ผู้เขียน: นพ.จรัสพล รินทระ
ฉีดฟิลเลอร์ ยังไงให้ได้ FEEL “กู้หน้าอิดโรย เบ้าตาลึก ถุงไขมันใต้ตา ให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง”
โบท็อกซ์ หน้าเรียว “ปรับหน้าเหลี่ยมให้เรียวเล็ก” อย่าคิดว่าฉีดที่ไหนก็ได้ เอาสะดวกและถูกไว้ก่อน
อยากทำหน้าเรียวเช็คก่อนมั๊ย เหตุผลที่หน้าบานเพราะอะไร “4 เทคนิคเช็คหน้าบาน ด้วยตัวเอง”
เคล็ดไม่ลับ อยากย้อนวัย ครีมอะไร ก็ไม่ช่วย แล้ว ” 58 ปี หน้าดี เป๊ะเวอร์ ” ทำได้ไง!!!!
“ฝ้า กระ รอยดำสิว” Revlite Laser ทำงานอย่างไร จึงหน้าใสได้ โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อผิว
ฉีดโบท๊อกซ์มา “ยิ้มไม่ได้ หน้าแข็ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ” ปัญหาที่น่าสงสัย ว่าเป็นจากอะไร
ฉีดฟิลเลอร์เบ้าตาลึก แล้วเป็นก้อน อยากแก้ไข ทำอย่างไรให้หาย ให้ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์
อินเดี่ยนไลน์(INDIAN LINE) หรือร่องตรงโหนกแก้ม สาเหตุเกิดจากอะไร แก้ไขได้หรือไม่
เสริมจมูกด้วยซิลิโคน เลือกชนิดไหนดี ให้เป๊ะปังเหมาะกับเรา
เลือกซิลิโคนแบบไหนดี ให้ดูดี ดูปัง เป็นธรรมชาติ
ศัลยกรรมการเสริมจมูกเป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมที่สูงที่สุด เพราะจะช่วยให้ใบหน้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ชัดเจนที่สุด เปลี่ยนลุค เปลี่ยนโหวงเฮ้ง หรือเปลี่ยนคนไปเลยก็มี เพราะจมูกคือสิ่งที่งดงาม และเด่นสะดุดตาที่สุดบนใบหน้าของคนเรา
เหตุที่ทำไม การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน จึงเป็นที่นิยม ก็เพราะทำได้ง่าย ปัจจุบันราคาก็ไม่แพง แถมเห็นผลเร็วขัดเจน และจะอยู่กับเราไปได้ตลอดชีิวิต นอกจากการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญ แล้ว การเลือกชนิดของซิลิโคนในการเสริมจมูกก็ถือว่าสำคัญ เพราะจะได้ไม่ต้องไปแก้ไข หลายรอบ ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง ยิ่งแพง
ชนิดของซิลิโคนในการเสริมจมูก :
1. ซิลิโคนแบบเหลาเอง : มักจะมาเป็นบล๊อค แล้วนำมาเหลาเอง ตามรูปทรงจมูกที่ต้องการ เพื่อให้เข้ากับใบหน้าคนไข้ได้ทุกรูปแบบ
ข้อดี
- สามารถปรับแต่งให้เข้าได้กับจมูกทุกรูปหน้า ทุกรูปแบบว่าคนไข้ที่ต้องการความโด่งมากน้อยแค่ไหน ต้องการให้มีปลายหยดน้ำ ซิลิโคนนี้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกมิติความต้องการของแต่ละบุคคล
- ส่วนใหญ่คุณภาพของซิลิโคนแบบเหลาเองจะดีกว่าแบบสำเร็จรูป
ข้อจำกัด
- ใช้เวลานาน ราคาแพง
- แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ มิฉะนั้น อาจทำให้จมูกเบี้ยวได้
2. ซิลิโคนแบบสำเร็จรูป : เป็นซิลิโคนที่ขึ้นรูปร่างสำเร็จพร้อมที่จะใส่ให้กับคนไข้ทุกคน ซึ่งผลิตมาจากโรงงาน ถูกกำหนดให้มีความกว้างและยาวที่แตกต่างกัน ก่อนทำการเสริมจมูกแพทย์ผู้ทำหัตถการอาจปรับแต่งซิลิโคนเล็กน้อยเพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับโครงจมูกของคนไข้แต่ละราย
ข้อดี
- ได้รูปทรงที่แน่นอน
- โอกาสที่จะเบี้ยว หรือเอียงน้อย
- เลือกได้หลายแบบตามความนิ่ม – แข็ง
- ทางที่ดี เวลาเลือก ซิลิโคนเสริมจมูก ควรเลือกแบบที่มีความนิ่มปานกลาง เพื่อป้องกันเวลาเกิดอุบัติเหตุ ล้มลงหน้าฟาดกับพื้น จะได้ไม่กระทบกับจมูกที่เราไปทำมามากนัก
ข้อจำกัด
- ปรับแต่งรูปทรงได้เล็กน้อย จึงไม่อาจใช้วิธีนี้ได้กับคนไข้ทุกราย
ซิลิโคนปัจจุบันนิยมใช้ของประเทศอะไรบ้าง
1.ซิลิโคนเสริมจมูกของประเทศสหรัฐอเมริกา : เป็นซิลิโคนมาตรฐานพิเศษ และมีความบริสุทธิ์ถึง 100% เป็นซิลิโคนสีขาว มีเนื้อที่นิ่ม ละเอียด มีความปลอดภัยและมีคุณภาพดี มีความยืดหยุ่นดี กว่าซิลิโคนประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ลักษณะพิเศษของซิลิโคนประเทศสหรัฐอเมริกา คือ เนื้อซิลิโคนมีความนิ่มปานกลาง ไม่นิ่มจนเกินไป จึงเป็นที่นิยมมากที่สุด สามารถปรับแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ เมื่อเสริมไปนานๆ แล้วยังไม่มีโอกาสที่จะยุบลงอีกด้วย เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อบริเวณสันจมูกค่อนข้างมาก หรือคนที่มีโครงจมูกยาว ราคาแพง แต่ถือว่าดีที่สุดในปัจจุบัน
2.ซิลิโคนเสริมจมูกของประเทศเกาหลี : ซิลิโคนประเทศเกาหลีเป็นซิลิโคนมาตรฐานและมีหลากหลายเกรด ข้อดีคือ ราคาไม่แพง
3.ซิลิโคนเสริมจมูกของประเทศญี่ปุ่น : ซิลิโคนประเทศญี่ปุ่นเป็นซิลิโคนมาตรฐานและมีหลายเกรด มีลักษณะออกเหลืองและเนื้อซิลิโคนมีตั้งแต่แบบนิม จนถึงค่อนข้างแข็ง บางเกรดพัฒนาได้เกือบเท่ากับของอเมริกา ราคามีตั้งแต่ถูกถึงแพง
Coolsculpting : ลดพุง ปรับสัดส่วนให้น่ามอง ด้วยการสลายไขมันด้วยความเย็น ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัดหรือดูดออก
ลดพุง ลดโรค
การที่มีภาวะอ้วนลงพุงนั้น เกิดจากการที่มีรอบเอวหรือพุงขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด อาจจะเกิดจากการสะสมของไขมันในช่องท้องจำนวนมาก นอกจากจะทำให้รูปร่างไม่ได้สัดส่วนแล้ว อังอาจจะส่งผลให้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ จนน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน อีกทั้งยังอาจจะมีผล ทำให้ระดับไขมันในเลือดและความดันโลหิตสูงขึ้นด้วย เมื่อเกิดภาวะนี้เป็นระยะเวลานาน ผนังหลอดเลือดแดงจะหนาขึ้นจนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การลดความอ้วน ลดพุง จึงทำให้เราลดโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
CoolSculpting คืออะไร
คือการกำจัดไขมันออกจากร่างกาย ด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดย คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้มีการรับรองผลว่าได้ผลจริง จากอเมริกา (US FDA Approve) และทั่วโลก หลักการทำงานคือความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ลบ -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมัน ความลับของไขมัน – เซลล์ไขมันมีความบอบบางเมื่อได้รับความเย็นจัด ในระยะเวลาหนึ่ง เซลล์ไขมันจะหยุดทำงาน ทำให้ไขมันตาย และถูกขับออกจากร่างกาย โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก (non-invasive) จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล ไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องฉีด เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปก
Coolsculpting ทำได้บริเวณไหนบ้าง ลดไขมันได้เท่าไหร่
คุณสามารถกำจัดไขมันได้ทุกบริเวณที่ต้องการ แม้แต่ในพื้นที่เล็กๆอย่างไขมันใต้คาง เหนียง คางสองชั้น จนไปถึงการกำจัดไขมันในพื้นที่ให้ๆอย่างสะโพก ข้างเอว หน้าท้อง ต้นขา ซึ่งที่คลินิกนีโอ เรามีหัวเครื่องมือหลายแบบที่สามารถเข้าถึงในพื้นที่เล็กๆ จนสามารถครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ๆได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจาะ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาทำไม่นานเพียง 35 นาทีต่อการหนีบ
เพียงครั้งเดียว สามารถลดไขมันได้ถึง 27% ภายใน 3 เดือน มีรายงานรับรองผลกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก แถมปลอดภัยเพราะทำลายเฉพาะเซลล์ไขมัน ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออวัยวะอื่น หลังทำไม่มีเกิดเซลลูไลต์ และไขมันไม่กลับมาใหม่ ถ้าควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
รอยหลุมสิว การรักษาอย่างไร แบบไหน ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ต้องพักฟื้น คืนผิวเนียน
ชนิดของหลุมสิว
ปัญหาแผลเป็น รอยหลุมสิว มักเกิดจากสาเหตุการมีปัญหาสิวอักเสบมาก่อน เมื่อแตกหรือยุบตัว ก็เกิดรอยหลุมขึ้น ซึ่งมักจะเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่แตกและยุบตัวอย่างรวดเร็ว(แม้จะไม่ได้กดหรือบีบเอง) หรือสิวอุดตันหรือสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่รักษาไม่ถูกวิธี มีการกดหรือบีบสิวอย่างผิดวิธี
