Posted on

Alopecia areata : โรคผมร่วงเป็นหย่อม เป็นวงๆ ผมแหว่งเป็นกระจุก ทุกข์ใจ แก้ไขได้

Alopecia Areata (โรคผมร่วงหย่อม)

คือ โรคผมร่วงที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง และมักพบในช่วงอายุ 20-50 ปี พบในชายและหญิงได้เท่าๆ กัน แม้จะไม่กระทบต่อสุขภาพกายทั่วไปของผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหย่อม แต่กระทบกระเทือนต่อภาวะจิตใจพอสมควร
-ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคนี้ แต่ปัจจัยที่มีผลได้แก่ กรรมพันธุ์ (ซึ่งพบได้ประมาณ 10-20%) ภาวะภูมิต้านทาน ความเครียด โรคภูมิแพ้หนังศีรษะ ลักษณะอาการที่พบได้คือ ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกตัว เนื่องจากจะมีผมร่วงเกิดขึ้นทันทีทันใด และไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นที่สังเกตได้เห็นชัด เว้นแต่ช่างตัดผม เป็นคนสังเกตเห็นและบอกแก่ผู้ป่วย โดยจะพบรอยแหว่ง ขอบเขตชัดดังรูป ขนาด 2-5 ซม. อาจพบเพียงหย่อมเดียวหรือหลายๆหย่อม คล้ายหนูแทะ ในคนที่มีอาการรุนแรง อาจศีรษะล้านทั้งหัว และอาจไม่มีขนตามรักแร้ หัวหน่าว ร่วมด้วย

แนวทางการรักษา

1. ครีมทา: ที่มีส่วนผสมของ Steroids ทาบริเวณที่ร่วง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3-4 เดือน
2. โลชั่นปลูกผม ที่มีส่วนผสมของ Minoxidil ทาบริเวณที่ร่วง วันละครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่อง 3-4 เดือน
3. การรับประทานยา แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป หรือใช้ในรายที่เป็นรุนแรง
4. ฉีดยา Steroids เข้าที่บริเวณรอยโรค ถ้าทายาแล้วผมไม่ขึ้น แต่ไม่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากอาจเกิดรอยบุ๋มได้ และเกิดภาวะดื้อยาภายหลังได้
5. Mesohair โดยการฉีดตัวยาที่มีส่วนทำให้เส้นผมงอก เช่น ไมนอกซิดิล ไบโอติตน เสตียรอยด์เจือจาง ฯลฯ เข้าไปที่บริเวณผมร่วงเป็นหย่อมๆโดยตรง ในปริมาณน้อยๆ ทุก 1 ตร.ซม ซึ่งจะช่วยป้องกันผลข้างเคียงการเกิดรอยบุ๋มจากการรักษาแบบเดิมๆ ในข้อ 4 ได้
6. การทำภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการให้สารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ผิวหนังลงบนบริเวณที่ผมร่วง เพื่อทำให้เกิดการอักเสบที่จะนำไปสู่การกระตุ้นให้ผมกลับมางอกขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่วิธีการนี้มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังชนิดอื่นตามมาได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคผมร่วงเป็นหย่อม

โรค Alopecia Areata อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนี้

  • อาการทางร่างกาย ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ โรคด่างขาว หรือโรคโลหิตจาง เป็นต้น
  • อาการทางจิตใจ ผู้ป่วยอาจเกิดความเครียด รู้สึกแปลกแยก หรืออาจเป็นโรคซึมเศร้าได้

การป้องกันโรคผมร่วงเป็นหย่อม

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดป้องกันโรค Alopecia Areata ได้ แต่สามารถรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นและทำให้ผมงอกกลับมาใหม่ให้เร็วที่สุด โดยผู้ป่วยควรดูแลตนเองและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นตามมา รวมทั้งคนทั่วไปก็อาจหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคนี้ เช่น

  • ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงเส้นผม เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และธาตุสังกะสี เป็นต้น
  • ใส่วิก สวมหมวก หรือทาครีมกันแดดบริเวณหนังศีรษะที่เกิดอาการ เพื่อป้องกันแสงแดดทำอันตรายต่อหนังศีรษะ
  • สวมแว่นกันแดดในกรณีที่โรคนี้ส่งผลให้ขนตาร่วง เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตาได้เนื่องจากไม่มีขนตาคอยป้องกัน
Posted on

พริก (Chilli) : อาหารสมุนไพร ใช้ปรุงอาหาร กับสรรพคุณทางยามากมาย ที่นำมาใช้ในการรักษาโรค

พริก เป็นอาหารสมุนไพรที่ใช้กับทุกครัวเรือน ที่เรานิยมนำมาปรุงอาหาร และพบได้บ่อย เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า และพริกหยวก ท่านทราบหรือไม่ว่าพริกนั้นมีคุณค่าทางอาหารและคุณค่าทางยาที่วิเศษชนิดหนึ่ง เพราะในไส้พริกจะมีสาร Capsaicin ซึ่งเป็นสารที่มีรสเผ็ด และสาร Carotenoid วิตามินเอ วิตามินซี ไขมัน และโปรตีน

สรรพคุณทางยาของพริก มีดังนี้ 

  1. พริกช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง โดยสาร Capsaicin จะช่วยลดความไวของปอดต่อการเกิดอาการต่างๆ เช่น การบวมของเซลล์หลอดลม ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลอดลม ดังนั้นในผู้ป่วยหอบหืดจึงมีประโยชน์ เพราะจะ สังเกตว่า เมื่อเรารับประทานพริกเผ็ดๆ น้ำตา น้ำมูกจะไหล จึงทำให้เสมหะเหนียวข้น เจือจางลง และทำให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย
  2. พริกช่วยสลายลิ่มเลือด ลดการเกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของเส้นเลือดหัวใจตีบได้ โดยได้มีรายงานวิจัย จากคณะแพทย์ ศีริราช ( นพ.สุคนธ์ วิสุทธิพันธ์และคณะ) ยืนยันว่า คนที่ได้รับพริกจะมีการทำงานของร่างกายเพื่อสลายลิ่มเลือดได้ดีและไวกว่าคนที่ไม่ได้รับพริก นอกจากนี้ยังมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย พบว่าคนเอเซียที่รับประทานพริกเป็นประจำ มีโอกาสเกิดปัญหาการอุดตันของเส้นเลือด และ มีปริมาณ Fibrinogen ในเลือดต่ำกว่าคนทางยุโรปที่ไม่ค่อยได้ทานพริก
  3. พริกช่วยลดอาการปวด โดยพบว่าสาร Capsaicinจะออกฤทธิ์ที่เซลล์ประสาท โดยไปชะลอการหลั่งของสารสื่อประสาท ( Neurotransmitter) ที่ปลายประสาท Substance P ที่เกี่ยวข้องกับสมองที่รับรู้การเจ็บปวด
  4. พริกช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุข ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้อยากหลับ และช่วยให้ความดันโลหิตลดลง
  5. พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหาร เนื่องจากเมื่อรับประทานพริก ต่อมน้ำลายจะทำงานมากขึ้น และไปกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร
  6. พริกช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากในพริกประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ในคนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด จึงไม่ค่อยจะมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจมากนัก แต่แม้ว่าพริกจะมีสรรพคุณดังกล่าว ก็แนะนำให้รับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะรสเผ็ดในพริก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ทำให้เกิดบาดแผลในระบบทางเดิน อาหารได้ภายหลัง ดังนั้นไม่ควรรับประทานพริกสดๆ หรือรับประทานตอนท้องว่าง

Posted on

แพ้เครื่องสำอาง สาเหตุจากอะไร อาการเป็นแบบไหนได้บ้าง ที่ต้องระวัง

‘ เครื่องสำอาง’ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2525 หมายความว่า วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด พ่น หยอด ใส่ อบ หรือการกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย
เพื่อทำความสะอาด ความสวยงาม หรือ ส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ตลอดจนเครื่องประทินโฉมต่างๆ ดังนั้นทุกคน ทุกเพศวัย จึงต้องใช้เครื่องสำอางทั้งนั้น เพราะรวมถึง สบู่ ยาสีฟัน และแชมพูทำความสะอาดร่างกายด้วย
แพ้เครื่องสำอางค์พบบ่อยแค่ไหน
จากสถิติในต่างประเทศ มีการสำรวจการใช้เครื่องสำอาง พบว่า มีผลข้างเคียงในการใช้เครื่องสำอาง 680 ครั้ง ต่อการใช้ 1,000,000. ครั้ง และในคลินิกภูมิแพ้ พบคนไข้มีการแพ้จากเครื่องสำอาง ประมาณ 10 %
สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายจากการแพ้เครื่องสำอาง อาจจะเกิดจาก 
1. ความเข้มข้นของสารที่มากเกินไป
2. การใช้ผิดวิธี และวัตถุประสงค์
3. ความเป็นด่างของเครื่องสำอาง
4. เครื่องสำอางมีสารระเหย เป็นส่วนประกอบอยู่ในปริมาณสูง เช่น ในน้ำหอมบางชนิด
5. ตำแหน่งที่ใช้ เช่น รอบดวงตา มีโอกาสแพ้ได้ง่ายกว่าที่อื่น

อาการทางคลินิก ที่อาจเกิดได้จากการใช้เครื่องสำอาง 

1. การระคายเคือง ( Irritation contact dermatitis) มีอาการคัน หรือรู้สึกเพียงยิบๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาที มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า อาจมีผื่นแดง บวม ตุ่มผิวหน้งอักเสบ เมื่อหยุดการใช้ อาการจะหายไป
2. อาการภูมิแพ้ผื่นคัน(Allergic contact dermatitis) อาการที่ตั้งแต่น้อยๆ แค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มาก เป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย สารที่ก่อให้เกิดการแพ้ มักได้แก่ น้ำหอม สารกันบูด สารลาโนลิน สีย้อมผม
3. ผื่นลมพิษ(Contact Urticaria) จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่ หนังตาบวม ปากบวม ถ้าเป็นมาก อาจพบผื่นบวมทั่วหน้า มักเกิดจาก การแพ้ยาย้อมผม
4. ผิวหนังเปลี่ยนสี( Pigmented contact dermatitis) บางครั้งพบว่า ยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมของน้ำหอม มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรทาหน้า ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแดดแล้วจะเกิดอาการแพ้แสงแดด เห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส บางครั้งแม้จะหยุดใช้ก็ยังไม่หายดำ
5. ผื่นขาว( Contact leukoderma) ในสมัยก่อน มีผู้นิยมใช้ครีมทาทำให้หน้าขาว ด้วยสารจำพวกปรอท ไฮโดรควิโนน ทำให้หน้าขาวได้จริง แต่จะขาวไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง เมื่อหยุดใช้ก็ยังมีอาการด่างขาว ถาวร แต่ในปัจจุบัน ทางอ.ย. ได้มีการห้ามการใช้สารพวกนี้ในเครื่องสำอางแล้ว
6. สิว(Cosmetic Acne) มักเกิดจากเครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของลาโนลิน สารสเตียรอยด์ โซเดียมลอรัลซัลเฟต เมื่อใช้นานๆ จะเกิดสิวได้ ดังนั้นในคนที่อายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้ว ถ้าเกิดสิวขึ้นมา ให้สงสัยว่าอาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางไว้ก่อน
7. การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ
8. การเปลี่ยนแปลงสีผม อาจจะมีเส้นผมหัก เปราะง่าย เนื่องจากน้ำยาดัดผม หรือ น้ำยายืดผม
9. ผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร และการสะสมของสารพิษในระยะยาว เช่น มีการผสมสารตะกั่ว หรือ ปรอท ทำให้เกิดพิษได้

ดังนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่แน่ใจว่า จะเกิดจากการแพ้สารนั้นหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าเป็นไปได้ ควรนำเครื่องสำอางที่ใช้มาทดสอบ และนำฉลากที่บอกส่วนผสมมาด้วย และช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

Posted on

” โกนหนวด” แล้วสิวขึ้น ต้องทำอย่างไร อยากหน้าดูเกลี้ยงเกลา โกนยังไงไม่ให้เป็นสิว!

ทำไมโกนหนวดแล้วสิวขึ้น

เกิดจากการที่ผิวส่วนนั้นระคายเคืองจากใบมีดโกนที่เก่าและสกปรก ไม่คม การโกนหนวด มักจะโกนย้อนแนวเส้นขน ซึ่งคิดว่าจะโกนได้เกลี้ยงเกลากว่า การโกนตามแนวขน เลบทำให้เกิดการระคายเคืองกับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอักเสบ ท่อไขมันอุดตัน และประกอบกับล้างหน้าไม่สะอาด จึงทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียสิว (P.acne) เลยเกิดการสิวอักเสบขึ้นมา
หนวดคนเราปกติต้องโกนบ่อยแค่ไหน
หนวดเครากับผู้ชาย เป็นของคู่กันและเป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง การดูแลหนวดเคราให้เรียบร้อย จึงเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายทุกคน ควรจะเอาใจใส่อย่างยิ่ง จึงจะนำเสนอเกร็ดความรู้เรื่อง การโกนหนวดเครา มาให้รับทราบกันซักนิดนะครับ
หนวดเคราโดยปกติ จะงอกเฉลี่ยวันละ 0.2-0.5 มม. และมีอายุประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ ระยะเวลาและความถี่ในการโกนหนวดเคราแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน บางคนอาจจะต้องโกนทุกวัน แต่ในบางคนอาจจะโกนเพียงอาทิตย์ละ 1-3 ครั้ง

ขั้นตอนการโกนหนวดเคราที่ควรปฏิบัติ 

  1. ล้างหน้า-ล้างมือให้สะอาด โดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิว เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกบริเวณใบหน้าและมือ เพราะมีบ่อยๆ ที่บางคนโกนหนวดเคราโดยยังไม่ทำความสะอาดผิวหน้าก่อน เช่น โกนด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า( ง่ายและไวดี ) ทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียแทรกซึมเข้าไปตามรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบหลังโกนหนวดเคราได้ภายหลัง
  2. ใช้โฟมโกนหนวด ทาให้บริเวณที่ต้องการจะโกนให้ทั่ว ที่แนะนำให้ใช้โฟมโกนหนวด เนื่องจากว่า โฟมจะช่วยให้หนวดเคราอ่อนตัว ลื่นไหลได้มากขึ้น ทำให้การโกนหนวดไม่ทำลายเซลล์ผิวหน้า ไม่แนะนำให้โกนด้วย มีดโกนทันที หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างอื่น เช่น สบู่ ทาแทนโฟมโกนหนวด
  3. ใช้ผ้าร้อนประคบให้หนวดเคราอ่อนตัว โดยนำผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน หรือนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-60 วินาที แล้วนำมาเช็ดและซับโฟมบนใบหน้าที่ติดอยู่ออกให้หมดจด
  4. ใช้โฟมโกนหนวดทาอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและคม เริ่มโกนเคราและหนวดโดยโกนไปตามแนวเส้นขน ไม่โกนย้อนแนวเส้นขน เพื่อรบกวนต่อต่อมไขมันและรูขุมขนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรโกนซ้ำที่เดียวหลายๆ ครั้ง เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว เกิดการแพ้ อักเสบ และสิวได้
  5. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาอาฟเตอร์เชพโลชั่นเพราะโลชั่นจะช่วยสมานผิวกรณีที่เกิดบาดแผล ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และควรจะทาออย์บำรุงผิว เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวบริเวณที่โกนหนวดเครา
  6. ควรเปลี่ยนใบมีดโกนทุกอาทิตย์ เพราะถ้าใบมีดด้านจะทำให้โกนได้ไม่เกลี้ยงเกลาและระคายเคืองผิว จนอาจจะทำให้เกิดบาดแผลได้

การโกนหนวดเคราที่ถูกวิธี และใส่ใจดูแลรักษา จะช่วยเสริมบุคคลิกภาพของท่านชายให้ดูน่ามอง สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะหนุ่มออฟฟิศทั้งหลาย คงไม่ต้องบอกนะครับว่า ผลประโยชน์หลายด้านอาจจะตามมาโดยที่คุณคาดไม่ถึง !

