Posted on

คลอรีน ศัตรูตัวร้าย ทำลายเส้นผม ว่ายน้ำไม่ป้องกัน ระวังผมจะแห้ง เปราะ หักง่าย

คลอรีนทำลายเส้นผมได้อย่างไร

คลอรีน เป็นสารที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคที่มักจะผสมในสระว่ายน้ำ เนื่องจากสระว่ายน้ำเป็นสถานที่ที่หลายๆ คนได้ใช้บริการ ทำให้การควบคุมความสะอาดทำได้ยาก จึงต้องมีการผสมคลอรีนเพื่อทำฆ่าเชื้อโรค
ผลของคลอรีนต่อเส้นผม
1. คลอรีนจะไปทำลายโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเส้นผม ทำให้ผมขาดความชุ่มชื้น แห้ง ไร้น้ำหนัก
2. หากว่ายน้ำบ่อยๆ รังสียูวีจากแสงแดดจะไปเปิดเกล็ดผม ทำให้คลอรีนซึมเข้าสู่แกนผมได้อย่างรวดเร็ว แล้วไปฟอกเม็ดสีเมลานินในเส้นผม ทำให้สีผมซีดลงได้
3. ค่าความกรดด่างของน้ำในสระว่ายน้ำ และความร้อน ก็จะทำปฏิกริยากับคลอรีน เสริมการทำลายเส้นผมมากขึ้นไปอีก

การป้องกันแก้ไข สุขภาพเส้นผมจากคลอรีนในสระว่ายน้ำ

1. สวมหมวกยางว่ายน้ำที่แน่นกระชับทุกครั้งที่ว่ายน้ำ
2. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำกลางแดดเปรี้ยงๆ
3. ก่อนลงสระว่ายน้ำควรชโลมผลิตภัณฑ์เคลือบเส้นผมป้องกันคลอรีน หรือครีมปรับสภาพเส้นผม หรือน้ำมันมะกอก น้ำมันโฮโฮบา ลูบไล้ให้ทั่วเส้นผม ผมจะนุ่มลื่น และป้องกันการสูญเสียน้ำจากเส้นผมอีกวิธีหนึ่ง
4. เลือกแชมพูสระผมที่ผสมสารป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งจากการทดสอบมากมาย ได้มีการค้นพบว่าสาร Octyl-dimethyl PABA ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม เพราะเกาะติดแน่นกับเส้นผม ไม่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ยังมีสารที่กันแดดที่คิดค้นเพิ่มเติม ได้แก่ Octhyl methoxy-cinnamate และ Benzoquinone ซึ่งสามารถดูดซึมรังสี UVA,UVB ได้ดี
5. เมื่อขึ้นจากสระว่ายน้ำ ควรรีบล้างตัวและสระผมเพื่อล้างคลอรีนออกทันที ด้วยแชมพูสำหรับล้างคลอรีนโดยเฉพาะเพื่อทำความสะอาดได้หมดจด แล้วชโลมด้วยครีมปรับสภาพผมแบบเข้มข้นที่ไม่ต้องล้างออกให้ทั่ว เพื่อคืนความชุ่มชื่นแก่เส้นผมทุกครั้งหลังสระผม
6. การหมักผมหรือทำทรีทเม้นต์เส้นผม อาทิตย์ละครั้งถือว่าจำเป็นสำหรับคนที่ว่ายน้ำเป็นประจำ
7. เลือกรับประทาน กลุ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อเส้นผม อาทิ วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, ธาตุเหล็ก และ ไอโอดีน เป็นต้น

Posted on

มะเร็งผิวหนัง ( Skin Cancer ): ภัยมืด ที่เกิดจากการโดนแสงแดดจัด เป็นเวลานานๆ

มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยในคนไทยเมื่อเทียบกับแถบยุโรป อาจเป็นเพราะว่าคนไทยมีผิวคล้ำกว่า และมีสารเมลานินป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต (ultraviolet) จากแสงแดดได้ดีกว่า แต่ปัจจุบันพบโรคมะเร็วผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยยนไป ค่านิยมที่เปลี่ยนไป เช่น เริ่มชอบอาบแดดนานๆ เหมือนคนทางตะวันตก ชอบผิวมีแทนหรือคล้ำ มากกว่าสีผิวปกติของตนเอง
ชนิดของมะเร็งผิวหนัง
1. Basal cell carcinoma ถือเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด พบมากในชนชาติยุโรปและอเมริกา ในแถบเอเซียก็พบได้บ่อยเช่นกัน โดยจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบมากในช่วงอายุ 40-79 ปี อาการที่เห็นได้ชัดคือจะมีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง มีลักษณะผิวเรียบมัน และมักจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย ตุ่มเนื้อจากมะเร็งชนิดนี้จะโตช้า และจะโตไปเรื่อย ๆ จนอาจแผลแตกในที่สุด ทำให้มีเลือดออกและกลายเป็นแผลเรื้อรัง
2. Squamous cell carcinoma อาการของมะเร็งชนิดนี้จะเริ่มต้นจากตุ่มเนื้อสีชมพู หรือแดง และด้านบนอาจมีลักษณะเป็นขุย หรือตกสะเก็ด เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกแข็ง เลือดออกง่าย แผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
3. Melanoma เนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของมะเร็งชนิดนี้ เริ้มต้นจะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จะโตเร็ว ขอบเขตไม่เรียบและอาจมีสีไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ที่บริเวณแผลอาจตกสะเก็ดหรือมีอาการเลือดออกด้วยเช่นกัน

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง

ส่วนใหญ่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และยังมีปัจจัยอื่นที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย อาทิ การสัมผัสกับสารพิษอันตรายเป็นเวลานาน หรือระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง ดังนี้

  • มีผิวขาวซีด เนื่องจากผิวหนังมีเม็ดสีน้อยกว่า
  • อยู่กลางแดดเป็นเวลานานจนเกินไป โดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือทาครีมกันแดด
  • อาศัยอยู่ในแถบที่มีแสงแดดจัด หรืออยู่ในที่สูง
  • มีไฝหรือขี้แมลงวันมากผิดปกติ
  • ในครอบครัวมีประวัติว่าเคยเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมาก่อน
  • มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นผู้ติดเชื้อ HIV
  • ได้รับรังสีที่เป็นอันตรายติดต่อกันนาน ๆ
  • มีประวัติการถูกสารเคมี เช่น สารหนู หรือสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน ๆ

    การวินิจฉัย มะเร็งผิวหนัง จะอาศัยลักษณะรอยโรคที่พบ ตำแหน่งที่เป็น หรือการตัดชิ้นเนื้อไปดูเซลล์มะเร็งด้วยกล้องจุลทรรศน์


การรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
วิธีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังจะแบ่งไปตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ และชนิดของมะเร็งผิวหนังที่เป็น เนื่องจากวิธีการรักษาแต่ละชนิดจะให้ผลกับการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน โดยวิธีรักษามะเร็งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1.การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า
เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังที่มีขนาดของก้อนเนื้อมะเร็งค่อนข้างเล็ก โดยแพทย์จะทำใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายกับช้อนขนาดเล็กคว้านบริเวณที่เป็นเนื้อร้ายออก จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้ที่เนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีนี้อาจต้องทำติดต่อกัน 2 – 3 ครั้ง จึงจะสามารถนำเนื้อร้ายออกได้หมด
2. การรักษาด้วยการจี้เย็น
วิธีนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้กับมะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้น โดยจะนำไนโตรเจนเหลวมาจี้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็ง ผิวหนังบริเวณนั้นจะตกสะเก็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนสะเก็ดเหล่านั้นจะหลุดออก วิธีการรักษานี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นสีขาวเล็ก ๆ หลงเหลือไว้ที่ผิวหนัง
3. การผ่าตัดผิวหนัง  
เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยจะทำการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หากบริเวณที่ผ่าตัดออกมีขนาดใหญ่ อาจนำผิวหนังจากส่วนอื่นมาปิดบริเวณแผลเพื่อทำให้แผลหายเร็วขึ้น และจะทำให้รอยแผลเป็นน้อยลงได้

Posted on

สิวหิน (Syringoma) หรือสิวข้าวสาร แต่ไม่ใช่สิว แล้วคืออะไร แก้ไขและรักษาได้อย่างไร

สิวหิน (Syringoma) คืออะไร

สิวหิน คือ เนื้องอกของต่อมเหงื่อที่บริเวณใต้ตา ไม่ใช่สิว จะะเอาเข็มไปบ่งหรือเจาะออก จะไม่พบว่ามีหนองหรือหัวสิวหลุดออกมาแต่ประการใด
เกิดได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น จนถึงวัยหนุ่มสาว และมักจะมีประวัติคนในครอบครัว เช่น มารดาหรือพี่น้องที่เป็นผู้หญิงมีเนื้องอกชนิดนี้ด้วย
สาเหตุที่แท้จริง ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่เกิดจากเซลล์บุของท่อต่อมเหงื่อในชั้นหนังแท้ มีจำนวนท่อมากผิดปกติ
ลักษณะที่พบ เป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงลักษณะเป็นก้อนสีเนื้อหรือสีออกเหลืองเล็กน้อย ขนาดเล็กประมาณ 1-3 มิลลิเมตร มีความแข็งเล็กน้อย เมื่อใช้นิ้วคลำดูจะรู้สึกคล้ายๆ เม็ดสิวแข็ง แต่ไม่เจ็บ บางคนก็เลยเรียกว่า สิวข้างสาร
ตำแหน่ง ที่พบบ่อย คือ บริเวณรอบดวงตา ทั้งหนังตาบน, หนังตาล่าง มักขึ้นเป็นกลุ่มบางครั้งอยู่ติดกัน จนดูคล้ายเป็นแผ่นหนาใต้ตา เนื้องอกชนิดนี้ยังพบได้ที่อื่น เช่น รักแร้, สะดือ, แผ่นอกด้านบน, หัวหน่าว ในบางรายที่เป็นมาก อาจจะกระจายที่ด้านหน้า ลำตัว ท้องและแขน
การรักษา สามารถทำได้ดังนี้
1. การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า: ปัจจุบันไม่ค่อยนิยม เพราะจำกัดขอบเขตได้ไม่ชัดเจน อาจจะมีผลต่อผิวข้างเคียงได้
2. การกำจัดด้วยเลเซอร์ CO2 : ปัจจุบันมักจะเจาะออกด้วยเลเซอร์ CO2 เพราะรูเล็ก ไม่มีแผลเป็น แล้วกดออก
3. การแต้มด้วยกรด TCA เข้มข้น ในกรณีที่ก้อนเล็กขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็เสี่ยงต่อรอยดำ และ อาจจะมีผลต่อผิวข้างเคียงได้

Posted on

ผื่นกุหลาบ หรือ ขุยดอกกุหลาบ (Pityriasis Rosea) : ผื่นทั่วร่างกาย ที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน

โรคขุยดอกกุหลาบ (Pityriasis Rosea) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะผื่นแดงรูปวงรี คล้ายดอกกุหลาบ พบได้ประมาณ 1-2 % ของประชากร พบมากในช่วยวัยรุ่นและผู้ใหญ่ อายุประมาณ 15-40 ปี พบได้ทั้งเพศชายและหญิงในอัตราส่วนเท่าๆกัน พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน

สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด โดยตรวจไม่พบเชื้อโรคหรือความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน บางสันนิษฐานเชื่อว่า เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เพราะสามารถหายได้เอง ในเวลา 6-8 สัปดาห์

ลักษณะอาการทางคลินิก: ผื่นอาจมีลักษณะสีแดง กลมรี มีขอบเขตชัด และมีสะเก็ด(scale) บางๆ ที่ขอบของผื่น (ดูภาพประกอบที่ 1 ) ที่เรียกว่า Herald Patch มักมีอาการคันเล็กน้อย ผื่นจะพบได้ใน บริเวณลำตัว หรือแขนขาส่วนบน แต่ในรายที่เป็นรุนแรง อาจจะพบผื่น กระจายอยู่ทั่วลำตัว หรือแผ่นหลัง คล้ายต้นคริสต์มาส

การวินิจฉัยโรค: มักสังเกตจากลักษณะของผื่น แต่ขณะเดียวก็ต้องแยกผื่น จากโรคกลาก ซิฟิลิส การแพ้ยา โรคเรื้อนกวาง หรือผื่นจากหัดเยอรมัน หรือการติดเชื้อไวรัสอื่น

การรักษา: โรคนี้มักจะหายได้เอง การให้ยาจึงให้ตามอาการ เช่น ยารับประทานแก้แพ้ แก้คัน ครีมทาลดอาการคัน ส่วนการฉายแสง (Phototherapy) หรือการอาบแสงแดด มักจะใช้ในรายที่เป็นรุนแรงและเรื้อรังมากกว่า 3-4 เดือน

Posted on

เหงื่อออกมากกว่าปกติ(Hyperhidrosis) รักแร้เปียก มือเท้าเปียก มีกลิ่นตัว เท้าเหม็น แก้ไขอย่างไร

สาเหตุ เหงื่อออกมากกว่าปกติ(Hyperhidrosis)

การหลั่งเหงื่อ ถือว่าเป็นภาวะปกติของร่างกายที่จำเป็น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยกลไกการหลั่งเหงื่อจะส่งผ่านปลายประสาท ของระบบประสาทอัตโนมัติ ที่เรียกว่า Sympathetic nervous system
ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperthydrosis) คือภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก แม้ในสภาพอากาศปกติ พบได้ประมาณ 1 % ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะอาการออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (Primary Hyperhidrosis) กลุ่มนี้ ที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ซึ่งเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย คนไข้ในกลุ่มนี้ มักพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ในกลุ่มวัยรุ่น ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 30-40 ของกลุ่มนี้ มักจะมีประวัติทางกรรมพันธุ์ร่วมด้วย
  • กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhidrosis)
    คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อในปริมาณมาก ออกทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในเวลานอน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของโรคอื่น ๆ เช่น
    – โรคไทรอยด์เป็นพิษ ทำให้ร่างการมีการเผาผลาญสูง
    – โรควัณโรคปอด
    – โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    – ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะอ้วนมาก ๆ
    – หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
    – การรับประทานยาบางชนิด เป็นต้น