ชนิดของรอยหลุมสิว( Contour irregularities acne scar) ( ดูภาพประกอบที่ 1) แบ่งได้เป็น
1. Ice Pick Scar: เป็นรอยหลุมจิกลึก ขอบแคบ ขนาดมักไม่เกิน 0.5 มม. แล้วอาจจะกว้างเล็กน้อยที่ฐานของหลุม มักเกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตันให้หลุดออก เป็นรอยหลุมที่รักษาให้เรียบได้ยากที่สุด กว่าแบบอื่นๆ
2. Box car Scar: เป็นรอยหลุมกว้าง ขนาดใหญ่ คล้ายล้อรถทับ ขนาดมักจะประมาณ 3-4 มม. ขอบและฐานหลุมขนาดใกล้เคียงกัน มักจะพบพังผืด (fibrosis) เกาะติดในชั้นหนังแท้ มักเกิดจากผลของอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ หรือแผลเป็นอีสุกอีใส ทำให้เวลาดึงให้ตึงจะเรียบได้ยาก เป็นรอยหลุมที่รักษาได้ยากเช่นกัน
3. Rolling Scar: มีลักษณะเป็นรอยหลุมฐานโค้งคล้ายกะทะ พื้นนุ่ม เวลาดึงให้ตึง แล้วทำให้ขอบแผลเรียบได้ มักเกิดจากผลของอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ ที่ได้รับการรักษามาบ้าง แต่การยุบตัวของสิวไม่สัมพันธ์กับการสมานผิว เป็นรอยหลุมสิวที่ให้ผลการรักษาได้ดีกว่ารอยหลุมแบบอื่น
4. Hypertrophic Scar มีลักษณะแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์ มักจะเกิดจากสิวที่มีการอักเสบและติดเชื้อรุนแรง ทำให้เกิดการสมานแผลผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดน้อย ยกเว้นในคนที่มีปัญหาเกิดคีลอยด์ได้ง่ายอยู่แล้ว
การรักษารอยหลุมสิวที่คลินิกนีโอ :
การรักษาหลุมสิว มีหลายๆ วิธี มีการพัฒนาให้ได้ผลมากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีวิธีใด วิธีเดียว ที่จะได้ผล 100% ต้องใช้การรักษาแบบผสมผสาน หลายๆ วิธี หลักๆ คือ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น และทำให้หลุมสิวเต็มขึ้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนกันขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยหลุมด้วย แบ่งกลไกการรักษาดังนี้
1. การทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
2 การทำให้หลุมสิวเต็มขึ้น
3. ศัลยกรรมตัดพังผืด แผลเป็นสิว
1.การทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น:
โดยการลอกผิวออก อาจจะลอกออกแบบตื้นๆ หรือลอกลึก แล้วแต่การรักษา ตั้งแต่ลอกตื้นๆ จนลอกลึก แต่ที่คลินิกนีโอ จะใช้เพียง 2 วิธี ที่เหมาะกับผิวคนเอเซีย
1.1.Chemical Peeling : โดยการแต้มด้วยกรดเข้มข้น เช่น 50-70 % AHAs หรือ 30-50% TCA กลไกการรักษา ก็คือ การทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกบริเวณรอยหลุม หลุดลอกออกช้าๆ เพื่อเตรียมให้บริเวณที่ต้องการรักษา นุ่มและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ได้มีการแบ่งตัว และดันตัวขึ้นมาบริเวณรอยหลุม พร้อมแก้ไขเซลผิวหน้าชั้นนอกที่มีปัญหาให้กลับคืนสู่สภาพปกติ มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือIce Pick scar,Box car scar,Rolling scar โดยแต้มทุก 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง
1.2 Fractional RF non-needle (E-matrix) : เป็น Fractional RF แบบที่ไม่ใช้เข็ม จัดเป็นการรักษารอยหลุมสิวแบบทำให้ตื้นขึ้นที่ได้ผลดีสุด ในปัจจุบัน โดยหัวพลังงาน RF แต่จะเป็นหัวที่สัมผัสกับผิว โดยจะปล่อย RF ชนิด Bipolar RF ซึ่งจะมีกระแสเป็น + / – สลับกัน และมี Pattern การวิ่งของคลื่น RF แบบ Dual Matrix คือ วิ่งซิกแซกไปมา เพื่อลดแรงเสียดทานที่ผิว ทำให้ลดความเจ็บปวดขณะทำ แต่ได้ผลเป็นเลิศ พร้อมกับมีการใช้เทคนิคเฉพาะที่เรียกว่า Select Pulse เพื่อให้ได้ผลการรักษาเทียบเท่ากับการทำ Resurfacing และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ให้ผลเทียบได้กับ Er-Glass Er-Yag และ Co2 จึง เท่ากับการนำอุปกรณ์เครื่องมือการรักษา 3 ชนิด มารวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน เพื่อใช้ในการรักษาริ้วรอย หลุมสิวที่ไม่มีพังผืด กระชับรูขุมขน ความผิดปกติของเม็ดสี ผิวไม่เรียบเนียน หลังทำอาจจะเป็นรอยดำและลอกออก ใน 3-4 วัน
2. การทำให้ รอยหลุมให้เต็มขึ้น
หลักการคือการสร้างเซลล์ผิวใหม่ มาทดแทนเซลล์ผิวเดิมที่ได้ยุบตัวลงเป็นหลุม มีหลายวิธี แต่ที่คลินิกนีโอ จะใช้เพียง 2 วิธี ที่เหมาะกับผิวคนเอเซีย
2.1 Fractional RF Micro-needling (F.R.M) : จัดเป็นนวัตกรรมรักษารอยหลุมสิว ที่ได้ผลดีมากสุดในปัจจุบัน และ ผลข้างเคียงน้อยสุด เป็นการนำเอา พลังงานคลื่นวิทยุ RF ปล่อยลงที่ปลายเข็มที่มีขนาดเล็ก เข็มจะตัดพังผืดแนวยาว และพลังงาน RF ที่ปลายเข็ม จะกระตุ้นการสร้างเนื้่อใหม่ โดยมีข้อแตกต่างกันที่ Fractional Laser ตรงที่พลังงานจะลงไปลึกกว่าและกว้างกว่าพลังงานเลเซอร์ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว
2.2 Fractional Erbium Laser -1550( Finescan-1550 ): คือ เลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิว โดยหลักการทำงาน คือการยิงแสงเป็นลำเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อทำให้เกิดการทำลายรอยหลุม แล้วก่อให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ (micro-injuries) หลังจากนั้นก็จะเกิดการสมานแผล และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หลังทำ ผิวหน้าจึงกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง รอยหลุมตื้นขึ้น รอยด่างดำ จางลง แต่ไม่เหมาะกับคนสีผิวคล้ำ เพราะอาจจะทำให้ผิวคล้ำ ดำกว่าเดิมได้
3. ศัลยกรรมตัดพังผืด แผลเป็นสิว
การทำศัลยกรรมรอยหลุมสิว เดิมมีหลายวิธี แต่วิธีเดิมๆ มักจะทำให้เกิดแผลเป็น รอยเย็บ แต่คลินิกนีโอ เลือกเฉพาะที่ทำแล้วได้ผล ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น ได้แก่
3.1 Norkor Needle Subcision: คือการใช้เข็มที่มีใบมีดอยู่ตรงปลายเข็ม ใช้สำหรับทำ Subcision โดยเฉพาะ ขนาดเท่าเบอร์ 18 แทงเซาะบริเวณใต้ฐานหลุม ทำให้มีการแยกชั้นของผิวหนัง พังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุมก็จะหลุดออก เกิดเลือดมาสะสมที่ในรอยแยก พร้อมกับนำพา Fibroblast มาทำการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บ ให้มีการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เหมาะกับหลุมสิว ice-pitch scar หรือ box scar ที่มีพังผืดยึดเกาะไม่มากนัก
3.2 Blunt Blade Subcision : จัดเป็นทางเลือกใหม่ในการทำ Subcision โดยแทนที่จะตัดพังผืดให้ขาดออกด้วยความคมของใบมีดเช่น Nokor Needle ซึ่งอาจจะมีแผลเป็นเล็กๆ จากความคมของใบมีดเอง เปลี่ยนมาเป็นใบมีดแบบทู่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในการทำให้พังผืดเกิดการฉีดขาดแทนการตัด โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นก็จะน้อยกว่า โดยมีหลากหลายขนาดของเครื่องมือ เหมาะสำหรับรอยหลุมขนาดใหญ่ และมีพังผืดเกาะค่อนข้างหนา
ถุงไขมันใต้ตา ปัญหากวนใจ แก้ไขอย่างไรกับเบ้าตาลึก ฉีดฟิลเลอร์ช่วยได้ ไม่ต้องผ่าตัด
รอยแดง สิวอักเสบ ปานแดง หน้าแดงง่าย รักษาได้ด้วยวีบีม เลเซอร์ (V Beam )
V-Beam Laser คืออะไร
V-Beam Laser จัดเป็นเลเซอร์รักษาปัญหารอยแดง หรือเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่เป็นที่นิยมสูงสุดทั่วโลก เมื่อเทียบกับเลเซอร์รักษาเส้นเลือด( Vascular Lasers) ทั้งหมด และเป็นเบอร์ 1 มาตลอด ระยะเวลามากกว่า 15 ปี เพราะมีผลงานวิจัยทางการแพทย์รับรองผลมากกว่า 300 งานวิจัย ถือเป็น Gold Standard หรือเลเซอร์มาตรฐานสากล ที่เป็นตัวเลือกแรกสำหรับแพทย์ในการนำมารักษาปํญหาดังกล่าว
– V-Beam Laser จัดเป็น pulsed dye laser ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดในรูปแบบต่างๆ โดยไม่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อหรือผิวบริเวณที่ทำการรักษา โดย ที่มีความยาวคลื่น 595 nm ซึ่งถือว่าเป็นช่วงคลื่นที่มีเป้าการทำลายที่เส้นเลือดจากเฉพาะเจาะจงที่สุด