Posted on

Hair Sunscreen: เส้นผมถูกแสงแดดทำร้ายได้ ป้องกันก่อนสาย ด้วยครีมกันแดดสำหรับเส้นผม

แสงแดด ทำร้ายเส้นผมได้อย่างไร

แสงแดดทำลายเส้นผมแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยรังสีอุตราไวโอเลตจะทำปฏิกริยากับกรดอะมิโนแอซิคชนิดต่างๆ ในเส้นผม โดยมีน้ำร่วมด้วยในปฏิกริยา จะได้อนุมูลไฮดรอกซิล ซึ่งจะทำลายโครงสร้างโปรตีน keratin ในเส้นผม แต่โดยธรรมชาติ เม็ดสีเมลานินในเส้นผม จะช่วยปกป้องแสงแดดได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้านานไป ก็อาจทำลายเม็ดสีเมลานินได้ จึงจะเห็นว่าในกรณีที่ตากแดดนานๆ ผมสีดำ จะค่อยๆจาง หรือกลายเป็นสีน้ำตาลได้

ผลของการตากแดดบ่อยๆ และนานๆ จะมีผลต่อเส้นผมดังนี้ 

1. เส้นผมหยาบกร้าน ไม่นุ่มสลวย
2. เส้นผมจะเปราะและหักง่าย
3. ขาดความมันวาว
4. สีของเส้นผมจางลง
5. คุณสมบัติในการทนต่อแรงดึงลดลง

ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมแตกต่างจากครีมกันแดดทั่วไปอย่างไร

สารกันแดดที่ใช้ได้ดีในครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าและผิวกายหลายๆ ตัว ไม่จำเป็นว่าจะได้ผลดีต่อผลิตภัณฑ์ของเส้นผมเสมอไป เพราะเป้าหมายในการใช้แตกต่างกัน เพราะสารกันแดดที่ทาบนผิวหนัง จะมีคุณสมบัติเป็นครีม ที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้ดี แต่ถ้าเอาสารประเภทนี้ไปผสมในแชมพู หรือครีมนวดผมเพื่อใชักันแดด อาจจะถูกชะล้างด้วยน้ำออกหมดได้
สารกันแดดชนิดใดเหมาะกันเส้นผม
สาร Octyl-dimethyl PABA, Octhyl methoxy-cinnamate และ Benzoquinone ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม เพราะเกาะติดแน่นกับเส้นผม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งสามารถดูดซึมรังสี UVA,UVB ได้ดี
เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพในการกันแดด
จะใช้ค่า HPF ( hair protection factor) ขณะที่ครีมกันแดดสำหรับผิวพรรณ จะใช้คำว่า SPF ( sun protection factor) HPF จะตรวจจากการความแข็งแรงในการดึงเส้นผมให้ขาดโดยมีค่า HPF เป็น 2-15
ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมใช้ตอนไหน
ควรใส่หลัง เจลแต่งผม มูสใส่ผม หรือ hair spray หรือเป็นส่วนประกอบในเจล หรือมูลแต่งผมเลย ไม่ควรทาแล้วล้างออก ดังนั้น การเลือก hair care products สำหรับเส้นผม ควรพิจารณาตั้งแต่ สารกันแดดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ รูปแบบของสินค้าที่ใช้ และค่า HPF ที่แสดงข้างขวด

Posted on

ถ้าลูกแพ้นม ไม่อยากดื่มนม มีอะไรทดแทนได้มั้ย ที่จะทำให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรงดี

ก่อนหน้านี้ เราเคยทราบว่าการส่งเสริมให้เด็กๆ ดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากนมทุกวัน จะทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่
แต่ทว่าผลการวิจัยล่าสุดในสหรัฐฯกลับบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมชนิดอื่นๆ ก็ได้ผลเท่าเทียมหรือดีกว่าด้วยซ้ำ

ได้มีผลการศึกษาของคณะนักวิจัยแห่งองค์การคณะกรรมการแพทย์ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และลงตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ของสหรัฐฯฉบับล่าสุด ระบุว่า การรับประทานอาหารซึ่งมีสารแคลเซียมชนิดร่างกายดูดซึมได้อย่างต่ำวันละ 400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับนมวัว 1 แก้วนั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมก็ได้ แต่สามารถดื่มหรือกินอย่างอื่นแทน อาทิ น้ำส้มที่ไม่ทิ้งกาก 1 แก้ว, กระหล่ำปลีหรือหัวผักกาดเขียวปรุงสุก 1 ถ้วย, ข้าวโอ๊ตชงดื่มได้ทันที 2 ซอง, เต้าหู้ เศษ2ส่วน3 ถ้วย, ผักบร็อกโคลี 1เศษ2ส่วน3 ถ้วย

นอกจากนั้น การศึกษานี้ซึ่งเป็นการตรวจสอบทบทวนงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้ก่อนจำนวน 37 ชิ้น ยังพบว่าการออกกำลังกายน่าจะสำคัญยิ่งกว่าการรับสารแคลเซียมเข้าร่างกายด้วยซ้ำ ในการทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

Posted on

สิวแกะเกา( Acne excori’ee) ผู้ปกครองเช็คด่วน! เด็กมีปัญหามั้ย ทำไมเห็นสิวแล้วทนไม่ได้

young woman squeeze her acne in front of the mirror

สิว ทำร้ายจิตใจวัยรุ่นได้

มีงานวิจัยในอเมริกา พบว่า คนทุกคน 100 % ต้องเคยเป็นสิวในชั่วชีวิตของคนคนนั้น แต่มีจำนวน 10% ของวัยรุ่นเป็นสิว คิดว่า ภาวะการเป็นสิวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตวัยรุ่น ทำให้การเรียนตกต่ำ เข้าสังคมไม่ใคร่ได้ การพิจารณาตัวเองว่าต่ำต้อย เมื่อเป็นนานๆ ก็มีการเก็บกด เศร้าเกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม และมีสิทธิ์ไม่ได้งานหลังจากการสอบสัมภาษณ์อย่างไรก็แล้วแต่ มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา
70% ของผู้ที่มารักษา เป็นสิว สิว เป็นโรคของวัยรุ่นโดยเฉพาะ ใครไม่เป็นสิวถือว่าเป็นโชคดี แต่แพทย์พบว่า ถ้าใครไม่เป็นสิวในวัยรุ่นอาจเป็นสิวได้ในวัยผู้ใหญ่
มีผลงานสำรวจความเห็นของ ปัญหาวัยรุ่น ของชาวอเมริกันพบว่า
– ให้เลือกเอาว่า ขอมีหน้าสวยไม่มีสิว กับการเลิกนัดกับดาราสาว ซิ้นดี้ โครฟอร์ด หรือ ดาราชาย แบรทพิทท์ 1 ใน 3 คนตอบว่า ขอหน้าไร้สิว ดาราไม่สนใจ
– ให้เลือกเอาว่า มีหน้าสวยไร้สิว กับเงินรางวัล 40,000 บาท 1 ใน 5 คนตอบว่าไม่รับเงิน

สิวแกะเกา บ่งบอกความเศร้าใจของวัยรุ่น

จากผลการสำรวจปัญหาทางผิวพรรณของวัยรุ่น มีการโหวตให้ปัญหาสิวและรอยแผลเป็นสิว เป็นปัญหาที่กังวลมากที่สุด ทำให้เค้าไม่กล้าที่แสดงออก หรือมีความสัมพันธ์ทีด่ีกับเพื่อนได้ อาจจะโดนเพื่อนล้อ หรือแกล้งได้ บางคนอาจจะเก็บตัวอยู่คนเดียว ฯลฯ
สิวแกะเกา คือร่องรอยที่วัยรุ่นเห็นสิวแล้วทนไม่ได้ ไม่มีสมาธิที่จำทำอะไร เรียนไม่ได้ ต้องบีบ เค้น แกะ ออกให้หมด เป็นปัญหาที่แสดงได้ว่า มีความกังวลมากกว่าปกติ บางคนนั่งเฝ้าหน้ากระจก เพื่อตรวจตราผิวหน้าของตนเองว่าเกลี้ยงเกลาหรือไม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งพบสิวหัวดำแค่ 1-2 เม็ด ก็จะเฝ้าบีบเคล้นด้วยเล็บมือแหลมๆ จนกว่าสิวจะออก ทำให้เกิดรอยแผลถลอก แผลอักเสบ และรอยแผลเป็นทั่วหน้า
เชื่อกันว่าผู้ที่มีปัญหาสิวแกะเกา ส่วนใหญ่จะมีความผิดปกติทางจิตใจร่วมด้วย เช่น เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ ( obsessional trait) หรือมีสภาพจิตใจซึมเศร้า ( depreesion) ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายอยู่แล้ว
ดังนั้น ผู้ปกครองของวัยรุ่นที่เกิดสิว ควรสอบถาม และให้ความสำคัญต่อ สภาพจิตใจของบุตรหลาน ที่เป็นสิวว่าเป็นอย่างไร และต้องพร้อมเข้าใจ ว่าสิวไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเค้า เราต้องช่วยเหลือให้เค้าหายจากสิว แม้จะต้องเสียเวลา และเงินทองไปกับการรักษาสิว

Posted on

ผื่นแพ้เสื้อผ้า (Textile contact dermatitis) : เสื้อใหม่ ทำไม ใส่แล้วไม่สบายตัว สาเหตุและการแก้ไข

การแพ้เสื้อผ้า ไม่ว่าจากเสื้อผ้าชุดชั้นนอกหรือชุดชั้นในพบได้ไม่บ่อยนัก ตามปกติแล้ว เนื้อผ้าทั้งที่ผลิตจากธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์ จะไม่ก่อให้เกิดการแพ้ แต่การแพ้จะเกิดต่อเมื่อมีการเติมสารเคมีลงในเนื้อผ้าระหว่างกระบวนการตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าผู้ที่แพ้มักจะนึกไม่ถึง และคิดว่าผื่นที่เกิดอาจเกิดจากการแพ้เหงื่อ หรือเป็นเชื้อราก็ได้

อาการและอาการแสดง

  1. อาการคันจากการเสียดสีและสัมผัส ( Subjective irritation) ส่วนใหญ่จะเกิดการระคายเคืองมากกว่าการแพ้ เนื่องจากลักษณะของเนื้อผ้า เช่น ผ้าลูกไม้ หรือผ้าลินิน
  2. ผื่นลมพิษบริเวณที่สัมผัส ( contact urticaria) ลักษณะก็คล้ายลมพิษทั่วไป แต่จะเกิดบริเวณที่มีการกดทับ เช่น ที่สายรัดยกทรง การกดทับบริเวณขอบกางเกงที่บั้นท้าย
  3. ผื่นอักเสบแบบตุ่มน้ำพองใส แบบ Eczema คล้ายการเกิดผิวแพ้ในเด็ก มักเกิดจากการระคายเคือง ในบริเวณที่แนบชิดกับเนื้อผ้า เช่น แพ้สีย้อมผ้า หรือแพ้สารที่เคลือบมากับเนื้อผ้า
  4. ผื่นแบบจุดเลือดออก ใต้ผิวหนัง ( petichiae) เป็นจุดแดงๆ คล้ายในโรคไข้เลือดออก มักไม่คัน สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการแพ้ยางสังเคราะห์ในผ้า หรือยางยืดอีลาสติก

สาเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น

  1. ตัวเนื้อผ้าเอง ใยเนื้อผ้าบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย ผ้าขนสัดว์ ผ้าลูกไม้ นอกจากนี้ผ้าบางชนิด อาจทำให้เกิดลมพิษได้ เช่น ผ้าไหม เป็นต้น
  2. สารที่ปะปนในกระบวนการผลิตผ้า เช่น สารฟอร์มาดีไฮด์ ที่ทำให้ผ้าเรียบและมัน ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้เสื้อผ้ามากที่สุด
  3. สีย้อมผ้า ชุดชั้นในที่มีสีสดๆ อาจทำให้เกิดการแพ้ได้
  4. สารที่ใช้ในการผลิตยางยืด บางครั้งอาจแพ้ยางที่อยู่ในขอบยางอีลาสติกได้
  5. สารที่ปะปนมากับการซักรีด จากการล้างออกไม่หมด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม สารฟอกขาว สารเพิ่มฟอง น้ำหอม สี
  6. โลหะ เช่น ในพวก กระดุม ตะขอ

การที่จะพิสูจน์ว่า ลักษณะอาการผื่นที่พบ เกิดจากการแพ้เสื้อผ้า หรือชุดชั้นในหรือไม่ อาจทำการทดสอบได้ด้วยการนำสารที่สงสัยมาปิดไว้ที่หลังเป็นเวลา 48 ชั่วโมง แล้ววัดผล ซึ่งเรียกว่า การทำ Patch test ซึ่งสามารถทำได้ที่สถาบันโรคผิวหนัง หรือ โรงพยาบาลใหญ่ๆ ของรัฐ

การป้องกัน 

  1. ควรซักชุดชั้นในทุกครั้งที่ซื้อมาใหม่ก่อนใส่ และหลีกเลี่ยงผงซักฟอกที่มี คลอรีนและผงฟอกขาว
  2. ถ้าพบว่าหลังใส่เสื้อผ้า หรือชุดชั้นใน แล้วมีอาการคัน หรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที
  3. ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อออก เพราะอาจทำให้สีย้อมผ้า หรือ ฟอร์มาดีไฮด์ ละลายออกมาทำให้แพ้ได้
  4. ถ้าแพ้ยางยืด อาจเลือกใช้ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าธรรมดา หรือชุดชั้นในที่ทำจากไลครา( lycra) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดยืดหยุ่นได้ที่ไม่ใช่ยาง
  5. ถ้าแพ้โลหะ อาจใช้ตะขอพลาสติก หรืออาจใช้ยาทาเล็บที่ไม่มีสีเคลือบตัวโลหะไว้ ไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง
Posted on