พบได้บ่อยบริเวณไหน

ผู้ป่วยบางรายมีเหงื่อออกมากมากกว่าปกติ แบ่งได้เป็น
1. กลุ่มเหงื่อออกทั่วๆ ไป : เนื่องจากเหงื่อช่วยระบายความร้อน คนที่มีเหงื่อออกทั่วลำตัว จะทำให้ขาดความสมดุลของอุณหภูมิของร่างกาย อาจจะทำให้รู้สึกเย็นหรือหนาวมากกว่าคนปกติ
2. กลุ่มเหงื่อออกเฉพาะที่ : พบได้บ่อยที่สุด มักจะทำให้ขาดความมั่นใจ การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก บริเวณที่พบได้บ่อยๆ คือ
– รักแร้ (พบบ่อยสุด) ทำให้เกิดกลิ่นตัว รักแร้เปียก ดูเป็นที่รังเกียจ ของคนทั่วไป
– บริเวณฝ่ามือ ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือหยิบจับอะไรแล้วลื่น หรือไม่กล้าจะจับมือทักทายใคร
– บริเวณฝ่าเท่า ทำให้ เท้ามีกลิ่นอับ ใส่รองเท้าแล้วถุงเท้าแฉะอึดอัด หรือใส่รองเท้าแตะแล้วลื่น
– ใบหน้า : อาจจะเสียบุคคลิกภาพ แต่งหน้าไม่ติด

แนวทางการรักษา

กรณีที่ทราบสาเหตุ ถ้าแก้ไขที่สาเหตุ และรักษาหาย อาการดังกล่าวจะดีขึ้น
กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุ  มักทำการรักษาได้ยาก แต่พอมีแนวทางแก้ไขได้ดีขึ้น ดังนี้
1. การใช้สารป้องกันเหงื่อ ( antiperspirants) ที่ใช้ได้ดี คือ 20-25 % Aluminium chloride in 70 % alcohol แต่มักได้ผลในกรณีที่เป็นไม่มาก และต้องใช้บ่อยๆ
2. การทำ ไอออนโตโฟรเรซิส มักทำบริเวณฝ่ามือ แต่ต้องทำบ่อยๆ แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะไม่สะดวกในการต้องไปทำอยู่เรื่อยๆ
3. การใช้ยากล่อมประสาท เพื่อแก้ภาวะวิตกกังวล อาจได้ผลบ้าง แต่ไม่ดีนัก หรือ การใช้ยากลุ่ม Atropine ก็มักเกิดผลข้างเคียง ทำให้ปาก คอแห้ง จึงไม่เป็นที่นิยมเช่นกัน

  1. การฉีดสาร botox : สาร Btlulinum toxin นอกจากจะ สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท Acethylcholine ทำให้กล้ามเนื้อคล้ายเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้ว ยังทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ช้าลงด้วย เหงื่อจึงลดลง มักได้ผล ในการฉีดสารนี้ที่บริเวณ รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ซึ่งสามารถลดปัญหาดังกล่าวได้นาน 6-12 เดือน และต้องมาฉีดซ้ำ แต่ก็เป็นที่นิยมในต่างประเทศ มากกว่าการทำการผ่าตัด เพราะเจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องนอนรพ.
  2. การผ่าตัดต่อมเหงื่อทิ้ง มักใช้กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ โดยการผ่าตัดเส้นประสาทบริเวณทรวงอกโดยการส่องกล้อง ที่เรียกว่า endoscpoic thoracic sympathectomy ซึ่งพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล และหายขาด เกือบ 90-97 % แต่ได้ผลดีเฉพาะเหงื่อออกบริเวณรักแร้ มีความปลอดภัยสูง แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
Posted on

เครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ เชื่อถือได้หรือไม่ อย่างไร ปัจจัยไหนที่ทำให้อ่านผลผิดพลาดได้

มื่อ 20-30 ปีก่อน ถ้าพูดถึงเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ (Autorefractometer) ทุกคนจะมีความรู้สึกว่า ค่าที่ได้จากการวัดมักจะไม่ เที่ยงตรงสู้การวัดด้วยคนและสวมแว่นลองดูไม่ได้ อีกครั้งเครื่องมีราคาแพง จึงไม่ค่อยจะเป็นที่นิยม

แต่ในปัจจุบัน เครื่องวัดชนิดนี้มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแม่นยำมากขึ้น สะดวกและรวดเร็วขึ้น แพทย์สามารถ นำเอาค่าที่วัดได้ไปปรับใช้กับผู้ป่วยทางสายได้ค่อนข้างแม่นยำ

หลักการทำงานของเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ คือ การที่เครื่องวัดจะกรองเอาแต่แสงอินฟราเรดผ่านเข้าเครื่องแล้วประมวลผลออกมา เป็นค่าสายตาที่ผิดปกติของผู้รับการตรวจ แต่ก็มีข้อจำกัดของการวัดด้วยเครื่องนี้ คือ การเพ่งมองของผู้รับการตรวจมากเกินไป อาจจะ ทำให้ค่าสายตาที่วัดได้ เป็นภาวะสั้นกว่าความเป็นจริง ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ดังนั้นในบางครั้ง เด็กที่มาทำการวัด สายตาด้วยจักษุแพทย์ จึงมักจำเป็นต้องหยอดยาคลายการเพ่งของตาก่อน รับการตรวจด้วยเครื่อง

ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้การวัดด้วยเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ ผิดพลาด อาจจะได้ในกรณีอื่นๆ อีก ดังนี้

  1. มีสายตาสั้นหรือยาวมากกว่าปกติ คือ อาจจะมากกว่า -25 D หรือ +25 D
  2. มีสายตาเอียงเกิน +/- 6 D
  3. ผู้รับการตรวจไม่มองภาพที่จอภาพนิ่งๆ มีการกลอกลูกตาไปมา
  4. ผู้รับการตรวจมีโรคทางตาอื่นๆ เช่น ภาวะต้อกระจก แผลเป็นที่กระจกตา หรือโรคจอประสาทตาลอก เป็นต้น

จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น จึงพบว่าการตรวจวัดสายตาที่ถูกต้องและแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติ ควรจะรับการตรวจจากจักษุแพทย์ หรือ ผู้ที่เชี่ยวชาญผ่านการอบรมมาโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้แยกโรคหรือภาวะบางอย่างที่อาจจะเกี่ยวข้องได้ดีกว่า การตรวจวัดตามร้าน จำหน่ายแว่นตาทั่วๆ ไป


อ้างอิงจากบทความของ นพ. ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ จักษุแพทย์ประจำศูนย์ตาธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารคลินิก ประจำเดือนธันวาคม 2547

Posted on

L-Carnitine อาหารเสริม เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือกินเพิื่อลดน้ำหนักได้ จริงมั้ย หรืออย่างไร

L-Carnitine คืออะไร

คือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้เอง จากตับและไต โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนีน (methionine) แล้วเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย สมอง หัวใจ และอสุจิ มีหน้าที่ลำเลียงกรดไขมันไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ แอล-คาร์นิทีนช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง
แอล-คาร์นิทีนกับการลดน้ำหนักได้จริงมั้ย
ไม่มีผลการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่จะแสดงว่ามันสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาบางตัวแสดงให้เห็นว่าการทานคาร์นิทีนช่วยลดมวลไขมัน เพิ่มเป็นมวลกล้ามเนื้อได้ โดยเมื่อทานก่อนออกกำลังกาย จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังได้นานขึ้น ลดความเมื่อยล้า แต่ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง

ใช้ L-carnitine อย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

สำหรับผู้ที่ต้องการกินอาหารเสริม L-carnitine เพื่อบำรุงสุขภาพนั้นอาจทำได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ เนื่องจากอาหารเสริมชนิดนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ไม่สบายท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ชัก เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มคนต่อไปนี้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ

  • สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันความปลอดภัยในการนำมาใช้กับสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่ให้นมบุตร หากต้องการใช้อาหารเสริมชนิดนี้จริง ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • เด็กไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์ไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากอาจทำให้อาการป่วยแย่ลงได้
  • ผู้ที่เคยมีอาการชักควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากเสี่ยงก่อให้เกิดอาการชักได้สูง


Posted on

การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงภายนอก ที่สังเกตได้มีอะไรบ้าง ต้องป้องกันและแก้ไขอย่างไร

การตั้งครรภ์ของสตรีเพศ มีการเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายในร่างกายหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าการที่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในร่างกาย น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รูปร่างที่เปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งจากภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ ความผิดปกติของผิวหนัง เล็บ และเส้นผม
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผิวหนังในระหว่างตั้งครรภ์ 
1. การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี
1.1 มีผิวสีเข้มขึ้น – พบได้ถึงร้อยละ 90 ของสตรีมีครรภ์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนจากรังไข่ รก และต่อมใต้สมองสูงขึ้น
บริเวณที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณรอบหัวนม เส้นกลางท้อง( linea nigra) รักแร้ อวัยวะเพศ รอบทวารหนัก อาจพบกระ ไฝ และแผลเป็นสีดำคล้ำได้ เริ่มพบได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แล้วคล้ำไปเรื่อยๆ จนหลังคลอดค่อยจางลง แต่บริเวณหัวนมและเส้นกลางท้องอาจคงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะในคนผิวสีคล้ำ
1.2 ฝ้า- พบได้ถึงร้อยละ 50-75 ของสตรีมีครรภ์ และพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดก่อนการตั้งครรภ์
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดด การใช้ครีมกันแดด SPF>30 หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดก่อนการตั้งครรภ์ โอกาสเกิดฝ้าได้มักพบ ใน3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด หลังคลอดฝ้าอาจจางหายได้ หรือถ้าไม่หายอาจต้องทำการรักษา
2. การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด – เชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน การหมุนเวียนของเลือดและปริมาณเลือดที่มีเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
2.1 จุดแดงและมีแขนงแยกออกของเส้นเลือดฝอยคล้ายใยแมงมุม( Spider nevi) พบได้บ่อยในคนผิวขาวถึงร้อยละ 60 แต่ในคนผิวดำ พบได้ร้อยละ 10 มักพบบริเวณ ลำคอ รอบตาและแขน มักเกิดในระยะการตั้งครรภ์ในเดือนที่ 2-5 และจางหายได้เองภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด ไม่จำเป็นต้องรักษา
2.2 ฝ่ามือแดง อาจพบได้ เป็น 2 ลักษณะ คือ แดงที่ขอบเขตชัดเจน หรือ แดงเป็นหย่อมๆ ทั่วฝ่ามือซึ่งพบได้บ่อยกว่า ถึงร้อยละ 60 ในคนผิวฃาว และร้อยละ 35 ในคนผิวดำ มักหายได้เองหลังคลอด
2.3 เส้นเลือดโป่งพอง อาจพบโอกาสเกิดริดสีดวรทวาร หรือเส้นเลือดขอดที่ขาได้ พบได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ใน 3 เดือนแรก เนื่องจากช่องท้องน้อยมีความดันเพิ่มขึ้นจากมดลูกขยายตัว ทำให้การไหลเวียนโลหิตของเลือดดำเข้าสู่หัวใจช้าลง ดังนั้นควรแนะนำให้นอนยกขาสูง หรือนอนหัวต่ำ พันขาด้วยผ้ายืด ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เพื่อป้องกันการเป็นมากขึ้น
2.4 เหงือกบวมและแดงได้ง่าย
2.5 ช่องคลอดมีเลือดคั่งและหลอดเลือดขยายตัวได้
2.6 อาจมีอาการตาบวม หน้า ขาบวม แบบกดไม่บุ๋ม
2.7 หน้าซีด หน้าแดง รู้สึกร้อนสลับหนาวได้ เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง

3. การเปลี่ยนแปลงของเส้นผมและขน
3.1 ผมร่วงหลังคลอด เกิดได้ประมาณ อาทิตย์ที่4-20 หลังคลอด อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง หรือเครียดขณะตั้งครรภ์ แต่จะหยุดร่วงและผมงอกมาใหม่ภายใน 6-15 เดือน
3.2 ภาวะขนดก ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้มารดา มีขนดกคล้ายผู้ชายได้ พบขนดกได้ที่ใบหน้า แขน ขา หลัง หรืออวัยวะเพศ หลังคลอดแล้วภาวะขนดำมักหายได้เอง ภายใน6 เดือน
4. การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
4.1 ภาวะท้องลาย( Striae gravidarum ) เกิดจากการขยายตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว จนเกิดจากฉีกขาดของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ในคนผิวขาว และมีประวัติครอบครัวเคยที่ภาวะท้องลาย จะทำให้เป็นได้ง่าย อาจพบอาการคันร่วมด้วย ปัจจุบันมีครีมทาป้องกันและรักษา แต่ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
4.2 ติ่งเนื้อ (seborheic keratosis)เกิดได้บริเวณ ใบหน้า ลำคอ อกช่วงบน และใต้ราวนม มักหายได้เองหลังคลอด ไม่มีอันตราย อาจผ่าตัด หรือจี้ออกได้ ถ้ารำคาญ
5. เล็บมีอาการเปราะหักง่าย อาจพบร่องตามแนวขวางของเล็บ เล็บเผยอได้ง่าย ควรแนะนำให้ตัดเล็บให้สั้น
6. การเปลี่ยนแปลงของต่อมเหงื่อ อาจทำให้เหงื่อออกได้ง่าย ขี้ร้อน มีผดผื่นได้บ่อยๆ
7.รอยหัวนมอาจขยายขึ้น และมีสีน้ำตาลคล้ำ จากการเปลี่ยนแปลงของต่อมไขมัน Sebaceous ในระหว่างตั้งครรภ์ และจะยุบจางลงหลังคลอด

