Posted on

4 เทคฯ เช็คหน้าบาน ตรวจเองได้ สาเหตุจากอะไร แก้ไขยังไงให้ได้ผล หน้าวี ดูดี ดูเด็ก

ทำไมรูปหน้าเล็ก จึงดูหน้าเด็กอ่อนวัยกว่าหน้าบาน จริงหรือไม่  :

จริงครับ เพราะการที่รูปหน้าเราเล็ก เป็นวีเชฟ นอกจากจะถ่ายรูปดูดี ดูสวยทุกมุมมองแล้ว ยังช่วยให้ดูไม่แก่ง่ายด้วย สังเกตมั้ยครับว่า คนที่ตัวเล็ก รูปร่างเล็ก หน้าเล็ก จะดูอ่อนวัยกว่าคนที่หน้าบาน ตัวใหม่ เนื่องจากมีทฤษฎิว่าด้วยความชรา ที่พบว่า ใบหน้าของคนเรา เมื่อเวลาผ่านไป รูปหน้าของเราในวัยเยาว์ จะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหงายขึ้น ที่เรียกว่า Triangle of youth แต่พออายุมากขึ้น รูปหน้าเราจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยม หรือสามเหลี่ยมคว่ำลง ที่เรียกว่า ปิรามิดแห่งความชรา หรือ Triangle of aging
ดังนั้นถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้ดูวีเชฟหรือเปลี่ยนจากสามเหลี่ยมคว่ำลง ไปเป็นสามเหลี่ยมหงายขึ้นได้ เราจะดูเด็กอ่อนวัยขึ้น
การทำให้หน้าเล้กมีได้หลายหลายวิธี การแก้ไขก็ต้องแล้วแต่สาเหตุุที่ทำให้หน้าเราบาน

4 ก. 4 เทคนิค เช็คสาเหตุที่ทำให้หน้าบานและวิธีการแก้ไขให้หน้าเล็กลง

1. กล้ามเนื้อ : ถ้าท่านที่กล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่ อาจจะจากกรรมพันธุ์หรือจากพฤติกรรมการชอบเคี้ยวของแข็งๆ เหนียวๆ จนทำให้กล้ามเนื้อกรามโตขึ้น ที่เรียกว่า Massetter muscles hypertrophy หน้าท่านก็อาจจะบานขึ้นได้ แถมถ้าชอบเคี้ยวข้างเดียว อาจจะทำให้หน้าท่านบานไม่เท่ากันด้วย อย่างนี้ท่านก็ ควรจะพบแพทย์เพื่อฉีดโบทอกซ์ ปรับรูปหน้าให้กล้ามเนื้อเล็กลง

2. แก้ม : ถ้าท่านเป็นคนที่มีแก้ม จากไขมันสะสมมาแต่เด็ก จากการที่ไม่ควบคุมอาหาร ไมไ่ด้ออกกำลังกาย หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น แก้มท่านก็อาจจะใหญ่ขึ้นด้วยไขมันที่เพิ่มพูน หน้าท่านก็จะกลมแป้น ยิ้มตาหยีได้ ท่านก็สามารถจะแก้ไขด้วยการฉีด เมโสแฟต ลดแก้ม หลังฉีดก็จะควบคุมการอาหาร และออกกำลังกายเพื่อมิให้ไขมันกลับมาสะสมได้อีก

3. กรอบหน้าหย่อนคล้อย : ถ้าอายุมากขึ้น รูปหน้าท่านย่อมจะย่อนคล้อยเป็นธรรมดา หน้าท่านอาจจะเป็นจากสามเหลี่ยมเป็นสี่เหลี่ยม การแก้ไข ท่านก็อาจจะต้องยกกระชับหน้า อาจจะด้วยการฉีดลิฟท์กรอบหน้า หรือใช้เครื่องมือ เช่น Termage, HIFU,Ulthera เพื่อยกกระชับ หรืออาจจะฉีดโบทอกซ์ยกกระชับกรอบหน้า

4.กระดูกกราม : บางคนหน้าบาน จากโครงหน้ากรรมพันธุ็ กระดูกรามใหญ่ พวกนี้อาจจะแก้ไขด้วยการฉีด หรือใช้เครื่องมือให้หน้าเล็กลงได้ อาจจะต้องใช้การทำศัลยกรรมตัดกรามเท่านั้น

Posted on

ฉีดปากให้หน้าเปลี่ยน จะสายฝอหรือสายเกา ปากเราก็ “อวบอิ่ม ยิ้มสวย”

ฉีดปากให้อวบอิ่มยิ้มสวย

– เทรนด์ความงามตอนนี้ ไม่มีอะไรแรงยิ่งไปกว่า การฉีดเติมปากด้วยฟิลเลอร์ HA  เพราะริมฝีปาก เป็น 1 ในจุดศูนย์กลางบนใบหน้า ที่บ่งบอกถึงความมีเสน่ห์ ความเป็นตัวเรา และบ่งบอกอายุผิวได้ ปากที่ดูอวบอิ่ม ยิ้มสวย นอกจากจะง่ายในการทาลิปสติกแล้ว ยังทำให้ดูอ่อนวัย ดึงดูดสายตาทุกคนให้ยั่วยวนน่ามอง  เทรนด์ความงามตอนนี้ ไม่มีอะไรแรงยิ่งไปกว่า การฉีดฟิลเลอร์ปาก

เทรนด์การฉีดปากในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น

1. . Caucasian Style หรือปากสายฝอ : ดาราต้นแบบของสายนี้ ก็ได้แก่ Kylie Jenner,Kim-Kardashian,Angellina Jolie,Julia Robers,Scarlett Johansan ปากสายฝอ จะเน้นดูเซ็กซี่ น่าจุ๊บ เลือกลิปสติกได้หลากหลาย โดยปากจะดูเต็มๆ เน้นความอวบอิ่ม ทั้งริมฝีปากบนและล่าง ขนาดใกล้เคียงกัน ขอบปากต้องคมชัด ปากบนต้องเชิดขึ้นนิดๆ รูปปากแบบนี้ก็มีตั้งแต่ Full lips ,Heavy lower lip
2. Asian Style หรือปากสายเกา ดาราต้นแบบของสายนี้ ก็ได้แก่ Jeon Ji Hyun,Kim Tae Hee,Yoon Eun Hye ,Lee Ji Eun(IU), Song Hye Kyo ปากสายเกา จะดูอ่อนหวานละมุน ดูเป็นธรรมชาติ น่าทะนุถนอม แลดูอ่อนวัย รูปปากแบบนี้ก็มีตั้งแต่ Heavy lower lip,Bow Shaped lips ,Wide lips

ฉีดฟิลเลอร์ปาก นอกจากจะต้องการจะเปลี่ยน
ลุคตามเทรนด์แล้ว นำมาแก้ปัญหาอะไรได้อีกบ้าง?

1.ลดปัญหาริมฝีปากบางในคนสูงอายุ ซึ่งพบได้ปกติที่ริมฝีปากจะบางลง เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ทาลิปสติกได้ลำบาก ทาแล้วล้นขอบปาก
2.ลดปัญหาปากไม่รูป ขอบปากไม่ชัด ฟิลเลอร์ นอกจากจะฉีดเติมเต็มแล้ว ยังสามารถนำมาฉีดไล่บริเวณขอบปาก เพื่อปรับให้ขอบปากชัด ดูเป็นกระจับทรงสวยได้อีกด้วย
3. ลดปัญหามุมปากตก ทำให้หน้าบึ้งตลอดเวลา ถ่ายรูปไม่สวย การฉีดยกมุมปากด้วยฟิลเลอร์ สามารถแอบยกมุมปากได้ และได้ผลดีถ้าทำควบคู่กับการฉีดโบทอกซ์ยกมุมปาก

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

  1. พบแพทย์ และปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสม
  2. งดรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน รวมทั้งวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน A วิตามิน E หรือน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการบวมช้ำหลังฉีด
    3.หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่รับประทานเป็นประจำต้องแจ้งแพทย์โดยละเอียด
    4.หากมีประวัติแพ้ยาหรือสารอื่นๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

หลังฉีดปาก ฉีดฟิลเลอร์ปากต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?[