– โดยมีหลักการทำงานดังนี้ แสงจาก V-beam จะ ไปทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติใต้ผิวหนังอันเนื่องจากการอักเสบ เกิดการหดตัว จางหายไป เห็นผลทันทีหลังทำ และยังไปกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งทำหน้าที่นำอาหารมาสู่ผิวหนังมากขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ รอยโรคต่างๆ จะ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
V-Beam Aestetica คือ วีบีมตัวล่าสุดที่คลินิกนีโอ นำมาให้บริการแทนรุ่นเดิมที่เคยใช้ โดย มีความแตกต่างคือ พลังงานจะแบ่งย่อยเป็นมากขึ้น จากเดิม แบ่งพลังงานเพียง 4 ช่อง (Sub-pulses) มาเป็น 8 ช่อง(Sub-pulses) ทำให้ยิงได้แรงขึ้น หายเร็วขึ้น แต่ผลข้างเคียงน้อยลงกว่ารุ่นแรก มีความอ่อนโยนต่อผิว โดยมีระบบพ่นความเย็นที่ให้ความ ละเอียดสูงผสานไปกับลำแสงเลเซอร์ที่มีความเที่ยงตรงสูง ทั้งในแง่พลังงานและ ระยะเวลาการปล่อยแสงเลเซอร์ที่แม่นยำ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง พร้อมกับมีระบบป้องกันผิวหนังชั้นบน DCD และระบบให้พลังงานที่ปรับเปลี่ยนได้ทำให้การทำเลเซอร์สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
V-Beam Laser รักษาอะไรได้บ้าง
1. เส้นเลือดฝอยแตกขยายบริเวณหน้าและขา (Facial and Leg Talangiectasia)
2.หน้าแดงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติ (Rosaeea)
3. เส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ (Poikiloderma of Civatte)
4. รอยแดงนูนที่เกิดจากการผิดปกติของเส้นเลือด (Angiomas)
5.ปานแดง (Hemangiomas, Port wine stains)
6.ความผิดปกติของเส้นเลือดที่ปาก (Venoud lakes)
7. ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า (Peniorbital Wrinkles)
8. สิวอักเสบ (Imflammtory Acne Vulgaris)
9. รอยแดงจากสิว (Post Acne erythema)
10. รอยแดงจากแผลเป็นและแผลผ่าตัด (Hypertrophic Scar)
11. หูด (Wart)
12.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
13. ภาวะฟกช้ำ ( Bruising) หลังทำศัลยกรรม หรือรอยฟกช้ำ
( Ecchymosis)
14. คนที่มีปัญหา หน้าบาง หน้าแดงได้ง่าย
15. ผิวหน้าที่ติดเสตียรอยด์
16. คนที่มีปัญหาเซ็บเดิร์ม(Seborrheic dermatitis) ตามร่องจมูก หัวคิ้ว
17. รอยกระตื้น (Epidermal Pigmented)
ข้อดีของ วีบีม (V-beam)
- สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณต่างๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพในคราวเดียวกัน เช่น สิว รอยแดงสิว ริ้วรอย กระ รอยดำต่างๆ รวมทั้งเส้นเลือดขยาย
- ใช้เวลาในการรักษาสั้น เพียง 10-15 นาทีต่อครั้ง
- ไม่เจ็บ ไม่ต้องทายาชา หรือฉีดยาชาก่อนการ รักษาเลย
- สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ ทันทีหลังจากการรักษาครั้งแรก ซึ่งจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้ารับ การรักษาอย่างต่อเนื่อง
- มีความปลอดภัยสูง และได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก อย.ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งยืนยันในมาตรฐานสูงสุด
- ไม่มีบาดแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ผลข้างเคียงของ วีบีม (V-beam)ที่พบได้
- บริเวณที่ยิง เช่น รอยแดงสิว อาจจะพบดำคล้ำขึ้นได้ 2-3 วัน หลังจากนั้น รอยแดงจะค่อยๆ ลดลง จนหายเป็นปกติ
- กรณียิงรักษาเส้นเลือดที่ผิดปกติ (telangiectasia) อาจจะพบว่าเส้นเลือดฝอยหลังยิง อาจจะแตก แล้วทำให้เกิดเลือดกระจายในชั้นผิวหนังที่เรียกว่า Purpura เหมือนรอยช้ำ ห้อเลือดทั่ว ๆ ไป จะเป็นประมาณไม่กี่วัน ก็จะค่อยๆ จางหายไปเอง แล้วเส้นเลือดฝอยดังกล่าวก็จะค่อยๆ หายไป
เซ็บเดิร์ม ( Seborrheic dermatitis) รักษาแบบเดิมๆ ไม่หายซักที ทำไงดี อยากหายขาด
Seborrheic dermatitis (เซ็บเดิร์ม)คืออะไร
– คือ โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมันมาก และมีขน เช่น บริเวณหนังศีรษะโดยเฉพาะบริเวณตีนผม เช่น หน้าผาก ท้ายทอย หัวคิ้ว หนวดเครา ข้างจมูก โรคนี้มักจะเกิดเป็นๆ หายๆ เรื้อนัง ทำให้เกิดความไม่สบายใจกับคนไข้ เพราะอาจจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
– ลักษณะ : ผื่น มักจะมีสีแดง หรือแดงออกเหลือง ขอบเขตชัดเจน มีขุยมันๆ ปกคลุมอยู่ บริเวณหนังศีรษะถ้าเป็นมาก อาจจะค่อยๆ ขยายออกเป็นปื้นหนา หรือตกสะเก็ด
สาเหตุ :ที่แท้จริงของโรคในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ ภาวะภูมิแพ้หนังศีรษะ หรือ อาจเกี่ยวข้องกับเชื้อ P.ovale เพราะมีเหตุผลว่าเมื่อวัดปริมาณของเชื้อนี้ในคนที่มีอาการ จะมีมากกว่าคนปกติ
โรคนี้บางที แพทย์ต้องวินิจฉัยแยกโรค จากโรคเรื้อนกวาง( Psoriasis) โรคผื่นแพ้อักเสบ( contact dermatitis) โรคผิวหนังอักเสบจากเหา โดยอาศัยลักษณะผื่น การซักประวัติ การตรวจร่างกายและการส่องกล้องจุลทรรศน์
แนวทางการรักษาแบบเดิม
– ก่อนหน้านี้ เรามักจะรักษาตามอาการ เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แนวทางการรักษาแบบเดิมๆ ก็จะมีดังนี้
1. แชมพูสระผม พบว่า ที่มีส่วนประกอบของ 2.5 % Selenium sulfide,Cold tars,Zinc pyrithone สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ และช่วยลดภาวะผมมันลงได้ด้วย
2. แชมพูสระผม ประเภทฆ่าเชื้อรา เช่น Nizoral shampoo พบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.ovale ได้ และทำให้ภาวะเซ็บเดิร์มลดลงได้
3. ในรายที่มีการอักเสบ การใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของ Corticosteroids จะช่วยลดและรักษาอาการอักเสบได้ดี
4. ในรายที่มีปื้นหนาๆ แพทย์บางท่านอาจให้ สารลอกขุย( Keratolytic agents) เช่น Salicylic acid,cold tar ร่วมด้วย
5. กรณีที่เป็นที่บริเวณใบหน้า การเลือกครีมแก้แพ้ ลดรอยแดง จะช่วยให้ดีขึ้น การมาสค์หน้าลดการอักเสบ ด้วยกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น สาหร่ายทะเล เป็นประจำก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ หรือกรณีที่เห่อ แล้วเกิดสิวอักเสบ สิวอุดตันตามมา การมาสค์หน้าด้วยยีสต์หมักรักษาสิวที่เรียกว่า Vivant Mask (มาส์ควีวอง) ก็ช่วยให้สิวยุบตัวลงได้
6. การป้องกันมิให้เป็นมากขึ้น ต้องหลีกเลี่ยง สาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ภาวะของโรคกำเริบ
แนวทางการรักษาแบบใหม่
โรคนี้แต่ก่อน การรักษาส่วนใหญ่ไม่ค่อยหายขาด มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศ ภูมิต้านทาน และการดูแลสุขอนามัย ของผู้ป่วย ทางคลินิกนีโอ จึงได้ลองทำการรักษาด้วยเลเซอร์แทน พบว่าทำให้คนไข้อาการหายได้เร็วขึ้น ไม่ค่อยกลับมามีอาการได้นานๆ หลายเดือน หรือบางคนหายขาดได้
1. V-Beam Laser มีหลักฐานว่าปัญหาเซ็บเดริ์ม ทำให้เกิดรอยแดง เส้นเลือดผิดปกติ วีบีมเลเซอร์ จัดเป็นเลเซอร์รักษาปัญหารอยแดง หรือเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่เป็นที่นิยมสูงสุดทั่วโลกได้ผลทันทีหลังทำ คลิินิกนีโอ ได้นำวีบีมเลเซอร์มาทำ การรักษารอยเห่อแดง จากเซ็บเดิร์ม ทำให้อาการหายได้เร็วขึ้นกว่าวิธีเดิมๆ และไม่ทำให้ลดอัตราเสี่ยงที่ทำให้คนไข้ติดสเตียรอยด์
2. Finescan Laser 1550 : เพราะเชื่อว่า อาการของเซ็บเดิร์ม เกิดจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ หลักการทำงานของเลเซอร์ Fine scan หรือ Erbium Glass Laser เป้าหมายคือต่อมไขมันโดยตรง ดังนั้นการยิงไปยังบริเวณที่มีปัญหา ตัวเลเซอร์จะไปรักษาท่อไขมันและต่อมไขมันที่ผิดปกติ จึงเป็นแนวทางการรักษาที่ช่วยให้อาการเซ็บเดิร์มให้หายขาดได้ และป้องกันการกลับมาเห่อใหม่ได้อีก
สิวอักเสบ สิวเรื้อรัง รอยหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน Fine Scan 1550 คือคำตอบ เหมาะกับผิวเอเซีย
สักมา ไม่ถูกใจ แก้ไขได้ ด้วยเลเซอร์ Revlite ลบได้หลากหลายสี ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง
ลดโหนก โหนกแก้มใหญ่ ไม่อยากผ่าตัด ฉีดฟิลเลอร์ช่วยได้ เชื่อมั้ย !