จากที่กล่าวมานี้ เป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปกติของสตรีมีครรภ์ ดังนั้นการได้รับรู้เบื้องต้น ถึงการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่อาจเกิดได้ และจะหายได้เอง คงทำให้ว่าที่คุณแม่หลายท่าน สบายใจขึ้นบ้างนะครับ

Posted on

หูด หรือตาปลา ( Wart) ติ่งเนื้อที่พบได้บ่อยๆ ชนิดของหูด สาเหตุและการรักษา

หูด ( Wart) เป็นติ่งเนื้อ ที่งอกยื่นออกมาจากผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ภายในชั้นหนังกำพร้า ติดต่อโดยการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค มักพบได้บ่อยในเด็ก หรือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ชนิดของหูด แบ่งได้เป็นหลายชนิด ตามลักษณะที่แตกต่างดังนี้
 1. Common wart (Verruca Vulgaris) -ลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวค่อนข้างขรุขระ สีเหมือนผิวหนังหรือสีดำ อาจมีเม็ดเดียวหรือหลายเม็ด พบบ่อยในเด็ก มักเป็นที่มือและเท้า มักไม่มีอาการอะไร ยกเว้นไปแกะเกา ให้เกิดบาดแผล
2. Plantar wart – หูดฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นปื้นหนาแข็งฝังอยู่ในเนื้อ สีค่อนข้างเหลือง เมื่อยืนเดินลงน้ำหนักหรือกดทับจะเจ็บ เป็นปื้นแข็ง แยกได้ยากจากตาปลา การจะแยกต้องใช้ใบมีดฝานตรงติ่งเนื้อ ถ้าเป็นหูดจะพบจุดเลือดออกเล็กๆ แต่ถ้าเป็นตาปลา ถ้าเฉือนไปเรื่อยๆ จะพบเนื้อดี

 3. Fusiform wart – เป็นติ่งเนื้อขนาดเล็ก ยื่นออกมาจากผิวหนัง ลักษณะยาวคล้ายนิ้วมือเล็กๆ มักพบบริเวณใบหน้า และลำคอ พบได้บ่อยในคนสูงอายุ
4. Plane wart- หูดราบ –ลักษณะเป็นตุ่มแบน ผิวเรียบ สีเหมือนผิวหนัง มักพบเป็นกลุ่มบริเวณ หน้า คอ หลังมือ
การรักษา มีหลักการก็คือ กำจัดเนื้อเยื่อออกไปจากร่างกาย ซึ่งทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การจี้ด้วยไฟฟ้า
2. การผ่าตัด หรือตัดชิ้นเนื้อออก
3. เลเซอร์ ด้วย Co2 laser
4. การ แต้มด้วยสารเคมีลอกขุย(Kearolytic agents เช่น Salicylic acid) ให้หลุดลอกออก เช่น Collamack แต่ปัจจุบันยานี้ได้เลิกผลิตแล้ว
5. การแต้มด้วยยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสนี้ เช่น 5-FU (Vermumal,Duoflim)

จากทุกๆ วิธี แพทย์อาจจะเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีควบคู่กัน เพื่อจะกำจัดเชื้อไวรัสนี้ให้หมด เพราะถ้าไม่หมดอาจเกิดใหม่ได้ และถ้าทำลายมากเกินไป ก็อาจจะทำลายเนื้อดี เกิดแผลเป็นได้

การป้องกัน ก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อหูด จากไวรัสนี้ และถ้ามีลักษณะทางคลีนิกของโรคนี้ ควรรีบกำจัดตั้งแต่เริ่มเป็น เพื่อป้องกันการลุกลามมากขึ้น เนื่องจากการสัมผัสหูดนี้บ่อยๆ แล้วไปโดนผิวหนังบริเวณอื่น อาจจะมีหูดหรือตาปลาเพิ่มขึ้นได้ ในบริเวณที่มือที่มีเชื้อไวรัสนี้ไปสัมผัส

หูด เป็นเนื้องอกธรรมดา ไม่มีอันตรายอะไร ไม่ทำให้เกิด
เป็นมะเร็งในภายหลัง

Posted on

4 เคล็ดลับกับการกินอาหารให้สุขภาพดี ไม่อ้วน กับ 5 หมวดหมู่อาหารที่ควรรับประทานอย่างไร

9 เคล็ดลับ กินดี ไม่มีอ้วน

1. รับประทานไขมันให้น้อยลง ประมาณน้อยกว่า 40-50 กรัมต่อวัน ซึ่งจะทำให้แคลอรี่ลดลง เป็นการลดน้ำหนักที่ดี และลดผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมัน
2. ลดปริมาณแคลอรี่ต่อวัน ให้เหลือ 600 แคลอรี่ ร่วมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมทีละน้อยๆ และง่ายๆเป็นสิ่งสำคัญกว่า
3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 3 มื้อ โดยรับประทานเป็นมื้อเล็กๆ พร้อมบันทึกน้ำหนักเป็นเวลา เปรียบเทียบไว้เตือนใจตนเอง
4. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมวดโดยเรียงจากกลุ่มที่ควรรับประทานให้น้อยสุด ไปมากสุด ดังนี้
4.1 หมวดไขมัน ของหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เป็นกลุ่มอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูง ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และมีสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย จึงควรจำกัดอาหารประเภทนี้ให้น้อยที่สุด
4.2 หมวดเนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินเอ บี1 บี 6 บี12 วิตามินดี วิตามินเค ธาตุเหล็ก ไนอะซิน สังกะสี และฟอสฟอรับ ที่เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอและการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยจำกัดในปริมาณที่ต่ำ และเลือกที่มีไขมันต่ำ
4.3 หมวดผัก เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่
4.4 หมวดผลไม้ เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ บี6 วิตามินซี กรดโฟลิค โพแตสเซียม เส้นใยอาหาร ในแต่ละวันเราควรเลือกรับประทานผักผลไม้ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน โดยเลือกผลไม้ที่มีสีเหลือง หรือสีส้มจัด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารวันละ 1 อย่าง ผักใบเขียวจัดวันละ 1 อย่าง เลือกผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป ส่วนที่เหลือ จะเลือกผักผลไม้ ชนิดใดก็ได้
4.5 หมวดข้าว แป้ง และเมล็ดธัญพืช เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยอาหาร เป็นหมวดที่ต้องรับประทานมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งให้พลังงานแก่ชีวิตประจำวัน

Posted on

ผื่นผิวหนังจากเชื้อรา (Cutaneous Candidiasis) : ผื่นแดงในที่อับชื้น ร่มผ้า ซอกขา ซอกแขน

ผื่นแดง (Cutaneous Candidiasis ) คือ ผื่นที่มีอาการคัน ดูแฉะๆ พบเกิดได้ในบริเวณร่มผ้า ที่อับชื้น
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา ในรูปของยีสต์ หรือ สายรา ที่เรียกว่า กลุ่ม Candida ที่พบบ่อยที่ก่อให้เกิดโรคในคน ชื่อ Candida albicans
ลักษณะผื่นที่พบ จะมีลักษณะ เป็นปื้นแดง คัน เปื่อย มีขุยโดยรอบ และมักมีการแตกของผื่น กระจายเป็นตุ่มแดง เป็นกลุ่มๆ อักเสบ อาจมีหนอง รอบๆ ผื่นได้ คล้ายเป็นบริวารของผื่น ที่เรียกว่า Setellite lesions )
ตำแหน่งที่พบ มักพบบริเวณซอกหรือในร่มผ้า ที่มีความชื้นสูง ได้แก่ ร่องก้น ขาหนีบ ซอกรักแร้ ซอกนิ้วมือ ซอกนิ้วเท้า ใต้อก(ในคนอ้วน) สะดือ บริเวณอวัยวะเพศของเด็กที่ใส่ผ้าอ้อม ใต้ราวนม(ในคนอ้วน)

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด เชื้อรา Candida มีความแตกต่างจากเชื้อราที่ทำให้เกิด กลาก เกลื้อน เพราะเป็นเชื้อราที่พบเป็น จุลินทรีย์( normal flora) บริเวณ ช่องปาก ทางเดินอาหาร และช่องคลอดของสตรีอยู่แล้ว ปกติไม่ทำให้เกิดโรค ยกเว้นจะมีปัจจัยเสริมดังนี้
1. ภาวะภูมิคุ้มกันลดลง จาก โรคเบาหวาน มะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดผิดปกติ
2.ความอับชื้นจากอากาศ การแต่งกาย ผ้าอ้อม การใส่เฝือก ภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ
3.ความอ้วน
4.ยาที่รับประทานประจำ เช่น เสตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด
5.การใส่ฟันปลอม
6.การตั้งครรภ์
7.สภาวะความเป็นกรดของช่องคลอด
8.การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ

การวินิจฉัยการติดเชื้อ Candidiasis แยกจากการติดเชื้อราจากโรคกลาก ได้โดยการขูดขุย หรือตุ่มหนอง มาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือจากการเพาะเชื้อ นอกจากนี้ ผื่นจากเชื้อกลาก มักแห้งกว่า และขอบเขตชัดกว่า ไม่มีบริวารลูก และไม่ค่อยคันมาก

การดูแลและการป้องกันรักษา

1. ขจัดหรือควบคุมปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค ข้างต้น
2. ใช้ยาต้านเชื้อรา ทั้งในรูปของครีม เช่น cloteimazole cream ทา วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็ฯ หรือ ถ้าเป็นมากๆ อาจให้รับประทานยา ketoconazole วันละ 1 เม็ด นาน 1-2 สัปดาห์ มักจะหายขาด

Posted on

ไฟเบอร์สกัดจากเมล็ดแมงลัก( Psylium ) ช่วยควบคุมน้ำหนัก ได้อย่างไร เหมาะกับใคร

เมล็ดแมงลัก( Psylium ) กับการลดน้ำหนัก

แมงลัก ( Psylium ) เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูล Plantaginaceae ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Plantago psyllium โดยพบว่าเมล็ดของต้นแมงลัก จะมีเยื่อหุ้มเมล็ด ( Husk) ซึ่งจะให้ใยอาหารหรือไฟเบอร์ ที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ถึง 25 เท่าของน้ำหนักตัวเอง และเมื่อดูดซับน้ำไว้แล้ว ไฟเบอร์จากเมล็ดแมงลัก ก็จะมีลักษณะเป็นเยื่อเมือกลื่นที่เรียกว่า Mucillage และส่วนนี้เองที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และโภชนาการอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ในทางโภชนาการเราสามารถจำแนกชนิดของเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ อย่างง่ายๆ ตามลักษณะของการละลายน้ำได้ 2 ชนิด คือ

  1. ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ( Soluble fiber )  ซึ่งเมื่อไฟเบอร์นี้ละลายน้ำ จะมีลักษณะเป็นเจลขึ้น ซึ่งจะเกาะติดกับโมเลกุลของไขมัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไปได้เป็นอย่างดี ทำให้ป้องกันการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด และไฟเบอร์ชนิดนี้ก็จะนำพาสารอาหารที่ติดอยู่ขับออกไปทางอุจจาระ
    สรรพคุณ
    – ลดระดับไขมันและน้ำตาลในคนไข้ที่มีปัญหาได้ดี
    – ทำให้น้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงอย่างปลอดภัย
  2. ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำได้ ( Insoluble fiber ) ไฟเบอร์ชนิดนี้จะมีการทำงานคล้ายๆ ฟองน้ำ ( sponge) โดยจะทำการดูดน้ำไว้กับตัวเองทำให้พองตัว
    สรรพคุณ
    – ถ้าหากรับประทานไฟเบอร์ชนิดนี้เข้าไป จึงทำให้อิ่มไวขึ้น ก็ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
    – ทำให้เร่งให้อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านไปลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น จึงป้องกันปัญหาการดูดซึมสารอาหารเข้าร่างกาย และทำให้ลดและป้องกันภาวะท้องผูก
    เหมาะกับใคร
    – เหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก
    – ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะการพองตัวของเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ช้าลง นั้นหมายความว่าร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลได้น้อยลงด้วย
    – ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง เพราะเม็ดแมงลักจะช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ด้วย
Posted on

เกลื้อนแดด หรือ กลากน้ำนม (Pityriasis alba) : รอยด่างขาวบนใบหน้า ที่ไม่ใช่เชื้อรา

ในเด็ก หรือ วัยรุ่นบางคน โดยเฉพาะผู้หญิง จะพบว่า บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้ม อาจพบรอยด่างๆ เป็นวงๆ รูปไข่ หรือวงกลม อาจมีสีชมพูจางๆ หรือสีผิวซีดกว่าบริเวณข้างเคียง ทำให้ผิวหน้าเกิดรอยด่างเป็นดวงๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนสะอาด คล้ายโรคเกลื้อน ทำให้บางคนเรียกรอยด่างนี้ว่า เกลื้อนแดด( P.alba)

มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูร้อน หรือในภาวะแดดจัด พบมากในคนแถบเอเซีย สาเหตุที่แน่ชัดไม่ทราบ แต่คาดว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของผิวหนังอักเสบ โดยเกิดจากเซลล์เมลานิน ไม่สร้างเม็ดสีผิว ในบริเวณดังกล่าว เมื่อเทียบกับบริเวณข้างเคียงที่ตอบสนองต่อแสงแดด เพราะในภาวะปกติ ถ้าโดนแดดบ่อยๆ สีผิวจะคล้ำขึ้น แต่บริเวณรอยด่าง เซลล์ไม่ตอบสนองต่อแสงอุตราไวโอเลต หรือ ตอบสนองไม่เท่ากัน จึงเกิดสีผิวที่แตกต่างกันขึ้น