ผักตำลึง : พืชสวนครัวที่ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ โรคได้ อย่างคาดไม่ถึง

ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็… อร่อยอย่าบอกใคร

ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มีทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ

Posted on 2 Comments

เคล็ดลับกับการป้องกันและดูแลให้ “นมเด้ง” ตลอดกาล ทำอย่างไร โดยไม่ต้องศัลยกรรม

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหย่อนยาน
1. ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก รูปร่างอ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ ทำให้ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้น จึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระ เนื่องจากกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม
2. หญิงวัยทองและวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานตามธรรมชาติ เนื่องจากการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะหน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง
หน้าอกไม่เด้งดังใจ หย่อนยานก่อนวัย ทำอย่างไร
1. ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด วิธีดังกล่าวจะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี ผิดกับการวิ่งที่กลับจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้น
2. เพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของ “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งปลอดภัยแต่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 – 1,000 เท่าก็ตาม สารไฟโตเอสโตรเจนจะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กาวเครือ เป็นต้น แต่มีข้อควรระวังคือ“ไฟโตเอสโตรเจน” จะทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติยลดลงจึงไม่เหมาะกับวัยเด็ก หรือวัยรุ่น สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร

ผลิตภัณฑ์ “นมเด้ง” ได้ผลจริงไม่
จริงๆ แล้ว ไม่ต่างอะไรกับ “มอยเจอร์ไรเซอร์” ที่ช่วยให้ผิวแลดูชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นมเด้ง อย่างที่คาดหวังกันเอาไว้
การตบนมได้ผลหรือไม่
ก็ไม่ได้เกิดผลรวดเร็วดังใจ เพราะการตบนมเสมือนการออกำลังกายของเต้านม ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมือนเช่นการเดินมากๆ ที่ทำให้น่องโต เป็นต้น ส่วนไหนจุดไหนทำงานมากกล้ามเนื้อก็แข็งแรง กระชับ แต่ก็เสียงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการตบนมจะไปกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ๆ ที่อาจผิดปกติ

เคล็ด 5 วิธีดูแลหน้าอกให้สวยนาน

  1. บำรุงด้วยครีม เลือกครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเพื่อป้องกันริ้วรอยย่นยาน สร้างความชุ่มชื้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แข็งแรง รวมทั้งต้องปกป้องจากแสงแดด
  2. เสื้อชั้นในมีโครง สามารถช่วยชะลอความหย่อนยานให้ช้าลงได้
  3. ครีมกันแดด ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ที่จะช่วยปกป้องจากรังสียูวีเอและบี ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ
  4. ท่าทางการนอน การกดหน้าอกลงบนที่นอนเป็นประจำ จะทำให้หน้าอกผิดรูปผิดร่างไป ท่าการนอนที่ดีคือนอนตะแคง แล้วมีหมอนรองหน้าอกเพื่อช่วยพยุงไว้ขณะหลับ
  5. ป้องกันและรักษาสิวที่หน้าอก เพราะบริเวณนี้ต่อมไขมันมาก และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ง่าย
  6. Ultherapy: คลื่นอัลตราซาวด์ ไปกระตุ้นการทำงานของอีลาสติน และเสริมสร้างคอลลาเจน ลดการหย่อนคล้อย ได้ ช่วยได้ระดับนึง ในรายที่ไม่อยากทำศํลยกรรม
Posted on

หวัด น้ำมูกไหล รำคาญยังไง ก็ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ ! เพราะอาจจะทำให้เกิดไซนัสอักเสบ

เมื่อเวลาเป็นหวัด น้ำมูกไหล ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก และเสียบุคลิกภาพ ดังนั้นหลายคนจึงต้องสั่งน้ำมูกทิ้งเสีย แต่ในบางคนเกิดอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก จึงคิดว่าน้ำมูกมีมาก จึงต้องสั่งแรงๆ ทราบหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Jack Gwaltney and Birgit Winther แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในสหรัฐอเมริกา ได้นำอาสาสมัครที่เป็นหวัด มาตรวจวัดความดันอากาศปากโพรงไซนัส โดยใช้ CT scan ร่วมกับเครื่องวัดความดันบรรยากาศที่สอดเข้าไปใจโพรงจมูก แล้วสั่งให้อาสาสมัครสั่งน้ำมูกแรงๆ พบว่าแต่ละครั้งที่สั่งน้ำมูก ความดันอากาศที่วัดได้จะสูงขึ้นมาก จนสามารถทำให้น้ำมูกกระเด็นเข้าไปในโพรงไซนัสได้หลายมิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาไซนัสอักเสบ การรักษาจะยิ่งยุ่งยาก และอาจจะใช้เวลานานกว่าจะหายขาดได้

ดังนั้น ไม่ควรสั่งน้ำมูก เวลาเป็นหวัด เพราะยิ่งสั่งน้ำมูก จะทำให้เชื้อไวรัสหวัด กระจายเข้าไปในโพรงไซนัสได้ง่าย และอาจเกิดไซนัสอักเสบภายหลัง และยังทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังคนข้างเคียงด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นหวัด น้ำมูกไหลไม่มาก ไม่แนะนำให้รับประทานยาลดน้ำมูก เพราะนอกจากทำให้ง่วงนอนได้แล้ว ยังทำให้เสมหะเหนียว และกระตุ้นการไอด้วย

Posted on

สิวที่ไม่ธรรมดา(Uncommon acne) พบไม่บ่อย แต่พบได้ สาเหตุก็ไม่ธรรมดา รักษาก็ไม่ธรรมดา

Portrait of bearded man with amazed or scared emotion on face

สิวที่ไม่ธรรมดา(Uncommon acne) คืออะไร

สิวปกติ เกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมัน แต่สิวไม่ธรรมดา มีสาเหตุจากอย่างอื่น บางอย่างก็ไม่รุนแรง แต่บางอย่างก็รุนแรง ดังนี้
1. สิวหัวช้าง (Acne conglobata) :สิวชนิดนี้ ถือว่ารุนแรงมากที่สุด และเกิดรอยแผลเป็นได้อย่างมาก พบได้ไม่บ่อยนัก โดยมักจะพบในผู้ชายที่ผิวมัน และในวัยรุ่น โดยจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่วงเข้าวัยชรา
ตำแหน่งที่เกิด มักเกิดตามแผ่นหลัง ก้น ต้นคอ ใบหู ที่ใบหน้ามักจะไม่รุนแรง
ลักษณะของสิว เกิดเป็นได้ทุกรูปแบบ และความรุนแรง ตั้งแต่สิวอุดตัน หัวเปิด(หัวดำ)รวมกันเป็นกลุ่มๆ จนถึงสิวอักเสบ ขนาดใหญ่ๆ เป็นุถุง ( acne cysts) ก็มี ทำให้มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ ทั้งแบบแผลเป็นนูน(Keloids) แผลเป็นหลุม(pick scar) หรือท่อเปิดเรื้อรัง(sinus tracts)
การรักษา: มักจะรักษาหลายๆ รูปแบบควบคู่กัน ตั้งแต่การใช้ยาทา ยารับประทานขนาดสูง ทั้งยาปฏิชีวนะ และยากลุ่มเรตินอยด์ขนาดสูงๆ ในระยะเวลานานกว่า 6 เดือน และเลเซอร์หลายชนิด แล้วแต่ปัญหา เพราะสิวประเภทนี้เป็นเรื้อรังและมักทิ้งร่อยรอยโรคไว้มาก

2. สิวรุนแรงเฉียบพลัน (Acne Fulminans): สิวชนิดนี้มักจะเกิดอย่างเฉียบพลัน ในชายอายุประมาณ 13-22 ปี มักจะมีอาการไข้ ปวดข้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดและอ่อนเพลียร่วมด้วย สาเหตุหรือปัจจัยที่กระตุ้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อสิว P.acne หรือ มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ตำแหน่งและอาการที่เกิด พบบ่อยที่ใบหน้า หน้าอกและที่หลัง เป็นสิวอักเสบตุ่มหนอง แดง เจ็บ และแตกออกเป็นแผลมีสะเก็ดคลุม เมื่อหายเกิดแผลเป็นมากมาย ผู้ที่เป็นสิวประเภทนี้
การรักษา:  การใช้ยาทา ยารับประทานขนาดสูง ทั้งยาปฏิชีวนะ และยากลุ่มเรตินอยด์ขนาดสูงๆ ในระยะเวลานานกว่า 6 เดือน และเลเซอร์หลายชนิด
3. สิวรอบปาก (Perioral dermatitis): มักพบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 20-30 ปี ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่า เกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากการแพ้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ การแพ้น้ำยาบ้วนปาก สบู่ หรือยาคุมกำเนิด การล้างหน้าด้วยสบู่แรงๆ แสงแดด การมีพฤติกรรมชอบถูบริเวณที่เป็นบ่อยๆ ทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
ตำแหน่งและอาการที่เกิด มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้าใส หรือตุ่มหนอง เกิดพร้อมๆ กันทั้ง 2 ข้างก็ใบหน้ารอบๆ ปาก เช่น คาง ร่องจมูก มีอาการแสบๆ คันๆ
การรักษา: หยุดใช้เครื่องสำอาง สบู่ ยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปาก ที่น่าจะเป็นสาเหตุ และให้ยารับประทานกลุ่มปฏิชีวนะ และยาทาสิวอักเสบทั่วๆไป

4. สิวแกรมลบ (Gram Negative Folliculitis) : เป็นสิวอักเสบหัวหนอง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกรัมลบ ที่ไม่ใช่ P.acne เช่น E.coli,Proteus,Pseudomonas,Kleibsiella ซึ่งต้องขูดตุ่มหนองไปเพาะเชื้อดู สังเกตว่าผู้ที่เป็นสิวประเภทนี้ มักจะไม่พบสิวอุดตันร่วมด้วย และมีประวัติการใช้ยาทากลุ่มปฏิชีวนะ ( เช่น CM lotions) เป็นระยะเวลานาน และสิวไม่ดีขึ้น
การรักษา: อาจจะต้องเปลี่ยนยาปฏิชีวนะเป็นกลุ่มที่ไวต่อเชื้อแบคทีเรียนี้ เช่น Bactrim,Ampicillin หรือการให้รับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ร่วมด้วย
5.สิวจากเชื้อรา( Pityrosporum folliculitis) : สิวอักเสบตุ่มหนอง ตุ่มแดง ที่เกิดจากเชื้อยีสต์ P.ovale หรือ เชื้อเกลื้อน (Malassezia furfur) มักเป็นที่หน้าอก และหลังช่วงบน แยกได้ยากจากสิวอักเสบสิว นอกจากการขูดไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ ด้วยน้ำยา KOH หรือการรักษาสิวปกติแล้วไม่ดีขึ้น
การรักษา: นอกจากจะรักษาเหมือนสิวทั่วไปแล้ว อาจจะต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อยีสต์ร่วมด้วย นาน 6-8 สัปดาห์

6.สิวก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual acne) พบได้บ่อยมาก ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยหญิงที่เป็นสิว มักจะเกิดในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เพราะมีการคั่งของน้ำในร่างกายจากภาวะฮฮร์โมนเพศหญิง ทำให้รูเปิดของต่อมไขมันเล็กลง จึงทำให้การระบายไขมันจากต่อมไขมันไม่ดี จึงเกิดการอุดตัน
ตำแหน่งและอาการที่เกิด มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น คาง ร่องจมูก หัวคิ้ว แก้ม แต่ที่พบได้บ่อยๆ คือสิวรอบปาก มักจะเป็นสิวอักเสบหัวแดง หรือสิวหัวหนองได้
การรักษา: สิวประเภทนี้มักจะไม่รุนแรง ไม่กี่วันสิวก็จะยุบหรือหายเป็นปกติ บางครั้งแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาคุมกำเนิดเพื่อปรับระดับฮอร์โมน
7. สิวจากเครื่องสำอาง(Acne cosmetica) เชื่อว่าครีมที่ใช้เป็นเครื่องสำอางบนใบหน้าเป็นเวลานานกระตุ้นให้เกิดสิวได้ มักพบจากเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของ Olive oil,white pitrolatum,lanolin,butyl stearate,isopropyl myristate,sodium lauryl sulfate,lanolin alcohol และ oleic acid โดยมักพบเป็นสิวอุดตันหัวปิด บริเวณคาง แก้ม และอาจจะเกิดการอักเสบเป็นหนองได้ มักพบว่ายิ่งใช้เครื่องสำอางปกปิด ก็ยิ่งจะเป็นมากขึ้น
การรักษา: หยุดใช้เครื่องสำอางประเภทครีม ที่มีส่วนประกอบของสารดังกล่าว มากกว่า 6 เดือน แล้วเปลี่ยนเครื่องสำอาง แนวทางการรักษาก็เหมือนกับการรักษาสิวอุดตัน และสิวอักเสบทั่วไป

8. สิวจากผลิตภัณฑ์ล้างหน้า(Acne detergicans) มักเกิดจากสบู่ล้างหน้าที่มีส่วนประกอบของ Tars,sulfur,ยาปฏิชีวนะ ( เช่น Hexachlorphene) หรือสบู่ที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดสิว(comedogenic agents) และจะเป็นมากถ้าล้างหน้าบ่อยๆ เกิน 4 ครั้งต่อวัน มักจะเป็นสิวอุดตันหัวปิด กระจายสม่ำเสมอในบริเวณคาง และแก้ม
การรักษา: หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ล้างหน้าดังกล่าว ลดการล้างหน้าบ่อยๆ และทาครีมละลายสิวอุดตัน กลุ่มวิตามินเอ หรือรับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ร่วมด้วย
10.สิวจากอาชีพ (Occupational acne) มักเกิดในคนงานที่ทำอาชีพบางอย่าง ที่สารเคมีในโรงงานกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมทำน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม คนงานทำถนน(ถนนลาดยาง ลูกรัง) โรงงานกลั่นน้ำมันดิน(Coal tars) สิวที่เกิดมักจะอักเสบ ตามรูขุมขน โดยมักจะเกิดหลังทำงานลักษณะนี้มากกว่า 6 สัปดาห์ พบบ่อยในตำแหน่งที่สัมผัสกับสารเคมีดังกล่าว เช่น ต้นแขน ขา

10.สิวจากการกดทับ(Acne mechanica) โดยสาเหตุมักจะเกิดจากการกดทับนานๆ การดึงรั้ง การถูที่ผิวหนัง ที่ทำซ้ำกันบ่อยๆ ทำให้เกิดการหนาตัวของหนังกำพร้า(Hypercornification) ทำให้รูขุมขนอุดตัน จึงมักจะเกิดเป็นสิวอักเสบ นูนแดง หรือสิวหัวหนอง มักพบได้บ่อยในบริเวณก้น เอว(ตามขอบกางเกงใน) คาง ใต้ตา( ขอบแว่น) หลัง แก้มข้างใดข้างหนึ่ง(กรณีที่ชอบนอนตะแคงข้างนั้นบ่อยๆ)
การรักษา: หลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว ส่วนยาที่ใช้รักษา จะรักษาเช่นเดียวกับการรักษาสิวทั่วไป
11. สิวในผู้สูงอายุ (Senile or solar comedone,Favre’-Rachouchot’s disease): มักพบในคนสูงอายุที่โดนแสงแดดมากๆ และนานๆ เช่น ชาวนา ชาวสวน มักพบเป็นสิวอุดตันหัวขาว บริเวณรอบๆ ตาและโหนกแก้ม และอาจจะขยายเป็นสิวหัวดำ ไม่มีลักษณะเป็นสิวอักเสบ บวมแดง โดยเชื่อว่าเกิดจากแสงแดดไปทำลายเนื้อเยื่อรอบๆรูขุมขน จึงทำให้รูขุมขนกว้างและผิดปกติ