โหนกแก้มใหญ่เกินเบอร์ หน้าบานเว่อร์ ทำไงดี
“โหนกแก้ม” องค์ประกอบหนึ่งของใบหน้าที่จะสามารถเพิ่ม หรือ บั่นทอนความงามบนใบหน้าของคุณได้ โดยการมีโหนกแก้มที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้า แต่ถ้าโหนกแก้มมากเกินไป จะทำให้เห็นกระดูกโหนกแก้ม ชัดเจน จะทำให้ใบหน้านั้นดูแข็ง ดุดัน ในผู้ชายอาจจะดูดีสมกับความเป็นชาย แต่ถ้ามากเกินไป ก็อาจจะทำให้หน้าบาน หน้ากลม ยิ่งถ้าต้องการจะปรับหน้าวีเชฟ แต่มีโหนกแก้มใหญ่เกินไป อาจจะทำให้ยากต่อการปรับหน้าวีเชฟ เพราะจะดูน่ายิ่งเหมือนอีที
ในส่วนของเพศหญิงนั้น การมีโหนกแก้มที่นูนขึ้นมาเพียงเล็กน้อย จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวานสมกับความเป็นหญิง แต่หากผู้หญิงที่มีลักษณะโหนกแก้มสูง และ ใหญ่นั้น จะส่งผลให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่อ่อนหวานสมกับความเป็นหญิง และ เป็นที่ไม่พึงประสงค์ของสาวๆ เมื่อส่องกระจกอยู่ไม่น้อย
การผ่าตัดลดโหนกแก้ม
ถ้าจากปัญหากระดูก การผ่าตัดศัลยกรรมลดโหนกแก้มจะช่วยลดขนาดกระดูกใบหน้าช่วงกลางเช่นการ กรอโหนกแก้ม ไม่เพียงกระดูกโหนกแก้มเท่านั้น ใบหน้าก็เล็กลงด้วย แต่ถ้าท่านไม่อยากจะผ่าตัด ต้องพักฟื้นนานหลายเดือน และอาจจะมีผลข้างเคียงได้ เช่น หน้าชาไม่รู้สึก จากการผ่าตัดไปโดนเส้นประสาท หรือทำให้หน้าเกิดการหย่อนคล้อยลงได้ เรามีอีกทางเลือกหนึ่งในการลดโหนกแก้ม นั่งคือการฉีดฟิลเลอร์ลดโหนกแก้ม
ฉีดฟิลเลอร์ลดโหนกแก้ม
ถ้าแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ และมีประสบการณ์ในการวิเคราะห์และดีไซน์หน้าคนไข้ จะสามารถแก้ไขปัญหาโหนกแก้มสูงหรือโหนกแก้มโตให้คนไข้ได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ ปรับมุมแสงตกกระทบที่โหนกแก้มให้ลดลง เพิ่มมุมมอง จุดกระทบแสงใหม่ให้เกิดขึ้น เปลี่ยนมิติหน้าใหม่ได้ เปรียบเสมือนงานปั้นหรือช่างแต่งหน้ามืออาชีพที่สามารถจะลดจุดด้อย เพิ่มจุดเด่นให้ใบหน้าให้ดูดีขึ้น ชวนมองขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น
ฟิลเลอร์มีหลากหลายยี่ห้อมาก จะเลือกอย่างไรให้ได้ผลดีและปลอดภัย : ควรเลือกยี่ห้อหรือชนิดที่ได้มาตรฐาน ผ่านอย. และควรเลือกชนิดที่เป็น Top of Fillers เพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ถึงมาตรฐาน และผลที่ได้รับ นอกจากนี้แพทย์ที่ทำควรจะมีประสบการณ์และวิเคราห์โครงหน้าคนไข้ได้อย่างเหมาะสมและทำให้ดูดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์ที่คลินิกไช้ ยี่ห้ออะไร ปริมาณที่ใช้ฉีดลดโหนก ราคาเท่าไหร่ มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง : เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. และเป็น Top brand ของตลาด คือ Restylane,Juvederm ส่วนปริมาณที่ใช้แล้วแต่คน ปกติจะใช้ข้างละ 1-3 CC ราคามีทั้งแบบโปรโมชั่นและเคสรีวิว
คลินิกนีโอ (CLINICNEO) : ปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ยกกระชับ ปรับสัดส่วน มาตรฐานสากล
LipoLift-Silk : ร้อยไหมละลายไขมัน ยกกระชับผิว สาวๆ ที่มีปัญหา “แก้มใหญ่ หน้ากลม หน้าห้อย”
Lipolift-Silk คืออะไร?
Liposilk เป็นการสอดไหมผลึกคลิสตัล เข้าไปในชั้นไขมัน เพื่อสลายไขมันส่วนเกิน ช่วยลดไขมันในบริเวณที่ไม่ต้องการ และยังช่วยยกระชับผิว ลดการหย่อนคล้อย เห็นผลทันทีหลังทำ
Lipolift-Silk กำจัดไขมันได้อย่างไร?
Liposilk เมื่อถูกร้อยเข้าไปในชั้นไขมัน เส้นไหมที่ประกอบผลึกตัวยที่สกัดจากธรรมชาติ (ผ่านอ.ย.แล้ว) อันได้แก่ Guarana Extract,Glycerin,Ruscus aculratus extract,Hedera helix Extract(Ivy) ,Lamina digitata extract( Wakamine) จะทำหน้าที่ละลายไขมัน โดยใฃัหลักการ Homeopathy ปรับสมดุลย์ไขมันในร่างกาย ผลึกคริสตัลจะค่อยๆ ละลายตัวยาออกมาสลายไขมัน ให้เป็นกรดไขมัน แล้วจะถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง
Lipolift-Silkเหมือนกันหรือต่างกับ Mesofat อย่างไร ?
Liposilk หลักการทำงานคล้ายกับการทำ Mesofat แต่ต่างกันที่ เมโสแฟตคือฉีดยาที่เป็นของเหลวเข้าไปในชั้นไขมันหลายๆ จุด ทั่วบริเวณที่ต้องการรักษา แต่ Liposilk จะเป็นการสอดวางเส้นไหมตามจุดที่เหมาะสม โดยจำนวนเส้นไหม จะแตกต่างกันแล้วแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ข้อดีของ Liposilk คือจะไม่มีรอยช้ำหรือเจ็บแสบๆ หน่วงๆ เหมือนเมโสแฟต จำนวนครั้งในการทำน้อยกว่า และทำทุก 2-3 อาทิตย์ ทำให้ประหยัดเวลา
บริเวณใดบ้างที่สามารถทำการรักษาด้วย Lipolift-Silk ได้ ?
ทำได้ทุกบริเวณที่มีไขมันสะสม ได้แก่ แก้มเพื่อปรับหน้าวีเชฟ เหนียง หน้าท้อง ต้นขาด้านนอก ต้นขาด้านใน ต้นแขน หลัง เอว เป็นต้น
ความรู้สึกขณะทำการรักษาด้วย Lipolift-Silk เป็นอย่างไร?
ก่อนการสอดไหม Liposilk จะประคบน้ำแข็งให้ชา แล้วค่อยๆ สอดเส้นไหม ผ่านเข็มนำร่องเข้าไป หลังทำแทบจะไม่เจ็บเลย หลังทำไม่มีอาการบวม แดง มีรอยช้ำ
จำนวนและระยะห่างระหว่างสอดไหมละลายไขมันด้วย Lipolift-Silk ?
ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 สัปดาห์
ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
หลังทำเห็นผลชัดเจนทันทีก่อนว่ายกกระชับขึ้น เมื่อเทียบกับอีกข้างที่ยังไม่ทำ ส่วนระยะเวลาในการลดไขมัน จะเห็นได้ว่าความหนาของชั้นไขมันลดลง หลังการรักษาประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 และความหนาของชั้นไขมันและ Cellulite สามารถลดลงได้อีกหากทำการรักษาต่อเนื่อง
ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังการฉีด Lipolift-silk ?
หลังทำ 3-4 วัน ควรนวดบริเวณที่สอดไหม เพื่อให้ผลึกไหมละลายได้ดีขึ้น ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตร 2 วันหลังทำ และเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันมิให้ไขมันกลับมาสะสมได้ใหม่
ผลข้างเคียงจากการทำการรักษาด้วย Lipolift-silk ?
เนื่องจาก Liposilk ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก จึงไม่พบข้างเคียงที่เป็นอันตราย อาจจะคลำได้เส้นไหมบางครั้ง ถ้าใส่ตื้นเกินไป หรือในบางตำแหน่งที่ผิวบาง แต่ผลึกเส้นไหมละลายไขมันจะค่อยๆ หายไปเอง ไม่เหลือตกค้างในร่างกาย
ข้อห้ามในการทำ Lipolift-silk มีดังนี้
– สตรีมีครรภ์
– คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
– คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
– คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
ฟิลเลอร์เติมขมับ ปรับลดโหนกแก้ม แก้เบ้าตาลึก ด้วย Tower technique วางบนกระดูก
ย้อนวัยไม่ให้ร่วงโรยด้วยฟิลเลอร์
โครงหน้าหรือหน้าตาของคนเราแต่ละคน ย่อมมีทั้งส่วนที่เหมือนหรือคล้ายกันและมีทั้งความต่างกัน ทั้งในเรื่องเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ สีผิว ลักษณะนิสัย แต่ที่ไม่แตกต่างกันก็คือเมื่ออายุมากขึ้น ก็ย่อมมีการเสื่อมตามวัย เห็นได้ชัด เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป จะพบว่าความเสื่อมจะเร่ิมปรากฏชัดก็คือเรื่องผิวพรรณ โดยจะพบว่าคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนังในการทำให้เต่งตึง กระชับได้เริ่มลดน้อยลง จึงทำให้เกิดมีปัญหาริ้วรอย และการหย่อนคล้อยของผิวหน้าตามมา ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ภาวะหย่อนคล้อยของผิวหน้าก็จะยิ่งมากขึ้น เช่น หางตาเริ่มตก แก้มหย่อน ร่องแก้มลึก เบ้าตาลึก ร่องปากเริ่มตกลง ขมับตอบลง
ซึ่งสาเหตุของความหย่อนคล้อย ส่วนหนึ่งมาจากปริมาณคอลลาเจนที่ลดลง หรือ Volumn Loss ไป ดังนั้นถ้าเราสามารถจะชดเชย Volumn ที่เสียไปให้กลับมาเต่งดึง มีน้ำมีนวล ดูเยาว์วัยขึ้น น่าดูขึ้น การฉีดเติมด้วย Fillers หรือไขมันก็อาจจะเป็นการเลือกหนึ่งที่นำมาแก้ปัญหาได้
Tower technique with Filler คืออะไร
คือการฉีดสารฟิลเลอร์ โดยเข็มคม ลงไปวางบนชั้นเหนือกระดูก แบบเหมือนหอคอย จะทำให้มีคุณสมบัติเป็นการยกกระชับ เพิ่ม Volumn เพราะเมื่ออายุเยอะคน บางคนจะสูญเสียเนื้อมวลกระดูกไปด้วย การฉีดวางตำแหน่งฟิลเลอร์บริเวณนี้ จะเหมือนกับการเสริมเพิ่มความหนาให้กับมวลกระดูกไปด้วย และยังทำให้มีการเพิ่มเนื้อเยื่อที่อยู่เหนือกระดูก เช่น ชั้นไขมัน ชั้นหนังแท้ มี Projections หรือยกให้สูงขึ้นได้ Tower technique with Filler เหมาะกับบริเวณใด
– เหมาะกับบริเวณที่มีการยุบตัวมาก ทั้งจากกระดูกที่บางลง หรือชั้นคอลลาเจนที่ลดลง มักนิยมฉีดเติมฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคนี้ ในการฉีดเติมบริเวณโหนกแก้มลึก เบ้าตาลึก หางคิ้วตก ฉีดขมับตอบลึก
Tower technique with Filler มีความปลอดภัยหรือไม่
– เนื่องจากตำแหน่งที่วางของเข็มคม จะปักลึกและตรงวางบนชั้นกระดูก ( Supra-Periosteal injection ) ที่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้่ยงน้อยมาก ไม่เหมือนชั้นไขมัน หรือชั้นหนังแท้ ดังนั้นโอกาสที่จะโดนเส้นเลือดจึงน้อยมาก และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังฉีด แต่แพทย์ที่ทำ ควรจะมีประสบการณ์และความชำนาญ จึงจะทำให้หลังทำ ได้ผลดี สวยงาม ดูธรรมชาติและไม่เป็นก้อน