บางครั้งต้องแยกจาก การติดเชื้อราเกลื้อน แต่มักแตกต่างคือ เกลื้อนมักมีขอบเขตชัด และถ้าขูดบริเวณรอยโรค ไปส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบสายพันธุ์ของเชื้อรา แต่รอยด่าง P.alba จะไม่พบเชื้อราดังกล่าว บางคนจึงเรียกว่า เกลื้อนแดด

บางครั้ง ต้องแยกจาก ผื่นแพ้ Atopic dermatitis ซึ่งพบได้บ่อยในเด็ก เพราะฉะนั้นถ้าสงสัย อาจต้องพบแพทย์ผิวหนัง

แนวทางการรักษา 

1. โรคนี้ไม่จำเป็นต้องรักษา มักหายได้เอง เมื่ออายุมากขึ้น
2. อาจใช้ครีมกันแดด ก่อนโดนแดด เพื่อมิให้รอยด่างชัดขึ้น
3. การใช้ครีมทา Steroids บริเวณรอยด่าง จะทำให้การอักเสบของเซลล์ดีขึ้น และหายเป็นปกติ
4. ถ้ามีอาการผิวแห้งแตกร่วมด้วย อาจต้องทาครีมบำรุง เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น


Posted on

คีลอยด์ (Keloids) แตกต่างจาก แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) อยากหาย รักษาอย่างไร ให้ผิวกลับมาปกติ

คีลอยด์ (Keloids) คืออะไร

คีลอยด์ คือ แผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะนูนและค่อนข้างแข็ง มีสีคล้ายสีของผิวหนัง หรืออาจสีคล้ำ หรือ แดง แม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ก็ส่งผลด้านความสวยความงาม ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เหมือนผิวพรรณมีตำหนิ คีลอยด์ส่วนใหญ๋ไม่มีอาการอะไร แต่บางครั้งอาจจะคัน ระคายเคือง หรือเจ็บ
สาเหตุของคีลอยด์ : เกิดจากการเรียงตัวผิดปกติ ของแผลที่หายแล้ว โดยเนื้อเยื่อและคอลลาเจนที่ซ่อมแซมบริเวณดังกล่าว เกิดการทำงานมากกว่าปกติ โดยอาจเกิดขึ้นทันทีที่แผลหายหรือหลังจากแผลหายดีสักพัก
ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ อกด้านบน ใบหู คาง ไหล่ คอ หลัง ท้อง และขา
ความแตกต่างของคีลอยด์ (Keloids) กับแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
1. Keloids เป็นแผลนูนหนาที่เกิดเลยขอบเขตของแผลเดิม และ Hypertrophic Scar คือรอยแผลนูนหนาที่เกิดเฉพาะบริเวณแผลเดิม ไม่โตมากกว่าขอบเขตของแผลเดิม
2. Keloids มักไม่ค่อยหายขาด และอาจมีการอักเสบเป็นหนอง หรือ โตเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือน ส่วน Hypertrophic Scar หายขาดได้ อาจจะค่อยๆ ราบเหลือเป็นรอยสีขาวๆ และราบหายไป ภายใน 6-24 เดือน

Keloid ที่หัวไหล่ vs Hypertrohic scar ที่ท้อง

การป้องกันและรักษา

การป้องกันการเกิดคีลอยด์ ในคนที่มีประวัติ Keloids มาก่อน และป้องกันไม่ให้มี Keloids ในตำแหน่งอื่นๆ ได้อีก ควรปฏิบัติตนดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในผู้ที่เคยมีรอยแผลเป็นนูนหนา เพราะแผลผ่าตัดใหม่อาจเกิดKeloids ใหม่และเป็นมากขึ้น
2. หลีกเลี่ยงการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้า ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยเป็น Keloids
3. เมื่อเป็นสิว หรือ ต่อมเหงื่ออักเสบ ควรรีบพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ หรือ Isotretinoin อย่างเต็มที่ เพราะถ้าปล่อยให้แผลหายเอง อาจเกิด keloids ได้
4. ไม่ควรเจาะหูเพื่อใส่ตุ้มหู ในคนประเภทนี้ ถ้าทำควรระมัดระวัง เรื่องความสะอาด การติดเชื้อ เพราะจะเกิดรอยแผลเป็นนูนหนาได้ง่าย

การรักษาแผลเป็นนูนหนา ( Keloid) 

1. การฉีดยาให้ยุบ เป้นที่นิยมและได้ผลดี ยาที่ใช้เป็นกลุ่ม Corticosteroids เช่น Kenacort ยาจะไปลดการสร้างคอลลาเจน และเนื้อเยื่อบริเวณคีลอยด์ ลดอาการอักเสบ ทำให้ลดขนาดลง ไม่โตขึ้น และมักใช้กรณีที่ keloids มีเจ็บปวด หรือขนาดใหญ่มาก ฉีดได้ทุก 2 อาทิตย์ อาจผสม ยาชาร่วมด้วย
2. การแต้มด้วย 50 % TCA มักใช้ในกรณีที่ Keloids เริ่มยุบตัวได้ดี และทำให้หลุดลอกออกเป็นผิวปกติ
3. การทำเลเซอร์ ลดรอยดำ หรือรอยแดง มักจะใช้ในกรณีที่ฉีดคีลอยด์ยุบดีแล้ว ต้องการปรับสีผิวให้กลับมาใกล้เคียงปกติ เลเซอร์ที่ใช้ ก็เช่น V-beam,Revlite,Finecan
4. การจี้ด้วยไอเย็นจากไนโตรเจนเหลว มักทำร่วมกับการฉีดคีลอยด์ด้วยยา Corticosteroid
5. การผ่าตัดแล้วเย็บปิด แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นที่เดิมได้ 60 % มักป้องกันโดยฉีดยาให้ยุบก่อน ตรงแผลผ่าตัด และนัดมาฉีดยาซ้ำตามข้อ 1 แล้วนัดดูผลประมาณ 2 ปี
5. การตัดออกด้วยเลเซอร์( CO2 Laser) จะได้ผลดีเฉพาะคีลอยด์บริเวณใบหู ส่วนบริเวณอื่น ได้ผลไม่ดีนัก มักเป็นซ้ำและมากกว่าเดิม ประมาณ 55 %
6. การใช้ Silicone gel หรือ Plaster ที่ประกอบด้วย Polymethylsilicone polymer แปะบนผิวของคีลอยด์ พบว่าได้ผลดีเฉพาะในกรณีลดอาการคันและเจ็บ โดยแปะอย่างน้อย 12 ชม.ต่อวัน แต่การป้องกันและรักษา Keloids ยังไม่มีรายงานระบุชัดว่าได้ผลดี
7. ครีมรักษาแผลเป็นนูน : ได้แก่กลุ่มสารออกฤทธิ์ที่สำคัญสองชนิดคือ สารสกัดจากหัวหอมที่ชื่อว่า Cepalin และสาร Allantoin ส่วนใหญ่จะได้ผลดี ถ้าเกิดแผลใหม่ๆ

Posted on

ผิวแห้ง แตก คัน (Dry skin or Xerosis dermatitis) กลัวแก่ เกาจนเป็นแผล จะป้องกัน แก้ไขอย่างไร

ผิวหนังแห้ง เป็นปัญหาทางผิวหนังที่พบได้บ่อย มีลักษณะแห้งและมีขุย อันทำให้เกิดอาการคัน การเกา ซึ่งนำมาให้เกิดการเพิ่มการคัน อักเสบ และเป็นแผลในภายหลัง พบบ่อยบริเวณหน้าแข้ง หลังมือ แขน และผิวหนังทั่วร่างกาย ถ้าผิวหน้าแห้งบ่อยๆ อาจทำให้เกิดปัญหาฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัยอันควร ในรายที่เป็นมากๆ ชั้นผิวหนังด้านบนจะหดตัว แห้งแตกเป็นร่องได้
สาเหตุ มักเกิดจากการขาดน้ำในส่วนผิวหนังส่วนนอก ซึ่งอาจเกิดจากความชื้นของอากาศน้อย เช่นในหน้าหนาว หรืออยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ การใช้สบู่ที่ชำระล้างไขมันบนผิวหนังมากเกินไป แต่บางครั้งอาจเกิดจากโรคภายในร่างกายได้อาทิ โรคทางต่อมทัยรอยด์ เป็นต้น
แนวทางในการวินิจฉัย เมื่อพบแแพทย์ ด้วยปัญหาทางผิวหน้งแห้งผิดปกติ เพื่อหาสาเหตุ
1.ต้องซักประวัติ แยกจากโรคภูมิแพ้ Atopic Dermatitis หรือโรคทางพันธุกรรมอย่างอื่น
2. ประวัติการเกิดโรค ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้
3. การทำความสะอาดผิวหนัง เช่น ชนิดของสบู่ ความบ่อยในการอาบน้ำ เป็นต้น

การป้องกันและรักษาปัญหาผิวแห้ง หลักการก็คือ เพื่อป้องกันการเสียน้ำจากผิวหนังมากขึ้น และเพิ่มปริมาณน้ำที่เสียไปให้กับผิวหนัง ดังนี้

  1. การอาบน้ำ ไม่ควรอาบน้ำบ่อย น้ำที่อาบควรเป็นน้ำอุ่น ไม่ร้อนจัด อุณหภูมิ ประมาณ 34 องศาC
  2. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ให้พอดีรู้สึกสบาย
  3. เพิ่มความชื้นให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องเพิ่มความชื้น(Ultrasonic humidifiers)
  4. ทาครีมที่ลดการสูญเสียน้ำ อาทิ สารพวก Vaseline, Petrolatum ,Lanolin,Ceramide
  5. เพิ่มการดึงน้ำจากอากาศเข้าผิวหนัง โดยใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ 20-45 % Propylene Glycol ,Glycerine ,Urea,Ceramide
  6. การทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHAs จะช่วยลดความหนาของผิวหนัง ลดการตึงตัว ทำให้ผิวหนังนุ่มนวลขึ้นได้
  7. การใช้ครีมทาแก้แพ้ หรือแก้คัน ที่มีส่วนผสมของสารเสตียรอยด์ ควรทาเท่าที่จำเป็น เพราะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้ และ ไม่ควรเกา
  8. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือ การขัดผิว
  9. เลือกสบู่ที่ไม่มีความเป็นกรด หรือ ด่างแรงๆ ควรใช้สบู่อ่อนๆ ที่มีสารเคลือบผิว
  10. ใช้ครีมบำรุงทาเป็นประจำ ซึ่งปัจจุบันมีหลายตัวที่ได้ผลดี เช่นกลุ่มผสมยูเรีย Ceramide,Aloe vera
Posted on

เปลี่ยนสีผม (Hair dye) หรือ อยากย้อมผม เลือกอย่างไร ให้ถูกใจ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

ชนิดของยาเปลี่ยนสีผม

1. ครีมหรือโลชั่นทำให้ผมดำ มักมีส่วนผสมของโลหะ เช่น สารประกอบตะกั่ว เงิน มันใส่กันในน้ำยาใส่ผม ผมจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากขาวเป็นเทา และจะดำภายใน 2-3 สัปดาห์ มักมีข้อเสีย คือผมจะดูด้าน ไม่เงางาม และทำให้ผมแตกหักง่าย ถ้าดัดผมด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
2. ยาเปลี่ยนสีผมชั่วคราว มักเป็นพวกสีแฟชั่น สีที่ใช้เป็นพวก Acid dye เหมือนสีย้อมผ้า สีจะหายไป เมื่อสระผม 1-2 ครั้ง มีโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถซึมเข้าไปในแกนผมได้ จึงไม่ค่อยแพ้ หรือ ทำลายผมได้ ยกเว้นจะทำการดัดผมร่วมด้วย
3. ยาเปลี่ยนสีผมกึ่งถาวร มักไม่ติดทน สระผม 5-8 ครั้ง สีก็จะหมดไป แต่ก็สามารถทำลายเส้นผมได้
4. ยาเปลี่ยนสีผมแบบถาวร มักจะมีส่วนประกอบของ Paraphenylenediamine โดยมีน้ำยาไฮโดรเจนผสมก่อนใช้ ยาเปลี่ยนสีผมชนิดนี้ ทำลายเส้นผมมากที่สุด เปราะหักง่าย เพราะจะทำให้เส้นผมเป็นรู ไม่ควรย้อมด้วยยาเปลี่ยนสีผมประเภทนี้บ่อยกว่า 4 สัปดาห์ต่อครั้ง
5. ยาเปลี่ยนสีผมจากสมุนไพร มีส่วนประกอบของ Henna Extract มักมีความปลอดภัยสูง จะทำให้สีผมออกมาเป็นสีน้ำตาลออกแดง ถ้าย้อมบ่อยๆ ก็ทำให้ผมเปราะหักง่ายเช่นกัน

ข้อแนะนำในการเปลี่ยนสีผม

1. ดูฉลากแนะนำ และส่วนประกอบของยาก่อนใช้ และลองทดสอบ ทาลงบนท้องแขน ทิ้งไว้ 24 ชม. ถ้าไม่มีอาการบวม แดง คันยุบยิบ จึงใช้ย้อมได้
2. ไม่ควรใช้ยาเปลี่ยนสีผม กับบริเวณ ขนตา ขนคิ้ว เพราะจะระคายเคืองตาได้ และไม่ควรให้เข้าตา
3. เมื่อย้อมผม ไม่เกาหนังศีรษะ
4. ยาเปลี่ยนสีผม ประเภทครีมหรือโลชั่น ไม่ควรนวด หรือ เกาหนังศีรษะ เพราะจะทำให้มีการดูดซึม ของตะกั่วเข้าร่างกายได้
5. ไม่ควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาเปลี่ยนสีผม เพราะสารในสบู่จะช่วยให้สารดูดซึมได้มากขึ้น กระตุ้นการแพ้ได้
6. หยุดใช้ทันที และล้างออก ถ้ามีการระคายเคือง หรือมีการอักเสบหนังศีรษะ และควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรง

อาการแพ้ยาเปลี่ยนสีผม พบได้ ประมาณ 1:5000 โดยมีอาการดังนี้

1. อาการคันบริเวณ หนังตา ใบหน้า ไรผม ท้ายทอย ใบหู
2. อาจพบตุ่มน้ำ คัน แฉะ
3. ถ้ารุนแรง อาจมีหน้าบวม ลืมตาไม่ขึ้น
4. ทำให้ผมร่วงได้

Posted on

ปวดประจำเดือน ( Dysmenorrhea) : มีกีแบบ แบบไหน ต้องหาสาเหตุ และรีบทำการรักษา

อาการปวดประจำเดือน ( Dysmenorhea) ถือเป็นภาวะอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยพบได้ถึงร้อยละ 50 ของสตรีที่มีประจำเดือน แต่จะมากน้อยรุนแรงแตกต่างกันไป โดยมีการสำรวจพบว่า ร้อยละ 10 ของผู้หญิงที่มีปัญหาปวดประจำเดือน จะมีอาการรุนแรงจนไม่สามารถจะทำงาน หรือเรียนหนังสือได้ตามปกติ
สาเหตุของการปวดประจำเดือน ทางการแพทย์ได้จำแนกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
1. อาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ ( Primary Dysmenorhea) หมายถึงการปวดประจำเดือนแบบไม่พบโรค หรือพยาธิโรคที่เป็นอันตราย ใดๆ ในอุ้งเชิงกราน
ลักษณะประวัติ อาการที่น่าจะเป็นการปวดแบบนี้คือ
1.1 มักจะเริ่มมีอาการปวดภายหลังเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก ไม่เกิน 1 ปี
1.2 มีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือน และค่อยๆ ลดลง แต่หายไป ไม่เกิน 2-3 วัน
1.3 อาการปวดจะมีลักษณะปวดบีบเป็นพักๆ บริเวณท้องน้อย
1.4 การตรวจภายใน(กรณีที่ทำได้) จะไม่พบความผิดปกติอื่นๆ
2. อาการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ( Seconary Dysmenorhea) หมายถึงการปวดประจำเดือนแบบพบโรค หรือมีพยาธิโรคในอุ้งเชิงกราน เช่น ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ( Endomethiosis), การอักเสบอุ้งเชิงกราน, เนื้องอกในมดลูกชนิด Submucus Myoma หรือชนิด Adenomyosis,ห่วงคุมกำเนิด,พังผืดในโพรงมดลูก,ปากมดลูกตีบตัน,ถุงน้ำรังไข่ ฯลฯ
ลักษณะประวัติ อาการที่น่าจะเป็นการปวดแบบนี้คือ
2.1 เริ่มมีอาการปวดภายหลังเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกมาแล้วหลายๆ ปี
2.2 อาการปวดรุนแรงขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
2.3 มีอาการปวดในรอบประจำเดือนที่ไม่ตกไข่ หรือในรอบที่ได้รับยาคุมกำเนิด
2.4 หลังจากให้ยารักษาแบบอาการปวดแบบปฐมภูมิแล้วไม่ดีขึ้น
แนวทางในการรักษาอาการปวดประจำเดือน
1. ยาแก้ปวด ได้แก่ กลุ่มยา Paracetamol
2. ยาแก้ปวดเกร็ง Antispasmodic ได้แก่ กลุ่มยา Buscopan
3. ยาแก้ปวดกลุ่ม Prostaglandin Synthetase inhibitor เช่น กลุ่มยา Ponstan
4. ยากลุ่มคุมกำเนิด
คำแนะนำ
การรักษาอาการปวดประจำเดือน ด้วยยาดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่ดีขึ้น จึงแนะนำให้พบนรีแพทย์ เพื่อตรวจภายใน และอุลตราซาวด์ หาสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนั้นสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ และพบแพทย์เมื่ออาการรุนแรงขึ้น และไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยา แก้ปวดชนิดต่างๆ แล้ว

Posted on

สารสกัดจากผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) สามารถลดน้ำหนักได้อย่างไร

ผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) คืออะไร

ส้มแขก( Garcenia Cambogia) เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร
ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้
กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb’s cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย
ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น
การนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง
ปัจจุบัน ส้มแขก ได้มีการทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ลดน้ำหนัก ในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ด แคบซูล และผง และมีวางจำหน่ายทั่วไป
ผลข้างเคียง ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน 600 mgครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับดื่มน้ำตามหลัง ประมานหนึ่งแก้ว

Posted on

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน( Postcoital pills) : รู้ก่อนใช้ ว่ามีกี่แบบ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน( Postcoital pills หรือ (morning after pills) เป็นยาคุมกำเนิดที่แต่ละเม็ดประกอบด้วยฮอร์โมนเพศในปริมาณที่สูง จะใช้เฉพาะกรณีจำเป็นคือมีการร่วมเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันล่วงหน้า หรือ กรณีถูกข่มขื่น โดยจะให้กินยาภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ (บางตำราอาจให้ยาวได้ถึง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่ความมั่นใจในการป้องกันการตั้งครรภ์ก็จะน้อยกว่า ) และหลังจากรับประทานยาไปประมาณ 1 สัปดาห์จะมีประจำเดือนตามปกติ
ชนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
1.การใช้ฮอร์โมน estrogen อย่างเดียว การใช้ estrogen ขนาดสูงในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะมีหลายชนิดและหลายขนาด ตลอดจนวิธีบริหารยาที่แตกต่างกันเช่น
-Ethinyl estradiol รับประทาน 5 mg. /วัน 5 วันติดต่อกัน
– Conjugated estrogen รับประทาน 5 mg./ วัน 5 วันติดต่อกัน
– conjugated estrogen 50 mg. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเป็นเวลา 2 วัน
– estradiol benzoate 30 mg. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นเวลา 5 วัน
ทั้งนี้ ฮอร์โมนที่ใช้จะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ผลข้างเคียงที่พบได้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศรีษะ ปวดศรีษะ คัดตึงเต้านม ระดูมาผิดปกติ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากผลข้างเคียงดังกล่าว
2.การใช้ฮอร์โมน progestogen อย่างเดียว มีการนำเอา levonorgestrel มาใช้ โดยใช้ levonorgestrel ขนาด 0.75 mg. รับประทาน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง ให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ อัตราความล้มเหลว 1.1-2.9% ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ คลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่า ระยะเวลาที่เริ่มรับประทานยามีผลต่อประสิทธิภาพของวิธีการคุมกำเนิด โดยการที่ทานยาภายใน 24 ชั่วโมงจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่าทานภายใน 72 ชั่วโมง

3.การใช้ฮอร์โมนรวม estrogen+ progestrogen (Yuzpe regimen)  วิธีนี้เป็นวิธีที่ FDA และ วิทยาลัยสูตินรีเเพทย์แห่ง USA แนะนำ แบ่งได้เป็น
3.1 ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มี ethinyl estradiol 0.05 mg. + levonorgestrel 0.25 mg.or norgestrel 0.5mg. รับประทานครั้งละ 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยให้รับประทานครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังการมีเพศสัมพันธ์
3.2 ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มี ethinyl estradiol 0.03 mg. + levonorgestrel 0.15 mg.or norgestrel 0.3mg. รับประทานครั้งละ 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยให้รับประทานครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ ผลข้างเคียงที่พบ มีอาการคลื่นไส้( 30-66% ) อาเจียน (12-22% อาการจะลดลงถ้าทานยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง) เจ็บคัดตึงเต้านม (1-47%) และพบว่ามากกว่า ร้อยละ 90 จะมีระดูภายใน 21 วัน หลังรับประทานยา ระยะเวลาเฉลี่ย 7-9 วัน อัตราความล้มเหลว 2-3.5% (ถ้าใช้วิธีนี้แล้วยังเกิดการตั้งครรภ์ ยังไม่พบรายงานว่าทารกมีความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิด)
4.การใช้ยา Antiprogestin  มีการนำ Mifepristone ซึ่งเป็น antiprogestin มาใช้ พบว่ามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง มีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ แต่จะไม่มีผลต่อการสร้างฮอร์โมนของรังไข่ Mifepristone 600 mg. รับประทานครั้งเดียวภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังมีเพศสัมพันธ์จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 100% ผลข้างเคียงที่พบ 42% จะมีระดูเลื่อนออกไปมากกว่า 3 วัน อาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้บ้างแต่น้อยมาก แต่ยานี้ยังไม่มีจำหน่ายไนประเทศไทย
5.การใช้ยา danazol ยาประเภทนี้มักจะใช้โดยสูตินารีแพทย์ และใช้รักษาโรคตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ( Endomethiosis) จะไม่กล่าวถึงในรายละเอียด
ผลข้างเคียง จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
– อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
– ทำให้ประจำเดือนมาเร็วหรือช้าลง
– อาจมีอาการปวดท้อง เจ็บคัดเต้านม
– มีเลือดออกกระปริบกระปรอยหรือมีเลือดออกมากระหว่างเดือน 
และหากหลังใช้ยา ประจำเดือนยังไม่มาเกินกว่า 1 สัปดาห์ควรตรวจดูว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยควรไปปรึกษาแพทย์

อย่างไรก็ตามการใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินอย่างถูกต้องภายหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์ พบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ เกิดขึ้นได้ร้อยละ 2 เรียกได้ว่ายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉิน มีประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกําเนิดแบบปกติทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ถ้านําเอายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินมาใช้บ่อยครั้ง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการล้มเหลวได้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทําไมจึงไม่ควรจะนําเอายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินมาใช้เพื่อคุมกําเนิดเป็นประจํา ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดประเภทนี้ และไม่ควรกินยานี้เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้งหรือเกินเดือนละ 4 ครั้ง

Posted on

งานวิจัย : Pycnogenol สารสกัดจากเปลือกสน มาริไทม์ สามารถรักษาฝ้าทำให้จางลงได้

Pycnogenol คืออะไร

คือ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ สกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pinus pinaster)Pycnogenol  ที่อุดมไปด้วยส่วนผสมของสารอาหารจากธรรมชาติ อันได้แก่ สารไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) และ กรดผลไม้ (fruit acids) หลากหลายชนิด
สรรพคุณ
1.ช่วยต่อต้านการผลิตเม็ดสีเมลานิน ปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ กระ ฝ้า สีผิวไม่สม่ำเสมอจากการทำลายของแสง UV
2.ปรับผิวพรรณให้เนียนนุ่ม มีน้ำมีนวล ผิวดูอ่อนเยาว์ จากคุณสมบัติเพิ่มกรดไฮยาลูโรนิกในชั้นผิวหนังมากขึ้น นอกจากขาวใสแล้วยังลดเลือนริ้วรอยลึกได้อีกด้วย
3. มีสารป้องกันการอักเสบให้ผิว ซึ่งช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายด้วยแสงแดด
4. ช่วยกระตุ้นความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเซลล์เป็น 2 เท่า และช่วยดักจับอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระแสเลือด
5. ปกป้องโครงสร้างผิวไม่ให้ถูกทำลายโดยเอนไซม์ที่สลายคอลลาเจนและอิลาสติน

 

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ได้นำคนไข้ฝ้าผู้หญิง จำนวน 30 คน อายุประมาณ 29-59 ปี ( อายุเฉลี่ย 41 ปี) และมีปัญหาเรื่องฝ้าโดยเฉลี่ย 8 ปี รับประทานยาที่สกัดจากเปลือกสนดังกล่าว ขนาด 25 มก. วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน แล้วนำมาวัดผล ด้วยการซักประวัติ ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง หรือเหมือนเดิม และได้ทำการวัดระดับความเข้มของฝ้า ผลการทดลองมีดังนี้ 

ผลลัพธ์ ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
จำนวนคน 7 17 6 24
% 22.23 % 56.57 % 20 % 80%

โดยเกณฑ์การพิจารณาประสิทธิภาพของการรักษา 

– กรณีได้ผลดีมาก คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 2 หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่
– กรณีที่ได้ผลดี คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 1หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่
– กรณีที่ไม่ได้ผล คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและความเข้มของฝ้า

จากการทดลองดังกล่าว ได้มีการบันทึกผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้ ดังนี้

อาการที่พบ จำนวน ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
อ่อนเพลีย 13 3 6 4 69.23 %
เจ็บหน้าอก/ซี่โครง 10 2 5 3 70 %
ท้องผูก 13 3 5 5 61.54 %
ใจร้อน 16 2 7 7 56.52 %


โดยพบว่าผลการตรวจเลือดและปัสสาวะก่อนและหลังการรับประทานยาดังกล่าว ไม่พบการเปลี่ยนแปลง

จากผลงานการวิจัยดังกล่าว  ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาฝ้า ที่ได้ผลในการรักษาในระดับหนึ่ง และมีผลข้างเคียงก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไร นอกจากนี้อาจจะช่วยชะลอวัยได้ด้วย

Posted on

Minoxidil Lotion (ไมนอกซิดิล) : ส่วนประกอบสำคัญ ในเซรั่มหรือโลชั่นปลูกผม ปลูกคิ้ว หนวด เครา ให้ดกดำ