Posted on

Lichen simplex chronicus : ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เกาเกา คันคัน จนกลายเป็นปื้นหนาๆ

Lichen simplex chronicus คือ อาการของโรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นกลุ่มหนึ่งในกลุ่มอาการของ eczema แบบเรื้อรัง มักเกิดจากการที่ผู้ป่วยคัน และเกาอยู่บ่อยๆ จากสาเหตุผื่นคันต่างๆ เช่น ยุงกัด แมลงกัด ซึ่งอาจพบที่เดียว หรือหลายๆ ที่ก็ได้

ลักษณะของผื่นที่พบ จะเป็นปื้นๆสีเนื้อ มีขอบเขตชัดเจน หนา ดังในภาพด้านบน พบบ่อยบริเวณ ต้นคอ ข้อมือ ข้อศอก ข้อเท้า หัวเข่า หลังเท้า โดยมีขนาดตั้งแต่ 2-5 ซม.เป็นส่วนใหญ่

แนวทางการรักษา 

  1. ต้องอธิบายให้เข้าใจว่า โรคนี้เกิดจากการเกามากๆ บ่อยๆ เนื่องจากการคัน ดังนั้นจะหายได้ ต้องพยายามไม่เกาหรือถูผิวหนัง เมื่อมีอาการคัน ให้ทายาแก้คันกลุ่ม Steroids ที่มีฤทธิ์แรงๆ เช่น Clobetansol creams เพื่อระงับอาการคัน
  2. การหายจากโรค อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าจะยับยั้งการเกาได้ดีแค่ไหน
  3. กรณีที่มีปื้นหนา หรือ แห้งเป็นขุย การใช้ครีมกลุ่มที่ผสม Urea เพิ่มความชุ่มชื้น หรือ Salicylic เพื่อลอกขุย ก็อาจทำให้รอยโรคหายเร็วยิ่งขึ้น
Posted on

Atopic dermatitis : โรคผื่น ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ตุ่มน้ำพองใส ในคนที่มีประวัติภูมิแพ้

Atopic dermatitis คือ ภาวะโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ในกลุ่มอาการ แบบ ตุ่มน้ำพองใส ( eczema ) ซึ่งมีสาเหตุความผิดปกติ จากภายในร่างกายเอง
อุบัติการณ์ มักพบในกลุ่มคนที่มีประวัติโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด แพ้อากาศ พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น โดยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีปัญหาร่วมด้วย
ลักษณะอาการที่ตรวจพบ แบ่งได้เป็นกลุ่มอายุดังนี้
1. ในเด็กเล็ก ( อายุ 3 เดือน-3ปี)
มักพบมีอาการที่บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคาง มักมีลักษณะเฉียบพลัน(Acute eczema) คือ มีตุ่นน้ำพองใส คัน และอาจแตก ติดเชื้อแทรกซ้อนมีแผลเป็นได้
2. ในเด็กที่โตขึ้น( อายุ 2-12 ปี)
ผื่นมักจะพบบริเวณข้อพับ เช่น ซอกคอ ข้อพับ แขน ขา เป็นมากเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เช่น หน้าร้อน เหงื่อออกมาก หรืออากาศแห้ง โดยมีอาการคันมาก ๆ ผื่นจะนูนเล็กน้อย ไม่ค่อยเป็นตุ่มน้ำ หรือน้ำเหลืองให้เห็น

3. เด็กที่อายุ มากกว่า 12 ปี หรือผู้ใหญ่
ผื่นจะเห็นเด่นชัดขึ้น บริเวณข้อพับเช่นกัน แต่จะหนาเป็นปื้น มักจะคัน และเกาจนเป็นแผล มักเป็นเรื้อรังและไม่หายขาด
แนวทางการรักษา
1. การใช้ครีมกลุ่มเสตียรอยด์ ทาบริเวณที่มีอาการ โดยเลือกชนิดของยา และความเข้มข้นของยาแตกต่างกันแล้วแต่บริเวณและลักษณะผื่น แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่อง และระยะเวลานาน เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อนได้
2. หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนหรือแห้งเกินไป
3. เลือกใช้สบู่หรือครีมที่มีส่วนผสมของ Lanolin หรือ Ceramide เพื่อลดอาการผิวแห้ง อาการคัน
4. เลือกครีมบำรุง เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นอยู่เสมอ
5. ตัดเล็บเด็กให้สั้น เพื่อป้องกันการเกาที่ทำให้เกิดแผลอักเสบแทรกซ้อน


Posted on

Eczema : อาการของผิวหนังอักเสบ ที่พบได้บ่อย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ หลายโรค

Eczema คือ ภาวะโรคผิวหนังอักเสบ( dermatitis) ที่พบได้บ่อย ถึง 1 ใน 3 ของโรคผิวหนังที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ มักมาด้วยอาการผื่นคัน บวม หรือแดงตามผิวหนัง แต่ในบางรายอาจเกิดเป็นแผลพุพอง มีน้ำหนอง หรือตกสะเก็ดร่วมด้วย
โดยภาวะผิวหนังอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเซบเดิร์ม และโรคผื่นแพ้สัมผัส อย่างไรก็ตามภาวะนี้จะไม่ติดต่อสู่ผู้อื่น แต่อาจทำให้รู้สึกคันหรือระคายเคือง และเสียความมั่นใจเพราะลักษณะผิวหนังที่ผิดปกติได้
สาเหตุของการโรคผิวหนังอักเสบแบบ Eczema แพทย์ส่วนใหญ่จะซักประวัติพร้อมการตรวจร่างกาย และลักษณะของผื่นที่เกิดขึ้น แล้วแบ่งการวินิจฉัยเป็น 2 สาเหตุดังนี้
1. สาเหตุภายนอกร่างกาย( Exogenous cause)เช่น การสัมผัสสารระคายเคือง หรือ การแพ้สารต่างๆ โรคภูมิแพ้ หรือ อื่นๆ เช่น แมลงกัดแล้วแพ้ ซึ่งเมื่อกำจัดหรือหลีกเลี่ยงสาเหตุดังกล่าว ก็ทำให้หายขาดได้
2. สาเหตุภายในร่างกาย( Endogenous cause) มีได้หลายชนิด และมีลักษณะจำเพาะแตกต่างกัน ได้แก่ โรคต่างๆ ดังนี้ Atopic dermatitis ,Seborrheic dermatitis ,Nummular eczema , Dyshidrosis ,Stasis dermatitis ,Lichen simplex chronicus

อาการของโรคผิวหนังอักเสบแบบ Eczema
อาการของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ จะมีความแตกต่างกันไปในคนไข้แต่ละราย ขึ้นกับระยะของโรค และชนิดของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ โดยแบ่งออกคร่าวๆได้ดังนี้
1. Acute eczema เป็นระยะที่มีการอักเสบของผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เกิดตุ่มน้ำใสเล็กๆพองขึ้นบริเวณผิวหนัง พร้อมๆ กับมีอาการบวมแดงรอบๆ ผื่น มักมีอาการคันอย่างรุนแรง เกาจนตุ่นน้ำแตกเป็นน้ำเหลืองไหลเยิ้ม
2. Sub-acute eczema พบว่ารุนแรงน้อยกว่า แบบแรก ผิวหนังจะเริ่มแห้งและลอกเป็นขุย อาจมีร่องรอยการอักเสบหรือเกาได้บ้าง แต่น้ำเหลืองมักจะแห้งและตกสะเก็ด พร้อมๆกับผิวหนังมีการหนาตัวขึ้น
3. Chronic eczema เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง เป็นบ่อยๆ เมื่อมีการเกาหรือถูซ้ำนานๆ ทำให้ผิวหนังด้านบนหนาตัวเป็นปื้น แลเห็นที่ชั้นผิวหนังเป็นตุ่มหรือเป็นริ้ว

หลักการรักษา
1. ยาจำพวกสเตียรอยด์ ถือว่าเป็นยาหลักที่สำคัญที่สุดในการรักษา เพราะใช้แก้ปัญหาการอักเสบของผิวหนังโดยตรง โดยถ้าเป็นไม่มากเฉพาะที่ก็อาจใช้ครีมทาอย่างเดียว ซึ่งมีหลายยี่ห้อ ตามแต่ความรุนแรงหรือความเข้มข้นของยา เช่น Prednisil cram,Betnovate cream,Sambug cream เป็นต้น แต่ถ้าเป็นมากและรุนแรง อาจต้องให้ยาสเตียรอยด์ในกลุ่มที่รับประทาน เช่น Prednisolone
2. แผลให้แห้งเสีย ในกรณีที่เป็นเฉียบพลัน มีน้ำเหลืองใหลเยิ้ม ไม่แนะนำให้ใช้ครีมทาในช่วงดังกล่าว ควรทำแผลให้แห้งเสียก่อน หรือแช่แผลในด่างทับทิม หรือ ใช้ผ้าก็อซชุบน้ำยา Borrow’s solutions เพื่อให้แผลแห้งก่อน จึงจะใช้ครีมทา
3. ภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรัง( chronic eczema ) ใช้ระยะเวลาในการหายค่อนข้างนาน และมักไม่หายขาด ถ้าสาเหตุเกิดจากภายในร่างกาย บางทีเป็นๆ หายๆ เป็นเวลาหลายๆ ปี ทำให้คนไข้มักเปลี่ยนหมอ หรือที่รักษาบ่อยๆ การได้เข้าใจภาวะและสาเหตุของโรค จะเป็นสิ่งที่ดีที่แพทย์ควรบอกคนไข้ให้รับทราบตั้งแต่ต้นของการรักษา

Posted on

CO2 Laser : เลเซอร์ ที่เสมือนมีดผ่าตัดไร้โลหิต พิชิต หูด ใฝ ขี้แมงวัน กระเนื้อ สิวหิน ต่อมไขมัน

CO2 Laser คืออะไร

คือ เลเซอร์รุ่นแรกๆ โดยได้เริ่มมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในการผ่าตัดเนื้อเยื่อที่ผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง( Benign tomor lesions) เช่น ใฝ ขี้แมลงวัน ฯลฯ แพทย์ผิวหนังได้ขนานนาม Co2 laser คือม้าใช้งานทางเลเซอร์ เพราะสามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว ในการผ่าตัดเล็กๆ ไม่เกิดรอยเลือด และมีความแม่นยำในการผ่าตัดมากกว่าใบมีดผ่าตัด แถมไม่มีเลือดให้ดูน่ากลัว ไม่ต้องซับเลือด
เหตุผลที่ไม่มีเลือด เพราะ CO2 laser เป็นเลเซอร์ที่ให้ความถี่ช่วงคลื่น) 10,600 nm จะดูดซึมได้ดีในน้ำ ซึ่ง (80% ของผิวหนังคนเราประกอบด้วยน้ำ) ทำให้พลังงานที่ปล่อยออกจากเครื่องเลเซอร์นี้เกือบ 90 % ( ประมาณ 20-50 ไมโครเมตร) ดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อ ทำให้เกิดความร้อนอย่างรวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดหดตัวและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีเลือดไหลให้เห็นได้

CO2 Laser รักษาอะไร

1. กระเนื้อ (seborrheic keratosis) กระตื้น กระแดด กระในคนสูงอายุ
2. ขี้แมลงวัน ใฝ
3. หูด ติ่งเนื้อ (wart)
4. สิวหิน ( syringoma )
5. แผลเป็นนูน (Keloid)
6. ต่อมไขมันอุดตันอุดตันชนิดต่างๆ ( Xanthelasma , adenoma sebaceous )
7. หลุมสิวบางชนิด ( Ice -Picked Scars
หลังทำอาจจะมีสะเก็ด หลุดออก ใน 1-3 วัน หรืออาจจะรอยดำได้ โดยเฉพาะในคนสีผิวเข้ม ควรเลืี่ยงแดดหลังทำอย่างน้อย 2 อาทิตย์

Fractional CO2 Laser ต่างจาก CO2 Laser อย่างไร

Fractional CO2 Laser: ก็คือ CO2 Laser ความยาวช่วงคลื่น 10,600 nm เหมือนกัน แต่เปลี่ยนหัว Hand piece จากที่ปล่อยลำแสงเป็นลำตรงเส้นเดียว ที่ใช้ตัดเนื้อเยื่อ ให้ปลดปล่อยลำแสง เป็นจุดเล็กๆ เพื่อแบ่งซอยพลังงานจากลำแสงขนาดใหญ่ ให้เป็นชนาดเล็กลง จำนวนมาก   และนำมาใช้ประโยชน์ในการการลอกผิวหน้า ผลัดเซลล์ผิวหน้า รักษาหลุมสิว ริ้วรอยเล็กๆ หรือฝ้า กระ ชนิดตื้น หลังยิงโอกาสเกิดรอยดำได้เช่นกัน โดยเฉพาะในคนสีผิวเข้ม ควรเลี่ยงแดดหลังทำ อย่างน้อย 2 อาทิตย์เช่นกัน

CO2 Laser กำจัดขี้แมงวัน เห็นผลทันทีหลังทำ
CO2 Laser กำจัดใฝ เห็นผลทันทีหลังทำ

Posted on

ครีมทาหน้าขาว ตรวจสอบ ให้ดีก่อนซื้อ ว่าส่วนประกอบคืออะไร ได้ผล ปลอดภัยมั้ย

ครีมหน้าขาวทำงานอย่างไร

กลุ่มสารที่ทำให้ผิวขาวขึ้น( Whitening creams) ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด หรือที่คลินิกผิวพรรณทั้งหลาย จำแนกตามกลไกการทำงานได้ดังนี้

  1. สารป้องกันแสงแดด เพื่อลดการทำลาย หรือ การสร้างเม็ดสีมากขึ้น ได้แก่ ครีมกันแดดทั้งหลาย ซึ่งควรมีค่ากันแดดอย่างน้อย SPF > 25 PA ++
  2. รบกวนการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase หรือ Melanosome ในขบวนการสร้างเม็ดสีผิว แบ่งย่อยๆ ได้เป็น
    2.1 Hydroquinone เดิมใช้ผสมในครีมรักษาฝ้า เพื่อลดและลบรอยดำจากฝ้า มีส่วนผสมตั้งแต่ 2-5 % HQ แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ จะมีผลข้างเคียงได้ และทำให้ฝ้ากลับมาเป็นใหม่ได้จากผลของยาเอง
    ดังนั้นในปัจจุบัน ทางอ.ย ของไทย จึงห้ามผสมในเครื่องสำอางค์ แต่ในคลินิก ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์ ยังสามารถใช้ได้
    2.2 Vitamin C อาจในรูปของสารละลาย (สำหรับใช้ในการทำไอออนโต) หรือในรูปของครีมทาผิว หรือ การรับประทานวิตามินซีเม็ด ซึ่งกรณีการรักษาฝ้า แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามิน C ควบคู่ไปด้วย ประมาณ 100-200 มก.ต่อวัน
    2.3 Kojic Acid ซึ่งใช้เป็นส่วนผสม ของผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ครีมรักษาฝ้า ครีมทาหน้าขาว