1.หลังทำ ไม่ควรหรือหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกทันที ควรรออย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้แผลจากรอยเข็มปิดสนิทก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้่อจากลิปสติก
2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มร้อนและงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการบวมหรืออักเสบได้ง่าย
3. งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนักๆ จนกว่าปากจะหายบวม เพราะอาจทำให้ปากเสียรูปทรงได้

ใครที่ไม่ควรจะฉีดฟิลเลอร์ปาก

1.ผู้ที่เป็นเริมบริเวณริมฝีปากบ่อยๆผู้ที่เป็นเบาหวาน และระดับน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่มีปัญหาติดเชื้อในช่องปาก ริมฝีปาก
3. หาโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือด หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
4. ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน ? 
ปกติหลังทำอยู่ได้นาน 8 เดือน – 1 ปี แนะนำให้ปฏิบัติตัวตามที่คุณหมอแนะนำหลังทำ  เพื่อนอกจากจะได้ปากสวยแล้ว ยังอยู่ได้นานอีกด้วย


ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของฟิลเลอร์ ปกติจะใช้ 1-3 CC แล้วแต่รูปปากที่เราต้องการ  โดยส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานผ่านอย มักจะเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 บาทต่อ CC (อาจจะรวมหรือยังไม่รวมค่าบริการ ค่ามือแพทย์ ) ถ้าราคาต่ำกว่านี้ ให้ระวังอาจจะเจอของปลอมได้  

สนใจสอบถามเพิ่มเติมรายละเอียดได้ที่นี่
Facebook:  https://www.facebook.com/clinicneo/
Add LINE ปรึกษาได้ที่ Line ID : @cliicneo  หรือ ✅Click✅ http://bit.ly/2Jfx2Kh

Line@
Posted on

จมูกบาน จมูกชมพู่ ดูดีขึ้นได้ ถ้าแก้ไขให้ถูกจุด จึงจะถูกใจ

จมูกบาน ทำไงดี

จมูกบาน ไม่ได้รูปทรง จมูกชมพู่ ยิ้มแล้วบานมากขึ้น เป็นปัญหาด้านความงามที่พบได้บ่อยๆ สำหรับคนเอเชีย เพราะด้วยเชื้อชาติและกรรมพันธุ์ นอกจากจะไม่ค่อยมีดั้งกันแล้ว ปีกจมูก หรือปลายจมูก ไม่ได้รูปก็มักจะมีปัญหาเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นกันได้บ่อยๆ ว่าเวลาทำศัลยกรรมจมูกแล้วมักจะตัดปีกจมูกไปด้วย เพื่อให้จมูกโดยรวมดูเล็กลง ได้สัดส่วน ทำให้หน้าเป๊ะปังมากขึ้น
การตรวจสอบง่ายๆ ว่าจมูกบานหรือไม่
– ให้สังเกตง่ายๆ โดยการดูว่าปีกจมูกเลยหัวตาของคุณออกไปหรือไม่ (ตามรูป) ถ้าไม่เลย หรือเลยออกไปนิดเดียวและไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แต่ถ้ารู้สึกว่าปีกจมูกดูบานหรือปีกจมูกเลยหัวตาออกไปเยอะ โดยเฉพาะเวลายิ้ม นั่นแสดงว่าจมูกของคุณบานและไม่สมส่วนกับใบหน้า ซึ่งทางแก้ก็คือมาปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไขต่อไป

สาเหตุของจมูกบาน จมูกชมพู่ และแนวทางแก้ไข 

ก่อนตัดสินใจแก้ปัญหาจมูกบาน สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ละเอียดก่อน ว่าสาเหตุของจมูกบานนั้นมีสาเหตุจากอะไร โดยแพทย์จะตรวจสอบ เพื่อวางแนวทางแก้ไขให้เหมาะสม สาเหตุหลักๆ มีดังนี้
1. จากเนื้อผิวหรือไขมัน ในคนที่มีเนื้อผิวหรือไขมันใต้ผิวบริเวณจมูกมากเกินไป จะทราบได้จากจมูกจะกลมๆ เหมือนชมพู่ ปลายไม่คม และเมื่อจับดูบริเวณจมูกจะค่อนข้างนิ่ม
แนวทางแก้ไข : ถ้าเนื้อผิวจมูกนุ่ม การฉีดเมโสแฟตรัดแกนจมูก จะช่วยลดความหนานุ่มของเนื้อจมูกลงได้ มักจะทำทุก 1 อาทิตย์จนกว่าจะพอใจ หลังทำสาเหตุลดได้ถาวร ไม่กลับมาใหม่ ไม่มีแผลเป็นหลังทำ

2. จากกล้ามเนื้อ :   ดูได้จากเวลาที่ยิ้ม หากปีกจมูกยกขึ้นตาม แสดงว่าเกิดจากกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณเหนือปีกจมูก ทำงานมากกว่าปกติ กล้มเนื้อที่เกี่ยวข้อง มีอยู่ 3 มัด ดังภาพด้านล่าง
แนวทางแก้ไข : : มักจะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก ซึ่งต้องทำซ้ำทุก 4 เดือน ไม่มีแผลเป็นหลังทำ ส่วนตำแหน่งการฉีดก็แตกต่างกันแล้วแต่จมูกบานจากกล้ามเนื้อมัดไหน ซึ่งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
2.1. กล้ามเนื้อ Transverse Nasalis Muscles (หมายเลข 1)  : กล้ามเนื้อมัดนี้เจอได้บ่อยสุด สังเกตได้ เวลายิ้มแล้วจมูกบานกางออกเลยหัวตามากขึ้น แต่เวลาไม่ยิ้ม ปีกจมูกไม่เลยหัวตา กล้ามเนื้อมัดนี้ นอกจากจะฉีดลดปีกจมูกแล้ว ยังสามารถฉีดโบท็อกซ์รัดแกนจมูก เพื่อให้สันจมูกคมชัดและดูโด่งขึ้น รวมถึงลดริ้วรอยบริเวณสันจมูกส่วนบน เวลายิ้ม จะทำให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์
2.2 กล้ามเนื้อ Dilator Naris Muscles (หมายเลข 2)  : กล้ามเนื้อมัดนี้ สังเกตได้ เวลาทำปีกจมูกให้หุบบานเข้าออก แล้วรูจมูกกว้างขึ้น
2.3 กล้ามเนื้อ Depressor Septi Nasi Muscles (หมายเลข 3)  : กล้ามเนื้อมัดนี้ สังเกตได้ เวลายิ้มปลายจมูกจะงุ้มลง ทำให้ปีกจมูกบานออก

3.จากกระดูกอ่อน  สังเกตได้จากปีกจมูกจะบานเลยหัวตา ไม่ว่าจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม ยิ่งถ้ายิ้มยิ่งบานมากขึ้น ถ้าจับดูก็จะพบว่าปีกจมูกจะแข็งไม่นิ่ม
แนวทางแก้ไข : มักจะแก้ไขด้วยทำศัลยกรรมตกแต่งปีกจมูก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ไขรูปทรงจมูกในผู้ที่มีปีกจมูกกว้าง รูจมูกบาน รูจมูกใหญ่ โดยการศัลยกรรมนี้จะทำให้จมูกดูเรียวเล็ก ได้สัดส่วนเข้ากับรูปหน้ามากขึ้น ด้วยแผลที่ไม่ใหญ่มากและใช้เวลาไม่นาน จึงสามารถทำร่วมกับการเสริมจมูกได้  มีแผลเป็นหลังทำ แต่แพทย์ส่วนใหญ่จะมีเทคนิคซ่อนแผลบริเวณรอยพับของจมูก ทำให้ไม่เป็นจุดสังเกตเห็นได้ง่าย เทคนิคที่ใช้ในการทำ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก เทคนิคที่ทำหลักๆ คือ

  • การเย็บ ตัดปีกจมูกด้านใน หรือ การตัดปีกจมูกแผลใน โดยไม่จำเป็นต้องตัด
  • การตัดเนื้อออกเพื่อลดความกว้างของฐานรูปทรงจมูก (วิธีนี้เหมาะกับคนที่ปีกจมูกไม่หนามากนัก)
  • การตัดเนื้อจมูกด้านข้างออกไป และการตัดความหนาของปีกจมูก (วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกค่อนข้างเยอะหรือเนื้อจมูกหนา

ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจปรับแต่งปีกจมูกบานให้ดูดีขึ้น ควรจะพบแพทย์เพื่อให้ประเมินก่อนว่า สาเหตุของจมูกบานเกิดจากอะไร จะได้แก้ไขอย่างไร ด้วยวิธีไหน จึงจะดูดีขึ้น คุยให้แน่ใจ เข้าใจ   จะได้ไม่เสียเวลา เสียเงิน แล้วไม่ได้ผลดังที่ต้องการ

Line@
Posted on

ร้อยไหมมินท์( MINT LIFT) ยกหน้าให้ตึง ดึงหน้าให้เรียว ได้ผล ปลอดภัย ผ่าน อย.