Minoxidil (ไมนอกซิดิล) คืออะไร

ไมนอกซิดิล เดิมคือ ยาลดความดันโลหิต นำมารักษาคนไข้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง แต่พบว่ามีผลทำให้เส้นผมดกดำขึ้นได้ จึงเกิดการพัฒนาเป็นสารที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม เป็นเซรั่มหรือโลชั่นปลูกผม ในปัจจุบัน
กลไกการออกฤทธิ์ : ยังไม่ทราบแน่ชัด ตามสมมุติฐานเชื่อว่า Minoxidil มีฤทธิ์ในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตตรงกระเปาะผม จึงเพิ่มสารอาหารแก่เซลล์ผม ทำให้เซลล์ผมเกิดการแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้น ผมจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากผมหรือขนเล็กๆ( vellus hair ) เป็นเส้นผม-ขนที่โตขึ้น ที่เรียกว่า terminal hair นอกจากนี้ยังเชื่อว่ายังออกฤทธิ์ในการยับยั้งอิทธิพลของฮอร์โมน Prostaglandin ที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของเส้นผม
เห็นผลเมื่อไหร่ การได้ผลหลังจากทายาที่ผสม minoxidil ในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ปกติจะประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร minoxidil ตัวทำละลาย และส่วนผสมอื่นๆ เช่น วิตามินเอสำหรับเส้นผม ( เพื่อช่วยให้การดูดซึมของยาminoxidil ดีขึ้น ) นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่่นด้วยเช่น เป็นมานานแค่ไหน ความรุนแรงของอาการผมร่วงในแต่ละบุคคลด้วย

ประโยชน์ของยาทาไมนอกซิดิล

1. ยาทาภายนอก minoxidil สามารถใช้ทาให้เส้นผมดำดกดำขึ้นได้ โดยสามารถรักษาเปัญหาผมร่วงได้ทุกสาเหตุ ไม่ว่าจะจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน DHT หรือปัญหาผมร่วงหย่อม( Alopecia areata) นอกจากนี้ยังใช้ป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมในคนที่กำลังจะศีรษะล้านได้ด้วย
2. นำมาพัฒนาเป็นโลชั่น หรือเซรั่ม สำหรับปลูกขนคิ้ว ขนตา หนวเครา ขนตามลำตัว ได้ด้วย
ข้อควรระวัง: ถ้าโลชั่นที่ผสมไมนอกซิดิล ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจจะมีผลเหมือนกับการรับประทานยาลดความดัน ไมนอกซิดิล จึงอาจจะมีอาการมึนงง ความดันโลหิตต่ำได้ ทำให้หน้ามืด วิงเวียนได้ง่าย นอกจากนี้ อาจมีผลต่อหัวใจในระยะยาวด้วย ดังนั้น ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
ระยะเวลาในการใช้ การใช้ยาทา Minoxidil ปลูกผม หรือขน หนวดเครา เมื่อเลิกใช้ เส้นผมและขน อาจจะกลับมาร่วงได้อีก ประมาณ 3 เดือนหลังหยุดยา ดังนั้นจึงควรรับประทานยากลุ่มลดฮอร์โมน DHT ที่เป็นสาเหตุของผมร่วง เช่น Finasteride,Dutasteride ในการป้องกันการกลับมาร่วงใหม่ของเส้นผมร่วมไปด้วย ในรายที่ไม่สามารถ รับประทานยา Finasteride ได้  เช่น สตรีมีครรภ์ หรือมีผลข้างเคียง นกเขาไม่ขันจากการรับประทานยา Finasteride อาจจะเปลี่ยนมาใช้  Finasteride Lotion ทดแทน ซึ่งได้มีผลิตออกมาจำหน่ายแล้ว  

ยาทาไมนอกซิดิล ปลูกผม
ยาทาไมนอกซิดิล ปลูกหนวดเครา
Posted on

Finasteride : ยารับประทาน เพื่อหยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไขศีรษะล้าน ให้กลับมาดกดำ

Finasteride คือยาอะไร

-ปัญหาศรีษะล้าน มีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน คือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT) สูงกว่าปกติ แล้วไปทำให้รบกวนการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ เส้นผมมีขนาดเล็กลง และวงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง อัตราผมร่วง > ผมขึ้นใหม่ ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดที่เล็กลง
Finasteride (Propecia) เป็นสารสังเคราะห์ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase   ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต ยับยั้งอัตราการทำลายเส้นผม ผมจึงหยุดร่วง และดกดำได้ดังเดิม  โดยได้รับการยอมรับจาก FDA ของอเมริกาและไทย ว่าช่วยลดปัญหาผมร่วงได้จริง เห็นผลภายใน 3-6 เดือน

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังและผลงานวิจัยที่ได้จากการรับประทานยา Finasteride (Propecia)
1. เอนไซม์ของตับผิดปกติได้ (Abnormal SGPT/SGOT) 
2. รับประทานยาเกิน 1 ปี พบว่า สมรรถภาพทางเพศลดลง 3.7 % เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ทาน ซึ่งเกิดได้ ประมาณ 2.1%  ดังนั้นจึงถือว่ามีผลข้างเคียงน้อยมาก หรือไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Finasteride ไม่มีผลต่อจำนวนเชื้ออสุจิ สามารถจะมีบุตรได้ปกติ แม้ในช่วงที่รับประทานยาอยู่ หรือไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ เพราะยา Finasteride จะไม่ผ่านทางน้ำอสุจิไปยังภรรยา มีเพียงส่วนน้อยมากที่มีผลต่อปริมาณน้ำเชื้ออสุจิ
5. ยา Finasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Finasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน

ข้อห้ามใช้

ยา Finasterideไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วง ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride )  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy:HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

Dyshidrosis : โรคผิวหนังอักเสบ ตุ่มน้ำใสที่มือ คันมืออย่างมาก รักษาอย่างไร

โรคตุ่มน้ำใสที่มือ(Dyshidrosis)

เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากภาวะที่ต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติ มีอาการเป็นๆ หายๆ และทำให้คันได้มากพอควร มักจะพบตามนิ้วมือ และซอกนิ้วเท้า
สาเหตุ ไม่ทราบแน่ชัด แต่มักเกิดในคนที่ทำงานบ้าน เช่น ซักผ้า ล้างจาน จึงเชื่อว่าอาจเกิดจากการแพ้ผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างจาน เกิดในคนที่เครียดบ่อยๆ หรือ คนที่เหงื่อออกมากตามมือและเท้า
อาการ เริ่มแรกของโรคนี้ ก็คือ การที่มีตุ่มน้ำ และมีสะเก็ดลอกๆ บางๆ ที่ซอกนิ้วมือ หรือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มักเกิดทั้งสองข้าง มีรอยแดงๆ มักจะคัน และเมื่อเกามากๆ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เกิดเป็นแผลพุพอง ปวดเจ็บได้ ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจเกิดตุ่มน้ำเป็นปื้นหนาได้

แนวทางการป้องกันและรักษา 

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นให้เกิดจากแพ้ เช่น การล้างจาน หรือ ซักผ้าควรใส่ถุงมือป้องกัน
2. แนะนำให้พักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินควร
3. แนะนำให้ทำการประคบเปียก หรือแช่มือ ด้วยน้ำยา Burow’s solution หรือ ด่างทับทิมเจือจาง( Potassium permanganate solutins) เพื่อช่วยลดภาวะเหงื่อ และการชื้นแฉะ
4. กรณีที่เป็นไม่มาก การทาครีมสเตียรอยด์ ที่ออกฤทธิ์ปานกลาง ถึงรุนแรง เช่น Betnovate ,Clobetasone แล้วใช้พลาสติกหุ้ม ก็ทำให้หายได้เร็วขึ้น
5. กรณีที่เป็นมาก หรือ อาการกำเริบ แนะนำให้รับประทานยากลุ่มเสตียรอยด์ เป็นระยะเวลาสั้นๆ หรือ รับประทานยาแก้แพ้ เช่น chorpheniramine

Posted on

ขัดผิวอย่างไร ให้ผิวเนียนสวย จำเป็นมั้ย บ่อยแค่ไหน จึงจะปลอดภัย ได้ผลตามต้องการ

ในปัจจุบันนี้ ใครๆก็อยากมีผิวสวย การปรนนิบัติผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดีนั้น นอกจากการทำความสะอาดและบำรุงผิวตามขั้นตอนแล้ว การขัดผิว ก็เป็นอีกกรรมวิธีหนึ่งที่สาวๆ หลายท่านนิยมกัน โดยเฉพาะกลุ่มนางงามทั้งหลาย

การขัดผิว มิใช่เรื่องซีเรียส หรือเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำมากนัก เพราะปกติผิวหนังของคนเรา โดยธรรมชาติ จะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทุกอาทิตย์หรือ ทุกเดือนอยู่แล้ว ในรูปของขี้ไคล ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-4 อาทิตย์ แต่เมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่าง อาจทำให้การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ทำได้ช้าลง ทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมองไม่สดใส และอาจทำให้ครีมบำรุงไม่อาจซึมซับเข้าไปใต้ผิวหนังกำพร้า

บางคนจึงอยากทำการขัดผิว วิธีการในการขัดผิว นั้นมักจะใช้ฟองน้ำ ใยบวบ หรือผ้าขนหนู เป็นการช่วยขจัดผลัดเซลล์ที่ตายแล้ว ออกจากผิวหนังชั้นบนสุด การถูช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นด้วย จึงทำให้ผิวเรียบเนียนและสดใส

ในบางคนอาจใช้ครีมสครับช่วยด้วย การเลือกครีมสครับนั้น ควรพิจารณาที่ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ ควรมีลักษณะเล็กละเอียด กลมกลึงและนุ่นนวล เพื่อป้องกันการทำลายผิวถ้ามีการขัดมากเกินไป จึงคิดว่าควรเลือกครีมสครับที่มนุษย์ผลิตขึ้น มากกว่า เม็ดสครับจากธรรมชาติเช่น เม็ดแอปริคอต เพราะมีลักษณะที่คม เป็นฟันเลื่อยและลักษณะเม็ดไม่สม่ำเสมอ
การเลือกครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ( AHAs) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาขัดผิว เพราะไม่ต้องกังวลถึง ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ และความเข้มข้นของ AHAs ก็ไม่มากประมาณ 5-8 % AHAs ทำให้การขัดผิวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำลายผิวหนังมากนัก แต่ก็มีราคาแพงเอาการอยู่ทีเดียว ถ้าต้องขัดทั้งตัว แต่ก็ไม่แนะนำให้ขัดผิว ด้วยครีมสครับ ควบคู่กับครีมที่ผสมกรดผลไม้ ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

การขัดผิวถ้าอายุไม่มาก แนะนำให้ทำเพียงเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าอายุมากกว่า 40 ปี ควรทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ เพราะถ้าขัดมากเกินไป อาจทำให้ผิวหนังบาง อ่อนแอ และไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้

หลังการขัดผิว อย่าลืมทาครีมบำรุงผิว และทากันแดดก่อนออกจากบ้าน หรือสถานความงามที่ไปการขัดผิว มิฉะนั้นการลงทุน ทั้งเวลาและกำลังทรัพย์ อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไร

Posted on

เปียกฝน ตากฝน จะดูแลสุขภาพเส้นผม-ผิวพรรณ อย่างไร ให้ปลอดโรคที่มากับหน้าฝน

เมื่อย่างหน้าฝนปีนี้ ปัญหาใหญ่คือ ผมเปียก ตัวเปียก และถ้าน้ำท่วม บางท่านอาจจะต้องลุยน้ำด้วย ทำให้ถุงเท้าและรองเท้าก็จะเปียกชื้นได้ ดังนั้นจึงจะรวบรวมปัญหาด้านผิวพรรณและเส้นผมที่พบได้บ่อยๆ พร้อมแนวทางป้องกัน ในช่วงหน้าฝนดังนี้
เส้นผม  เมื่อเส้นผมเปียกฝน การเช็ดผมให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งแล้วไม่เพียงพอ ควรทำความสะอาดผมด้วยน้ำสะอาด และแชมพูด้วย เพราะฝนที่ตกมาจะนำพาเอาเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะ เชื้อไวรัสมาด้วย
การเลือกแชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา หรือเชื้อ P.ovale( เช่น Ketoconazole sahmpoo,Selsun) ก็เป็นการป้องกันรังแค และการติดเชื้อรา ที่หนังศีรษะได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะชื้นและเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะได้
ลำตัวและเสื้อผ้าเปียกฝน ควรทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยเร็ว ถ้าสามารถถอดออก เปลี่ยนใหม่ได้เลยจะยิ่งดี เพราะเสื้อผ้าที่เปียกฝนจะมีไวรัสปะปนอยู่ด้วยทำให้เป็นไข้หวัดได้เช่นกัน เสื้อผ้าเปียกชื้นถ้าเราใส่หมักหมมนานๆ จะเป็นบ่อเกิดให้เชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อเกลื้อนมาเกาะที่ผิวหนัง ซึ่งเมื่อติดเชื้อเกลื้อนแล้วจะหายได้ช้าเป็นเดือนๆ และสามารถเป็นซ้ำได้อีกถ้าไม่ป้องกัน
จึงควรระวังรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรงและสะอาดเสมอ โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งสะอาด สำหรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนานๆ ควรนำไปผึ่งแดดให้ร้อนจัดหรือรีดด้วยเตารีดร้อนๆ จะเป็นการฆ่าเชื้อที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ดีมาก

