่ได้ ถ่ายรูปยี่ห้อและบาร์โค้ดด้านหลังไปตรวจสอบด้วย เพราะปัจจุบันของปลอมเยอะมาก สังเกตง่ายๆ ถ้าราคาถูกว่าท้องตลาดผิดปกติ ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นของเลียนแบบ
ตัวอย่างของฟิลเลอรืที่ผ่าน อย.ได้แก่
– กลุ่ม ที่ 1 Esthelis Basic, Esthelis Soft, Fortelis Extra, Modelis
– กลุ่มที่  2  Juvederm Forma , Juvederm Refine, Juvederm Ultra, Juvederm Ultra XC, Juvederm Ultra Plus, Juvederm Ultra Plus XC
– กลุ่มที่3  Restylane, Restylane Lipp,  Restylane Perlane, Restylane Sub Q, Restylane Touch, Restylane Vital Light ,Restylane Vital Light Injector, Revanesse Ultra
– กลุ่มที่ 4 Perfectha Subskin,Perfectha Deep,Perfectha Derm.

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้ทุกบริเวณของร่างกายหรือไม่ ใครที่ไม่ควรฉีด

– ปัจจุบันนี้ แพทย์ทั่วโลกที่ได้มาตรฐานสากลเดียวกันนะครับ จะฉีดฟิลเลอร์เฉพาะบริเวณใบหน้าเท่านั้นนะครับ โดยเลือกฉีดเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาจาก Volumn loss จริงๆ และฉีดปริมาณไม่มากนัก
– โดยทั่วใป ก็จะฉีดเติมร่องแก้ม ริ้วรอย  เป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเสริมดั้งจมูก  เสริมคาง เติมขมับ ริมฝีปาก ร่องตา  โหนกแก้ม หรือฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ไม่ใช่จะฉีดได้กับทุกรายนะครับ
– ส่วนรอยหลุมจะฉีดได้เฉพาะกรณีที่รอยหลุมนั้นไม่มีพังผืดยึดเกาะ ถ้ามีพังผืดฉีดลำบาก ฉีดแล้วไม่เต็ม 100% 
-การฉีดฟิลเลอร์ตรงรอยย่นเวลาขมวดคิ้ว ตำแหน่งนี้ก็เสี่ยงต่อไปอุดตันเส้นเลือดที่มาเลี้ยงดวงตา เปลือกตาบน ไม่ฉีดฟิลเลอร์กัน เสี่ยงต่อการเกิดก้อนได้มาก
– ส่วนการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มขนาดหน้าอก เพิ่มสะโพก หรือส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ นอกจากอย.จะไม่อนุญาตให้ฉีดแล้ว ยังไม่ควรจะฉีดนะครับ ต้องใช้ปริมาณที่มาก และเสี่ยงต่อฟิลเลอร์จะหลุดกระจายไปอุดตันเส้นเลือดหรือบริเวณที่สำคัญของร่างกาย

คนไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

ได้แก่
1. พวกที่แพ้สารไฮยา ฉีดไ่ม่ได้เด็ดขาด 
2. สำหรับสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร
3. ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย
4. ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมากๆ ผิวหน้าบาง พวกนี้ต้องระวังและเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่ละเอียด เพราะเสี่ยงต่อการเป็นก้อน ดูไม่ธรรมชาติได้
5. ผู้ที่มีประวัติเป็นเริม หรืองูสวัด พวกนี้มักจะเป็นๆ หายๆ ช่วงที่มีอาการหรือกำลังกลับมาเป็นอีก อย่าเพิ่งฉีดฟิลเลอร์นะครับ อาจจะทำให้อาการกำเริบมากขึ้นได้ แต่ถ้าเคยเป็นและอาการสงบ ฉีดได้ไม่มีปัญหา
6. ผู้ที่มีประวัติ ภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น SLE ผู้ที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น มะเร็ง ระยะลุกลาม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อพิจารณาเป็นรายๆ ไป

ฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงหรือไม่

ผลข้างเคียงจากการฉีดสารเติมเต็ม พอจะสรุปได้ดังนี้

  1. ฉีดไม่ถูกตำแหน่ง เช่นฉีดตื้นหรือลึกเกินไป ทำให้ได้ผลไม่ดีตามต้องการ
  2. ถ้าเกิดฉีดฟิลเลอร์เติมร่องใต้ตา แล้วเกิดไปอุดตันทางเดินน้ำเหลือง จะทำให้ตาดูบวมๆคล้ายถุงใต้ตา
  3. เป็นก้อนๆหรือตะปุ่มตะป่ำ อันนี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มหรือใต้ตาที่ฉีดตื้นเกินไป
  4. บริเวณที่ฉีดมีเส้นเลือดฝอยแดงเกิดขึ้น เป็นผลจากอนุภาคสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดฝอยในจุดนั้น มักพบได้บ่อยในกรณีที่ต้องการฉีดเสริมปลายจมูก
  5. เนื้อเยื่อข้างเคียงตาย จากการที่อนุภาคของสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดขนาดกลาง พบได้บริเวณข้างและปีกจมูกจากการเติมร่องแก้มหรือการฉีดเสริมจมูก
  6. เกิดการอักเสบติดเชื้อ พบได้บ่อยมากขึ้นในกรณีที่ฉีดเติมปลายจมูกให้ยาวขึ้นหรือเพื่อเป็นหยดน้ำใน จมูกที่มีแท่งซิลิโคนอยู่แล้ว กรณีนี้ต้องถอดแท่งซิิลิโคนออกเท่านั้นจึงจะดีขึ้น
  7. กรณีฉีดฟิลเลอร์จมูก หลายๆครั้ง โดยไม่ยอมให้ฟิลเลอร์เก่าสลายไปหมดก่อน อาจจะทำให้จมูกดูบวมๆ ไม่ได้รูปทรงที่ต้องการ
  8. ตาบอด อันนี้สาหัสสุด มักเกิดจากการฉีดเสริมจมูกอย่างผิดวิธีทำให้อนุภาคของสารเติมเต็มหลุดเข้าไป อุดตันเส้นเลือดที่ดวงตา ซึ่งเราคงเคยได้ข่าวมาบ้างแล้วในเมืองไทย