ร้อยไหม ยกกระชับ ปรับหน้าวี

การร้อยไหม คือ การใช้เข็มนำเส้นไหมละลายจากเกาหลี มาร้อยเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อการยกกระชับและฟื้นฟูผิวโดยการ ไหมละลายชนิดนี้แต่เดิมใช้ในการเย็บเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเส้นเลือดในร่างกาย ต่อมาได้มีการพัฒนามาใช้ในแวดวงความงาม โดยบริเวณที่ร้อยไหมจะเกิดการกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน มาพันรอบแนวเส้นไหม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการตึงรั้งผิว ผิวจึงเต่งตึง จึงเป็นการฟื้นฟูสภาพผิวพร้อมยกกระชับไปในตัว

ไหมมิ้นต์ (MINT LIFT) คืออะไร

หมมิ้นท์  MINT ย่อมาจากMinimalInvasive Non surgicalThread คือเป็นการร้อยไหมดึงหน้าที่ไม่ต้องผ่าตัด และมีความรุนแรงของการร้อยไหมไม่มาก โดยไหมมิ้นท์ผลิตที่เกาหลี ลักษณะเป็นไหมเงี่ยง PDO (Polydioxanone) ลักษณะเด่นของ Mint Lift    จะเป็นเส้นไหมยาว และมีเงี่ยงอยู่รอบเส้นลักษณะคล้ายก้านกุหลาบ มีเงี่ยงเล็กๆวนเป็นเกลียวรอบแกนไหม 360 องศา เส้นไหมมีความแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย เมื่อนำมาใช้ดึงหน้า และมีจุดยึด จุดแขวน (Suspension thread) 3 มิติแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับ และปรับรูปหน้าให้เป็น V-Shape
-Mint Lift มี 2 แบบ คือ
43 cm ใช้ร้อยเพื่อยกกระชับและปรับรูปหน้า
17 cm ใช้เก็บรายละเอียดในการยกกระชับและปรับรูปหน้าเพื่อความสวยที่ไร้ที่ติ

ไหมมิ้นท์มีคุณสมบัติแตกต่างจากไหมยี่ห้ออื่นๆ อย่างไร 

1) MINT LIFT® เป็นไหม PDO ยี่ห้อเดียวที่ ผ่านการรับรองมาตรฐานอ.ย. ไทย ตามข้อบ่งชี้การยกกระชับหน้า (Lift-Face) นอกจากนี้ได้รับการรับรองจาก  USA FDA, Korea FDA, Japan FDA, India FDA, Mexico FDA,KFDA  เส้นไหมมิ้นท์ลิฟท์นี้มีความเหนียว แข็งแรงในการยึดเกาะมากกว่าไหมbrab ถึง 3 เท่าและด้วยวิธีการร้อยไหมที่แตกต่างกัน ทำให้ผลของการยกกระชับชัดเจนมากกว่าไหนตัดตัวอื่นๆและหน้าดูเรียวนานกว่าด้วย
2)ไม่ได้ทำการบากแกนไหมเส้นด้วยเลเซอร์ให้มีเงี่ยงออกมาเป็นก้างปลา เหมือนยี่ห้ออื่นในท้องตลาด ซึ่งการบากแกนไหมให้เป็นเงี่ยง ทำให้เงี่ยงเกิดการเปราะหักง่าย ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของการยกกระชับ แต่ไหมมินท์เกิดจากการหลอมขึ้นมาด้วยบล็อค ทรงกระบอก และมีเงี่ยงยื่นออกไป ขึ้นรูปเป็นเส้นไหม ทำให้ยากต่อการเปราะหัก ความแข็งแรงจึงมากกว่า ปริมาณเนื้อไหมมากกว่า ในความยาวที่เท่ากัน
3) การเรียงตัวของเงี่ยงรอบเส้นไหม เรียงเป็นเกลียวรอบแกนไหม ไม่ได้มีเงี่ยงเรียงขนานเป็นเส้นตรงด้านข้างเหมือนไหมก้างปลาจึงยึดเกาะผิวได้ดีกว่

3) การเรียงตัวของเงี่ยงรอบเส้นไหม เรียงเป็นเกลียวรอบแกนไหม ไม่ได้มีเงี่ยงเรียงขนานเป็นเส้นตรงด้านข้างเหมือนไหมก้างปลาจึงยึดเกาะผิวได้ดีกว่า
4) เทคนิคการร้อยแต่ละเส้นจะมีจุดแขวนหรือจุดคล้องใต้ผิวหนังบริเวณขมับเหนือใบหู ที่อยู่ในชั้นลึกกว่าที่เรียกว่า SMAS จึงมีจุดแขวนเพื่อใช้ในการดึงไหมที่ตึงมาก สามารถดึงยกใบหน้าให้กระชับได้ดี ต่างจากไหมก้างปลาที่ไม่มีจุดคล้องอาศัยก้างปลาเป็นตัวค้ำเพื่อยกไม่ให้ใบหน้าหย่อนคล้อยลง
5)ไหมแต่ละเส้นที่คล้องผ่านจุดยึดจะมี 2 ขา คล้ายการคล้องแม่กุญแจรูปตัว U ทำให้ได้ไหมที่มีแรงดึงถึง 2 เส้น ต่างจากไหมก้างปลาที่ต้องใช้ไหมดึงเส้นต่อเส้น ดังนั้นร้อยไหมก้างปลา 2 เส้น เท่ากับร้อยไหมมิ้นท์เพียงเส้นเดียว
6) เทคนิคการร้อยไหมมิ้นท์คล้ายการผ่าตัดเล็ก ทำยากกว่า จึงได้ผลที่ดีกว่าไหมก้างปลาหลายเท่า เห็นผลทันทีหลังทำ เปรียบเทียบได้กับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ 18 เดือน

ไหมมิ้นต์ (MINT LIFT) ทำงานอย่างไร

เนื่องจากไหมมิ้นต์มีเงี่ยงที่ถูกออกแบบพิเศษ หมุนรอบแกน 360 องศา สอดลงในชั้นผิวหนัง จึงเกาะติดกับผิวหนังได้ 3 มิติ ทุกทิศทาง แตกต่างจากไหมยี่ห้ออื่นที่ยึดเกาะเพียง 2 มิติ จึงยกกระชับได้ดีกว่าหลายเท่า และเมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 6-18 เดือนเส้นของ ไหมมิ้นท์ ก็จะละลายไปโดยไม่เป็นอันตรายใดๆกับร่างกาย หากร้อยด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง เส้นไหมที่ร้อยเพื่อยกกระชับนั้น ก็จะเกิดเป็นเส้นไยอิลาสตินช่วยประคองผิวโดยจะมีจุดที่ดึงบริเวณแก้มส่วนล่างและจุดที่ยึดอยู่บริเวณขมับดึงเข้าหากัน จึงสามารถดึงแก้มที่หย่อนขึ้นได้ทันที ผิวก็จะถูกเงี่ยงของเส้น ไหมมิ้นท์ เกี่ยวขึ้นมาตามเส้นไหมในทิศทางที่ร้อยไหมเข้าไป คล้ายๆ ตะขอเกี่ยวดึงผิวให้ยกกระชับนั้นเอง