2.4 Arbutin ส่วนประกอบคล้ายๆ ไฮโดรคลิโนน แต่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์เมลานิน มักนำมาใช้รักษาฝ้า แทน ยาไฮโดรคลิโนน แม้ให้ผลการรักษาช้ากว่า แต่ก็มีผลข้างเคียงน้อย
2.5 Licorice เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากแป้งสาลี ชะเอม ปัจจุบันนิยมนำมาผสมในเครื่องสำอาง เช่นแป้งรองพื้น ครีมบำรุงผิวหน้า ผิวกาย ลิปติค ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า
2.6 สารสกัดทางธรรมชาติ ซึ่งจะมีการค้นคว้าอีกมากมาย แต่ยังไม่ฮิตติดอันดับสำหรับการนำมาใช้เท่าสารเคมีที่กล่าวมาข้างบน อาทิ Green Tea Extract, Compositae(สารสกัดจาก matricaria) แต่ในอนาคตอาจมีสารกลุ่มนี้มากขึ้นกว่านี้

ดังนั้นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมทาหน้าขาว ก่อนซื้อสามารถยึดหลักว่าต้องมีส่วนประกอบต่างๆ ตามข้างต้น และถ้ายิ่งมีส่วนประกอบผสมกันหลายตัว น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพตามที่ต้องการได้

Posted on

สิว เป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย แม้ในทารกแรกเกิด(acne neonatorum) และสิวในเด็กเล็ก(acne infantum)

สิวในทารกแรกเกิด(Acne neonatorum)

   คือ สิวที่เกิดได้ในทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 1 เดือน พบได้ประมาณร้อยละ 20 ลักษณะของสิวจะเป็นแบบไม่ อักเสบ(comedone) หรือสิวอักเสบแดงเป็นเม็ดเล็กๆ (papule) หรือสิวหัวหนอง(pustule) มักพบบริเวณแก้มและหน้าผาก มักไม่พบตามแขน ขา หรือลำตัว
สาเหตุ: ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากผลฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน จากแม่สู่เด็ก และกระตุ้นให้การทำงานของต่อมไขมันในเด็กมากกว่าปกติ มักพบบ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง เพราะว่าอาจจะมีฮฮรโมน Testosterone ในอัณฑะและต่อมหมวกไตหลั่งมากกว่าปกติด้วย
แนวทางการรักษา: มักจะหายได้เองภายใน 3-4 เดือนแรก จึงไม่จำเป็นต้องรักษา แต่พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ไม่ควรแนะนำให้ใช้ครีมหรือทายารักษาสิว เพราะอาจจะระคายเคืองจากยาได้ ถ้าเป็นมากอาจจะต้องปรึกษาหรือพบแพทย์ผิวหนังจะปลอดภัยกว่า

สิวในเด็กเล็ก(Acne infantum,Juvenile acne)

คือ สิวที่เกิดในเด็กอายุ 3-6 เดือน จะมีอาการรุนแรงกว่าสิวในทารกแรกเกิด ลักษณะของสิวก็เป็นได้ตั้งแต่ แบบไม่อักเสบ(comedone) หรือสิวอักเสบแดงเป็นเม็ดเล็กๆ (papule) หรือสิวหัวหนอง(pustule) และมักจะเป็นนานหลายเดือน ถึง 1-2 ปี โดยมักจะพบว่าพ่อแม่มีประวัติสิวรุนแรงเช่นกัน บริเวณที่พบก็ที่แก้ม จมูกและหน้าผาก มักจะไม่พบที่แขน ขา หรือตามลำตัว
 สาเหตุ: นอกจากจะเกิดจากปัญหาฮอร์โมนเช่นเดียวกับสิวในทารกแรกเกิดแล้ว อาจจะต้องพิจารณาว่า สิวนี้อาจจะเกิดได้จากการสัมผัสสารเคมี เช่น น้ำมัน ครีม หรือโลชั่นทาผิวด้วย
แนวทางการรักษา: ในเด็กบางราย อาจจะต้องให้การรักษาเหมือนสิวในวัยรุ่น เพราะมักจะไม่หายเอง พ่อแม่ควรต้องเข้าใจเช่นกัน ยาทาที่ใช้ก็มักจะประกอบด้วยยากลุ่มเรตินอยด์,Benzyl peroxide ความเข้มข้นต่ำๆ,ยารับประทานแก้อักเสบ เช่น Erythromycin syrub, นานติดต่อกัน 3-6 เดือน และนอกจากนี้ควรต้องหลีกเลี่ยงครีม โลชั่นทาผิว ที่อาจจะแพ้ได้

Posted on

ปานดำ (Pigmented Birthmarks) จุดดำ ทำให้เกิดตำหนิกับผิว ที่มีมาแต่กำเนิด หรือเกิดภายหลัง

ปานดำ คืออะไร

คือ ความผิดปกติของสีผิว โดยจะสีดำหรือคล้ำกว่าผิวปกติ ที่มีทั้งลักษณะเรียบหรือนูน โดยเม็ดสีเมลานินที่อยู่ในชั้นผิวมีมากเกินไป เม็ดสีที่มากผิดปกตินี้ ปานดำ มักจะเกิดในหนังกำพร้า (Dermis) ก็พบได้ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis )
ปานดำมักปรากฏตั้งแต่แรกเกิด มีทั้งสีน้ำตาล ดำ น้ำเงิน หรือน้ำเงินเทา อาจจะหายได้เอง หรือไม่หายไป เมื่อโตขึ้น ขอกล่าวเฉพาะที่พบได้บ่อยๆ ดังนี้
1. ปานสีกาแฟใส่นม (Café-Au-Lait Spots) มีลักษณะเป็น ผื่นราบสีน้ำตาลอ่อน ปรากฏตั้งแต่แรกเกิดหรือภายในอายุ 2-3 เดือน มักจะมีรูปร่างกลมหรือรี ขอบเขตค่อนข้างชัดเจน จะขยายขนาดขึ้นตามการเจริญเติบโต และจะคงอยู่ตลอดชีวิต ส่วนใหญ่จะไม่พบมีความผิดปกติอื่น ๆ ของร่างกายร่วมด้วย แต่หากผู้ป่วยที่มีปานชนิดนี้ จำนวนมากหรือมีขนาดใหญ่ อาจพบมีโรคพันธุกรรมบางชนิดได้ ดังนั้น หากพบปานขนาดใหญ่หรือมีหลายอัน ควรพาบุตรหลานของท่านไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
2. ปานมองโกเลียน (Mongolian Spots) พบบ่อยที่สุด มีลักษณะเป็นผื่นราบสีเขียว ฟ้าเทา หรือน้ำเงินเข้ม บริเวณก้นและสะโพก แต่อาจพบที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น แขน ขา หลัง ไหล่ หนังศีรษะ ปานชนิดนี้จะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อเข้าสู่วัยเด็กตอนต้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำการรักษา

3. ปานดำแต่กำเนิด (Congenital Melanocytic Naevi) คือ เป็นปานที่เราคุ้นเคย และพบได้บ่อยๆ บางคนเรียกว่า ไฝสีดำเข้ม มีขนาดแตกต่างกัน แต่มักจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด มักปรากฏตามหนังศีรษะหรือแขนขา ปานดำชนิดนี้เกิดจากการผลิตเซลล์เม็ดสีผิวมากเกินไป ส่วนใหญ่ ปานจะค่อย ๆ เล็กลงจนจางหายไปเอง หรืออาจเข้มขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาจจะมีลักษณะนูน หรือบุ๋มเป็นหลุม มีขนขึ้น ขนาดของปานมีตั้งแต่เล็กกว่า 1.5 เซนติเมตร จนถึงใหญ่กว่า 20 เซนติเมตร เป็นปานดำที่อาจจะกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ถ้ามีขนาดโตมากขึ้นเรื่อยๆ
4. ปานดำเบคเกอร์ ( Becker’s nevus หรือ Pigmented hairy epidermal nevi) เป็นปานดำ ชนิดที่พบได้บ่อย และมักพบในผู้ชาย โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่ออายุระหว่าง 10-15 ปี โดยจะเริ่มปรากฏเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ แล้วขยายออกเป็นแผ่นปื้นประมาณ 10-13 ซม.เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น จะเริ่มสังเกตมีเส้นขนขึ้นมากกว่าปกติในบริเวณปานดำนั้น

5. ปานโอตะ (Nevus of Ota) เป็นปานสีน้ำเงินหรือน้ำตาลเข้ม ส่วนใหญ่ (90%) เป็นข้างเดียวของใบหน้า ตั้งแต่หน้าผาก ขมับและแก้ม บางรายอาจพบในตาขาวร่วมด้วย
ประมาณกึ่งหนึ่งของปานโอตะ เป็นตั้งแต่เกิด ส่วนที่เหลือเริ่มเป็นเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (5 ต่อ 1) ปานโอตะพบได้บ่อยถึง 0.2%-0.8% ของคนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และไทย
ความเข้มของปาน อาจเปลี่ยนแปลงได้จากการมีประจำเดือน ความอ่อนเพลีย การนอนไม่หลับ หรือฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ไม่เคยพบว่า ปานชนิดนี้จะหาย ได้เอง

แนวทางการรักษาปานดำ : ปานดำเกือบทุกชนิด ไม่หายเอง ยกเว้น ปานมองโกเลียน ที่หายเองได้ ถือเป็นปัญหาด้านความสวยงาม เป็นหลัก แต่ก็มีบางชนิดที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง หรือสัมพันธ์กับโรคหรือระบบบางอย่างได้ การกำจัดปานดำ อาจะทำได้ดังนี้
1. การกำจัดขนที่บริเวณปานดำ ด้วยการทำการกำจัดเลเซอร์ Long-Pulsed :Nd-Yag laser ได้แก่ Gentel YAG Laser
2. ปานดำทำให้จางลงได้ ด้วยการทำการรักษาด้วย Q-Switchec:Nd-Yag laser 1064 nm เพราะถือว่าได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อย ซึ่งทีได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน คือ Revlite laser, Pico lasers
3. กรณีที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และเป็นก้อนนูน ไม่ลึก อาจจะกำจัดออกด้วย เลเซอร์ CO2

Posted on

สิว ไม่อยากทายา ไม่อยากหาหมอ ซื้อยาทานเอง เลือกยาตัวไหน มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร

กลุ่มยารับประทานรักษาสิว

ยารับประทานในการรักษาสิวต้องมีสรรพคุณในการยับยั้งสาเหตุการเกิดสิว คือ จากฮอร์โมน หน้ามัน ไขมันอุดตันท่อไขมัน ผิวแพ้ และการอักเสบติดเชื้อสิว ดังนั้นกลุ่มยาก็จัดแบ่งออกตามหน้าที่ดังนี้
1. ยาที่มีฤทธิ์ลดการทำงานของต่อมไขมัน Sebaceous Gland ให้ผลิตไขมันลดลง หน้าไม่มัน ก็ทำให้ป้องกันการเกิดสิวได้ ได้แก่ 
      1.1 ยาคุมกำเนิด กลุ่มยาคุมกำเนิดจะมีส่วนประกอบของฮอร์โมน Progesterone เฉพาะชนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามาก เมื่อทำให้ไขมันนี้ทำงานลดลง หน้าก็มันลดลง โอกาสเกิดการอุดตัน ทำให้เกิดสิวก็ลดลง
ข้อควรระวัง
-ผู้ชายไม่ควรรับประทาน เพราะ อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง และนมโต แบบผู้หญิงได้ แม้จะหยุดยา
– ผู้หญิง อาจมีปัญหากับรอบเดือนคลาดเคลื่อนได้ ถ้ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้สูงกว่าคนปกติ
      1.2 ยายับยั้งฮอร์โมนเพศชาย อาทิ spinolactoneปัจจุบันไม่นิยมกันแล้ว เนื่องจากเห็นผลได้ช้า โดยสิวจะเริ่มยุบภายใน 2-3 เดือนแรก หน้ามันค่อยๆลดลง
ข้อควรระวัง
– ผู้ชายไม่ควรรับประทาน เพราะ อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง และนมโต แบบผู้หญิงได้
– ผู้หญิงอาจะมีน้ำหนักตัวเพิ่ม และเป็นฝ้าได้ง่าย
 

1.3 ยากลุ่มวิตามินเอ (Retionoids ) ก็คือ Roaccutane,Acnotin,Isotane ,Isotretinoin เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมาก ในการออกฤทธิ์ลดขนาดและการผลิตไขมัน ของต่อมไขมัน ลดการหนาตัวของผิวหน้งบริเวณรูขุมขน ทำให้ลดการเกิดการอักเสบ ของเชื้อสิว P.acnes จึงทำให้หน้ามันลดลง รักษาได้ทั้งสิวอุดตัน และสิวอักเสบ ยากลุ่มนี้เป็นที่นิยม แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก
ข้อควรระวัง

  • ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง
  • จมูกและตาแห้ง
  • ผิวหน้าแห้งตึง
  • สิวอาจเห่อได้ เมื่อรับประทานยาในสัปดาห์แรก
  • ทำให้ทารกในครรภ์พิการ หรือ แท้งได้ ดังนั้นจะต้องหยุดยาจนครบ 1 เดือนก่อน จึงจะตั้งครรภ์ได้
  • ไม่แนะนำให้บริจาคเลือดขณะรับประทานยา กลุ่ม Retinoids
  • มีอาการซึมเศร้าได้ หลังหยุดยาทันที แต่อัตราการเกิดน้อย ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์
  • เมื่อรับประทานยาเกิน 6 เดือน ควรตรวจเลือด และร่างกายเกี่ยวกับการทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด เพราะอาจจะทำให้ระดับ SGOT,SGPT และ Triglyceride สูงขึ้นจากปกติได้

2. ยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิว P.acnes 
      2.1 ยาปฏิชีวนะ(Antibiotics) มีใช้หลายตัว อาจอยู่ในรูปโลชั่น ครีม หรือยารับประทานที่ใช้ในการกำจัดเชื้อสิว P.acne ที่ใช้กันบ่อยได้แก่
2.1 Tetracycline มักให้ในรูปรับประทาน วันละ 2-4 แคบซูล
2.2 Doxycycline ยานี้มักจะนิยมใช้ เพราะราคาไม่แพง และได้ผลดี มักให้ในรูปรับประทาน วันละ1-2 แคบซูล
2.3 Minocycline ยานี้ราคาแพง และได้ผลดี สะดวกเพราะ รับประทาน วันละ 1 แคบซูล
2.4 Erythromycin-มีทั้งในรูปของครีมทาสิว และยารับประทาน วันละ2-4 คบซูล
2.5 Clindamycin-มีทั้งในรูปของครีมทาสิว และยารับประทาน วันละ1-2 แคบซูล
2.6 Co-trimoxazole-มักให้ในรูปรับประทานวันละ 2-4 เม็ด มักใช้รักษาสิวที่เกิดจากพวกแกรมลบ หรือ แบคทีเรียพวกไม่ใช้ออกซิเจน
ข้อควรระวัง
– ถ้าทานไม่ครบตามกำหนด มีโอกาสดื้อยาได้
– อาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาการท้องร่วง
– มีอาการบวมบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก รวมทั้งอาจเกิดแผล มีอาการคัน หรือมีตกขาว
– มีโอกาสแพ้ยาได้

Posted on

ครีมกันแดด เลือกแบบไหน ใช้อย่างไร ถึงจะได้ผลในการป้องกันรังสียูวี ใครควรใช้

ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์ได้พิสูจน์และวิจัยแล้วว่า แสงแดดเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างต่อผิวหน้า เช่น ทำให้เกิดฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ มะเร็งผิวหนัง ริ้วรอยแก่ก่อนวัย ฯลฯ จึงเห็นว่า การใช้ครีมกันแดดทุกวัน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกเพศทุกวัย แพทย์บางท่านแนะนำให้เด็กอายุ ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ทาครีมกันแดด โดยให้ผู้ปกครองทาให้ เพื่อสร้างนิสัยการทาครีมกันแดด

ประสิทธิภาพของครีมกันแดด แต่ละยี่ห้อ มีหลักการพิจารณาในการเลือกซื้อคือ ต้องดูที่ค่า SPF=Sun Protective Factor ซึ่งหมายถึง ค่าที่ใช้วัดในการกันแดด ว่าเป็นกี่เท่าของผิวที่ไม่ได้ทากันแดด ในเวลาและบริเวณเดียวกัน โดยมีวิธีคิดดังนี้ SPF=MED บริเวณที่ทายากันแดด/MED บริเวณที่ไม่ได้ทากันแดด โดยค่า MED ย่อมาจาก ปริมาณแสงที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงที่ผิวหนัง( Minimum Erythematous dose)

ควรใช้ครีมกันแดดที่ค่า SPF เท่าใด ได้มีการทดลองด้วยค่าต่างๆ กันเทียบกับการดูดซับแสงดังนี้

SPF
ค่าดูดซับแสง UVB(%)
2
50
4
75
8
87.5
15
93.3
20
95
30
96.7
45
97.8
50
98

จะเห็นได้ว่า ค่า SPF ระหว่าง 15-45 จะให้คุณสมบัติในการดูดซับแสงได้ใกล้เคียงกัน และ ค่า SPF ระหว่าง 30-45 แทบไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการดูดซับรังสีUVB ดังนั้น แพทย์นิยมให้คนไข้ ใช้ครีมกันแดด ที่มี SPF สูงกรณีที่ต้องตากแดดนานติดต่อกัน และใช้ครีมกันแดด SPF ต่ำ กรณีที่ตากแดดเป็นครั้งคราว เพราะ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ยิ่งสูง ก็จะมีความมันมาก และราคาสูง ตามความเห็นของผู้เขียนมเห็นว่า ครีมกันแดดที่ควรเลือก สำหรับผิวคนไทย น่าจะมีค่า SPF=15 กรณีผิวมัน และ SPF= 30 กรณีที่ผิวธรรมดา และผิวแห้ง

รูปแบบของสารกันแดด ที่หลายแบบ แต่แนะนำให้ใช้ ในรูปของครีมหรือโลชั่น เพราะมีประสิทธิภาพดี ค่า SPF สูง เพราะในรูปอื่น เช่น Oils ( มักจะมันมาก ราคาแพง) Gel ( ไม่มัน รู้สึกดี แต่ผลิตยาก ไม่คงตัว SPF ต่ำเกินไป) สเปรย์ มักมีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ

ข้อแนะนำในการใช้ครีมกันแดดทั่วไป

  1. ควรทาครีมกันแดดทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลา 9.00-16.00 น. โดยทาก่อนออกแดด 15-30 นาที
  2. ควรทาหนาพอควร สำหรับใบหน้า หู คอ และหลังมือ จะใช้ประมาณ 2-3 กรัม
  3. ทากันแดดซ้ำ หลังว่ายน้ำ หรือเหงื่อออกมากๆ
  4. หลีกเลี่ยงการทารอบดวงตา เพราะอาจระคายเคืองได้ง่าย
  5. บริเวณจมูก และร่องแก้ม โหนกแก้ม ควรทาครีมกันแดดให้มาก เพราะกระทบแสงแดดโดยตรง และเป็นตำแหน่งที่เกิดปัญหาฝ้าได้บ่อย
  6. บริเวณริมฝีปาก อาจทากันแดด ที่อยู่ในรูปของลิปติก หรือผสม Wax
  7. ในคนที่ผมบาง ควรทาครีมกันแดด ที่หนังศีรษะด้วย
  8. ถ้าเป็นไปได้ ควรสวมหมวก ใส่เสื้อผ้าปกคลุม กรณีตากแดดจัด และเป็นเวลานานๆ
  9. กรณีที่มีปัญหา ผิวแพ้ง่าย หรือ เป็นสิว อาจงดครีมกันแดด ไว้ก่อน โดยป้องกันด้วยวิธีอื่นไปก่อน แล้วปรึกษาแพทย์เพื่อการเลือกใช้ที่เหมาะสม

เคล็ดลับการทาครีมกันแดดหน้าร้อน

  1. ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 สำหรับผิวมัน และ SPF มากกว่า 30 สำหรับผิวแห้ง สำหรับป้องกันรังสียูวีบี และเลือกค่า PA ++ เป็นอย่างน้อยสำหรับป้องกันรังสียูวีเอ และควรเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและริมฝีปาก และเลือกครีมบำรุงที่มีสารปกป้องแสงแดด
  2. ครีมกันแดดที่เลือกใช้ ควรดูข้างขวดว่า สามารถปกป้องได้ทั้ง UVA,UVB เพราะยูวีเอ จะทำให้ผิวหนังแห้ง และเหี่ยวย่นได้ ส่วนยูวีบี จะทำให้ผิวหน้าแดง หมองคล้ำ และใหม้เกรียม
  3. สารกันแดดที่เลือกใช้ ถ้าเลือกแบบที่สะท้อนแสงแดด ( physical sunscreens) เช่น Zinc oxide,Titanium จะได้ผลดีกว่าแบบ ดูดซับแสงไว้ที่ผิว( chemical sunscreen) แต่ก็ไม่เหมาะกับคนผิวคล้ำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาวเกินไป
  4. ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน อย่ารีรอไปทาข้างนอกบ้าน หรือบนชายหาด เพราะกว่าจะทาเสร็จเรียบร้อย ผิวอาจได้รับแสงแดดมากพอที่จะทำลายผิว
  5. ใช้ครีมกันแดดในปริมาณมากพอควร คือ ประมาณ 2 ข้อมือสำหรับผิวหน้า และใช้ครีมกันแดดที่มีปริมาณอย่างน้อยประมาณ 30 กรัม สำหรับทาทั่วผิวกาย อย่าถูแรงเกินไป อาจทำให้ครีมหลุดลอก ไม่สามารถป้องกันแดดได้เต็มที่ นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดด ห่างกันทุก 2 ซม. ถ้าทิ้งช่วงทานานกว่านี้ อาจจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ ถ้าเหงื่อออก หรือโดนน้ำสาดช่วงสงกรานต์ ควรทาครีมกันแดดซ้ำได้ทันทีที่ผิวแห้งลง หรือเลิกเล่นสาดน้ำช่วงสงกรานต์
  6. การพักผ่อนตามชายทะเล การเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในหน้าร้อน ควรทาครีมเพิ่มเติมทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพราะแสงแดดจะทำลายคุณสมบัติของครีมตลอดเวลา จึงต้องเติมเพิ่มเติม แต่ยังไงพกหมวก ร่ม แว่นกันแดด ไปด้วย
  7. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด คือ เวลาระหว่าง 10.00-15.00 น. หรือสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวก หรือกางร่มเมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้าน
  8. หากต้องการเปลี่ยนสีผิวให้เป็นสีแทน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดและวิตามินอี
  9. นอกจากนี้ควรลดอัตราเสี่ยงอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า และมลภาวะต่างๆ เพราะจะทำให้แสงแดดทำลายผิวพรรณได้ง่ายขึ้น
  10. สำหรับบางท่านที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ดังนั้นควรทาครีมกันแดดที่ SPF > 30 จะปกป้องผิวได้ดีกว่า


Posted on

สิวอักเสบ (Inflammatory acne ) เจ็บสิว เรื่องสิวที่อาจจะเกิดปัญหาผิวที่แก้ยาก

สิวอักเสบ (Inflammatory acne ) คืออะไร

 คือการที่สิวอุดตัน ที่ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Propionibacterium acne( P.acne) แล้วแบคทีเรียนี้ ปล่อยเอนไซม์ที่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ โดยมีความรุนแรงแตกต่างกัน แล้วแต่จำนวนเชื้อ และขนาดของสิวที่อุดตัน แล้วมีการเรียกชื่อแตกต่างกัน บางคนอาจแบ่งเป็นประเภทตามลักษณะของสิวอักเสบดังนี้
ประเภทของสิวอักเสบ แบ่งได้เป็น
1.สิวนูนแดง (Papule)- มักไม่เกิดแผลเป็นเมื่อหาย
2.สิวหัวหนอง ( Pustule)-มักไม่เกิดแผลเป็นเมื่อหาย
3.สิวหัวช้าง (acne conglobata)-มักเกิดแผลเป็นเมื่อหาย
4.สิวซีสต์ (acne cyst) -มักเกิดแผลเป็น เมื่อหาย
5.สิวตุ่มนูนหนอง(Papulopustular acne )-มักเกิดแผลเป็นเมื่อหาย
ผลข้างเคียงจากการเกิดสิวอักเสบ มักเกิดได้บ่อย ถ้าไม่รีบรักษา คือ
1. รอยดำจากสิว
2. รอยแดงช้ำ ซึ่งอยู่ได้นาน เป็นเดือนๆ
3. รอยหลุมจากสิว เกิดได้ในสิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวตุ่มนูนหนอง รอยหลุมเกิดแล้วมักจะรุนแรง ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ไม่ได้ 100%

การรักษาสิวอักเสบแบบใช้ยา

1. ยาทาสิว ที่ใช้กันบ่อยๆ ก็คือ
1.1 Benzoyl peroxide – เป็นตัวยาที่ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย P.acne และลดการอักเสบได้ดี 50-70 % ของสิวอักเสบ โดยมักใช้ทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก เนื่องจากมีการระคายเคือง
1.2 Azeleic aicd – มักใช้ในรูปยาทา 20 % Azeleic acid( Skinoren) มักใช้ในระยะแรก แต่อาจระคายเคืองได้
2. ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อสิว มีใช้หลายตัว ได้แก่ Tetracycline ,Doxycycline ,Minocycline ,Erythromycin,Clindamycin,Co-trimoxazole
3. ยาคุมกำเนิด เช่น Dian-21 มักใช้เฉพาะในผู้หญิง เพื่อควบคุมการเกิดสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ ไม่แนะนำในผู้ชาย เพราะมีผลข้างเคียง ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ และทำให้นมโต ที่เรียกว่า ภาวะ Gynecomastia
4. ยารับประทานต้านฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน คือ spironolactone ปัจจุบันไม่นิยมใช้ เพราะมีผลข้างเคียงคล้ายยาคุมกำเนิด
5. ยากลุ่มวิตามินเอ ( Retinoids ) เช่น Roaccutane,Isotane,Acnotin เป็นยาแรง มักจะใช้เป็นด่านสุดท้าย ยาค่อนข้างมีราคาแพง มีผลข้างเคียงต่อตับ และระดับไขมันในเลือด ที่สำคัญห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์
6. การฉีดสิว ทำให้สิวหายได้เร็ว ควรกระทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดรอยหลุมจากผลของยาได้

การรักษาสิวอักเสบแบบไม่ใช้ยา เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยา

1. มาสค์หน้ารักษาสิว : ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ หรือสมุนไพร หรือ ยีสต์บางชนิดทีสรรพคุณฆ่าเชื้อสิวได้ แต่การมาสค์หน้ารักษาสิว จะได้ผลดีระดับหนึ่ง เฉพาะสิวหัวแดง(Papule) กับ สิวหัวหนอง ( Pustule) ส่วนสิวอักเสบที่รุนแรงมักจะไม่ได้ผล และบางทีก็เสี่ยงกับการแพ้สารสกัดหรือสมุนไพรบางอย่าง
2. การรักษาสิวอักเสบด้วยคลื่นแสง พบว่าแสงสีน้ำเงิน ความยาวช่วงคลื่นที่ 407-420 nm. สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ ( P.acnes) ไม่แพ้กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) โดยได้รับการยอมรับจาก FDA ของอเมริกา ว่ารักษาได้ผลประมาณ 55-60%
3.เลเซอร์รักษาสิวอักเสบ: ปัจจุบันเลเซอร์รักษาสิว ที่นิยมใช้กันในคลินิกรักษาสิว ก็คือ V-Beam Laser เพราะแก้ปัญหาสิวอักเสบได้ทุกชนิด และยังรักษารอยแดง รอยดำจากสิว ทำให้ผิวหน้าเนียนในคราวเดียว การรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชียวชาญโดยเฉพาะ จึงจะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียงจากการทำเลเซอร์

Posted on 2 Comments

สิวอุดตัน (Comedone) ล้างหน้ามีสะดุด อยากหยุดปัญหานี้ มีวิธีใด รักษาให้หายขาดได้

สิวอุดตัน (Comedone) คืออะไร

สิวอุดตัน (Comedones) คือ สิวขนาดเล็กที่มีไขมันจับเป็นตุ่มเล็กๆ ในท่อไขมัน ใต้ผิวหนัง เป็นสิวชนิดที่ไม่เกิดการอักเสบ พบได้มากกว่า 70 %ของปัญหาสิว ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ แต่ส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว
ตำแหน่งทีพบได้ เกิดได้บ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว(โดยเฉพาะที่หลัง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมัน Sebaceous gland จำนวนมาก
สาเหตุการเกิดสิวอุดตัน : เกิดจากการระบายไขมันไปยังผิวชั้นนอกอุดตัน ซึ่งอาจจะเกิดได้จากปัจจัยต่างๆ ด้ังนี้
1. สร้างไขมันมากเกินไป จากปัญหาฮอร์โมนเพศชายสูง แล้วระบายออกไม่ทัน ไขมันจึงจับตัวเป็นก้อน
2. ท่อไขมันผิดปกติ : ความผิดปกติของการลอกผิวในท่อขุมขนเอง หรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง จากการไปกดสิว บีบสิว ทำให้ไขมันระบายออกไม่ดี เกิดการอุดตัน
3. แพ้ครื่องสำอางบางชนิด แล้วเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง
4. การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสเกิดสิวอุดตันได้มากขึ้น