สรุปนะครับ หัวใจสำคัญที่ต้องคำนึงก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบมี 3 ประการ

  1. สารที่ฉีด ต้องแน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ใช่สารอื่นที่หลอกว่าเป็นฟิลเลอร์ หรือเป็นฟิลเลอร์ราคาถูกที่มีขายตามเวปไซด์หรือนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย เพราะเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอม หมดอายุ ไม่ได้คุณภาพ และดูภายนอกอาจจะไม่แตกต่าง ต้องอาศัยความเขี่ยวขาญและความน่าเชื่อถืออื่นๆมาประกอบกัน
  2. แพทย์ที่ฉีด เพราะการฉีดฟิลเลอร์จำเป็นอย่างมากที่แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ทางกายวิภาคอย่างเชี่ยวชาญ มีเทคนิคการฉีดต้องถูกต้องเหมาะสม มีการประเมินรูปร่างว่าบริเวณใดต้องฉีด มากน้อยเพียงใด และฉีดสารในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสม
  3. เพราะเมื่อฉีดสารเข้าไปย่อมมีโอกาสเสี่ยงในการที่จะไปโดนเส้นเลือดหรือ บริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ นำมาซึ่งอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตหรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้
  4. สถานที่ฉีด ต้องฉีดในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย มีเครื่องมือช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน หลังการ สลายได้มั้ย หลังฉีดควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

– สาร HA อยุ่ได้นานประมาณ 4-12 เดือน แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดย่อยๆ ของสาร HA โดยพบว่าตัวที่มีโมเลกุลใหญ่ จำนวน Cross-Link ของสาร HA สูง ก็จะอยู่นานกว่าแต่เต็มที่ ส่วนใหญ่ไม่เกินนี้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อดี เพราะเมื่อไม่พอใจ ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปแก้ไขหรืออย่างมาก
– ถ้าฟิลเลอร์เป็นสารไฮยา-HA สามารถฉีดให้สลายได้เห็นผลทันทีหลังทำ โดยตัวยา Hyaluronidase แต่ถ้าเป็น ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านอย. นอกจากซิลิโคนเหลว ยังมี Radiesse ( calcium hydroxlapatite),Sculptra ( poly-L-lactic acid),Artefill , Aquamid,Aqualift,Aquaderm ฯลฯ  ฯลฯ พวกนี้ฉีดสลายไม่ได้ ต้องขูดออกอย่างเดียว จำง่ายๆ
– ถ้าเจอใครบอกว่าฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้หลายปี นะครับ ท่านฟันธงได้เลยว่าสารฟิลเลอร์พวกนี้ ไม่ผ่านอย.และฉีดสลายให้หมดไปไม่ได้ นอกจากนี้ ยังจะมีโอกาสเกิด granuloma( เนื้อเยื่องอกผิดปกติใต้ผิวหนัง) ถึง 30 เปอร์เซนต์ เมื่อเกิดแล้ว จะเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ ดูไม่สวย และแก้ไขไม่ได้นะคับ

หลังการ ฉีด Filler ควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

  1. ห้ามนอนราบ 3 ชั่วโมง
  2. ข้อห้ามภายใน 2 วันควรเลี่ยงยาหรือสารที่อาจจะมีผลต่อการฟกช้ำได้ง่าย เช่นยากลุ่ม Aspirin,ยาแก้ปวดข้อบางชนิด เช่น Brufen,Voltaren วิตามินอี หรืออัลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชม การออกกำลังกาย การเข้าซาวน่า
  3. ข้อห้ามภายใน 2 อาทิตย์ โดนความร้อน หรือ ทำเลเซอร์ ทรีทเม้นท์ ที่มีความร้อน เช่น RF ยกกระชับ ทำ IPL ทำ Fractional Laser Co2 กรอผิว ทำ AHA ลอกหน้า เป็นต้น ตลอดจนการใช้ไดร์เป่าผม เข้าซาวน่า อบไอน้ำ เพราะความร้อนจะทำให้ Filler (ฟิลเลอร์) สลายเร็วขึ้น
  4. ทานน้ำเยอะเยอะ วันละ 2 ลิตรได้ยิ่งดีเพราะจะช่วยให้ Filler (ฟิลเลอร์) คงสภาพได้นานขึ้นเพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มเก็บกักน้ำได้ค่อนข้างดี ถ้าหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ได้ก็จะดีมาก