การร้อยไหมมินท์เหมาะกับใครบ้าง

  • การยกกระชับผิวหน้าด้วยวิธี MINT LIFT นี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปีขึ้นไป โดยเนื้อเยื่อต้องไม่ยุบตัวหรือผิวหนังต้องไม่หย่อนคล้อยมากเกินไป เพราะหากผิวหนังหย่อนมากเนื่องจากอายุหรือมีน้ำหนักตัวมาก อาจต้องใช้วิธีอื่น ๆ รวมกับการร้อย ไหมมิ้นท์ จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  • นอกจากนี้ การทำ MINT LIFT อาจให้ผลดียิ่งขึ้น หากใช้วิธียกกระชับอื่น ๆ ร่วมด้วยในภายหลัง หรืออาจใช้กับผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดยกหน้าไปแต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดครั้งต่อไป ในกรณีนี้อาจเลือกการร้อย ไหมมิ้นท์แทนได้เช่นกัน

หลังร้อยไหมมินท์แล้ว จะเกิดอะไรได้บ้าง

ผู้ที่ทำการรักษาจะรู้สึกได้ถึงผลลัพธ์ของการยกกระชับตั้งแต่ครั้งแรก และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 1-2เดือน แต่จะยิ่งชัดเจนมากที่สุดหลัง6เดือน และผลที่ได้อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลสภาพผิวร่างกายของแต่ละบุคคล เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสุขภาพดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ งดการสูบบุหรี่ งดดื่มสุราแอลกอฮอล์ และที่สำคุญที่สุดคือการพักผ่อนที่เพียงพอ
-การร้อยไหมมินท์ ( MINT LIFT) สามารถทำร่วมกับการยกกระชับหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การใช้วิธีการร้อยไหมร่วมกับการทำฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันทั่วหน้า การร้อยไหมมิ้นท์ ร่วมกับวิธีลดรอยเหี่ยวย่นด้วยโบทอกซ์ หรือยกกระชับด้วยเครื่องมือ เช่น HIFU-Ulthera,Thermage ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาหรือการพิจารณาของแพทย์

การปฏิบัติตัวหลังจากการร้อยไหมมินท์

  1. หลังร้อยไหม อาจเกิดอาการปวด หรือบวมได้ โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล
  2. อาจรู้สึกตึงหน้า หรือรู้สึกเสียวๆ ที่ผิวหน้าบริเวณที่ร้อยไหม โดยอาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปใน 10-14 วัน
  3. งดการทำเลเซอร์ โยคะ อบซาวน่า นวดหน้า หรือทำ Treatment หลังทำ 2-4 สัปดาห์
    4.งดดื่มแอลกอฮอล์ หลังทำ 1-2 สัปดาห์
  4. กรณียังมีริ้วรอยหลงเหลืออยู่ หรือต้องการให้ใบหน้ายกกระชับมากขึ้น สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทำการร้อยไหมเพิ่มเติมหรือทำการรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม

ไหมในท้องตลาด ผ่านอ.ย.มั้ย

อนึ่งแม้ว่าใน ปัจจุบันการลิฟท์หน้าด้วยการร้อยไหม จะได้รับความนิยมและรู้จักกันดีมาหลายปี และมีไหมด้วยกันหลายยี่ห้อ ราคาก็แตกต่างกันมาก แต่ไหมที่ได้รับการรับรองผลว่าปลอดภัย ได้ผล ผ่าน อ.ย. ในไทยปัจจุบันมีเพียง 2 ยี่ห้อ คือ ไหม Definisse (ไหมจากอิตาลี) ซึ่งราคาแพงมาก กับไหมมินท์ ( MINT LIFT) จากเกาหลี ซึ่งราคาถูกกว่าหลายเท่า แต่ได้ผลพอๆ กัน ดังนั้นปัจจุบัน ไหมมินท์ จึงได้รับความนิยมทั่วโลก ว่า ไหมมินท์ ( MINT LIFT) ของเกาหลีเป็นหนึ่งในไหม ที่ได้รับได้ผลลัพธ์ที่ดี ในราคาที่คุณเอื้อมถึง

Mint Mono Collagen

เป็นไหมมิ้นต์ รุ่นล่าสุด ที่ผ่าน อย . แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ คือ เป็นไหมมิ้นต์ PDO แบบไม่มีเงี่ยง ซึ่งมีขนาดและความยาวแตกต่างกัน ตั้งแต่ 5-9 ซม . เหมาะสำหรับการยกกระชับ ปรับรูปหน้า สร้างคอลลาเจน โดยเน้นเก็บรายละเอียดในบางบริเวณหลัง ร้อยไหมกุหลาบ หรือไหมมิ้นต์แบบมีเงี่ยง ไหมแบบนี้ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น เข้ามาทำทีหลัง ร้อยไหมมิ้นต์ กุหลาบ อีก 2-3 เดือน

Posted on

ศัลยกรรมกรีดตาสองชั้น (Blepharoplasty) เลือกวิธีไหนเหมาะกับเรา ข้อดี-ข้อเสีย

กรีดตาให้หน้าสวย
ไม่อยากหมวยอีกแล้ว

ปัจจุบันดูเหมือนว่ากระแสการทำศัลยกรรมตาสองชั้น จะ มาแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะเทรนสาวตาโต ตาหวาน ดูแบ๊ว กำลังมาแรง และอีกส่วนหนึ่งมาจากวิวัฒนาการทางแพทย์ที่ก้าวล้ำไปไกล จนสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดวงตาในแบบต่าง ๆ ให้กลับมาสวยขึ้น สดใสขึ้นได้ง่าย ๆ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน และพบว่า คนเอเชีย กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มีตาชั้นเดียว หรือชั้นตาหลบใน ชั้นตาไม่เท่ากัน  นอกจากนี้การทำตาสองชั้นในคนสูงอายุ จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ มีชีวิตชีวา และช่วยทำให้มองเห็นภาพต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ใครบ้างที่สามารถทำศัลยกรรมกรีดตาสองชั้นได้ ?
ผู้เข้ารับการผ่าตัดทำตาสองชั้น ถ้าเป็นวัยรุ่น ก็มักจะเกิดจากปัญหาตาชั้นเดียว ชั้นตาไม่เท่ากัน หางตาตก ไม่อยากเสียเวลายุ่งยากติดสติกเกอร์ตาสองชั้นให้ยุ่งยาก ส่วนคนที่มีอายุสูงขึ้นมาอาจต้องการทำตาสองชั้นเนื่องจากหนังตาชั้นบนเริ่มหย่อยคล้อย หางตาเริ่มตก หรืออาจจะมีอาการบดบังการมองเห็นของดวงตา

ศัลยกรรมตาสองชั้น

กระบวนการทำศัลยกรรมกรีดตาสองชั้น
หลักๆ ก็คือการกรีดเปลือกตา  แล้วเย็บหนังตากลับเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดชั้นตาขึ้นมา ทั้งนี้อาจรวมถึงการผ่าตัดเอาผิวหนังและไขมันบริเวณชั้นตาที่มีมากเกินออกไปด้วย
เทคนิคศัลยกรรมกรีดตาสองชั้น
1. กรีดตาด้วยมีดหรือเลเซอร์  เป็นวิธีทำตาสองชั้นที่นิยมมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะกระทำโดยตัดหนังตาที่เกินออกโดยไม่เห็นรอยแผลเป็นแต่อย่างใด เพราะรอยแผลจะซ่อนอยู่ในเปลือกตา เ ส่วนความแตกต่างก็คือการใช้เลเซอร์กรีดตา ที่มีชื่อว่า Plexr  จะใช้พลังงาน plasma ให้ผิวหนังบริเวณเปลือกตาส่วนที่หย่อนคล้อยหายไป เหมาะกับคนที่ตาสองชั้นอยู่แล้ว แต่มีหนังตาหย่อนคล้อย หนังตาตก เล็กน้อย และยังไม่อยากผ่าตัด ส่วนการกรีดตาด้วยใบมีดจะเหมาะสำหรับผู้ปัญหาตาชั้นเดียว ชั้นตาไม่ชัด ไม่เท่ากัน หรือชั้นตาหลบใน และมีไขมันที่เปลือกตามาก