ชนิดของสิวอุดตัน

สิวอุดตันมีหลายชนิดด้วยกัน ที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. สิวหัวดำ (Open comedone )เป็นจุดสีดำปรากฏบนผิวหนัง เกิดจากการอุดตันของขน เนื้อเยื่อ และไขมันภายในรูขุมขน สารเมลานิน (Melanin) หรือเม็ดสีที่เซลล์ผิวหนังจะทำปฏิกิริยากับสารที่อุดตันให้เปลี่ยนเป็นสีดำ ในขณะที่สารเหล่านั้นโผล่พ้นขึ้นมาสัมผัสกับออกซิเจน
2. สิวหัวขาว(Closed come done ) สีขาวบนผิวหนัง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขน แต่รูขุมขนที่อุดตันนั้นจะไม่ได้สัมผัสอากาศ จึงไม่มีการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน และยังคงมองเห็นเป็นจุดสีขาวที่อุดตันอยู่บนผิวหนัง
3. สิวจากสเตียรอยด์ ( Steroids acne) หรือยาบางชนิด อาหารเสริมที่มีฮอรโมนเพศฃายผสม เช่น อาหารสำหรับนักเพาะกาย
ผลข้างเคียงจากการเกิดสิวอุดตัน มักเกิดจากการพยายามแกะ แคะ บีบเพื่อให้สิวอุดตันหลุด และขาดความชำนาญในการกดสิว มักพบได้บ่อยคือ
1.รอยดำสิว
2.รอยหลุมสิว
3.สิวอุดตันเรื้อรัง เนื่องจากการกดหรือบีบ แล้วทำให้ท่อไขมันเกิดการอักเสบ มีพังผืด การระบายไขมันไม่ดี

การรักษาสิวอุดตัน

1. ครีมทาละลายสิวอุดตัน กลุ่ม Tretinoin (เช่น Retin-A,Tretinoin,Diffein ) กรดอะซีลาอิค (Azelaic Acid)กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid)
2. การกดสิว มักจะทำได้เฉพาะกลุ่มสิวหัวดำ เพราะจะหลุดออกได้ง่าย และควรทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นภายหลัง หรือถ้าจะกดเอง ควรจะเลือกใช้เครื่องมือกดสิว ส่วนสิวหัวขาว ไม่แนะนำให้กด ควรจะเจาะออกด้วยเข็มหรือเลเซอร์
3.การทำ Peeling ด้วย 30-50% TCA จะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลง ผนังสิวบางลง ทำให้สิวอุดตันฝ่อตัว และหลุดออกได้ง่าย
4. เลเซอร์ ชนิด Finescan 1550,Fraxel Refine กลุ่มนี้สามารถรักษาสิวอุดตัน ได้ทุกชนิดทั้งสิวหัวดำ สิวหัวขาว รวมถึงสิวอุดตันเรื้อรัง โดยลำแสงเลเซอร์จะยิงไปรักษาท่อไขมันที่ผิดปกติ ซึ่งพบเป็นสาเหตุบ่อยสุด ที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน วิธีนี้ เท่านั้น ทำให้สิวอุดตันหายขาดได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดหน้ามัน กระชับรุขุมขน และรักษาแผลเป็นรอยดำ รอยหลุมสิวได้ด้วยในคราวเดียว

Posted on

ขั้นตอนการเกิดสิว (Acne Vulgaris) แต่ละชนิด มีสาเหตุจากอะไร จะป้องกันอย่างไรไม่เป็นสิว

สาเหตุของการเกิดสิว

  1. ท่อไขมันผิดปกติ : ปัญหานี้พบได้บ่อยในสิวที่เป็นเรื่องรัง เป็นๆ หายๆ มักจะเกิดจากการไปกดสิว บีบสิว จนท่อไขมันอักเสบเรื้อรัง ทำให้ไขมันระบายออกไม่ดี เกิดการอุดตัน
  2. ฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเพศชายสูง จะทำให้ร่างกายหลั่งไขมันมากผิดปกติ จึงก่อให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ถ้าระบายไขมันออกมาไม่ดีพอ
  3. ผิวแพ้ง่าย( Sensitive skin) ก็ทำให้เกิดอาการระคายเคือง มักพบเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้บ่อยเช่นกัน
  4. ความผิดปกติของการลอกผิวในท่อขุมขนเอง แล้วทำให้เกิดการอุดตัน
  5. สิวจากเครื่องสำอาง(Acne cosmetica) มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบางชนิด แล้วเกิดอาการแพ้
  6. สิวจากแสงแดด(Actinic acne) เกิดได้ในบางคนที่เมื่อตากแดด จะเกิดสิวลักษณะเป็นตุ่มแดงอักเสบ เข้าใจว่าเกิดจาก แสงอุตราไวโอเลต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการสร้างเซลล์ในท่อไขมัน
  7. สิวจากสเตียรอยด์ หรือยาบางชนิด อาหารเสริมที่มีฮอรโมนผสม เช่น อาหารสำหรับนักเพาะกาย
  8. ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ
  9. โรคบางอย่าง ที่ทำให้ฮอรโมนเปลี่ยนแปลง เช่น เนื้องอกในรังไข่ วัยหมดประจำเดือน
ขั้นตอนการเกิดสิว

ขั้นตอนการเกิดสิว
– ปกติ ร่างกายจะผลิตไขมันจากต่อมไขมัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว โดยปริมาณไขมันที่ผลิตออกมา มากน้อย ขึ้นอยู่กับระดับฮอรโมนเพศชายเป็นหลัก แต่ถ้าท่อไขมันระบายได้ดี ไม่เกิดการอุดตัน ก็จะมีเฉพาะผิวมันง่าย แต่ถ้าเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน จากสาเหตุต่างๆ ก็จะทำให้เกิดการอุดตัน เกิดเป็นสิวขึ้น โดยมีลำดับการเกิดดังนี้
หน้ามัน > ท่อไขมันอุดตัน ระบายไขมันไม่ดี > สิวอุดตันหัวขาวหรือหัวปิด > ถ้าไขมันอุดตันสะสมมากขึ้น ก็จะดันให้รูขุมขนเกิด ไขมันเจอออกซิเจน เกิดออกซิไดซ์ให้เกิดเป้นสิวหัวดำ > ถ้าติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ทำให้เกิดการออักเสบเป็นสิวอักเสบ

แนวทางการปฏิบัติสำหรับการป้องกันการเกิดสิว

  1. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เช่น สบู่ เจล โฟม ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวมัน และมีตัวยาป้องกันการเกิดสิว
  2. เครื่องสำอาง ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำหอม สารดีทอร์เจ้นท์
  3. หลีกเลี่ยงการเช็ดหน้า หรือ นวดหน้าแรงๆ
  4. หน้ามันมาก อาจต้องใช้โลชั่นเช็ดหน้า หรือใช้ยารับประทานกลุ่ม Retionoids หรือ ยาคุมกำเนิดกลุ่ม Dian-35 เพื่อลดหน้ามัน /font>
  5. เลือกครีมกันแดด SPF ประมาณ 15 เพื่อป้องกันความมันของเนื้อครีม
  6. ครีมบำรุง เลือกที่ไม่มีส่วนผสมของ น้ำมัน และไม่ควรมัน ไม่มีฮอร์โมนผสมในครีมบำรุง
  7. ครีมแก้แพ้ หรือ สบู่ล้างหน้าสำหรับผิวแพ้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวแพ้ง่าย( Sensitive skin)
  8. งดอาหารที่ทำให้เกิดสิวง่าย เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด ทุเรียน ขนมหวาน ไอสครีม
  9. พักผ่อนให้เพียงพอ
  10. ไม่เครียด
  11. ห้ามกด หรือ บีบสิวเอง กรณีที่เกิดสิ
Posted on

Hair Cycle : โกนผม ผมดกขึ้นกว่าเดิม ? ผมร่วง เมื่อไหร่ เส้นผมใหม่ ถึงจะงอก และยาวเหมือนเดิม

โกนผมแล้วผมจะดกขึ้นมั้ย

– การโกนผมแล้วเส้นผมจะขึ้นไว จะได้ผลแค่ช่วงเด็กเท่านั้น  เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเสริมสร้างร่างกาย เมื่อเราโกนผมเซลล์รากผมถูกกระทบกระเทือน ร่างกายจะต้องเร่งซ่อมแซมในส่วนนั้น
– แต่ถ้าเมื่ออายุมากขึ้นในช่วงประมาณ 20 ปีเป็นต้นไป หากมีเหตุการณ์อะไร ที่ต้องทำให้โกนผมเส้นผม เช่นจากอุบัติเหตุ หรือ กรณีที่ต้องบวชพระ บวชเณร บวชชี เส้นผมอาจจะไม่ได้ขึ้นมารวดเร็วหรือไม่แข็งแรงเท่าตอนเด็ก ยิ่งในบางคนที่มีประวัติผมร่วงผมบาง จากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมน DHT สูง อาจจะยิ่งทำให้เส้นผมขึ้นมาช้ากว่าปกติได้อีก
วิวัฒนาการการเติบโตของเส้นผม
-ต่อมขน(Hair Follicle) เริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนที่ 2 และต้นเดือนที่ 3 ขอวการตั้งครรภ์ ผมชุดแรกที่เกิดในครรภ์เรียกว่า Lanugo Hair ปกติจะหลุดร่วงไป 3-4 อาทิตย์ก่อนคลอด
เส้นผมที่เกิดขึ้นมาใหม่จะแบ่งเป็น
1. ขนเส้นอ่อน (Vellus hair) ซึ่งได้แก่ เส้นผมที่ขึ้นใหม่ ช่วง 2-3 อาทิตย์แรก จะเส้นอ่อน มีความยาวไม่เกิน 2 เซ็นติเมตร, มักจะไม่มีสี และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 30 ไมครอน ไม่มีสี
2. Terminal Hair คือ ขนที่มีลักษณะเป็นเส้นใหญ่ มีความหยาบและยาวกว่า เวลลัส (Vellus hair), มีแกนผม(Medulla), มีสี, และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 ไมครอน ซึ่งกว้างที่สุดเมื่อเทียบกับผมทั้ง 3 ประเภท เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เทอร์มินัล (Terminal hair) จะแยกเป็นอีก 2 ประเภท คือ Asexual hair และ Sexual hair
2.1 Asexual Hair. ได้แก่ ผมที่ศรีษะ คิ้ว ขนตา แขน ขา ในบางคน
2.2 Sexual Hair. ได้แก่ ขนในวัยหนุ่มสาว บริเวณหัวหน่าว รักแร้ หนวด เครา และหน้าอก

วงจรการเจริญเติบโตและการงอกของเส้นผม

วงจรในการเจริญเติบโต มีดังนี้
ระยะที่ 1. Anagen เส้นผมจะมีสีเข้ม และหนาที่สุด เส้นผมบริเวณหนังศรีษะ ร้อยละ 85-90 จะอยู่ในระยะนี้ และกินเวลาประมาณ 2-6 ปี ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 2
ระยะที่ 2 Catagen เส้นผมจะเริ่มเลื่อนชั้นขึ้นมา สีผมเริ่มจางลง พบได้ร้อยละ 1 กินเวลา ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 Telogen เส้นผมจะหยุดการเจริญเติบโตและเลื่อนตัวขึ้นไป จนเลยช่องเปิดของต่อมไขมันพบได้ประมาณ ร้อยละ 10-15 ฃม. ระยะนี้กินเวลาประมาณ 3 เดือน ก็จะหลุดไป
อัตราการงอกของเส้นผม
ด้มีคำถามกันบ่อยๆ ว่า “ผมร่วง เมื่อไหร่ เส้นผมใหม่ ถึงจะงอก และยาวเหมือนเดิม” สรุปดังนี้ พบว่าอัตราการงอกของเส้นผมแตกต่างกันดังนี้
– บริเวณกลางกระหม่อม ประมาณ 0.44 มม.ต่อวัน
– บริเวณขมับประมาณ 0.39 มมต่อวัน
สรุป กรณีโกนผม ผมใหม่จะงอกขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 0.8-1.0 ซม.ต่อเดือน ส่วนกรณีปลูกผม ผมจะขึ้นใหม่ และโตเต็มที่ ใช้เวลา 2 ปี และพบว่าผมบนหนังศีรษะคนปกติมีประมาณ 100,000 เส้น และ ถ้าร่วงไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ดังนั้นการที่มีบางคนแอบอ้างถึงการใช้โลชั่น หรือยาเร่งให้ผมและขนยาวเร็วกว่านี้ จึงไม่สามารถทำได้ แม้แต่การสระผมบ่อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้ผมยาวขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นอย่าได้หลงเชื่อคำโฆษณาใดๆ เกี่ยวกับการทำให้ผมยาวเร็วกว่า อัตราที่กำหนดข้างบน

Posted on

กระเจี๊ยบแดง (Roselle) : สมุนไพรไทย ในรูปแบบเครื่องดื่ม อาหาร พร้อมสรรพคุณทางยารักษาโรค

กระเจี๊ยบแดง เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย โดยได้นำมาทำน้ำดื่มเนื่องจากมีรสเปรี้ยว สีสวย และมีวิตามินซีสูง และประกอบด้วย สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)
สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารสีแดงในกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้อย่างบลูเบอร์รี แต่กระเจี๊ยบแดงจะมีสารชนิดนี้มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50% โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้

สำหรับยาไทย ได้นำผลกระเจี๊ยบ( หรือที่เรียกว่าดอกกระเจี๊ยบ) มาชงเป็นชาดื่มเพื่อขับปัสสาวะ หรือรักษานิ่ว

นายแพทย์วีระสิงห์ เมืองมั่น แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เคยนำมาทดลองใช้ในผู้ป่วย โดยได้นำผลกระเจี๊ยบแห้ง 3 กลีบ ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย หรือ น้ำร้อน 300 มล. แล้วให้ดื่มวันละ 3 แก้ว พบว่าขับปัสสาวะได้ดี

นอกจากนี้ได้มีการทดลองพบว่า ผู้ป่วยหลังผ่าตัดนิ่ว ดื่มน้ำกระเจี๊ยบ พบว่าผู้ป่วย 20 ราย ปัสสาวะใสขึ้น และเป็นกรด ซึ่งได้ผลดีในการรักษานิ่วหลังผ่าตัด และอีกการทดลอง พบว่าได้ผลในการรักษาผู้ป่วย ที่ติดเชื่อในระบบปัสสาวะ ถึงร้อยละ 80 ( จากคนป่วยที่ร่วมการทดลอง 50 ราย)