Posted on 2 Comments

โบท็อกซ์ : ดื้อยาได้ แต่ละยี่ห้อผลแตกต่างกัน ฉีดแล้วต้องระวังอะไร ห้ามทานยาอะไร ไม่พอใจ สลายได้มั้ย ใครไม่ควรฉีด ฯลฯ

การอบซาวน่า ไดร์สผม ดื่มอัลกอฮอล์ หรือ รับประทานของร้อนๆ มีผลต่อโบทอกซ์ที่ฉีดหรือไม่

ตอบ : ไม่มีผลต่อฤทธิ์ของโบทอกซ์ เพราะโบทอกซ์หลังฉีด ตัวยาโบทอกซ์ จะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อในเวลาไม่กี่นาทีกล้ามเนื้อจะขาดการรับรู้การเซลล์ประสาทในทันทีหลังฉีด ดังนั้นการที่แนะนำให้เลี่ยงหรืองดการอบซาวน่า การดื่มอัลอกฮอล์ หรือรับประทานอาหารร้อนๆ ไม่ได้ทำให้โบทอกซ์ออกฤทธิ์สั้นลง หรืออยู่ไม่นาน ที่ให้เลื่ยงพฤติกรรมบางอย่างหลังฉีด 4 ชั่วโมง ก็เพียงเพื่อป้องกันการฟกช้ำได้ง่าย(Bruise) จากเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัวจากอัลกอฮอล์ หรือความร้อนต่างหาก แต่ไม่ได้มีผลทำให้ฤทธิ์ของโบทอกซ์ลดลงจากเดิมแต่อย่างใด

ข่าวดีเอสไอบุกยึดโบท็อกซ์ปลอมมูลค่า 6 ล้าน http://www.dailynews.co.th/crime/203587

โบทอกซ์แต่ละยี่ห้อ ให้ผลแตกต่างกันมั้ย

ตอบ: แตกต่างกันอย่างแน่นอน แม้ว่าตัวยาที่ใช้ คือ Botulinum toxin type A เหมือนกัน มีกลไกในการออกฤทธิ์เหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างเกิดจากองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
1. Protein load ทำหน้าที่คล้ายเป็นตัวห่อหุ้มตัวยาไว้ เพื่อให้ยาคงสภาพออกฤทธิ์ได้นานตามต้องการ แต่พบว่าแต่ละยี่ห้อ มีกลไกการผลิตต่างกัน ซึ่งพบว่าตัวนี้มีผลอย่างมากต่อการออกฤทธิ์ของโบทอกซ์ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ และระยะเวลา โดยพบว่า ประสิทธิภาพของ Protein load ของยี่ห้อทางอเมริกา และอังกฤษ จะป้องกันคุณภาพยาได้ดีกว่า ของเกาหลี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ โบทอกซ์เกาหลี หรือจีน ออกฤทธิ์ได้เพียง 2-3 เดือน ขณะที่โบทอกซ์อเมริกา อังกฤต จะอยู่ได้ 6-8 เดือน
2. อัตราการดื้อยา เกิดจาก Protein load ที่ไม่บริสุทธิ์ ผลิตแบบลดต้นทุน ที่พบได้ในโบทอกซ์ราคาถูกผิดปกติ ทำให้ร่างกายออกฤทธิ์ต้านหรือสร้างแอนตี้บอดี้ ต่อโบทอกซ์ได้ ซึ่งปัจจุบันพบปัญหาดื้อยามากขึ้น เนื่องจากตลาดแข่งขันด้านราคากันมาก ทำให้เกิดการลดต้นทุนด้วยยาเลียนแบบ หรือยาปลอม
3. ยูนิตของโบทอกซ์ของแต่ละยี่ห้อ ก็ออกฤทธิ์ได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะบอกว่าใช้จำนวนยูนิตเท่าไหร่ ยิ่งเยอะยิ่งดี คงไม่ถูกต้องนัก ต้องดูว่าใช้ยี่ห้ออะไร ได้มาตรฐานสากลหรือไม่ FDA รับรองผลแค่ไหน ดังนั้นไม่ควรเอาราคามาเป็นโจทย์ในการเลือกฉีดโบทอกซ์ ควรจะเอายี่ห้อที่ฉีดเป็นโจทย์หลัก  แล้วค่อยว่ากันถึงปริมาณยูนิตที่ฉีดเป็นปัจจัยถัดมา นอกเหนือจากประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีด 
สังเกตง่ายๆ ก็คือ ถ้าราคาถูกผิดปกติ ให้คิดว่า อาจจะไม่ใช่ของแท้ เพราะนอกจากจะได้ผลไม่ชัดเจน อยู่ได้ไม่นานแล้ว ความไม่บริสุทธิ์ของตัวยา อาจจะมีผลทำให้เกิดการดื้อต่อโบทอกซ์ในอนาคตได้ง่าย

ถ้าจะถามว่าโบท็อกซ์ (Botox) แบรนด์ไหนดีกว่ากัน? คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์ในการใช้ และงบประมาณของคนไข้ แบรนด์ที่ดีที่สุดอย่าง Allergen ของแท้จากอเมริกา ย่อมมีราคาที่สูงกว่าทุกแบรนด์ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีที่สุด อยู่ได้นานสุด รองมาก็จะเป็น Dysport ของ อังกฤษ และ Xeomin เยอรมัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริการต้องเลือกใช้คลินิกที่มีคุณภาพ ใช้ของแท้ ไม่ใช้ของปลอม เนื่องจากมีคนหิ้วขายอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ หากไม่มีความชำนาญแล้วบังเอิญฉีดไม่ตรงจุด แล้วผลที่ได้ราคาที่จ่ายไปก็อาจจะไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้