เทคนิคการกรีดตาสองชั้น

1. กรีดสั้น : เป็นการทำตาสองชั้น โดยกรีดแผลที่เปลือกตาขนาด 3-5 mm (แล้วแต่เทคนิคของศัลยแพทย์แต่ละท่าน )
ข้อดีของ การทำตาสองชั้น แบบกรีดสั้น
1. รอยแผลเป็นจะเล็ก และหายง่าย
2. ใช้เวลาผ่าตัดน้อย บวมน้อย ยุบเร็ว
3. เหมาะกับคนอายุน้อยๆ ที่มีหนังตาไม่มาก เปลือกตาไม่หนามาก
4 สามารถทำตาสองชั้นและเอาไขมันออกได้ ถ้าปริมาณไขมันไม่มากนัก ข้อเสียของ การทำตาสองชั้น แบบแผลเล็ก
1. คนที่มีหนังตาตกมาก หนังตาจะตกมาปิดหลังจากยุบบวม ทำให้อาจจะดูไม่แตกต่างกันก่อนทำ
2. คนที่เปลือกตาหนามาก การทำตาสองชั้นวิธีนี้ ชั้นตาจะดูอูมๆกว่าปกติ เนื่องจากเป็นการทำตาสองชั้นโดยเย็บชั้นตาขึ้นไปให้สูงขึ้น โดยไม่ได้เอาผิวหนังและเนื้อเยื่อเปลือกตาส่วนเกินออก

2.กรีดยาว : คล้ายกับการทำตาสองชั้นแบบกรีดสั้น แต่เป็นการกรีดเปิดแผลยาวขึ้น เพื่อให้สามารถเย็บชั้นตาได้ตลอดแนว อาจจะกรีดเปิดหัวตา หรือหางตาร่วมด้วย โดยไม่ได้ตัดหนังตาส่วนเกินออก
ข้อดีของการกรีดยาว
1. ลดโอกาสการเกิดหนังตาที่หางตาตกมากกว่าในแผลเล็ก (แต่ถ้าหนังตาตกเยอะมากก็เอาไม่อยู่)
2. การทำตาสองชั้นวิธีนี้ สามารถเอาไขมันออกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่เปลือกตามีไขมันมาก
ข้อเสียของการ ทำตาสองชั้น แบบกรีดยาว
1. บวมมากกว่าเมื่อเทียบกับแผลเล็ก รอยแผลยาวกว่า
2. ถ้าเทคนิคไม่ดี อาจะเป็นแผลเป็นได้ชัดเจนกว่าแบบกรีดสั้น

3.กรีดยาวหางหงส์ : เป็นการทำ ตาสองชั้น แล้วยกหางตาให้ดูเฉียงขึ้น ลักษณะเหมือนหางหงส์ แพทย์จะกรีดชั้นตาให้เป็นสองชั้นรวมถึงกรีดยกหางตาให้เฉียงยกขึ้น แล้วเย็บกลับให้สวยงาม ในกรณีที่มีไขมันเปลือกตามากหรือเปลือกตาหนา แพทย์จะตัดไขมันหรือเปลือกตาส่วนเกินออก
ข้อดีของการกรีดยาวหางหงส์
1. เหมาะกับคนสูงอายุแล้วหางตาตก ไขมันชั้นตาหนา เปลือกตาหนา
2. การทำตาสองชั้นวิธีนี้ สามารถเอาไขมันออกได้มากขึ้น และยกกระชับหางตา ทำให้ดูอายุอ่อนวัย
ข้อเสียของการ ทำตาสองชั้น แบบแผลยาว
1.บวมมากกว่าเมื่อเทียบกับกรีดสั้น และกรีดยาว
2. พักฟื้นนานกว่าสองแบบแรก และค่าใช้จ่ายสูงกว่า

วิธีดูแลหลังทำตาสองชั้น

  • หมั่นทาออยเม้นท์เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น
  • ห้ามขยี้ตา ตลอดระเวลา 2 เดือนหลังการผ่าตัด เพราะรอยแผลที่กรีดหรือเย็บไว้อาจมีโอกาสฉีกขาดได้
  • สิ่งสำคัญหลังการผ่าตัดคือการประคบเย็นทันทีและต่อเนื่องหลังการผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการบวมและอาการปวดระบม
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยการพยายามใส่แว่นตาดำ เพราะแสงแดดทำให้เกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็นบริเวณเปลือกตาให้ชัดขึ้น
  • ระยะเวลา 1 เดือนหลังการผ่าตัด คนไข้จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบ แอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพื่อลดโอกาสการอักเสบหลังการผ่าตัด
  • ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด คนไข้อาจรู้สึกว่าตาสองข้างของตัวเองไม่เท่ากัน ห้ามแหกตา หรือพยายามถลึงตา เพื่อจะทำให้รอยแผลที่คุณหมอเย็บไว้เปิดออก
  • รับประทานยาอย่างเคร่งครัดและตรงเวลา เพื่อผลดีต่อคนไข้เอง
  • หยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดการระคายเคืองภายในดวงตาตลอดระยะเวลา 1 เดือนหลังการผ่าตัด หรือมากกว่านั้น ในกรณีที่คนไข้รู้สึกเคืองตา
  • ประคบเย็นต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 48 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดเพื่อลดความบวมที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
  • หลังทำตาสองชั้น หรือศัลยกรรมตาประเภทอื่นๆ เปลือกตาจะระบม แนะนำให้คนไข้ประคบเย็นให้มากที่สุดในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด

ค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรมกรีดตาสองชั้นที่คลินิกนีโอ

ฟรีค่ายา
..เจลประคบ
..หมอนรองคอ
..ดูแลและรับประกัน 6 เดือน
สนใจสอบถามเพิ่มเติมรายละเอียดได้ที่นี่
Facebook: https://www.facebook.com/clinicneo/
Add LINE ปรึกษาได้ที่ Line ID : @cliicneo หรือ
Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
Website: http://www.clinicneo.co.th/
Tel.: 02-399-3390-1,091-819-4930บทความเรื่องความงามโดยอาจารย์แพทย์✔✔✔Click
bit.ly/2M8jJ1E
……………………………………………………………………..
“กลัวมาก แต่อยากสวย” bit.ly/2WdTBGO
5 ปี” วางซิลิโคนผิด” bit.ly/30xyf6A
จมูกใหม่สวยแบบมั่นใจ” bit.ly/30xyiiM
“เม้าท์มอยสวยยกแก๊งค์” bit.ly/2VAl0yg
“เสริมคาง ปรับหน้าเรียว อย่างมีศิลปะ” bit.ly/2EipKCz
“เปลี่ยนดวงตาคุณ ให้สวยเป็นธรรมชาติ” bit.ly/2WR3p6u
“ปลายพุ่ง โด่งสวย” bit.ly/2VSMJPq
จมูกโด่งสวย มั่นใจ ยังไงก็ไม่โป๊ะ” bit.ly/30v7UGh
“เคล็ดไม่ลับ หลังอัพสวย” bit.ly/2LXdttS


..