สวมถุงเท้าและรองเท้าที่เปียกฝน ควรถอดถุงเท้าและรองเท้าออกทันทีเมื่อมีโอกาส และทำให้แห้งโดยเร็ว เพราะถ้าเท้าเปียกชื้นนานๆ เมื่อถอดรองเท้าออกจะพบว่าผิวเท้าซีด เหี่ยวย่น และถ้าอบไว้นานมากๆ ผิวเท้าอาจจะลอกเป็นขุยบางๆ ทำให้ผิวมีความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำลง ซึ่งพบว่าจะติดเชื้อราได้บ่อย
กรณีที่กลับถึงที่พักแล้ว ควรจะทำความสะอาดเท้า ด้วยการฟอกสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง ถ้ามีแป้งฝุ่นให้ทาบางๆ ตามซอกเท้าและฝ่าเท้าสักเล็กน้อย แล้วปล่อยให้เท้าโล่งสัก 2 ชั่วโมง จึงจะสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าใหม่ (ซึ่งมิใช่คู่ที่เปียกชื้น)
รองเท้าที่เราใช้ในขณะที่เปียกฝน หรือย่ำน้ำท่วม ได้มีเชื้อราแทรกซึมในเนื้อผ้าหมดแล้ว ต้องทำการกำจัดออกโดยการนำไปตากแดดให้แห้งและร้อนหรือเช็ดด้วยน้ำยาฟอรมาลินเพื่อทำลายเชื้อรา และถุงเท้าควรต้มหรือรีดด้วยความร้อนสูง เพราะเชื้อราจะถูกฆ่าได้ในกรณีที่มีความร้อนใกล้ 100 องศาเซลเซียส หรือโดยน้ำยาฟอร์มาลินจึงจะนำมาใช้ใหม่
ฮ่องกงฟุต(Tinea Pedis) เป็นโรคที่พบได้บ่อย ในคนที่เท้าแฉะเป็นประจำ และเป็นเวลานานๆ พบเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าตรงที่ถูกบีบรัดโดยรองเท้ามากๆ ซึ่งได้แก่ซอกนิ้วเท้า ตั้งแต่นิ้วกลางคนถึงนิ้วก้อย โดยอาการเริ่มแรกจะมองเห็นเป็นผิวซีดขาวและเปื่อยยุ่ยออกมาจากซอกนิ้วเท้าและมีกลิ่นเหม็น
ดังนั้นการพบแพทย์เมื่อตรวจรอยโรค และขูดเชื้อมา ตรวจดูว่าการเป็นเชื้อชนิดใด การทายาครีมแก้เชื้อราจะได้ผลใน 4-6 สัปดาห์

Posted on

ฉีดเมโส (Mesotherapy) : โชว์หน้าเข้ม หน้าใส หน้าเล็ก ด้วยสูตรยาผสม (Cocktails ) เข้าสู่ผิวหนัง

Mesotherapy คืออะไร

Mesotherapy เป็นการรักษารูปแบบหนึ่งในการฉีดสารที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ ( เช่น สารอาหาร กลุ่มวิตามิน โคเอนไซม์ กรดอะมิโน) เป็นคอกเทล เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งชั้นนี้จะประกอบไปด้วย ไขมัน(fat) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues) เพื่อจุดมุ่งหมายในการรักษาในหลากหลายรูปแบบต่างๆ โดยอุปกรณ์ที่ได้ฉีดอาจจะเป็นเข็มกับไซริงค์ธรรมดา หรือเข็มที่มาพร้อมกับปืนดิจิตอลที่ปรับโดสยาและความลึกตื้นได้แม่นยำขึ้น
คิดค้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1952 โดย Dr. Michel Pistor ซึ่งเป็นแพทย์ชาวฝรั่งเศส โดยได้มีการ นำเทคนิคนี้มาใช้กับการรักษา ความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ความผิดปกติของประสาทข้อมือ ช่วยเรื่องอาการเครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะไมเกรน การคลายกล้ามเนื้อ ต่อมาประมาณปี 1987 เทคนิดนี้ได้มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นทั้งในกลุ่มแพทย์ทางยุโรปและอเมริกา โดยนำมาฉีดเพื่อแนวทางการรักษาด้านอื่นๆ มากขึ้น

ฉีดเมโส มีกี่แบบ

1. เมโสแฟต (Mesofat): ฉีดลดไขมันส่วนเกิน เป็นที่นิยมกันมากสุด มีการพัฒนาด้วยสูตรคอกเทลในการสลายไขมัน ทั้งเป็นแบบตัวยา ( เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ หรือสารสกัดธรรมชาติ เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ  เข้าไปยังบริเวณที่มีการสะสมของไขมัน ทำให้เกิดการขัดขวางการสะสมของไขมัน และสลายเป็นไขมันเหลว ผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ บริเวณที่นิยมฉีดได้แต่บริเวณที่ไขมันไม่มากนัก เช่น แก้ม จมูก ท้องแขน ใต้คางหรือเหนียง เพราะถ้าบริเวณที่ไขมันสะสมมาก อาจจะเจ็บมาก รอยช้ำเยอะ และมีผลข้างเคียงจากยาได้มาก

2. เมโสหน้าใส ( Mesobright) เพื่อให้ผิวขาวใส มีน้ำมีนวล และคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น โดยการฉีดสารไวเทนนิ่ง เช่น วิตามินซี Albutin เข้าไปที่ผิวหน้าในปริมาณน้อยๆ หลายๆ จุดทั่วใบหน้า และทำซ้ำกันทุกอาทิตย์ต่อครั้ง เพื่อไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ให้ทำงานลดลง
3. เมโสปลูกผม หนวด เครา (Mesohair) โดยได้มีการฉีดสารอาหาร และวิตามินสำหรับเส้นผม เข้าไปในหนังศีรษะด้วย และเทคนิคนี้ ได้มีการดัดแปลงโดยนำตัวยา Finasteride,Minoxidil.Biotin ฯลฯ ที่เดิมใช้เฉพาะในรูปของยาทา ยารับประทาน มาพัฒนาในรูปของยาฉีด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น และได้ผลเร็วขึ้น บางที่นำมาดัดแปลงให้ในการปลูกขนคิ้ว หนวดเครา ให้ได้ผลมากขึ้นด้วยเสริมการทายาและรับประทานยาปลูกคิ้ว หนวดเครา

ข้อห้าม และข้อควรระวัง

ข้อห้ามในการทำ Mesotherapy  มีกำหนดไว้ดังนี้

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ผลข้างเคียง ที่พบได้ในการทำ Mesotherapy

  1. อาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 2-3 ชั่วโมง
  2. พบเกิดอาการคันบริเวณที่ฉีดได้ ประมาณ 15-20 นาทีหลังฉีด แต่ถ้านานกว่านั้น แนะนำให้พบแพทย์ เพราะอาจจะแพ้ยาได้
  3. อาจจะบวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีด หรือรอยช้ำ ได้ ประมาณ 1-2 อาทิตย์
  4. อาจจะเกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้ ถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ ในบริเวณที่ฉีดต่างๆ
Posted on

สารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ส่วนผสมใน ครีมทาหน้าขาว รักษาฝ้า ใช้นานๆ อันตราย !

สารไฮโดรควิโนน คืออะไร

ไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีซึ่งเป็นที่นิยมในการนำมาเตรียมครีมที่ทำให้หน้าขาวในอดีต เนื่องจากเห็นผลได้เร็ว ออกฤทธิ์โดยการการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ
สารตัวนี้ มักจะผสมดเป็ฯส่วนประกอบยารักษาฝ้า ครีมทาหน้าขาว ครีมลบรอยดำตามบริเวณต่างๆ เช่น ครีมทารักแร้ดำ ง่ามขาดำ ฯลฯ ที่มีวางขายตามท้องตลาดและสินค้าออนไลน์
ปกติจะผสมความเข้มข้นมากกว่า 3-5 % ซึ่งจัดว่าเป็นยา ต้องใช้ในความควบคุมของแพทย์ เพราะซึ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ปัจจุบัน อ.ย. ได้กำหนดให้ผสมสารดังกล่าวในการรักษาฝ้า ไม่เกิน 2 %
ผลข้างเคียงที่พบได้
1. การระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่หน้าแบบถาวรได้
2. เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ รักษาไม่หาย
3. มีตุ่มนูนสีดำ บริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อยๆ หรือเรียกว่า ภาวะ Onchonosis and colloid milium 
ขอเตือน : ไม่ซื้อยาทาฝ้าตามท้องตลาดใช้เอง เพราะยาอาจไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจผสมสาร Hydroquinone เกินกว่าที่อ.ย. กำหนด ภาวะนี้มักทายาให้หายได้ยาก นอกจากการทำเลเซอร์

Posted on

สะเก็ดเงิน ( Psoriasis) : โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง รักษายังไง หายขาดได้มั้ย !

โรคสะเก็ดเงิน ( Psoriasis) คืออะไร

เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดทีแท้จริง แต่เชื่อว่าปัจจัยทางพันธุ์กรรม ร่วมกับสิ่งแวดล้อมบางอย่างกระตุ้นให้เกิดอาการ ที่พบเป็นสาเหตุได้บ่อยๆ ได้แก่ การติดเชื้อ การได้รับอันตรายที่ผิวหนัง การแกะเกา ยาบางชนิด และความเครียดต่างๆ เป็นต้น
พบบ่อยมั้ย พบได้ประมาณ ร้อยละ 2-4 ของประชากรโลก พบในเพศชายและเพศหญิงในอัตราที่เท่าๆกัน เป็นโรคที่เกิดจากการหนาตัวของเซลล์ผิวหนังกำพร้าชั้น Epidermis และมีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ ทำให้ผิวหนังหนาเป็นปื้น แต่ขาดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ ทำให้หลุดลอกเป็นแผ่นๆ ได้ง่าย
ลักษณะอาการ มักพบเป็นผื่นแดงนูน หรือปื้นสีแดง ขอบเขตชัด และมีขุยสีขาวคล้ายเงิน ติดค่อนข้างแน่น และถ้าแกะสะเก็ดเงิน จะแกะได้ยากและอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ ได้
บริเวณที่มักมีอาการ พบได้หลายที่ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง บริเวณข้อศอก หัวเข่า ศีรษะ เล็บ และข้อ บางครั้งอาจพบในบริเวณที่มีรอยขีดข่วน ในรายที่เป็นมาก อาจพบทั้งตัวได้ และผื่นเหล่านี้เป็นเรื้อรัง และไม่ติดต่อ ผื่นจากขึ้นๆ ยุบๆ

การรักษาโรคสะเก็ดเงิน

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ การรักษาจึงมุ่งไปที่การทำให้ผื่นของโรคดีขึ้นหรือสงบลง พร้อมกับป้องกันมิให้โรคกำเริบขึ้น โดยหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น การติดเชื้อแทรกซ้อน การได้รับอันตรายทางผิวหนัง ยาบางชนิด ความเครียด ดังนี้
1. ยาทา: มักใช้ในกรณีที่ผื่นไม่มากนัก น้อยกว่า 20% ของผิวหนัง หรือผื่นไม่กระจัดกระจายมากนัก ได้แก่
1.1 ยาทากลุ่มสเตียรอยด์: เป็นยาที่แพทย์ทั่วไปนิยมใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินมากที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรรักษาสูง ได้ผลเร็ว สะดวกในการใช้และราคาไม่แพง และไม่ระคายเคือง แต่ก็ควรใช้ในระยะสั้นๆ หรือในช่วงที่ผิวหนังกำเริบ เพราะหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้หลายประการ เช่น ผิวหนังฝ่อ หลอดเลือดขยายตัว ผิวแตก ผิวด่างขาว และการดื้อยา
1.2 น้ำมันดิน (Tars): มักให้ผลการรักษาใกล้เคียงกับยาทาสเตียรอยด์ แต่มีข้อเสียที่มีกลิ่นเหม็นและติดเสื้อผ้าดูสกปรก นอกจากนี้ยังระคายเคือง ทำให้ไม่อาจทาบริเวณใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศได้ จึงมักจะผสมในแชมพูสำหรับรักษาที่หนังศีรษะมากกว่า
1.3 ยากลุ่ม Anthralin: เป็นยาที่นิยมใช้ในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะได้ผลดี และทำให้โรคกลับมาเป็นซ้ำได้น้อย แต่ยาก็มีข้อจำกัดในการระคายเคือง และทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้นได้ จึงไม่อาจทาบริเวณใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศได้
1.4 ยากลุ่มวิตามินD3 ( Calcipotriol หรือ ชื่อการค้าว่า Daivonex) เป็นยาตัวใหม่ล่าสุดที่เป็นที่นิยมทั้งในแถบยุโรปและอเมริกา และในประเทศไทยได้มีการเริ่มใช้ยาทากลุ่มนี้กันบ้าง เนื่องจากให้ผลการรักษาดี รวดเร็วพอๆ กับยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ไม่มีสี หรือกลิ่นเหมือนน้ำมันดิน และแอนทราลิน แต่ก็เกิดการระคายเคืองได้เช่นกันแต่น้อยกว่า น้ำมันดินและแอนทราลิน จึงควรระวังเมื่อทาบริเวณใบหน้า ข้อพับและอวัยวะเพศ ในปัจจุบันแพทย์ผิวหนังหลายๆ ประเทศแนะนำให้ใช้ควบคู่กับทายากลุ่มสเตียรอยด์ในช่วงแรกๆ แล้วค่อยๆ ลดความถี่ในการทาครีมสเตียรอยด์ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น แต่ยาตัวนี้ก็มีข้อจำกัดก็คือ ราคาแพงพอดูทีเดียว (หลอดละ 500 กว่าบาทต่อการบรรจุหลอด 30 กรัม มีทั้งแบบครีมทาและโลชั่นกรณีที่เป็นที่หนังศีรษะ )