โบทอกซ์เหมาขวดกับฉีดตามปริมาณยูนิต อย่างไหนดีกว่ากัน

ตอบ: ถ้าเหมาขวด ถูกกว่า ก้ควรจะซื้อเหมาขวด แต่ต้องฉีดให้หมดภายในวันนั้น ไม่ควรจะเก็บฝากไว้ เพราะ ปกติเวลาโบทอกซ์ผสมแล้ว ควรจะใช้ให้หมดใน 1 อาทิตย์ ฤทธิ์โบทอกซ์จะคงสภาพได้เกือบ 100% แต่ถ้าผสมทิ้งไว้เกิน 1 เดือน ฤทธิ์โบทอกซ์จะลดลงไม่ถึง 80% ดังนั้นบางคลินิก หรือบางที่เช่นหมอกระเป๋าทั้งหลาย จึงจะนิยมบอกให้คนไข้เหมาขวด เพราะถ้าฉีดไม่หมดและทิ้งไว้นาน จะเหมือนฉีดน้ำเปล่าให้ เค้าต้องทิ้ง จึงมีต้นทุนสูง บางที่มีเทคนิคว่าเหมาขวดจะถูกกว่า แล้วเก็บไว้ฉีดเมื่อไหร่ก็ได้จึงไม่เป็นความจริง เป็นการล่อหลอกให้จ่ายเงินไว้ล่วงหน้า ซึ่งจริงๆแล้ว โบทอกซ์ที่เหลือของเรา เค้าก็เอาไปฉีดคนอื่น แล้วเอาของคนอื่นมาฉีดให้เรา ดังนั้นการฉีดโบทอกซ์ถ้าจะเหมาขวด ต้องฉีดให้เราเห็นว่าใช้หมดขวดจริงๆ ไม่มีเก็บไว้คราวต่อไป หรือถ้าจะฉีดก็ควรคิดราคา ตามปริมาณยูนิตที่ฉีดเป็นครั้งๆ ไป

ฉีดโบปริมาณซีซีเยอะๆ หรือยูนิตเยอะๆ ได้ผลดีกว่า อยู่นานกว่ามั้ย

ตอบ: ไม่จริง แม้ว่าฤทธิ์โบทอกซ์ขึ้นอยู่กับ ฉีดยี่ห้อไหน ปริมาณยูนิตของยี่ห้อนั้น เท่าไหร่ แต่ต้องทราบว่า แต่ละยี่ห้อ ประสิทธิภาพต่อ 1 ยูนิต จะไม่เท่ากัน เช่น 1 Unit Allergan เทียบเท่า 2.5 Units Dysprot เป็นต้น
ส่วนปริมาณซีซี ไม่บ่งบอกอะไร เพราะปกติโบทอกซ์ 1 ขวด จะบรรจุในรูปของยาผงหรือ Dry Power แล้วค่อยนำมาผสมกับน้ำเกลือสะอาด (normal saline) 1-4 ซีซีต่อ 100 ยูนิต ดังนั้นการดูซีซีของการฉีดโบทอกซ์ไม่ได้บ่งบอกอะไร ต้องดูว่าการผสมนั้นผสมแบบไหน ถ้าผสมแบบ 1 ซีซี ก็เท่ากับ 10 Unit/0.1 CC ( ที่อเมริกามักจะใช้สูตรนี้) หรือ ถ้าผสม 4 ซีซี ก็จะเท่ากับ 4 ยูนิต/0.1 ซีซี (ในเมืองไทยมักจะผสมสูตรนี้) ดังนั้นถ้าเอาปริมาณซีซีที่ฉีด ว่าฉีดเท่านั้นเท่านี้ซีซี ไม่บ่งบอกอะไร