Posted on

ฉีดเติมเต็มใบหน้า ระหว่างฟิลเลอร์ VS ไขมัน จะเลือกตัวไหนดี ข้อดี ข้อเสียอย่างไร

ฟิลเลอร์ VS ไขมัน จะเลือกตัวไหนดี

ตามที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น นอกจากริ้วรอยที่มีเพิ่มขึ้นตามวัยแล้ว ซึ่งแก้ไขด้วยการฉีดสารโบทอกซ์ อีกปัญหาหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ก็คือใบหน้าจะมีการสูญเสียคอลลาเจน ไขมัน หรือมวลกระดูก ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย การเติมเต็มใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือไขมัน ก็เพื่อทดแทนเนื้อหนังที่หายไปของใบหน้า เป็นหัตถการด้านความงาม เพื่อย้อนวัยให้กลับมาดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังมาฉีดเติมบริเวณอื่นๆ ที่ต้องการให้ดูดีขึ้น เช่น เติมขมับ หน้าผาก เสริมจมูกหรือเติมคา

ฟิลเลอร์ต่างจากการฉีดไขมันอย่างไร
ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมา ประกอบด้วยสารกลุ่ม HA ( Hyaluronic acid) สารตัวนี้สังเคราะห์เลียนแบบคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ปัจจุบันฟิลเลอร์มีการพัฒนาดีขึ้นมาก มีหลายแบบ หลายยี่ห้อที่ผ่านอย. และได้มาตรฐานสากล
แต่ก็มีฟิลเลอร์ปลอมออกมาด้วยเช่นกัน แยกยากมากจากของแท้ เพราะกอปปี้ออกมาได้เหมือนกันเลย แต่จะสังเกตได้ง่ายๆ คือราคาจะถูกมากเกินจริง ถ้าเจอแบบหลักพันบาทต่อซีซีนี่ ให้ระวังไว้ว่าปลอมหรือไม่ผ่านอย.ชัวร์ ตัวฟิลเลอร์ปลอมนี่เอง ที่ทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ยิ่งคนฉีดไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความชำนาญ ยิ่งน่ากลัว
ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และกำลังซื้อลดลงในปัจจุบันนี่เอง สงครามแข่งกันถูก แข่งกันลดราคา ยิ่งทำให้ฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักมากขึ้น จึงทำให้คนเริ่มมาสนใจฉีดไขมันตัวเองกันมากขึ้น เพราะชัวร์ว่ายังไงก็ไม่ปลอม เพราะเป็นไขมันตัวเอง
ฉีดไขมัน
คือการนำไขมันส่วนเกินของร่างกายฉีดมาเติมเต็มบริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่เราต้องการ แต่ต้องฉีดในปริมาณที่มาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปเอง ประมาณ 30-40% และมักจะอยู่ไม่นาน และต้องใช้ปริมาณมากๆ หรือฉีดเกินไว้ก่อน หลังทำจึงต้องพักฟื้น
ดังนั้นก่อนจะฉีดเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ หรือไขมัน จึงควรเปรียบเทียบข่อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ดังนี้

เปรียบเทียบการ เติมไขมันหน้า vs ฉีดฟิลเลอร์

หัวข้อการเติมไขมันหน้าการเติมฟิลเลอร์
ราคาราคาถูกกว่ามาก ทั่วหน้าไม่จำกัดซีซี ประมาณ 25,000+ราคาสูงกว่ามาก ถ้าของแท้ ราคา 12,000+ ต่อ 1cc
ขนาดแผลมีแผลบริเวณที่ดูดไขมัน 3-5 mmไม่มีรอยแผลให้เห็น
ผลหลังทำทันทีอาจจะเป็นก้อนหรือหน้าเป็นปลาทองได้ เพราะต้องเติมให้มากกว่าที่ควรเป็น เพราะ 30% จะสลายไปเห็นผลทันทีหลังทำ ดูเป็นธรรมชาติ
อยู่ได้นานมั้ยอยู่ได้ 3-6 เดือนขึ้นอยู่เทคนิคการเตรียมไขมันอยู่ได้ 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
เหมาะกับใครคนที่ต้องการเติมครั้งละเยอะๆ ให้เปลี่ยนแปลงชัดเจน เหมาะกับคนที่ต้องการเติมหลายๆจุดพร้อมกันคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไม่มาก ไม่อยากให้ใครสังเกตได้
การยกกระชับเหมาะกับการเติมเต็มทั่วใบหน้าให้อวบอิ่ม ไม่มีผลต่อการยกกระชับเหมาะกับการเติมเต็มและยกกระชับไปด้วย เพราะสามารถจะวางบนกระดูกทดแทนมวลกระดูกที่หายไปได้
บริเวณไหนที่ฉีดได้ฉีดได้ทุกบริเวณยกเว้น ริมฝีปาก ดอลลี่อาย ฉีดใต้ตามักจะนูนเป็นก้อนฉีดได้ทุกบริเวณตามความต้องการ โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการความเนียน เช่น ริมฝีปาก ดอลลี่อาย ใต้ตา

การเติมไขมันหน้ากับการเติมฟิลเลอร์ ชนิดHA แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน  ?

ปลอดภัยไม่แตกต่างกัน ถ้าแพทย์ที่ทำมีความชำนาญ มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานผ่าน อย . หรือไขมันที่ใช้ได้คัดกรองอย่างปลอดเชื้อ และเทคนิคที่ได้มาตรฐาน ผลข้างเคียงที่เราต้องระวังกันมากคือ การฉีดเข้าหลอดเลือด เพราะอาจจะทำให้ตาบอด หรืออาจจะถึงเสียชีวิตได้ โดยในต่างประเทศทั่วโลก พบปัญหามักจะเกิดจากจากฉีดไขมันมากกว่าฟิลเลอร์ อาจจะเป็นเพราะหลายๆ ประเทศมีการฉีดไขมันกันมาก และที่สำคัญคือ เมื่อเกิดปัญหา ไขมันไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายไขมันได้  แต่หากเป็นฟิลเลอร์ชนิด Hyarulonic acid จะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Hyaluronidase ที่สามารถละลายหมดได้ 100% ทันที หากแพทย์พบว่าฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดก็จะสามารถแก้ไขได้ทันทีครับ
Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
Website: http://www.clinicneo.co.th/
Tel.: 02-399-3390-1,088-694-9266

Posted on

ฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting) คืออะไร แล้วมีเทคนิคอย่างไรให้อยู่นาน ข้อดี ข้อเสีย

ทำไมต้องฉีดเติมไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting)  

เนื่องจาก คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากริ้วรอยตามอายุแล้ว ความหย่อนคล้อยไม่กระชับ ก็เป็นอีกปัญหาสำหรับคนที่กลัวแก่ สาเหตุของความหย่อนคล้อย ก็มาจากปริมาตรผิวหนังที่ลดลง หรือ Volumn Loss ไป ดังนั้นถ้าเราสามารถจะชดเชย Volumn ที่เสียไปให้กลับมาเต่งดึง มีน้ำมีนวล ดูเยาว์วัยขึ้น น่าดูขึ้น ก็คือการฉีดเติมด้วย Fillers หรือการฉีดเติมไขมัน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งที่สามารถใช้ปรับแก้ไขรูปหน้า และ เติมเต็มใบหน้าได้เช่นเดียวการฉีดฟิลเลอร์

การฉีดเติมไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting)  คืออะไร :

คือการนำไขมันส่วนเกินของร่างกายฉีดมาเติมเต็มบริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่เราต้องการ โดยการย้ายไขมัน ( Fat transfer) จากตำแหน่งที่ไม่ต้องการ เช่น ที่สะโพก พุง ต้นขา ก้น ซึ่งเป็นไขมันในส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด การฉีดเติมไขมันเหมาะกับคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงปริมาตรบนหน้าที่ค่อนข้างมาก เพราะราคาโดยรวมเป็นซีซี จะถูกกว่าการฉีดเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์
ดูดไขมันจากร่างกายเอามาฉีดที่ใบหน้าแตกต่างกับดูดไขมันลดสัดส่วนหรือไม่ ?
แตกต่างกัน เพราะไขมันที่จะนำมาฉีดที่ใบหน้า จะเป็นไขมันในส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด คือไขมันบริเวณหน้าท้อง ก้น ต้นขา สะโพก  ซึ่งเป็นคนละแบบคนละเทคนิคกับการดูดสลายไขมันลดสัดส่วน อันนี้จะเน้นดูดออกทิ้งไป ด้วยเครื่องมือต่างๆ เครื่องมือที่ดูดมักจะมีความร้อน เพื่อสลายไขมันให้แตกตัว แล้วเอาไปทิ้ง ซึ่งจะทำให้สเต็มเซลล์จากไขมันจะตายหมด  จะนำมาฉีดเติมใบหน้าไม่ได้