จากประโยชน์ดังกล่าว การที่มีโอกาสได้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเป็นประจำ จึงช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ และป้องกันการติดเชื้อ และโรคนิ่วได้อีกทางหนึ่งทีเดียว

Posted on

หน้าโทรม ดื่มหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ จะฟื้นฟูผิวพรรณด้วยตนเองอย่างไร ให้ดีขึ้น

เมาค้าง อ่อนเพลีย :
สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้ทำทันทีหลังตื่นนอน ก็คือ การดื่มน้ำสะอาด เย็นจัด 1-2 แก้วใหญ่ เพื่อลดล้างพิษอัลกอฮอร์ในกระแสเลือด
ถ้ายังรู้สึกเพลีย ก็ต่อด้วยน้ำผลไม้คั้นสดๆ เย็นจัด อีกสักแก้ว เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่กระแสเลือด ซึ่งจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นทันที
และในระหว่างวัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ถ้ายังปวดศีรษะอยู่มาก การรับประทานยาแก้ปวด เช่น Paracetamol( 500 มก.) 1-2 เม็ด ก็ช่วยให้ดีขึ้นได้เร็วเช่นกัน
ริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นขุย:
เกิดได้จากการขาดน้ำ วิธีที่ควรทำทันที ก็คือ การนวดริมฝีปากด้วยวาสลิน หรือ ลิปกรอส สัก 1 นาที จากนั้นใช้แปรงสีฟันถูเบาๆเป็นวงกลม เพื่อให้หนังที่ลอกเป็นขุยหลุดออก แล้วทาวาสลิน หรือลิปกรอสอีกครั้ง เพื่อคงความชุ่มชื้นไว้

หน้าบวม ตาบวม :
อัลกอฮอร์อาจมีฤทธิ์ทำให้เพิ่มน้ำตาลในเลือด ในชั้นเซลล์ใต้ผิว ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานหนักขึ้น และกักเก็บของเสียเอาไว้มากขึ้น จึงเกิดภาวะกักน้ำในเซลล์ ทำให้เกิดอาการบวมได้
แนวทางแก้ไข ก็คือ หลังตื่นนอนแล้ว ควรทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่มีการเคลื่อนไหวเร็วๆ เช่น การวิ่งหรือเดินเร็วๆ อย่างน้อย 10 นาที เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนให้มีเหงื่อ และทำให้น้ำในเซลล์เกิดการไหลเวียน และขับถ่ายออกไป ในส่วนของดวงตา
ควรใช้ผ้าห่อน้ำแข็ง หรือถุงชาแช่เย็น นำมาวางไว้บนเปลือกตา ทิ้งไว้ 10-15 นาที สารเทนนินในใบชา โดยเฉพาะชาคาโมมายด์ จะช่วยลดการบวมน้ำได้ดี
ผิวหน้าแห้ง รูขุมขนกว้าง:
หลังล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้ว ใช้ครีมบำรุง หรือ มาสต์ที่ให้ความชุ่มชื้น( Hydration mask ,Moituriser mask) ทาทั่วหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาครีมบำรุงซ้ำอีกครั้ง
หน้าซีดเซียว ไม่เปล่งปลั่ง:
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นทันที เพื่อให้ความสดชื่นกลับคืนมา ใช้แตงกวาฝานบางๆ ถ้าแตงกวาที่แช่ในตู้เย็นไว้แล้วยิ่งดี แล้ววางไว้ทั่วหน้า 10-15 นาที จะลดอาการตาบวม คล้ำได้ด้วย กรณีในผู้หญิงถ้าต้องแต่งหน้า ให้เลี่ยงบลัชออนแบบฝุ่น เพราะจะทำให้ผิวดูแห้งมากขึ้น แล้วเปลี่ยนมาใช้บรัชออนแบบครีมแทน เพื่อให้ความชุ่มชื้น แล้วทาครีมบำรุงอีกครั้ง

Posted on

Paronychia : เล็บขบ การอักเสบของขอบเล็บ เจ็บ บวม แดง สาเหตุ และการป้องกันรักษา

Paronychia คือ การติดเชื้อ อักเสบของขอบเล็บ( nail fold) พบได้บ่อยๆ และคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเล็บติดเชื้อรา ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิด ภาวะอักเสบนี้ ส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณโคนเล็บมือ และเล็บเท้า และมักจะเป็นเรื้อรัง แต่ก็อาจพบการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ ซึ่งมักเกิดภายหลังการบาดเจ็บ เช่น ถูกกด หรือ ถูกทิ่มตำที่เล็บ หรือตัวเล็บเองงอกแทงเข้าไปในผิวหนัง แล้วเกิดการติดเชื้อที่เรียกว่า ‘เล็บขบ’
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค คือ การที่มือและเท้าเปียกน้ำอยู่เสมอ เช่น คนทำครัว แม่ค้าขายของสด ช่างทำเล็บ ช่างสระผม แล้วทำให้หนังคลุมเล็บ(cuticle) เปื่อยยุ่ยหลุดออกไป จนเกิดรอยแยกระหว่างเล็บกับบริเวณโคนเล็บ ดังภาพที่ 2 ทำให้น้ำและเชื้อโรคสามารถแทรกซืมเข้าไปในขอบเล็บ เกิดการอักเสบและติดเชื้อภายหลัง
เชื้อโรคที่ทำให้เกิด มักไม่รุนแรง ส่วนใหญ่เป็นพวกยีสต์ กลุ่ม Candida ทำให้ผู้ป่วยไม่ค่อยไปพบแพทย์ จนเกิดอักเสบเรื้อรัง เป็นระยะเวลานานจนเล็บเสียรูปร่าง( dystrophy) แต่ก็อาจติดเชื้ออื่นได้ ในรายที่รุนแรง อาจพบอักเสบเป็นหนอง บวมแดง ปวดได้
การอักเสบขอบเล็บ แยกได้ง่ายจากเชื้อราที่เล็บอย่างไร
เพราะ ขอบเล็บจะนูน พบรอยแยกบริเวณใต้โคนเล็บ และเล็บไม่เปื่อยยุ่ยเป็นขุย เหมือนในการติดเชื้อราที่เล็บ แต่อาจพบเล็บขรุขระบ้าง

แนวทางการป้องกันและรักษา

1. กรณีที่อักเสบเฉียบพลัน มีบวมแดง ปวด อาจต้องพบแพทย์ เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ และยาแก้ปวดอักเสบ
2. กรณีที่เล็บขบ จากตัวเล็บเอง อาจต้องทำการถอดเล็บออกบางส่วน
3. กรณีทีเป็นเรื้อรัง ควรพยายามให้มือและเท้าแห้งอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายสร้างหนังคลุมเล็บขึ้นมาใหม่
4. อาจใช้ครีมทาต้านเชื้อรา ทาบริเวณขอบเล็บ เพื่อป้องกันการติดเชื้อราที่เล็บ แทรกซ้อน

Posted on

สิวที่เกิดจากผลของการรับประทานยา (Acneiform eruptions) ไม่ใช่สิวธรรมดา รักษาอย่างไรให้หาย

สิวที่เกิดจากยา (Acneiform eruptions)

คือ สิวอีกประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากผลของการรับประทานยารักษาโรคบางชนิด เป็นระยะติดต่อกันนานๆ แล้วทำให้เกิดสิวขึ้น ซึ่งการรักษาสิวแบบปกติ ไม่สามารถดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่หยุดยาที่รับประทานอยู่ประจำ มักจะเป็นกลุ่มที่มีโรคประจำตัวที่จำเป็นต้องรับประทานยาดังกล่าวด้วย คือถ้าหยุดยาก็อาจจะทำให้อาการของโรคแย่ลง หรือไม่ดีขึ้น
ลักษณะสิวที่เกิดจากยาบางชนิด(Acneiform eruptions) มักจะมีลักษณะเป็นเม็ดนูนเท่าๆกันทุกเม็ด แบบตุ่มแดงอักเสบ(papules) หรืออาจจะมีเป็นตุ่มหนองได้ (pustules) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระจายไปในตำแหน่งที่สิวปกติมักจะไม่เกิด เช่น ตามแขน หลัง ขา ก้น เป็นต้น

สิวจากยารักษาวัณโรค

กลุ่มยาที่ทำให้เกิดสิวประเภทนี้ ได้แก่
1. กลุ่มยาฮอร์โมน ได้แก่ Gonadotropins,androgen ,Anabolic Steroics ซึ่งพบบ่อยในอาหารเสริมสำหรับเร่งกล้ามเนื้อในคนที่เล่นกล้ามหรือเพาะกาย
2. ยาเสตียรอยด์ ซึ่งใช้รักษาโรคภูมแพ้เรื้่อรัง หรือโรคทาระบบ Immune เช่น SLE
3. กลุ่มยารักษาวัณโรค ได้แก่ Isoniacid,Rifampicin
4. กลุ่มยาซึ่งใช้ในการดมยาสลบ ( Halogen )ได้แก่ Bromide,Iodides,Halothanes
5. กลุ่มยารักษาและป้องกันโรคลมชัก ได้แก่ Dilantin,Phenobarbitone
6. กลุ่มยารักษาโรคทัยรอยด์ ได้แก่ Thiourea,Thiouracil
7. กลุ่มยาอื่นๆ ได้แก่
– Choral hydrate( ยากระตุ้นให้หลับในเด็ก)
– Lithium(ในผู้ป่วยรักษาโรคซึมเศร้า ในคนไข้ทางจิตเวช),
– วิตามินบี 12,
– ยาควินิน (ในการรักษาโรคมาลาเรีย),
– PUVA ( ในการรักษาโรคเรื้อนกวาง),
– Cyanocobalamine ( ในการรักษาโรคโลหิตจางบางชนิด)
แนวการการรักษา: ปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษา ถ้าสงสัยว่าสิวที่เกิดขึ้น เป็นจากการรับประทานยาประจำหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่จำเป็นมาก ก็ให้หยุดยาที่รับประทาน หรือเลี่ยงไปใช้ยาตัวอื่นแทน หรือถ้าต้องคงการรักษาไว้เพื่อมิให้อาการกำเริบ ก็อาจจะต้องทำการรักษาสิว หรือพบแพทย์ผิวหนังร่วมด้วย

Posted on

ผื่นแพ้สารสัมผัส( Contact dermatitis) : ผื่นคัน ที่เกิดจากการระคายเคือง เกิดได้อย่างไร

Contact dermatis คือ โรคผิวหนังอักเสบ จากการสัมผัสสารภายนอก แล้วก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบแบบ ตุ่มน้ำ ผื่นคัน พบได้บ่อยประมาณ 10 % ของผู้ป่วยผิวหนังทั้งหมด
ผื่นแพ้สัมผัส แบ่งได้ตามกลไกการเกิด ได้ 5 ชนิด คือ

  1. ผื่นภูมิแพ้จากสารสัมผัส ( Allergic contact dermatitis) เป็นผื่นสัมผัส ที่พบได้ในบางคน เช่น แพ้นิกเกิล แพ้ยางสน( ในรองเท้าแตะ) โดยใช้เวลาในการเกิดภูมิแพ้ โดยปฏิกริยาอิมมูนในร่างกาย แล้วเกิดสารภูมิแพ้( hapten)ตุ่มแดงเล็กๆ หรือ แตกเป็นสะเก็ด แล้วคัน
  2. ผื่นผิวหนังอักเสบ จากการระคายเคือง (irritant contact dermatits) โดยเกิดจากสัมผัสสารที่ทำให้ระคายเคือง เช่น สารจากแมงกระพรุนไฟ สารจากแมลง น้ำยาขัดห้องน้ำ น้ำกรด ด่าง แอมโมเนีย เป็นต้น
  3. ผื่นสัมผัส เนื่องจากพิษของสารร่วมกับแสงแดด ( Phototoxic contact dermatits) เกิดขึ้นจากสารที่สัมผัสกับผิวหนัง เมื่อถูกแสงแดด โมเลกุลของสารเปลี่ยนแปลงแล้วก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ยาทา coldtar, ยาบางอย่าง เช่น Sulfa,Tetracycline,nalidixic acid
  4. ผื่นสัมผัส เนืองจากการแพ้สารร่วมกับแสงแดด( Photoallergic contact dermatits) กลไกคล้าย ข้อ 1 แต่สารที่จะก่อให้เกิดภูมิแพ้ ( hapten) จะต้องถูกแปลงสภาพจากแสงแดดก่อน เช่น น้ำหอม ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันจันทร์ น้ำมันมะกรูด สบู่ หรือผงซักฟอก ที่มีส่วนประกอบของ trichorsalicylanidides
  5. ลมพิษจากสารสัมผัส ( contact urticaria) คือปฏิกริยาที่เกิดการแพ้รุนแรง จนเกิดตุ่มนูน เป็นปื้น คัน ชัดเจน

กลไกการเกิดโรคภูมิแพ้จากสารสัมผัส คือ การกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกัน โดยเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ครั้งแรก จะทำปฎิกริยาในร่างกาย หลายๆ ขั้นตอน แล้วกลายเป็นสารภูมิแพ้สมบูรณ์( antigen) คงไม่ลงลึกในรายละเอียด เพราะเป็นศัพท์ทางอิมมูนวิทยา โดยใช้เวลาในการเกิด ประมาณ 4-7 วัน ก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณทีสัมผัสกับสาร
ลักษณะอาการที่พบ คือ ผิวหนังจะอักเสบแบบ ตุ่มน้ำใส คัน ( acute eczema หรือ Subacute eczema) การซักประวัติโดยแพทย์ จะทำให้แยกออกได้ว่าจากสารก่อภูมิแพ้ภายในร่างกาย หรือจากสารสัมผัส ลักษณะบริเวณของผื่น การดำเนินโรค ลักษณะการทำงาน และสิ่งแวดล้อม
การทดสอบสารที่แพ้ การที่ต้องการจะทราบ ว่าร่างกายแพ้สารอะไรบ้าง มีการทดสอบ ด้วยวิธี Patch test คือ การเทของเหลวตัวอย่าง หยดใส่ฟิลเตอร์ แล้วนำมาแปะไว้ที่แผ่นหลัง แล้วทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง แล้วนำมาอ่านผลการทดสอบ โดยดูว่าบริเวณที่แปะด้วยสารใด ก่อให้เกิดผื่นขึ้นบ้าง จะใช้เป็นหลักฐานในการบ่งบอกสารใดบ้างที่แพ้
แนวทางการรักษา รักษาตามอาการและอาการแสดง เช่น การประคบเปียก เมื่อผื่นอยู่ในระยะกึ่งอักเสบกึ่งเรื้อรัง มีน้ำเหลืองไหล หรือ ผื่นแห้งคัน ก็ใช้ครีมทาสเตียรอยด์ โดยอาจให้รับประทานยาแก้แพ้ร่วมด้วย หรือไม่ก็ได้
หลีกเลี่ยงสารที่แพ้ เป็นสิ่งที่สำคัญและควรใช้สิ่งทดแทน เช่น แพ้ต่างหูที่ผสมนิเกิล ก็เปลี่ยนไปใช้ต่างหูที่ทำจากทองแท้หรือแพลทินัมแทน