ฉีดโบ ไม่พอใจ ทำไง สลายได้มั้ย

ตอบ: สลายไม่ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ต้องรอให้ยาหมดฤทธิ์เอง ใน 3-4 เดือน บางคนไปฉีดโบทอกซ์กับคนที่ไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรง หรือกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น คนรู้จัก หรือพยาบาล และเกิดผลข้างเคียง เพราะคิดว่าใครๆ ก็ฉีดกันได้ เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
– แพทย์ที่จะฉีดโบทอกซ์แล้วผลออกมาดี และไม่มีผลข้างเคียง ต้องมีความรู้ความชำนาญในสรีระ และกล้ามเนื้อทุกมัดที่จะฉีด เพราะกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่ใบหน้า สานทอกันเป็นร่างแห และมีกลไกการทำงานแตกต่างกัน การฉีดผิดตำแหน่ง หรือไปทำบางตำแหน่งที่ห้ามฉีด ก็อาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น
– ฉีดรอยย่นหน้าผาก ถ้าฉีดต่ำใกล้คิ้วมากเกินไป ก็อาจจะเกิดหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น
– ฉีดลดกราม ซึ่งจริงๆ ต้องฉีดที่กล้ามเนื้อ Masetter (กราม) แต่กลับไปฉีดตื้นเกินไป หรือใกล้มุมปากมากเกินไป ยาจึงไปมีผลต่อกล้ามเนื้อ Risorius ที่ควบคุมเกี่ยวกับการยิ้ม ทำให้ยิ้มไม่ได้ หรือยิ้มแล้วมุมปากยกไม่เท่ากัน
– ฉีดโหนกแก้ม ร่องแก้ม เป็นบริเวณที่ไม่ควรฉีดโบทอกซ์ ก็ไปฉีดโบทอกซ์ปูพรมไปทั้งหน้า เพราะคิดว่าคงจะช่วยยกกระชับใบหน้าได้ กลับยิ่งทำให้หน้าหย่อนคล้อยได้มากขึ้น
– เมื่อเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ก็อยากจะทำให้โบทอกซ์สลายเร็ว เพื่อจะได้แก้ปัญหาดังกล่าว โดยคิดว่าคงมีวิธีที่จะทำให้โบทอกซ์สลายไปเร็วขึ้น เช่น ไปอบซาวน่า ไปทำ RF ทำไอออนโต หรือทำเลเซอร์ เพื่อสลาย ขอบอกเลยว่าไม่สามารถช่วยได้แม้แต่น้อย เพราะโบทอกซ์เมื่อฉีดไปแล้วไม่กี่นาที . ตัวยาไปจะจับกับ Recepetor แล้ว พร้อมจะออกฤทธิ์ และไม่สามารถจะทำให้การจับกับ Receptorคลายออกได้ ดังนั้นต้องรอให้โบทอกซ์ค่อยๆ คลายฤทธิ์ไปเองตามธรรมชาติของตัวยา ซึ่งใช้เวลาเป็นเดือน อาการหรือผลข้างเคียงดังกล่าวจึงจะค่อย ๆ หายไป

ยาบางตัวมีผลต่อโบทอกซ์หรือไม่

ตอบ : ใช่ครับ แม้ว่าปกติตัวยาโบทอกซ์ค่อนข้างจะปลอดภัยสูง แต่ก็มียาบางตัวมีผลต่อโบทอกซ์ ส่วนตัวยาอะไรบ้างที่มีผลต่อโบทอกซ์ ยังไม่มีข้อห้ามที่ชัดเจน แต่ควรระวังในกลุ่มยาเหล่านี้

  1. ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Aminoglycosides เป็นกลุ่มของยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียยากลุ่มนี้ได้แก่  ยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ของอะมิโนไกลโคไซด์คือการไปเชื่อมต่อกับไรโบโซม (ribosome) 30เอส ของแบคทีเรียทำให้เกิดความผิดพลาดในการอ่านรหัส ที-อาร์เอ็นเอ (t-RNA) และแบคทีเรียไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตได้ ยกตัวอย่างเช่น  อะมิกาซิน (amikacin),เจนตามิซิน (gentamicin),กานาไมซิน (kanamycin),นีโอไมซิน (neomycin),เนติลมิซิน (netilmicin)พาโรโมไมซิน (paromomycin),สเตรปโตไมซิน(streptomycin),โตบราไมซิน (tobramycin),ยาที่สกัดจากเชื่อราสเตรปโตไมซีส (Streptomyces) จะมีคำลงท้ายว่า -ไมซิน (-mycin) ยาที่สกัดจากเชื่อราไมโครโมโนสปอรา (micromonospora) จะมีคำลงท้ายว่า -มิซิน (-micin)  เพราะอาจจะมีทำให้ฤทธิ์โบทอกซ์ลดลงได้
  2. ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด  เช่น กลุ่มยา Aspirin หรือยารักษาอาการปวดข้อ เช่น Brufen หรือยาสลายลิ่มเลือดบางตัว เช่น Coumadin  หรือวิตามินอี วิตามินซี อาจจะมีผลทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย เพราะยากลุ่มเหล่านี้ ทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้ากว่าปกติ เมื่อก่อนฉีดโบทอกซ์ จึงควรจะหยุดยาซัก 2-3 วันและหลังฉีดอีก 2-3 วัน เพียงเพื่อป้องกันการฟกช้ำ รอยเขียวช้ำได้ง่าย ตามรอยเข็มที่ฉีดเท่านั้น  ส่วน ยารักษาสิว เช่น โรแอคคิวเทรน หรือยาแก้อักเสบตัวอื่นๆ หรือยานอกเหนือจากที่กล่าวในข้อ 1-2 จะมีผลหรือไม่ ต้องหยุดหรือไม่ หรือหลังฉีดมีข้อห้ามอะไรหรือเปล่า จริงๆ ยานอกเหนือจากนี้ ไม่มีผลต่อฤทธิ์ของโบทอกซ์เลยหรือยังไม่มีรายงานข้อควรระวัง