Tower technique with Filler ดีกว่าการฉีดเติมไขมันอย่างไร
– การฉีดเติมโดยใช้ไขมัน จะฉีดด้วยเทคนิคนี้ไม่ได้ เนื่องจากไขมันจะกระจายไปรอบทิศ ไม่อาจจะควบคุมทิศทางได้เหมือนฟิลเลอร์ และยากต่อการปั้นแต่งให้ดูสวย แต่ฟิลเลอร์สามารถทำได้ ถ้าเลือกฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเฉพาะที่จะนำมาใช้บริเวณนี้ นอกจากนี้หลังฉีดไขมันจะยุบหายไปเกินกว่า 30-40 % ทำให้คาดการณ์ได้ยากว่าปริมาณที่เหมาะสมจะใช้เท่าไหร่ แต่ฟิลเลอร์จะคาดการณ์ปริมาณการยุบหายได้ และอยู่ได้นาน 2-3 ปี มากกว่าการฉีดเติมด้วยไขมัน
Tower technique with Filler ทำไมต้องใช้เข็มคม ไม่ใช้เข็มทู่
เนื่องจากความคมของปลายเข็ม หรือ Needle จะทำให้ทะลุทะลวงลงลึกไปวางบนชั้นกระดูกได้ แต่เข็มปลายทู่หรือ Canula ไม่สามารถจะสอดผ่านเข้าไปได้ลึกได้ขนาดนั้น ยกเว้นแพทย์จะมีความชำนาญมากจริง แต่ถึงจะทำได้ก็จะกำหนดทิศทางได้ยากกว่าเข็มปลายคม
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดี ปลอดภัย สวยงาม เป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงน้อย มีเทคนิคต่างๆ มากมาย ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญต้องใช้เวลาในการหมั่นฝึกฝน อบรม และพัฒนาตนเองตลอดเวลา สามารถดีไซน์สัดส่วนและโครงหน้า จุดเด่น จุดด้อยในแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ได้อย่างมีศิลปะ และขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งประสิทธิผลและราคายุติธรรม จึงจะสามารถสร้างความต่างอย่างมีสไตล์ได้จริง
ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า ให้กระชับ ปรับรูปหน้า ด้วยเทคนิค Crown Lifting
ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า คืออะไร
คือ การฉีดสารโบทอกซ์ เพื่อให้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษที่ฉีดเฉพาะบริเวณกรอบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเกิดการยกกระชับ ช่วยเพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า ให้ได้รูปหน้าที่สวย คมชัดได้สัดส่วน ไม่ว่ามองมุมไหน ก็เป๊ะปัง ดังใจ
แถมทำให้ดูอ่อนวัย ไม่หย่อนคล้อย คิ้วโก่ง ตาคมเฉี่ยว สวยสง่า อ่อนวัย และดูโฉบเฉี่ยว ดังนางพญา หรือนางงามที่ชนะเลิศได้ครองมงกุฎ หลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์จะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน
เทคนิค Crown Lifting คืออะไร
คือ เทคนิคการฉีดโบทอกซ์ ( Botulinum toxin type A) ยกกระชับกรอบหน้า ที่แตกต่างจากการฉีดโบทอกซ์ทั่วๆ ไป โดยเราจะเน้นฉีดตามแนวที่สวมมงกุฏ หรือชฎา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ช่วยทำให้กรอบหน้าดูคมชัด เป็น L-Shaped
เพราะตำแหน่งนี้ จะช่วยยกกระชับกรอบหน้าให้คมชัด และเห็นผลดีที่สุด และควรฉีดเข้าไปในชั้นคอลลาเจน ที่เรียกว่า Intradermal (Dermolift) technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงทำให้รอยย่นหน้าผากลดลง คิ้วดูโก่งขึ้น หางตาไม่ตก ตาจะดูโฉบเฉี่ยว ตีนกาจะลดลง แต่ยังแสดงสีหน้าได้ตามปกติ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง ขยับไม่ได้ เหมือนกับการฉีดลดรอยย่นทั่วๆ ไป
เหมาะทุกเพศ ทุกวัย สามารถฉีดยกกระชับกรอบหน้า Crown Lfiting ได้ โดยแพทย์จะทำการประเมินตำแหน่ง และปริมาณยุนิตที่ใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละคน เพื่อจะได้ดีไซน์รูปหน้าท่านให้ดูดีขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการแพทย์แบบมีศิลปะ
แก้โหงวเฮ้ง คางสั้น คางเบี้ยว คางตัด คางบุ๋ม ไม่สวยได้รูป ทำอย่างไร
คางสั้น หรือไม่ ดูอย่างไร
หลายคนบอกว่าหน้าบาน คางสั้น ถ้าเสริมคางจะทำให้หน้าหายบานมั้ย ขอตอบว่าก่อนจะเสริมคาง ต้องดูก่อนว่า โครงหน้าเราเป็นอย่างไร
การที่คนเรา จะมีโครงหน้าที่สวยงาม ได้สัดส่วน จะต้องมีความสมดุลกันตั้งแต่หน้าผาก จมูกและคางโดยต้องมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแพทย์จะตรวจสภาพโครงหน้าคนไข้ ที่เรียกว่า Gloden Ratio โดยจะทำการแบ่งพื้นที่บนโครงหน้าอย่างง่ายๆ เป็น 3 ส่วน
– ส่วนที่ 1 เริ่มจากหน้าผาก ถึงกึ่งกลางตา เป็นส่วนที่ 1
– ส่วนที่ 2 เริ่ม จากกึ่งกลางดวงตาถึงขอบปีกจมูก
– ส่วนที่ 3 เริ่มจากขอบปีกจมูกด้านล่างถึงขอบคาง
ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1 หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่น้อยเกินไปจะทำให้ขาดความสมดุล โดยถ้าส่วนที่ 3 ส้้นกว่าส่วนอื่น แบบนี้เรียกว่า คางสั้น
ถ้าเสริมคาง แล้วส่วนที่ 3 มากกว่า 33% ถือว่าคางยาวไป เหมือนแม่มด นอกจากนี้
นอกจากนี้ ปลายคางถ้ามองด้านข้าง เส้น E-Plan ควรลากจากปลายจมูก มาที่ริมฝีผากและเนื้อคาง ได้รูปเป็นเส้นตรง ถ้ามากไปจะดูคางยื่น ถ้าน้อยไปจะดูคางหุบสั้น
ถ้ากรณีที่พบว่าคางสั้นเกินไป ไม่ได้สัดส่วน สามารถทำให้คางสวยได้รูปขึ้นได้
การแก้ไข
1. ผ่าตัดเสริมซิลิโคลน คนนิยม เพราะเจ็บตัวครั้งเดียว อยู่ได้นานตลอดไป แต่ก็เสี่ยงต่อการเบี้ยวเอียง
2. ฉีดเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ สำหรับคนไม่ชอบศัลยกรรม แถมการฉีดสามารถปั้นได้ตามที่ต้องการ ยิ่งถ้าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นสาร hyaluronic acid (HA) ไม่พอใจก็สามารถฉีดสลายออกไปได้ เห็นผลทันที ไม่ต้องผ่าตัดเอาออกเหมือนการทำศํลยกรรม
แต่ไม่ว่าจะเสริมด้วยวิธีไหน ต้องให้สัดส่วนของคาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1
คางเบี้ยว คางตัด
คางเบี้ยว คางตัด : อันนี้ดูไม่ยาก ถ้าถ่ายรูปหน้าตรงแล้วสัดส่วนคางซ้ายขวา ไม่เท่ากัน หรือขอบคางไม่มนได้รูป ตัดเป็นคางเหลี่ยม อย่างนี้ก็ดูไม่ยาก ว่าคางตัด
การแก้ไข : ส่วนใหญ่ถ้าสัดส่วนคางยาวได้สัดส่วนแล้ว คือ Golden ratio ได้ สัดส่วน 1:1:1 แล้วแต่คางสองข้าง ซ้ายขวาไม่เท่ากัน มักจะใช้การเติมฟิลเลอร์ จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าการทำศํลยกรรม
คางบุ๋ม คางไม่เรียบ
คางบุ๋ม ( cobblestone chin หรือ dimple chin) จะพบว่าคาง มีลักษณะเป็นร่องตรงกลางระหว่างคางทั้งสองข้าง หรือคางมีผิวเป็นคลื่น หรือเป็นก้อน ขรุขระ ไม่เรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่แสดงสีหน้าที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณคางร่วมกับริมฝีปากล่าง จะทำให้เห็นรอยบุ๋ม หรือ คลื่นที่คางชัดมากขึ้น
เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ Mentalis บริเวณคาง ทำให้กล้ามเนื้อแข็งตัวและหดเกร็งมากขึ้้น จนเกิดเป็นก้อนแข็ง 2 ข้างบริเวณคาง หรือในบางกรณี จะให้ผิวด้านบนของกล้ามเนื้อ Mentalis ย่นเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน จะเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการแสดงสีหน้าจากการใช้กล้ามเนื้อ
การแก้ไข : ไม่อยาก ง่ายมาก แค่ฉีดโบท็อกซ์ เพื่อคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวลง ก็จะทำให้แก้ไขปัญหาคางเป็นคลื่น ทำให้ผิวที่คางเรียบเนียนขึ้น ร่องบริเวณคางบุ๋มลดลง เห็นผลหลังทำใน 1 อาทิตย์ และจะอยู่ได้ระยะเวลา 4-6 เดือน
แต่ต้องระวังเพราะถ้าแพทย์ที่ฉีดไม่ชำนาญ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วริมฝีปากล่างเบี้ยวได้ เพราะอาจจะฉีดไปโดนกล้ามเนื้อ depressor labii inferioris ที่อยู่ใกล้เคียงได้
ฉีดฟิลเลอร์ไป แล้วเป็นก้อน ไม่พอใจ อยากสลายออก ต้องทำอย่างไร
กลุ้มใจ ไม่พอใจ ไม่สวยฟิลเลอร์ที่ฉีดไป เป็นก้อน
– เนื่องด้วยคนสนใจเรื่องความสวยความงาม กันมากในปัจจุบัน ทำให้ตลาดด้านนี้ มีคนเข้ามาทำธุรกิจกันเยอะ ทั้งจากแพทย์เอง หรือนักธุรกิจ เกิดสภาวะแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะด้านราคา โปร ! ถูกกันแล้ว ถูกกันได้อีก
– ของถูก คงไม่ต้องพูดถึงต้นทุน ที่ต้องบีบให้ต่ำ เพื่อให้ได้กำไร เลยทำให้ คุณภาพของฟิลเลอร์ และคุณภาพของคนฉีดต้องลดสเปกลงเช่นกัน
– จึงมีคนไข้มากมายหลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดเป็นก้อน ไม่พอใจ และต้องการแก้ไข อยากเอาออก หรือฉีดสลายออก
ฟิลเลอร์ที่ฉีด จะสลายได้เองหรือไม่ หรือต้องฉีดสลาย
ถ้าอยากสลายฟิลเลอร์ มีข้อควรรู้ที่ต้องแจ้งให้ทราบดังนี้
แพทย์ต้องทราบว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดคือสารอะไร เพราะปัจจุบันมีมากมาย หลายชนิด หลายยี่ห้อ หลายแบบ มีทั้งแบบถาวร กึ่งถาวร หรือชั่วคราว และมีทั้งแบบผ่าน อย. ไม่ผ่าน อย. ราคาก็แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนจะทำการฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์แล้ว ควรจะสอบถามแพทย์ผู้ฉีดให้ชัดเจน ว่าใช้ฟิลเลอร์ชนิดไหน ยี่ห้ออะไร ถ้าเป็นไปได้ ควรขอผลิตภัณฑ์ที่ฉีด , กล่องรวมทั้งผลิตภัณฑ์ ฉลากเก็บไว้ หรือ ถ้าไม่ได้ ก็ควรจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานไว้