เทคนิคการฉีดไขมันที่หน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร

ในปัจจุบันมีการพัฒนาได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ลดอัตราการสลายของไขมันหรือเกิดเซลล์ไขมันตาย ทำให้อยู่ได้นานขึ้น ไม่ต้องกลับมาเติมซ้ำ ทำให้กำหนดปริมาณและขนาดได้แม่นยำ และได้ผลลัพธ์จึงดีกว่าเมื่อก่อน โดยแพทย์จะดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยใช้หัวดูดที่มีรูขนาดเล็ก และใช้กระบอกดูดหรือไซริงค์ขนาดเล็ก ค่อยๆ ดูด เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ไขมันเสียหาย เมื่อได้ไขมันมาแล้วก็จะมาทำการปั่นแยก โดยใช้เทคนิคให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพสูง และไขมันที่จะนำมาใช้ฉีดมีขนาดเล็กลง จากนั้นแพทย์จะฉีดไขมันเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการโดยใช้เข็มขนาดเล็ก โดยมีเทคนิคพิเศษเพิ่มเติม ดังนี้
1. Autologous Fat graft คือ การดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือก้น มาผ่านกระบวนการคัดกรองให้เหลือเนื้อเยื่อไขมัน แล้วฉีดกลับเข้าไปเติมเต็มใบหน้าต่อไป
2. Cell-Assisted lipotransfer: CAL คือ การนำเนื้อเยื่อไขมันที่คัดกรองออกมาจากการดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือก้น แล้วนำมาผสมกับ สเต็มเซลล์ไขมันเ หรือ PRP ( เกร็ดเลือดเข้มข้น) เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการอยู่ได้นานของไขมันที่ฉีดเข้าไป ไขมันสลายน้อยลง เทคนิดนี้ถือว่าดีกว่าแบบที่ แรก แต่ก็ราคาแพงกว่า ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ

ข้อดี-ข้อเสีย-การเตรียมตัวก่อนฉีดเติมไขมัน

ข้อดีของการฉีดไขมันตัวเอง
-สามารถเติมได้ในปริมาณที่เราต้องการ โดยไม่จำกัดซีซี และราคาโดยรวมถูกกว่าฟิลเลอร์
– เป็นเซลล์ของตัวเราเอง จึงทำให้ไม่มีการต่อต้าน ไม่เกิดการแพ้ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอม ของไม่มีคุณภาพเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์
-สามารถเติมได้ทุกส่วนทั่วใบหน้า  หรือบริเวณอื่นๆ เช่น เติมหน้าอก เติมก้นได้
ข้อเสียของการฉีดไขมันตัวเอง
-ไม่สามารถดูดไขมันจากคนที่น้ำหนักตัวน้อยหรือผอมมากๆ ได้
– ต้องฉีดในปริมาณที่มาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปเอง ประมาณ 30-40% นั่นหมายความว่า แพทย์บางท่านอาจจะต้องฉีดไขมันเกินไว้ หลังฉีดอาจจะหน้าบวมคล้ายปลาทอง เพราะต้องเผื่อไขมันสลายด้วย
– กรณีที่ฉีดปริมาณไม่มาก เพื่อป้องกันหน้าบวมแบบปลาทอง อาจจะต้องมาเติมบ่อยๆ จนกว่าจะพอใจ
– ไขมันจะถูกดูดซึมได้ค่อนข้างเร็วโดยประมาณใช้เวลา 6 เดือน และอาจจะต้องฉีดซ้ำอีกครั้ง


การเตรียมตัวก่อนฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า

  • แจ้งประวัติการแพ้ยา ยาและอาหารเสริมที่รับประทาน รวมถึงโรคประจำตัว และประวัติการผ่าตัดให้แพทย์ทราบ และนำยาที่รับประทานประจำมาให้แพทย์ประเมิน
  • งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด (กลุ่มยา Aspirin, Ibuprofen) วิตามินเอ อี ซี สมุนไพร โสม  ใบแปะก๊วย น้ำมันปลา ก่อนรับบริการ 2 สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและระยะการบวมที่นานกว่าปกติ
  • ไม่ต้องอดอาหาร แต่ควรรับประทานอาหารไม่ให้อิ่มเกินไป
  • งดการผ่าตัดในช่วงที่เป็นหวัด ไอ ไข้ หรือป่วย
  • ควรอาบน้ำสระผม ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อนการผ่าตัด
  • ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆ ในบริเวณใบหน้า ที่ยากแก่การเช็ดออกก่อนการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
  • เตรียมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ถอดใส่ง่าย
  • ก่อนการผ่าตัดควรทำใจให้สบาย เพราะการฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้าไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

การปฏิบัติตัวหลังฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า

  • 24 ชม. แรก งดการนวดหน้า ทาครีม โลชั่น
  • 48-72 ชม.แรก ประคบเย็นด้วยเจลประคบ เพื่อลดบวม
  • ควรนอนให้ศีรษะสูงใน 3 วันแรก เพื่อลดอาการบวม
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารร้อน ของหมักดอง อาหารที่แข็งที่ย่อยยาก
  • งดแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการบวมที่นานกว่าปกติ
  • รับประทานยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง
  • มาตัดไหม ตามแพทย์นัด
  • ถ้ามีอาการผิดปกติหรือแดงมากให้กลับมาพบแพทย์


    ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อที่
    Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
  • Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
  • Website: http://www.clinicneo.co.th/
  • Tel.: 02-399-3390-1,091-819-4930
Posted on

ก่อนจะดูดไขมัน ( Liposuction ) ควรจะรู้ว่า มีวิธีไหนได้บ้าง อย่างไร จะได้สวยปลอดภัย

ดูดไขมัน สร้างความมั่นใจ ให้หุ่นสวย ปลอดภัย

ไขมันส่วนเกิน คือ ไขมันที่เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไปในร่างกายและไม่สามารถที่จะขับออกจากร่างกายหรือไม่ได้เผาผลาญออกมาจากร่างกาย จึงกลายเป็น ไขมันส่วนเกินหรือ พลังงานส่วนเกิน อาจจะมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ที่ทำให้สัดส่วนบริเวณนี้ลดลงได้ค่อนข้างยาก หรือขาดการออกกำลังกาย หรือระบบการเผาผลาญในร่างกายมีความผิดปกติ
ดังนั้นการดูดไขมันส่วนเกิน จึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีและเห็นผลทันทีหลังทำ โดยบริเวณที่นิยมทำการดูดไขมัน มักจะเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่จำนวนมาก ถ้าเลือกใช้วิธีอื่นอาจจะได้ผลช้า และต้องทำหลายครั้ง เช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก  ต้นขา เป็นต้น

วัตถุประสงค์
1.ดูดไขมันเพื่อนำเซลล์ไขมันกลับมาใช้ เพื่อเสริมส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2.ดูดไขมันเพื่อปรับปรุงรูปร่าง (เซลล์ไขมันไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก)
ข้อดีของการดูดไขมัน
1. สามารถเลือกกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมตามร่างกายเฉพาะจุดได้ ได้ผลทันทีหลังทำ
2. ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน
3. สามารถนำไขมันส่วนเกินที่ถูกดูดออกมาแล้ว ไปเพิ่มที่อื่นได้ ทดแทนฟิลเลอร์ ราคาถูกกว่า และถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
4. ถ้าคุณดูแลตัวเองให้ดีหลังจากที่ดูดไขมันไปแล้ว ผลของการรักษาก็จะอยู่ได้นานมากขึ้น
ข้อเสียของการดูดไขมัน
1.  อาจจะมีอาการฟกช้ำดำเขียวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่จะค่อยๆ จางหายไปใน 4-6 อาทิตย์
2.  อาการผิวเป็นคลื่นๆ ไม่เรียบเนียนนั้น อาจเกิดได้จากการดูดไขมันที่ไม่มีความชำนาญ หรืออาจเกิดจากการดูแลตัวเอง
3.  แผลที่มาจากการดูดไขมันอาจมีอาการเจ็บบ้าง แต่ไม่มาก ช่วงเวลาพักฟื้นอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมา
4.  อาจจะมีโอกาสเป็นแผลนูน แผลคีรอยด์ได้
5. เมื่อดูดไขมันแล้ว อาจจะมีความนูนโค้งไม่เสมอกัน มีรอยย่นของกล้ามเนื้อในจุดที่ดูดไขมัน ทำให้ผิวพรรณดูไม่เป็นธรรมชาติ