การฉีดโบทอกซ์ มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่

ตอบ :ยังไม่มีรายงานชัดเจนว่ามีผลต่อทารกในครรภ์ แต่แค่เตือนว่า ไม่ควรฉีด ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์ หรือมีการวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ แม้จะมีการถกเถียงกันมากว่า โบทอกซ์มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ หรือเมื่อฉีดโบทอกซ์ไปแล้ว เกิดตั้งครรภ์แบบไม่ตั้งใจ จะมีผลต่อทารกหรือไม่อย่างไร ขอชี้แจงดังนี้ว่า
-เคยมีแต่บางรายงาน ว่ามีการฉีดโบทอกซ์ในสัตว์ทดลองแล้วมีผลต่อทารกในครรภ์ แต่ในมนุษย์ยังไม่มีรายงาน เพราะปกติสตรีมีครรภ์ ไม่ควรจะฉีดอยู่แล้ว หลักสากลก็คือ สูติแพทย์จะแนะนำให้สตรีมีครรภ์ ควรจะรับประทานยาเท่าที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ ยกเว้น กรณีฉุกเฉิน และเสี่ยงต่อสุขภาพของมารดา ก็อาจจะพิจารณาทำการรักษาได้ เคยมีคนไข้ที่ตั้งครรภ์ในเมืองนอก แล้วมีปัญหากล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ กระตุก หรือไมเกรนอย่างหนัก แพทย์บางท่านก็ยังพิจารณาฉีดโบทอกซ์ให้ เพื่อทำการรักษา ทารกก็คลอดออกมาปกติ
– จากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่ผ่านการฉีดโบทอกซ์มา 20 กว่าปี ฉีดคนไข้หลายพันคน เคยมีเช่นกัน ที่คนไข้ฉีดโบทอกซ์ไปแล้ว เกิดตั้งครรภ์ ขึ้นมา แล้วมาปรึกษา ก็ได้ให้คำแนะนำไป และทารกทุกราย (มีบันทึกประมาณ 17 ราย) ก็คลอดปกติ แต่ถ้าต้องการจะตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์ ผู้เขียนก็ไม่ฉีดโบทอกซ์ให้อยู่แล้วเพราะเป็นหลักสากลที่เราไม่ควรจะทำ
– ส่วนกรณีที่คลอดบุตร และกำลังให้นมบุตร ก็ไม่มีหลักฐานว่าตัวยาโบทอกซ์จะผ่านทางน้ำนม ดังนั้นในผุ้ที่ให้นมบุตร และต้องการฉีดโบทอกซ์ ไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามเช่นกัน

คนที่ไม่สามารถในการฉีดโบทอกซ์ได้ คือกลุ่มไหน

ข้อห้ามในการฉีดโบทอกซ์ จริงๆ มีอะไรบ้าง
-มีนะครับ ดังนี้
1. คนที่แพ้สาร Botulinum Toxin Type A
2. ไม่ควรจะฉีดโบทอกซ์ในบริเวณที่มีแผลหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย ในบริเวณที่ต้องการจะฉีดโบทอกซ์
–  นอกนั้นมีแค่ควรเลี่ยงหรือระมัดระวัง ในกลุ่มที่มีปัญหาเหล่านี้
1.กล้ามเนื้อและเส้นประสาทผิดปกติ ( Neuromuscular disorder)
2. กระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน กลั้นปัสสาวะไม่ได้( Urinary retention)

Posted on

กำจัดขนถาวร ทุกจุด รักษาขนคุด ด้วยเลเซอร์กำจัดขน กระชับผิวหน้า รุ่นล่าสุด : Gentle YaG Pro

กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ได้ผลดีสุด เร็วสุด อยู่นานสุด

กำจัดขนถาวรได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะทำให้ผิวหน้า ผิวกาย เกลี้ยงเกลา เนียนใส ไม่มีขนดกดำ มาให้รำคาญ หรือเป็นภาระในการต้องโกน ถอน หรือแวกซ์กันบ่อยๆ
การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ จัดเป็นการกำจัดขนที่ได้ผลดีสุด ไวสุดและสามารถกำจัดขนได้คราวละมากๆ ไม่เสียเวลาในการทำ ไม่สร้างความเจ็บปวด สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัยทุกตำแหน่งที่มีขนที่คุณไม่ต้องการ โดย พบว่า เลเซอร์ในการกำจัดขนมีหลายขนิด เช่น Ruby Laser,Alexandriteหรือ Diode Laser ,Long Pulse Nd:YAG Laser ,Q-Switched Ng:YAGเป็นต้น โดยพบว่า Long Pulse Nd:YAG Laser Z(Gentle YaG) ถือเป็นเลเซอร์ตัวที่ได้รับความนิยมสูง ได้ผลดี ปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อย และเหมาะกับผิวเอเชีย หรือคนสีผิวคล้ำมากที่สุด เมื่อเทียบกับเลเซอร์ชนิดอื่นๆ จัดเป็น Gold Standard สำหรับการกำจัดขนที่ FDA ของไทยและอเมริกา รับรองผล