เหตุผลที่ให้ถ่ายรูปยี่ห้อ หรือกล่องฟิลเลอร์ไว้เป็นหลักฐานก็เนื่องจากว่า ในกรณีที่เราฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดผลข้างเคียง หรือได้ผลลัพธ์ที่เราไม่พอใจ ต้องการแก้ไข แพทย์ที่ทำการแก้ไขให้จะได้ทราบว่าใช้สารตัวไหนในการฉีด เพื่อการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะฟิลเลอร์บางตัวก็ฉีดสลายได้ บางตัวก็ฉีดสลายไม่ได้ ต้องรอเวลาให้หมดไปเอง หรือบางตัวต้องผ่าตัดขูดออก ซึ่งอาจจะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้
ฟิลเลอร์แบบไหนที่ฉีดสลายได้
ฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายได้ จะเป็นสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid-HA ) โดยมีขั้นตอนคือ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจผิวบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมถึงปริมาณที่ฉีดมา โดย จะสามารถฉีดสลายออกได้ด้วย ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase : HYAL)
กลไกการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นอย่างไร
เอนไซม์ Hyaluronidase (HYAL) จะย่อยสลายฟิลเลอร์ โดยจะไปทำลายการยึดเกาะของสาร HA ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ที่เรียงจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ให้คลายตัวออก เห็นผลทันทีหลังฉีด ซึ่งปกติจะใช้ปริมาณที่จะฉีดสลายมากกว่าปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป 3-5 เท่า
ในผู้ที่ไม่เคยฉีดสารฟิลเลอร์ และอยากจะลองฉีด ควรเลือกสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid ) เพราะถ้าไม่พอใจยังสามารถที่จะฉีดสลายไปหมดได้ ไม่เหลือตกค้าง และควรให้ แพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ฉีดสลายฟิลเลอร์ให้
นอนนิ่งๆ ก็ปิ๊งได้ ไม่เจ็บตัว หน้าใส ไร้สิว ริ้วรอย ด้วยแสง Opera LED Mask
Opera LED Mask คืออะไร
คือ หน้ากากมาสค์หน้าไฮเทค ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดารา Hollywood โดยมีหลักการดูแล รักษาผิวหน้าด้วยแสง LED หรือ ลำแสง Diode ที่เรียกว่า low-level light therapy (LLLT) ไม่เจ็บตัว นอนนิ่งๆ ก็สวยได้ โดย ลำแสงนี้สามารถจะปล่อยแสงออกมาได้หลายๆ สีพร้อมๆ กัน ด้วยพลังงานที่สูงมากพอ จนสามารถจะมาทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวของเรา แสงเหล่านี้จะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนให้แก่ผิวซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกลไกให้ผิวของเราฟื้นฟูตัวเอง โดยแสงแต่ละสีก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนี้
1. Blue Light (แสงน้ำเงิน) จะมีความยาวช่วงคลื่น 415 nm และจะมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเขิ้อสิว P.acne และป้องกันการติดเชื้อสิวใหม่ ลดความมันบนใบหน้า
2. Yellow Light (แสงสีเหลือง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 580 nm ช่วยรักษารอยดำ กระ ฝ้า เม็ดสีที่เข้มให้จางลงตาม ธรรมชาติ และกระตุ้นระบบน้ำเหลือง รวมถึงระบบการไหลเวียนโลหิตด้วย
3. Red Light (แสงสีแดง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 630 nm ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ซ่อมแซมผิวหน้าเกรียมแดด และลดเรือนริ้วรอย ให้ความชุ่มชิ้นผิว
4. Green Light (แสงสีเขียว) จะมีความยาวช่วงคลื่น 525 nm ช่วยลดรอยแดง หรือเส้นเลือดฝอยที่เกาะตัวอยู่ใต้ผิวหนัง
5. Near Infrared Light (แสงใกล้อินฟราเรด) เป็นลำแสงที่มองไม่เห็น แต่จะมีความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน
Opera LED Mask สร้างความแตกต่างจากการรักษาด้วยแสง LED แบบเดิมๆ ด้วยการออกแบบหน้ากากคลุมเฉพาะผิวหน้า โดยป้องกันการกระจายของลำแสงไปยังบริเวณอื่นๆ จึงได้ผลได้เต็มที่ และออกแบบให้ไม่มีอันตรายต่อสายตา ไม่ร้อน นอกจากนี้ Opera LED Mask ยังดูเท่ห์ เก๋ไก๋ไฮโซอย่างยิ่ง
การฉายแสง LED เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีสิวอักเสบจำนวนมากและไม่ต้องการรักษาสิวอักเสบ ใช้ยาแบบรับประทาน หรือ ผู้ที่สิวหายยากเนื่องจากมีการดื้อยา
- ผู้ที่มีปัญหารอยแดง
- ผู้ที่มีปัญหาสิวกลับมาเป็นซ้ำ
- ผู้ที่มีรอยดำ ฝ้า กระ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น กระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและการไหลเวียนโลหิต
ระยะเวลาการรักษา
การฉายแสง LED จะใช้เวลาในการรักษาครั้งละ 20-30 นาที และควรทำสัปดาห์ละครั้งติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งการรักษาจะทำมากน้อยเพียงใดนั้น แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาโดยดูจากวัย สภาพผิวและปัญหาสิวอักเสบที่เป็นอยู่ ส่วนผลการรักษาจะเห็นผลขึ้นกับระยะเวลา และความสม่ำเสมอในการรักษา ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป จะพบว่าสิวอักเสบ ค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง สิวเริ่มลดปริมาณลง รอยสิวจางลง
นอกจากนี้เรายังมีการใช้แสง LED ความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน หรือผ่าตัดทำศัลยกรรม เพื่อช่วยการฟื้นฟูผิว ป้องกันแผลเป็น ลดอาการบวมแดง อักเสบ หรือรอยแดงให้หายเป็นปกติ
วีเชฟ คงไม่พอ ถ้าจะสวย เฉี่ยว อินเทรนด์ กรอบหน้าต้องชัดด้วย ( V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline )
L-Shaped Strong Jawline คืออะไร
แฟชั่นเทรนรูปหน้าในแต่ละยุคสมัย มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน ซึ่งความชอบหรือค่านิยม ในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน เหล่ากูรูด้านความงามทั้งหลาย ต้องปรับตามให้ทัน เพื่อให้ลุคเราดูทันสมัยและดูไม่ล้าหลัง โดยเฉพาะแพทย์ที่ดูแลด้านการดีไซน์รูปหน้าของคนไข้ ยิ่งต้องนำหน้าเทรนไปล่วงหน้าก่อน การมีวิสัยทัศน์ ติดตามข่าวสาร และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี จะทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการได้ L-Shaped Strong Jawline คือ การที่มีกรอบหน้าชัด เรียวเล็ก ขอบคางคม มี Jaw line ซึ่งเป็นเทรนด์รูปหน้าใหม่ ที่เป็นที่นิยม ซึ่งถ้ามีหน้าวีเชฟด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หน้าอ่อนเยาว์ ถ่ายรูป ไม่ว่ามุมไหน ก็เป๊ะปัง อลังเว่อร์ เห็นได้ชัด ว่าผู้ชนะการประกวดไม่ว่าเวทีหญิงหรือชาย ใบหน้าแบบนี้ มักจะได้เข้ารอบลึกๆ หรือชนะการประกวด
เทรนด์หน้าสวย-หล่อในแต่ละยุค เป็นอย่างไร
ยุคปีค.ศ 1900 เป็นยุคของการมีรูปหน้าแบบกลม ดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ที่เรียกว่า Beautiful round or U shaped ใครมีรูปหน้าแบบนี้ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปในยุคนั้น แก้มอิ่ม จมูกโด่ง คิ้วตาคม เป็นที่นิยมอยู่หลายสิบปีทีเดียว โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวัยคุณลุง คุณป้า ทั้งหลาย จะนิยมชมชอบให้ลูกหลานมีรูปหน้าแบบนี้
ยุคปีค.ศ 2000 เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เพื่อต้อนรับศตวรรตที่ 20 โลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกด้าน ตามการเติบโตของยุค IT นวัตกรรมใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นทุกๆ ด้าน ไหนเลย เทรนหน้าก็เริ่มปรับกับอีกรอบ คราวนี้ หน้า V Shaped มาแรงแซงทุกรูปแบบหน้าที่เคยมีมา ไม่ว่าทางโลกตะวันออกหรือตะวันตก ต่างต้องการหน้าวีเชฟ กันทั้งนั้น การปั้นหน้าวีเชฟ หลายท่านคงได้อ่านบทความกันมาบ้างแล้ว ไ่ม่ว่าจะปรับรูปหน้าวีเชฟ ด้วยการฉีดโบทอกซ์ การร้อยไหม การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันทีแก้ม การผ่าตัดกราม เพื่อให้หน้าเรียวเล็ก จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย
ยุคปีค.ศ 2020 ยุคนี้ ทุกอย่างเทรนด์หน้าเปลี่ยนไปเยอะ เห็นได้ชัดๆ จากการทำจมูกในวงการสัลยกรรม คนเริ่มไม่ชอบจมูกแบบเดิมๆ ที่โด่ง ตรงทั้งสัน เริ่มมีหลายทรงมากขึ้น เช่น สโลปปลายงอน ทรงบาร์บี้ ฯลฯ รูปหน้าก็เช่นกัน เริ่มมีกระแสในบางกลุ่มที่นอกจากจะทำให้หน้าวีเชฟ ที่เกร่อกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว หน้าที่มีขอบคางชัด โหนกแก้มชัด องค์ประกอบหน้าคมชัด ที่เรียกว่า V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline กำลังจะเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนทั่วไปมากขึ้น ทั้งในวงการนางแบบ นายแบบ หรือ นางงาม ถ้าใครมีรูปหน้าแบบนี้ โอกาสจะรุ่งจะมีมาก
V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline ทำอย่างไร
ขั้นตอนการทำรูปหน้าเทรนด์ 2020 มีขั้นตอนดังนี้
1. แพทย์จะตรวจและประเมินใบหน้าเดิมของเรา ทั้งด้านตรงและด้านข้าง จากนั้นจะดีไซน์ใบหน้าใหม่ ตามหลัก Golden ratio
2. ปรับรูปหน้า V-Shaped ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
2.1 ปรับรูปหน้าด้วยโบทอกซ์
2.2 ปรับลดแก้มด้วยการฉีดเมโสแฟต
2.3 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
2.4 ยกกระชับหน้าด้วยการทำ HIFU,Ulthera,Thermage
3. ปรับหน้า L-Shaped Strong Jawline ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
3.1 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
3.2 ฉีดฟิลเลอร์ตามแนวกรอบกรามให้คมชัด