2. การฉายแสง (Phototherapy) และหรือควบคู่กับยารับประทาน: มักจะใช้ในกรณีที่ผื่นมีบริเวณกว้างกว่า 20 % ของผิวหนัง หรือผื่นค่อนข้างกระจัดกระจาย ทำให้การทายาไม่ค่อยสะดวก แบ่งได้เป็น
2.1 การฉายแสงอัตราไวโอเล็ตบี: ได้ผลดีกับโรคสะเก็ดเงินที่เป็นมากหรือปานกลาง คือได้ผลประมาณ 80% ขึ้นไป แต่ก็มีผลข้างเคียงได้แต่น้อย ได้แก่ อาการคันและอาการแดงหรือใหม้ของผิวหนัง แต่ก็มีข้อจำกัดก็คือ ผู้ป่วยต้องมาทำการรักษาที่โรงพยาบาลประมาณ 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา2-3 เดือนติดต่อกัน และมักจะมีให้บริการเฉพาะรพ.ของรัฐหรือเอกชน เช่น ที่สถาบันโรคผิวหนัง เป็นต้น
2.2 การฉายแสงอัตราไวโอเล็ตบีร่วมกับการรับประทานยาซอลาเร็น(PUVA): โดยพบว่าได้ผลดีในการรักษาโรคสะเก็ดเงินที่เป็นมาก ได้ผลประมาณร้อยละ 85 โดยผู้ป่วย ต้องมารับการฉายแสงรักษาสัปดาห์ละ 2 ครั้งประมาณ 20-30 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 สัปดาห์ และให้การรักษาต่อประมาณ 2-3 เดือน จึงจะทำให้โอกาสกลับมาเป็นซ้ำลดลง แต่ก็มีผลข้างเคียงได้ ที่พบบ่อย ได้แก่ การคลื่นไส้ คัน และอาการแดง หรือใหม้ของผิวหนัง ในระยะยาว อาจเกิดผลข้างเคียง ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่ก็พบน้อยในคนไทย เนื่องจากมีผิวสีคล้ำ
2.3 กรดวิตามินเอ: ที่ใช้กันมากก็คือ เอ็ดเทร็ดทิเนต ซึ่งได้ผลดีปานกลางถ้าใช้รับประทานเดี่ยวๆ แต่จะได้ผลดีถ้ารับประทานควบคู่กับการฉายแสงอัตราไวโอเลต ผลข้างเคียงที่พบ ก็คือ ทำให้ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงคล้ายๆ กับยากลุ่มเรตินอยด์ ( เช่น Roaccutane) ก็คือ ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้ ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ทำให้ตับอักเสบ ดังนั้นการใช้ยากลุ่มนี้จึงควรตรวจเลือดทุกๆ 1-3 เดือน แต่พบว่ายานี้มีข้อจำกัดก็คือ ต้องหยุดยาเกิน 2 ปีจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ หรือ ถ้าใช้ยาเกิน 1 ปีอาจจะทำให้เกิดกระดูกงอกได้ จึงต้องระวังในผู้ป่วยเด็ก
2.4 ยาเม็ทโทเทร็กเสด( MTX): ได้ผลดีและราคาไม่แพง แต่ก็มีผลข้างเคียงสูง เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง มักไม่ค่อยนิยมใช้ ยกเว้นผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉายแสงอัตราไวโอเลต
2.5 ยา Cyclosporin: ยาดังกล่าวได้ผลดีมากโดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง มักจะให้กรณีที่รักษาด้วยยาทา การฉายแสง หรือการให้กรดวิตามินเอ แล้วไม่ได้ผล เพราะยามีผลข้างเคียงสูงมาก เช่น ทำให้ความดันโลหิตสูง ไตอักเสบ ตับอักเสบ จึงต้องตรวจเลือดเช็คเป็นระยะๆ
โรคนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนัง อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพราะการรักษา อาจมีการหมุนเวียนสลับกัน เพราะถ้าใช้การรักษาอย่างเดิม อาจเกิดการดื้อยา หรือ เกิดผลข้างเคียงจากยา และแนะนำให้รักษาในรพ.ของรัฐ โดยเฉพาะที่สถาบันโรคผิวหนัง ที่มีคลินิกรักษาโรคสะเก็ดเงินโดยเฉพาะ มีเครื่องมืออาบแสงที่ทันสมัย และราคาไม่แพง

136811434

Posted on

Argireline : กรดอะมิโน ส่วนประกอบของครีม ลดริ้วรอย ที่ออกฤทธิ์คล้าย Botox สำหรับคนกลัวแก่ และกลัวเข็ม

ปัญหาริ้วรอยต่างๆ เป็นความกังวลอย่างหนึ่งของคนเราเมื่อวัยเริ่มร่วงโรย สาร Botulinum toxin หรือ Botox ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดี และอยู่ในตลาดมานานกว่า 20 ปี และรู้จักกันแพร่หลาย
Argireline คืออะไร
เป็นกลุ่มโปรตีนกรดอะมิโน Acetyl Hexapeptide-8(ACE PEP) ที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า 80 % ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนสำคัญคือ Glutamic Acid , Methionine และ Arginine 
ทำงานอย่างไร
Argireline จะไปรบกวนการรวมตัวและการทำงานของสาร SNARE COMPLEX จึงส่งผลทางอ้อม ทำให้ลดหรือยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท CATECHOLAMINES ( Acetylcholine) ที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว เกิดริ้วรอย เมื่อสารนี้ทำงานลดลง จึงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าผ่อนคลายริ้วรอยต่างๆ จึงลดลงได้ จึงมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับ Botulinum toxin type A ที่มีคุณสมบัติในการทำลาย SNARE COMPLEX และยับยั้งการส่งสัญญาณของสาร CATECHOLAMINES ( Acetylcholine) โดยตรง
ผลงานวิจัยที่รับรองผล
มีการทดสอบการยับยั้ง SNARE COMPLEX และ CATECHOLAMINES ในห้องทดลองของสาร ARGIRELINE กับอาสาสมัคร พบว่าใน 1 สัปดาห์ กล้ามเนื้อบริเวณริ้วรอยเริ่มคลายตัว และริ้วรอยรอบดวงตาลดลงเฉลี่ย 17 % ในสัปดาห์ที่ 2 และริ้วรอยเลือนลางลงถึง 27-30 % ใน 4 สัปดาห์ ส่วนการศึกษาถึงผลข้างเคียงที่กระทบต่อเซลล์ผิว ยีน และเซลล์ที่บอบบางอย่างเซลล์ในช่องปาก ผลการทดสอบสรุปว่า พบความระคายเคืองได้บ้างเล็กน้อย แต่อันตรายในแง่การดูดซึม สะสม ไม่พบรายงานแต่อย่างใด
Argireline จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดริ้วรอยลึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยได้ผลในระดับนึง และปัจจุบันได้นำมาผสมเป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอางค์กลุ่มป้องกันและลดริ้วรอย อย่างแพร่หลาย แม้จะได้ผลไม่ดีเท่ากับการฉีดสารโบทอกซ์ แต่ก็เหมาะกับคนที่ริ้วรอยไม่มาก และไม่อยากเจ็บตัว หรือกลัวเข็ม

Posted on

เล็บ (Nails): เล็บนั้นสำคัญอย่างไร อาการแบบไหนที่เล็บผิดปกติ หรือบ่งบอกโรคบางอย่างได้

เล็บ เป็นสิ่งหนึ่งในร่างกายที่สำคัญ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ถือว่าเล็บเป็นอวัยวะที่บ่งบอกความสวยงามอย่างหนึ่ง ทุกคนต้องการให้เล็บมีสุขภาพดี ดูสวยและดูดี
อัตราการงอกของเล็บ
อัตราการงอกของเล็บจะมีประมาณ 0.1-0.2 มม.ต่อวัน อาจจะงอกได้ช้าหรือเร็วกว่านี้ได้บ้าง โดยพบว่าอายุประมาณ 15-30 ปี จะเป็นช่วงที่เล็บยาวเร็วที่สุด โดยจะพบว่าอัตราการงอกของเล็บมือจะยาวเร็วกว่าเล็บเท้าประมาณ 2 เท่า เราจึงต้องตัดเล็บมือบ่อยกว่าเล็บเท้า และ ปกติคนเราจะนิยมตัดเล็บกัน 1-2 อาทิตย์ต่อครั้ง ลักษณะเล็บปกติ
จะมีสีชมพูอ่อนๆ เรียบเสมอกัน ไม่มีรอยหยัก หรือโค้งงอ

หน้าที่และความสำคัญของเล็บ 

  1. ไว้หยิบจับสิ่งของที่มีขนาดเล็ก ชิ้นเล็กๆ
  2. ไว้เกา เวลาคัน เพราะถ้าไม่มีเล็บ คุณก็จะเกาได้ไม่สะดวก คงหงุดหงิดพอสมควร
  3. ไว้ฉีกอาหาร หรือสิ่งของบางอย่างให้เป็นชิ้นเล็กๆ
  4. ไว้ป้องกันตัว เช่น ขูด ขีด ข่วน ใบหน้า ( ใช้กรณีจำเป็นจริงๆ นะครับ)
  5. ไว้เกาศีรษะ เวลาสระผม
  6. ช่วยในการเดินหรือวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ บางท่านที่เคยโดนถอดเล็บเท้า จะพบว่าเดินไม่ถนัด
  7. เพื่อความสวยงาม บ่งบอกลักษณะ สุขภาพ รสนิยม บุคลิก ของผู้ที่เป็นเจ้าของเล็บที่สวยงามนั้นได้
  8. ใช้บอกโรคบางชนิดของอวัยวะภายในต่างๆ ได้
เล็บปกติ

ปัญหาความผิดปกติของเล็บที่พบบ่อย 

  1. จมูกเล็บอักเสบ หรือ เล็บขบ (Paronychiae) มักพบได้บ่อยที่สุด โดยพบในกลุ่มผู้หญิงแม่บ้านที่มือเปียกน้ำบ่อยๆ และกลุ่มที่ชอบทำเล็บตามร้านเสริมสวย มีการตัดเล็มจมูกเล็บทำให้เกิดช่องว่างในซอกเล็บ แล้วน้ำเข้าไปเซาะขังอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบภายหลัง
    ลักษณะของเล็บจะบวมแดงนูนออกมา มีอาการเจ็บปวดอักเสบบางครั้งร่วมกับอาการคัน เล็บมักจะปกติดี จมูกเล็บอักเสบเมื่อเกิดแล้ว ไม่ค่อยหายขาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างขอบเล็บไม่ปิดสนิทแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าตนเองเป็นเชื้อราที่เล็บ
    2. เล็บเป็นเชื้อรา (Tinea Unguium) พบไม่บ่อยนัก และมักพบในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเบาหวาน โรคเอดส์ ฯลฯ
    ลักษณะเล็บจะเปลี่ยนสีไป เช่น อาจจะดำคล้ำขึ้น สีเขียวหรือเหลือง ลักษณะเล็บเปลี่ยนรูปร่าง บิดเบี้ยว โค้งงอ แตกเปราะ หรือเป็นขุย 
    3. เล็บกร่อน (Onycholysis) ลักษณะเล็บจะผุ กร่อน แตกหัก เปราะง่าย เล็บขยุกขยุย เสียรูปทรง เป็นลูกคลื่นบ้าง บุ๋มบ้าง โค้งงอ หนาขึ้นบ้าง ฯลฯ สีเล็บจะต่างจากเดิมไปบ้างเล็กน้อย ภาวะนี้เกิดขึ้นเองไม่ทราบสาเหตุชัดเจน รักษาแก้ไขได้ยาก การทานวิตามินบำรุงเล็บ เช่น ไบโอติน จะช่วยได้บ้าง

4.สะเก็ดเงินที่เล็บ (Psoriasis) โรคสะเก็ดเงิน นอกจากจะมีผื่นสะเก็ดหนาที่ศีรษะ ตัวศอก เข่าแล้ว ยังเกิดความผิดปกติที่เล็บได้ด้วย
ลักษณะเล็บหนาขึ้นที่ปลายเล็บมองเห็นได้ (Subungual hyperkeratosis) เล็บบุ๋ม (Pitting) เล็บเป็นลูกคลื่น (Ridging) รักษาค่อนข้างยาก ไม่หายขาด

อาการของเล็บ บ่งบอกลักษณะโรคบางโรคได้  

  1. โรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง อาจจะพบลักษณะของเล็บปุ้ม เล็บงุ้มมากผิดปกติ (clubbing finger) เล็บซีดเขียว
  2. โรคไต อาจจะพบลักษณะของเล็บมีสีแตกต่างกัน (half and half nail) คือ ส่วนที่อยู่ชิดโพรงจมูกเล็บจะมีสีขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่วนปลายเล็บเป็นสีปกติ เกิดจากบริเวณใต้ฐานเล็บมีการบวม
  3. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) อาจจะทำให้ เล็บเปลี่ยนสี มีจุด สีดำ หรือแถบสีดำเกิดขึ้นได้ที่บริเวณเล็บ เป็นต้น ฯลฯ

วิธีดูแลปกป้องรักษาทะนุถนอมเล็บ 

  1. อย่าล้างมือบ่อยเกินไป หลังล้างมือแล้ว เช็ดให้แห้ง เป่าลมร้อนช่วยด้วยจะยิ่งทำให้เล็บแห้งได้สนิท
  2. ถ้าจำเป็นต้องล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน ควรใส่ถุงมือเป็นประจำให้เป็นนิสัย
  3. ทาโลชั่นที่บำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ (Hand and nail) อย่างสม่ำเสมอ
  4. พยายามทาสีเล็บให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เล็บได้พักผ่อน หลีกเลี่ยงการเพ้นท์สีเล็บที่อาจจะมีสารเคมีทำลายเนื้อเล็บได้
  5. หลีกเลี่ยงทำเล็บบ่อยๆ ที่ร้านเสริมสวย เพราะช่างมักจะแคะเล็ม ตัดจมูกเล็บให้เสียหาย
  6. ตัดเล็บให้มีขนาดสั้นพอประมาณ เพราะการไว้เล็บยาวเกินไปอาจทำให้เล็บเกิดฉีกขาดได้ง่าย