ทำไม Long Pulse Nd:YAG Laser (Gentle YaG)จึงกำจัดขนได้ดีที่สุด

– เพราะเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวช่วงคลื่นสูงสุด คือ 1064 nm จึงเหมาะกับทุกสภาพสีผิว ซึ่งแตกต่างจาก Ruby Laser,Alexandriteหรือ Diode Laser หรือ IPL ที่ไม่เหมาะกับคนสีผิวคล้ำหรือผิวเอเชีย เพราะจะเกิดรอยไหม้ รอยดำหลังทำไ้ด้ง่าย แต่ช่วงคลื่น 1064 nm จะไม่เกิดผลดังกล่าว พลังงานช่วงคลื่น 1064 nm จะลงไปยังผิวได้ลึกสุดเมื่อเทียบกับเลเซอร์ยี่ห้ออื่นๆ  จึงสามารถเผาผลาญและทำลายรากขนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขนได้ดีที่สุด  เพราะมีความโดดเด่น  ตรงที่เครื่องจะปล่อยพลังงานได้สูงถึง 600J/ตารางเซนติเมตร ขณะที่ยี่ห้ออื่นๆ ปรับได้มากสุดเพียงแค่ 100 J/ตารางเซนติเมตร นอกจากนี้ Gentle YAG ยังมีหัวยิงหลายขนาด เพื่อให้เลือกในการกำจัดขนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ มี ระบบป้องกันผิวชั้นบนที่ดี โดยใช้ระบบการพ่นความเย็นแบบละเอียดจากหัวเลเซอร์( DCD dynamic cooling device ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของบริษัทcandela USA) ซึ่งเป็นระบบพ่นสเปรย์ให้ความเย็นก่อนการยิงเลเซอร์ จึงไม่เกิดปัญหาผิวไหม้หลังจากการยิงเลเซอร์ 
Gentle Yag Pro  ต่างจาก Gentle Yag รุ่นเดิมอย่างไร
-Gentle Yag Pro  คือเลเซอร์กำจัดขนรุ่นล่าสุด ที่พัฒนามาจาก Gentle Yag รุ่นก่อน ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัทเดียวกันคือ บริษัท Candela จึงมีคุณสมบัติเหมือนกับ Gentle Yag แบบเดิมทุกประการ แต่ปรับปรุงรายละเอียด ข้อยุ่งยากในเรื่องการใช้งานให้เหมาะสมและสะดวกมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพลังงานและหัวยิงที่ใหญ่กว่า จึงให้พลังงานได้ลึกกว่า ยิงได้ไวกว่า ใช้งานสะดวกขึ้น ปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้ง่ายขึ้น พลังงานที่ยิงแต่ละครั้งคงที่มากขึ้น มีการปรับลักษณะลำแสงให้สม่ำเสมอ ทำให้เจ็บน้อยลง กว่า Gentle YaG รุ่นเดิม

GentleYAG®นอกจากจะนำมากำจัดขนแล้ว ยังสามารถรักษาอะไรได้บ้าง?

องค์การอาหารและยา แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) ให้การรับรองว่า GentleYAG นอกจากจะนำมากำจัดขนถาวรแล้ว ยังสามารถนำทำการรักษา
1. ริ้วรอยเหี่ยวย่น (Wrinkles
2. ยกกระชับหน้า (Tightening)
3. กระชับรูขุมขน (Large pores)
4. กำจัดขนคุด(Keratosis Pilaris)
5. รักษาเส้นเลือดขอด (Leg Vein) ที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 มม. ตามใบหน้าและร่างกาย
6. ขอบตาคล้ำจากเส้นเลือดดำ(vein)

GentleYAG® ช่วยยกระชับหน้าได้เทียบเท่า Thermage แต่ราคาถูกกว่ามาก
– ได้มีการวิจัย โดย Dr. Mark Taylor แพทย์ผิวหนังจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2005 เปรียบเทียบผลการรักษา ระหว่าง การลดริ้วรอยและยกกระชับผิวหน้าด้วย Gentle YAG เทียบกับThermage พบว่า Gentle YAG สามารถลดริ้วรอยและยกกระชับผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลเป็นที่น่าพอใจใกล้เคียงหรือดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหน้าอีกด้านที่ใช้ Thermage รักษาในผู้ป่วยที่เข้าร่วมการวิจัย สำคัญราคาถูกกว่าการทำ Thermage หลายสิบเท่า

ขั้นตอนการกำจัดขนด้วยเลเซอร์

การเตรียมตัวก่อนกำจัดขน
– กำจัดขนด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นวิธีการโกน การถอน ทาครีม ใช้แว็กซ์ แล้วปล่อยให้ขนขึ้นประมาณ 2-3 มม.ไม่สั้นเกินไป เดี๋ยวจะไม่ได้ผล เพราะเลเซอร์ต้องอาศัยเส้นขน นำพลังงานเลเซอร์ไปที่ต่อมขน แต่ถ้าปล่อยให้ยาวเกินไป อาจจะทำให้ช่วงที่ทำ ขนจะไหม้และหดตัวไปลวกผิวหนังข้างเคียงได้
ระยะเวลาและความถี่ในการทำ
– ระยะเวลาขึ้นอยู่กับพื้นที่หรือบริเวณที่ทำ ปกติขนจะหลุดออกทันทีหลังทำ หรืออาจจะใช้เวลา 1-2 อาทิตย์ ควรจะซ้ำอีกภายใน 4– 8 สัปดาห์ หลังการยิงเลเซอร์แต่ละครั้ง เส้นขนจะมีขนาดเล็กลงและลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด
ทำไมถึงกำจัดได้ถาวร
– เพราะเลเซอร์จะทำให้รบกวนการเจริญเติบโตของเส้นขน  เส้นขนอาจกลับมางอกใหม่แต่เส้นขนจะบางลง เส้นเล็กลง และงอกช้าลงมาก จนจะค่อยๆ บางลงและหมดไปในที่สุด ทำซ้ำ 4-5 ครั้ง พบว่าเส้นขนจะไม่กลับมางอกใหม่ได้เป็นปีๆ
การดูแลหลังกำจัดขน
หลังการรักษาผิวหนังบริเวณที่ทำจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณรอบรูขุมขน อาการดังกล่าวจะหายไปเองเพียงชั่วข้ามคืน เพราะเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวเท่านั้น ควรดูแลดังนี้
1.ใช้น้ำแข็งหรือถุงเย็นประคบบ่อย ๆ ในวันที่ทำเพื่อลดอาการบวม
2. ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดบริเวณกำจัดขนถาวร
3. งดใช้เครื่องสำอางบริเวณที่กำจัดขน ประมาณ 1 – 2 วัน
4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด ประมาณ 1 เดือน
5. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระน้ำหรือในทะเล ประมาณ 3 วัน