3.3 ปรับเหนียง ขอบคางให้คมด้วย HIFU,Ulthera,Thermage
Filler Lifting : ฟิลเลอร์ ยกกระชับ ปรับรูปหน้า บอกลาความชรา แทนการฉีดโบ ได้นะ รู้ยัง
ฉีดฟิลเลอร์เพื่อที่จะทดแทนการ ฉีดโบ ทำได้อย่างไร
ทุกคนคงจะสงสัยว่าทำได้ด้วยหรือ เพราะสารฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม จะมาทดแทนการฉีด Botulinum toxin type A เป็นไปไม่ได้ เพราะกลไกการทำงานต่างกัน ในเมื่อ Botulinum toxin type A เป็นสารลดการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือทำงานลดลง แล้วฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติแบบนีได้ด้วยหรือ
ก่อนหน้านี้แพทย์ด้านความงามก็เข้าใจอย่างนั้น แต่เมื่อแพทย์มีประสบการณ์มากขึ้น และเทคนิคการฉีดก็พัฒนาหลากหลายมากขึ้น ประกอบกับสารฟิลเลอร์เองก็ได้มีการพัฒนาออกมาหลากหลายรุ่นมากขึ้น เช่นมีทั้งความหนืดมากขึ้น ความหนืดน้อยลง เทคนิคการฉีดก็ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะฉีดด้วยเข็มปลายแหลม เข็มปลายทู่ หลากหลายขนาด ฉีดลึกตื้นต่างกัน ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน จนลึกวางบนกระดูก ทำให้วัตถุประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์จึงมีอย่างหลากหลายมากขึ้น จนแทบจะมาทดแทนการฉีดโบทอกซ์
ฟิลเลอร์ทำได้มากกว่าฉีดเติมเต็มแล้วนะ จะบอกให้
เมื่อฟิลเลอร์เริ่มเป็นที่นิยมมากขั้น การนำมาปั้นเสริม เติมแต่ง ได้หลายอย่างมากขึ้น ดังนี้
1. สารเติมเต็ม : ข้อนี้เราทราบกันมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มมีการฉีดฟิลเลอร์ เช่น นำมาฉีดเติมร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ฉีดเสริมคางให้ยาวขึ้น ฉีดเสริมขมับ ฉีดเสริมจมูกให้โด่ง เติมปาก ฯลฯ
2. ยกกระชับ ลดการหย่อนคล้อย : การสูญเสียคอลลาเจน หรือไขมัน เมื่ออายุมากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความหย่อนคล้อย ทำให้หน้าดูบานขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ทดแทนชั้นไขมันหรือคอลลาเจน จะช่วยให้ผิวหน้ากลับมาแต่งตึง กระชับขึ้น โดยแพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติยกกระชับได้ ฉีดลึกวางบนกระดูก หรือใต้บริเวณเส้นเอ็นที่หย่อนคล้อย (retaining ligaments )เพื่อดันถุงไขมันใต้ตาให้กลับเข้าที่ หรือการฉีดกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็จะตื้นขึ้นได้ บางคนร่องแก้มลึก แทนที่จะเติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้ม แพทย์ใช้เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับกรอบหน้าให้ตึงขึ้น ร่องแก้มก็จะตื้นขึ้นได้โดยไม่ได้เติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้มเลย
3. เพื่อคุณสมบัติลดการทำงานของกล้ามเนื้อ : ปัจจุบันวิธีนี้แหล่ะที่นำมาทดแทนโบทอกซ์ โดยการฉีดวางบนขั้นกล้ามเนื้อ ในบางตำแหน่ง โดยอาศัยกลไกที่ฟิลเลอร์กดทับการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลดลง(Compression effect) ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อทำงานลดลง ซึ่งคล้ายกับการฉีดโบทอกซ์ที่ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้ม เพื่อทำให้การยิ้มเห็นเหงือก ที่เรียกว่า Gummy smile ทำงานลดลง เวลายิ้มก็จะดูธรรมชาติขึ้น หรือฉีดเติมหน้าผากให้เต็ม จะทำให้หน้าผากขยับได้ลดลง ริ้วรอยย่นบริเวณหน้าผากก็จะลดลงด้วย การเติมฟิลเลอร์บริเวณตีนกาก็ช่วยลดรอยตีนกาเวลายิ้มลงได้เช่นกัน
4. เพื่อคุณสมบัติปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้: เราทราบว่าโบทอกซ์ปรับหน้าวีเชฟได้ ฟิลเลอร์ก็ทำให้หน้าเล็กลงเป็นวีเชฟได้เช่นกัน ถ้าจัดวางฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่นเติมบริเวณโหนกแก้มให้มีมิติขึ้น หรือฉีดให้โหนกแก้มลดลง จากมุมกระทบที่เปลี่ยนไป หรือ ฉีดกรอบหน้าให้ยกกระชับขึ้น รูปหน้าก็เปลี่ยนให้ดูเล็กลงได้เช่นกัน
5. เพื่อคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง: ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic acid มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ที่เรียกว่า high water–binding ( hydrophilic ) capacity การเลือกฟิลเลอร์ที่มีความหนืดน้อยๆ และนำมาฉีดในชั้นหนังแท้กระจายทั่วหน้า ที่เรียกว่า Skin Booster with fillers จากผิวหน้าแห้งและมีริ้วรอยเล็กๆ ก็จะชุ่มชื้นขึ้น เนียนนุ่มขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ก็จะเลือนหายไป ดังภาพด้านล่างนี้
Dermolift : ฉีดโบ ยกกระชับ ปรับหน้าวี ด้วยวิธี Vector Lifting ตามองศาที่ใช่ ไม่ต้องใช้ฟิลเลอร์
ฉีดโบ ยุคแรก เน้นปักลึก เข้ากล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใช้ในการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย แต่อาจจะดูแข็ง
– ก่อนที่จะกล่าวเกี่ยวกับการฉีดโบทอกซ์อย่างไร จึงยกกระชับได้ และใช้ทดแทนการฉีดฟิลเลอร์ได้ ต้องขอกล่าวความเป็นมาคร่าวๆ ก่อนนะครับ เพื่อความเข้าใจ ดังนี้
– ในยุคแรกๆ ของการฉีดสาร Botulinum toxin Type A เพื่อลดริ้วรอย เรามักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ(Intramuscular :IM) โดยปักเข็มลงตรงๆ เป็นมุมฉาก ไปที่กล้่ามเนื้อที่ต้องการ จะ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ถ้าฉีดลดริ้วรอยที่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่นริ้วรอยจากการยิ้ม การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว เมื่อฉีดแล้วก็ไม่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ริ้วรอยก็จะไม่เกิดขึ้น หรือนำมาฉีดลดกราม ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำงานลดลง กล้ามเนื้อก็จะมีขนาดเล็กลง รูปหน้าก็จะเล็กลง
ฉีดชั้นผิวหนังหรือคอลลาเจน เน้นลดริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้ดูธรรมชาติ
เมื่อมีการฉีดโบทอกซ์ด้วยเทคนิคเดิม มาประมาณ 10 ปี ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาให้มีการฉีดลดริ้วรอย ในชั้นผิวหนัง หรือ Intradermal technique -ID หรือบางคนเรียกว่า Dermolift ซึ่งจะให้ผลแตกต่างจากการฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ โดยพบว่า Intradermal technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงช่วยดึงรั้งผิวหนังให้ตึงขึ้น ริ้วรอยก็จะลดลงได้ แต่กล้ามเนื้อจะยังขยับได้ ทำให้ดูธรรมชาติขึ้น ไม่ตึงเกินไป ปัจจุบันแพทย์หลายๆ ท่าน ที่มีประสบการณ์กับการฉีด สาร Botulinum toxin Type A มานานหลายสิบปี มักจะนิยมฉีดลดริ้วรอยด้วยวิธีนี้ เพราะสร้างความต่างอย่างมืออาชีพ เพราะริ้วรอยจะลดลงอย่างดูธรรมชาติ ดูไม่ออกว่าไปฉีดโบทอกซ์มานั่นเอง
Vector Lifting คืออะไร
เวกเตอร์ลิฟท์ติ้ง คือ การฉีดโบทอกซ์ ไปตามแนวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ที่มีการหย่อนคล้อย โดยแบ่งการหย่อยคล้อยเป็นส่วนๆ เช่น กรอบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนก่อน โดยก่อนจะทำการฉีดแพทย์จะตรวจแนวยกระชับด้วยมือดึงเป็น Vector lifting แล้วค่อยฉีดสารBotulinum toxin Type A เข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งจะ ทำให้กล้ามเนื้อชั้นคอลลาเจน เกิดการหดตัว ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
การฉีดสาร Botulinum toxin Type A กระจายเป็นส่วนๆ ตามการหย่อนคล้อย แบบ Vector Lifting จะตอบโจทย์ปัญหา หรือการดีไซน์ใบหน้า โดยอยากจะยกตรงไหน อยากจะปรับเปลี่ยน รูปหน้าอย่างไร ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับสันจมูก ลดร่องแก้ม ลดเหนียงยาน ทำให้ขอบคางคมชัด ปรับหน้าวีเชฟ ให้มากขึ้น กระชับขึ้น
Vextor lifting with Dermolift สามารถจะนำมาตอบโจทย์แทนการฉีดฟิลเลอร์ ได้แทบทุกองศาที่ต้องการ
เคล็ดลับในการฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ให้เห็นความแตกต่าง อย่างมืออาชีพ
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ มีหลายอย่าง อยู่ที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไร
การเติมฟิลเลอร์มีจุดประสงค์หลายอย่าง ดังนี้
1. เพื่อเติมเต็มส่วนที่พร่องไป ( Volumn loss )
2. ฉีดเพื่อยกกระชับ ( Filler Lifting )
3. ฉีดเพื่อยกให้สูงหรือเด่นขึ้น ( Projections)
4. ฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว (Skin booster)
ดังนั้นเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ ย่อมแตกต่างกัน ตั้งแต่การเลือกยี่ห้อ หรือ ชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณความเข้มข้น ( % HA) ความหนืด (Viscosity ) ความสามารถในการอุ้มน้ำ ระยะเวลาของฟิลเลอร์ว่าแต่ละที่ควรจะอยู่นานแค่ไหน ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะแตกต่างกัน แพทย์ที่มีประสบการณ์และมืออาชีพ จะทราบแลเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับปัญหานั้นๆ
ตำแหน่ง ความลึกตื้นการในฉีดฟิลเลอร์ ( Injection Plan or Depth of designed injection )
A. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นบน(Intra-dermal Augmentation) เหมาะกับการฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว หรือปรับสภาพผิวให้เต่งตึง หรือริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กๆ เช่นรอบดวงตา โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ ที่มีความเข้มข้นของ HA ต่ำ ที่มีความหนืดเบาบาง กระจายตัวได้ง่าย ไม่จับตัวเป็นก้อน เช่น restylane vital light,juvederm vobella ,perfectha derm
B. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นล่าง หรือไขมันส่วนบน (Sub-dermal Augmentation ) เป็นการฉีดเพื่อปรับแต่งโครงหน้า หรือ remodelling เติมริมฝีผากให้อิ่ม ริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเพิ่อให้เกิดการ Projections ให้ดูเด่นขึ้น แต่ไม่มากนัก โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่หนืดมากขึ้นกว่าในแบบ A หรือใช้แบบชนิดเดียวกันก็ได้ แต่ฉีดลึกขึ้น restylane vital ,juvederm ultra ,perfectha deep
C. ฉีดชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่าแบบ A และ B และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น restylane,juvederm ultra plus
D. ฉีดฟิลเลอร์วางบนกระดูก (Supra-periosteum Augmentation) หลักๆ เพื่อต้องการยกกระชับ ( Filler Lifting ) ในกรณีที่การหย่อนคล้อยของคอลลาเจน และในบางคน มีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกด้วย หรือทำให้เกิดสูงเด่นขึ้น (Projections ) แล้วเพื่อหวังผลไม่ให้มีลักษณะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ และเป็นการหลีกเลี่ยงการฉีดไปโดนเส้นเลือด นิยมนำมาฉีดในคนที่มีปัญหาเบ้าตาลึก เสริมดั้งจมูก ฉีดเสริมคาง ตกแต่งขอบคาง หรือฉีดเติมหน้าผากให้โหนกนูนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่า แบบ A,B,C และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น perlane,juvederm voluma,perfectha subcutaneous จริงๆ วิธีนี้ไม่ใช่เทคนิคใหม่ที่บางท่านนำมาอ้างว่าได้คิดค้นขึ้นมาเอง มีเขียนไว้ในตำราและแพทย์หลายๆ ท่านก็ได้ใช้อยู่แล้ว เพียงแต่มานิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะสามารถลดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ได้
ชนิดของเข็มที่ฉีด
2.1 เข็มปลายแหลม ( Needles) ซึ่งมีหลายขนาด เช่นเข็มเบอร์ 23-30 G needles ขึ้นอยุ่กับการเลือกใช้ แต่ตำแหน่งและความลึกตื้นในการฉีด เข็มปลายแหลมมักจะใช้ในกรณีฉีดแบบตื้นใต้ผิวหนัง( Intradermal or subdermal เพื่อหวังผลในการให้ความชุ่มชื้น หรือใช้ในเป็นการฉีดยกกระชับโหนกแก้ม หรือการฉีดวางบนกระดูก (Supra-periosteum)
2.2 เข็มปลายทู่ ( Canula) ซึ่งมีหลายขนาด เช่น 22-27 G Canula มักจะนิยมนำมาฉีดในชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เพราะชั้นนี้จะมีเส้นเลือดมาก เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) และเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ
ทิศการหรือองศาในการฉีดฟิลเลอร์ (Classified fillers Technique with Needle or Canula )
3.1 ฉีดหยอดเป็นจุดๆ ( Serial puncture technique) เหมาะกับการฉีดกระจายทั่วใบหน้าให้เกิดความชุ่มชื้น และฉีดชั้นตื้น Intra-dermal
3.2 ฉีดเป็นเส้นตรง (Linear-threading technique) อาจจะฉีดเดินหน้าหรือถอยหลัง เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม ฉีดเสริมจมูก และฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลมหรือเข็มทู่(Canula)
3.3 ฉีดกระจายเป็นรูปพัด (Fanning technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn เช่นการเติมโหนกแก้ม ขมับ หน้าผาก และฉีดในชั้นไขมันด้วยเข็ม Canula เพื่อป้องกันการเข้าเส้นเลือด
3.4 ฉีดทะแยงมุม ไขว้กัน (Cross-hatching technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn โดยฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลม หรือปลายทู่ก็ได้ ในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่นร่องแก้มลึก ฉีดเสริมคาง
3.5 ฉีดแบบหอคอย (Tower technique) มักจะเป็นการฉีดเพื่อเพิ่ม Projections ให้สูงขึ้นเช่นฉีดโหนกแก้ม ฉีดหัวคิ้ว ฉีดขมับ โดยมักจะใช้เข็มปลายแหลม วางบนชั้นกระดูก และค่อยๆ ดึงเข็มขึ้นให้ฟิลเลอร์มีลักษณะคล้ายหอคอย
– จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดี ปลอดภัย สวยงาม เป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงน้อย มีเทคนิคต่างๆ มากมาย ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญต้องใช้เวลาในการหมั่นฝึกฝน อบรม และพัฒนาตนเองตลอดเวลา สามารถดีไซน์สัดส่วนและโครงหน้า จุดเด่น จุดด้อยในแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ได้อย่างมีศิลปะ และขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งประสิทธิผลและราคายุติธรรม จึงจะสามารถสร้างความต่างอย่างมีสไตล์ได้จริง
รอยหลุมสิว ไม่ว่าแย่แค่ไหน ก็แก้ไข รักษาให้ตื้นขึ้นได้ด้วยการตัดพังผืด ด้วย Blunt Blade Subcision
พังผืด คือสาเหตุที่หลุมสิวไม่ยอมหายซักที
– หลุมสิวส่วนใหญ่เกิดจากการอักเสบของสิว การอักเสบนั้นอาจจะทำลายลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ทำให้คอลลาเจน (Collagen) ในส่วนนั้นถูกทำลาย แต่เมื่อการอักเสบหายไป บางครั้งอาจจะไม่มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซม หรือการซ่อมแซมเป็นไปได้ช้าจน
– ในที่สุดก็กลายเป็นพังผืด แผลเป็นหลุมบนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน แม้จะทำการรักษารอยหลุมหลายวิธี ไม่ว่าจะเลเซอร์ หรืออะไร ก็ยังมีรอยหลุมให้สังเกตได้อยู่ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะมีพังผืดยึดเกาะหลุมสิวอย่างแน่นหนา ทำให้การสร้างเนื้อใหม่ให้หลุมสิวตื้นขึ้น ทำได้ยาก
Subcison คืออะไร
Subcision เป็นการรักษารอยหลุมวิธีหนึ่ง โดยทำให้หลุมสิวตื้นขึน จากการตัดเลาะพังผืดที่ยึดติดรอยหลุมออก โดยวิธีนี้จะเป็นการตัดพังผืดแล้วทำให้มีการแยกชั้นของผิวหนัง พังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุมจากผิวปกติ โดยจะมีเเลือดมาสะสมที่ในรอยแยก พร้อมกับนำพา Fibroblast มาทำการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บ ให้มีการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ปกติถ้าพังผืดไม่มาก เรามักจะใช้ เข็ม
Nokor Needle ซึ่งเป็นเข็มที่มีใบมีดอยู่ตรงปลายเข็ม ผลิตมาเพื่อใช้สำหรับทำ Subcision โดยเฉพาะ ขนาดของเข็มประมาณเบอร์ 18 โดยจะแทงเซาะบริเวณใต้ฐานหลุม ในแนวตามขวาง แต่การทำ Subcision ด้วย Nokor Needle ก็มีข้อจำกัด เพราะถ้าหากหลุมสิวที่อักเสบรุนแรง มีขนาดใหญ่ และมีจำนวนมากบนใบหน้า จะมีผลข้างเคียงคือเลือดจะออกมาก ผิวหน้าจะช้ำมาก และถ้าทำรุนแรง อาจจะมีแผลเป็นพังผืดจากการตัดของ Nokor Needle เองก็ได้ ทำให้แผลเป็นหลุมกลับมาใหม่ได้อีก และวิธีนี้ก็คาดผลการรักษาได้ค่อยข้างยาก โดยเฉพาะในบริเวณแผลเป็นที่ขมับ หรือแผลเป็นที่มีพังผืดหนาตัดยาก นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งกว่าจะได้ผลในการตัดพังผืดที่ยึดติดกับรอยหลุม และอัตราการได้ผลก็ยังประมาณ 30-40%
Blunt Blade Subcision คืออะไร
Blunt Blade Subcision จัดเป็นทางเลือกใหม่ในการทำ Subcision โดยแทนที่จะตัดพังผืดให้ขาดออกด้วยความคมของใบมีดเช่น Nokor Needle ซึ่งอาจจะมีแผลเป็นเล็กๆ จากความคมของใบมีดเอง เปลี่ยนมาเป็นใบมีดแบบทู่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในการทำให้พังผืดเกิดการฉีดขาดแทนการตัด โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นก็จะน้อยกว่า โดยมีหลากหลายขนาดของเครื่องมือ สำหรับรอยหลุมบริเวณเล็กๆ หรือรอยหลุมใหญ่ทั่วใบหน้า
ขั้นตอนการทำ Blunt Blade Subcision
- ทำความสะอาดผิวหน้าให้ทั่วด้วย Betadine solution และ Alcohol เพื่อความสะอาด
- ฉีดยาชาปริมาณมากให้ทั่วบริเวณรอยหลุมที่จะทำ เพื่อให้เกิดรอยแยกระหว่างชั้นผิวหนังกับเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่าง คล้ายๆ ขั้นตอนการดูดไขมัน
- เจาะรูบริเวณเหนือขมับเพียงรูเดียว หรือในบริเวณที่จะทำแล้วทำการสอด Blunt Subcision Blade ดังในภาพ ทำการแทงไปแทงมาให้พังผืดฉีดขาด แยกตัวออกมาจากเนื้อเยื่อด้านล่าง โดยมี Blunt Subcision Blade ทั้งแบบตัดตามขวาง ทางลึก หรือชั้นบนผิวหนัง เพียง 5-10 นาทีก็ถือว่าเสร็จสิ้น
ผลข้างเคียงที่พบได้ : เจ็บปานกลางพอทนได้ อาจจะมีอาการบวมหลังทำได้ จากยาชาที่ฉีดเข้าไป หรือรอยฟกช้ำได้บ้าง แต่ก็จะหายได้เองภายในไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังทำ Blunt Blade Subcision อาจจะทำ Fractional RF microneedle ตามเลยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พบมีรายงาน
การทำ Blunt Blade Subcision เพียงครั้งเดียว จะทำให้พังผืดที่รอยหลุมหลุดออกได้ถึง 83.3 % และถ้าตามด้วย Fractional RF microneedle ต่ออีกประมาณ 4-5 ครั้ง รอยหลุมแทบจะเรียบเนียนได้มากกว่า 95%