Posted on

กำจัดขนถาวร (Hair removal) มีหลายวิธี เลือกแบบไหน ไม่เจ็บ ปลอดภัย อยู่ได้นาน

กำจัดขนถาวรมีกี่วิธี

ขน เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่ต้องการให้มี ทำให้มีวิธีการกำจัดขน ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ซึ่งวิธีการดั้งเดิม ได้แก่ การถอนขน การแวกซ์ขน การโกนขน การโกรกสีขน แต่ก็ไม่ถาวรในเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็จะมีขนงอกมาได้อีก ซึ่งเราจัดอยู่ในการกำจัดขนชั่วคราว การกำจัดขนที่เข้าข่ายกำจัดขนถาวรหรือกึ่งถาวร วิธีการกำจัดขนในปัจจุบัน มีอยู่ไม่กี่วิธีที่ได้ผล แบ่งตามความสามารถในการกำจัดขนโดยดูจำนวนขนที่งอกใหม่ต่อจำนวนเส้นขนเดิม จากได้ผลน้อยสุดไปมากสุด ได้ดังนี้
1. การกำจัดขนด้วยวิธีจี้ด้วยไฟฟ้า ที่เรียกว่า Epilations  คือ การปล่อยคลื่น microwave ไปตามแนวเส้นขน เพื่อทำลายเซลล์สร้างขน ทีละเส้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่า Epiltron ซึ่งมีลักษณะเป็นครีม หนีบกับเส้นขนทีละเส้น แล้วปล่อยคลื่น mirowave ช่วงสั้น
2. พลังงานที่กักเก็บไว้ ได้แปรสภาพเป็นพลังงานความร้อน ทำให้ เซลล์ขน ถูกทำลาย
3. หลังจากนั้น วงจรในการเติบโตของเส้นขน จะหยุดชะงัก และวงจรการสร้างขนใหม่ถูกรบกวน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่ได้
วิธีนี้มักจะเจอในร้านเสริมสวยสมัยก่อน ซึ่งค่อนข้างเสียเวลา เนื่องจากต้องใช้ครีมคีบขนทีละเส้น ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมาก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิม เพราะเจ็บด้วย

 2. การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL  เทคนิคในการกำจัดขนด้วย IPL ก็คือ การปล่อยคลื่นความถี่ของแสง เช่น 765 nm ซึ่งช่วงคลื่นดังกล่าวจะไปจับเฉพาะสีดำของแกนผม และจะไปปล่อยพลังงานและทำลายเซลล์ที่ทำให้ขนเจริญเติบโต( germinated cells) บริเวณกระเปาะผม ทำให้ไม่สามารถทำให้ขนใหม่เกิดได้ โดยช่วงแรกๆ จะเห็นว่าขนจะขึ้นช้าลง เส้นเล็กลง แล้วค่อยๆ ลดลง แต่ได้ผลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของขนแต่ละที่ โดยคำนึงถึง ขนาด สีขน และความลึกของรากขน

– ข้อดีในการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ ก็คือเจ็บน้อยกว่าการจี้ด้วยไฟฟ้า ในข้อที่ 1 ใช้เวลาทำน้อยกว่า แบบแรก
–ข้อเสีย : จะได้ผลเฉพาะขนที่เส้นใหญ่ สีดำเข้ม ไม่หนามาก  และไม่เหมาะกับคนสีผิวเข้ม เพราะอาจจะเกิดรอยดำ หรือรอยไหม้ได้ง่าย และต้องทำหลายครั้ง และขน ก็ไม่หมด 100%

3. การกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์  เป็นการกำจัดขนถาวร ที่ถือว่าเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะได้ผลดีสุด เห็นผลทันทีหลังทำ ปกติมักจะทำต่อเนื่องทุกเดือน ประมาณ 3-5 ครั้งแล้วแต่บริเวณ และขนดกดำมากน้อยแค่ไหน และอยู่ได้นานเป็นปี
ลเซอร์ที่ใช้ก็มีหลายรุ่น เช่น Alexandrite laser 755 nm, Ruby laser 694 nm ,Diode laser Diode 800-810 nm, 940 nm, 1,064-1,350 nm , Long Pulse Nd:YAG Laser 1064 nm (Gentle YAG,Gentle YAG MAX PRO ),Q-Switched Nd:YAG  1064 nm (เช่น Medlilte C-6 ,Revlite Laser ) ซึ่งเลเซอร์ 2 ชนิดหลัง ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่กำจัดขนได้ดีสุดในปัจจุบัน โดยพบว่า Long Pulse Nd:YAG Laser (Gentle YAG) เหมาะกับขนเส้นใหญ่ สีดำ เช่น หนวด เครา ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ฯลฯ ส่วน Q-Switched Nd:YAG (Revlite laser) 1064 nm เหมาะกับขนอ่อน สีไม่เข้มมากนัก เช่น ขนอ่อนบริเวณใบหน้า
แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การกำจัดขนแม้จะกำจัดได้ 100% แต่ไม่ถาวร เพียงชะลอการงอกใหม่ของเส้นขน ได้ไปเป็นปีๆ เท่านั้น