วิธีดูดไขมันมีกี่แบบ

ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน หลักการดูดไขมัน คือ การนำท่อขนาดต่างๆ กัน ใส่เข้าไปใต้ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง แล้วใช้เครื่องมือที่มีความแรงในการดูดขนาดต่างๆ กัน วิธีการดูดไขมันมีหลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
1. Syringe Method  เป็นการดูดไขมันด้วยอุปกรณ์สุญญากาศ โดยจะใส่ท่อขนาดเล็กลงในบริเวณที่ต้องการ ลงไปในชั้นไขมัน และใส่ยาชากับน้ำเกลือฉีดไปที่ด้วยเทคนิค Tumescent  เพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด ข้อดีของการดูดไขมันด้วยเทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ช่วยให้สามารถเอาไขมันออกมาได้ง่าย มักนิยมทำในบริเวณที่มีไขมันไม่มาก เพราะต้องใช้เวลาในการทำค่อนข้างมาก หรือทำการดูดไขมันมา หรือเพื่อนำไขมันมาฉีดเติมทดแทนฟิลเลอร์

2. Ultrasound Liposuction  เช่น VASER (Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance ) เป็นการดูดไขมัน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียง ( Ultrasound ) ในระดับความถี่ที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน ทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือดูดไขมันที่เป็นของเหลวออกมา มักจะใช้ในการดูดไขมันที่มีปริมาณมาก เช่น พุง ต้นขา สะโพก เพราะทำได้เร็ว ใช้เวลาน้อย นอกจากนี้ บางคนยังสามารถจะเอาวิธีมาดูดไขมัน สร้าง 6-Pack ได้ด้วย

3. Radio – Frequency Assisted Liposuction )  เช่น Body Tite คือ การใช้พลังงานจากคลื่นความถี่วิทยุ RF (Radio Frequency) ชนิด Bipolar พลังงานจากคลื่นความถี่วิทยุนี้ จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่เนื้อเยื่อผิว ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะถูกดูดออกมา ระหว่างการรักษาสามารถ ห้ามเลือดไปด้วยขณะทำการดูดไขมัน เพื่อลดการสูญเสียเลือดระหว่างการรักษ

4.Laser Liposuction  เช่น Smart Lipo Slimlipo, AccuSculpt  เป็นการดูดไขมัน ด้วยการใช้เลเซอร์ ในการสลายเซลล์ไขมัน โดยจะยิงเลเซอร์เข้าไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำไขมันออกมา และยังช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้นด้วย สามารถใช้รักษาในบริเวณที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ และลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังการดูดไขมันแบบเดิมได้

5. Power and Vibration Liposuction  เช่น  PAL (Power Assisted Liposuction ) เป็นเครื่องมือที่ดูดไขมันใช้เข็มดูดไขมันที่การสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง คล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า  โดยมักจะทำร่วมกับวิธีอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาง่ายขึ้น

6. Water Jet Liposuction : เช่น Body Jet เป็นการดูดไขมันโดยใช้พลังน้ำที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงในการแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ โดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ ทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิต และยังคงเต็มไปด้วยสเต็มเซลล์จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ นำกลับไปฉีดเติมเต็ม ทดแทนฟิลเลอร์ในส่วนต่างๆของร่างกาย มักนิยมทำในบริเวณเล็กๆ เช่นไขมันใต้ตา หรือดูดไขมันที่ต้นขา เพราะจะนำมาฉีดเติมไขมันใบบริเวณอื่น

การดูแลตัวเองหลังการดูดไขมัน
การดูดไขมันนั้นมีผลถาวรเฉพาะกับไขมันที่ดูดออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็สามารถมีไขมันเพิ่มมาได้ใหม่ หรือมีน้ำหนักเพิ่มได้อีก หากไม่ดูแลการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายที่ดี หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องควบคุมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อไป หลังจากขั้นตอนการดูดไขมันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์อาจให้สวมใส่ชุดบีบกระชับสัดส่วนเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อช่วยในการควบคุมอาการบวมที่เกิดขึ้น และอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในบางราย อีกอย่างที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือ การดูดไขมันไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่ช่วยให้สัดส่วนดูดีขึ้น 

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
Website: http://www.clinicneo.co.th/
Tel.: 02-399-3390-1,088-694-9266

Posted on

Growth factor จาก PRP ( Platelet Rich Plasma ) กับการรักษาผมร่วงและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนกว่าวัย

Growth factor จาก PRP ฟื้นฟูทุกปัญหาผิว ผมร่วง

Growth factor คือ กลุ่มโปรตีนที่เซลล์ในร่างกายผลิตขึ้นและปล่อยออกมาเพื่อทำหน้าที่ให้เซลล์สื่อสารระหว่างกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโต การซ่อมแซมเซลล์ โดยจะคอยควบคุมกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่เสียหายไป
Growth Factor อยู่ที่ไหน : พบได้ในร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น ไซโตไคน์ (Cytokine), ฮอร์โมน (Hormone), และอินเตอร์ลิวคิน (Interleukin) ซึ่งโกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) จะพบได้มากในสเต็มเซลล์ที่ยังเยาว์วัยและเจริญพัฒนาไม่เต็มที่ เช่น สเต็มเซลล์ที่ผิวหนัง สเต็มเซลล์ที่ไขมัน และสเต็มเซลล์ที่เม็ดเลือด (PRP) เป็นต้น
PRP ( Platelet Rich Plasma ) คืออะไร : PRP คือเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สกัดแยกอออกมาจากเลือดของเราเอง โดยในองค์ประกอบของเลือด จะมีส่วนประกอบที่เป็นพลาสมา(น้ำเลือด) และส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ ส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด PRP ได้มาจากการปั่นแยกเลือดออกมา เพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเลือดทั่วไป 3-4 เท่า และใน PRP จะประกอบไปด้วยสารต่างๆมากมายเช่น Growth Factor ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยทำให้เซลล์ต่างๆฟื้นตัวและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนตอนยังเป็นวัยรุ่น อีกทั้งเร่งอัตราการฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ กระตุ้นการสร้าง Collagen Elastin และอื่นๆอีกมากมาย

ขั้นตอนของการทำ PRP
1. เจาะเลือดของคนไข้โดยปริมาณที่ต้องการ
2.  นำเลือดที่ได้มาผ่านกระบวนการปั่นแยกเกล็ดเลือดด้วยเครื่องปั่นเลือด
3.  เลือดจะแบ่งชั้นออกมาตามลำดับ คัดแยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้ในการรักษา
4.  คัดแยกเกล็ดเลือดและพลาสมาที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้
5.   แพทย์จะนำ PRP ที่สกัดได้ไปฉีดในบริเวณที่ต้องการ

Growth factor จาก PRP สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง :

มีการใช้วิธีรักษาผู้ป่วยด้วย PRP มาประมาณ 30 ปี โดยใช้ในการรักษาทางศัลยกรรมกระดูก และใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของข้อหรือเส้นเอ็นจากการเล่นกีฬา โดย Growth factor จาก PRP มีคุณสมบัติในการเรียกสเต็มเซลล์ ในร่างกายออกมาทำการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ และรักษาในจุดนั้นๆ ให้หายเร็วขึ้น ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถฉีดตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการการฟื้นฟูเป็นพิเศษ เช่น
1. หากฉีดบริเวณหนังศีรษะรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน โดยจะทำให้หนังศีรษะและเส้นผมดกดำมากขึ้น เส้นใหญ่ขึ้น และมีความแข็งแรงมากขึ้น
2. การฉีดบนใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเด้ง อิ่มน้ำ ผิวหนังกลับมาแข็งแรงเหมือนผิวเด็กที่ยังไม่เคยโดนมลภาวะมาก่อน
3. ฉีดร่วมกับการฉีดไขมัน เพื่อให้หน้าอิ่มและเปล่งปลั่งมากขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมประสิทธิภาพให้ไขมันที่ฉีดเข้าไปอยู่กับใบหน้าของเราได้นานขึ้นด้วย
4. ฉีดบริเวณโคนของอวัยวะเพศชาย ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP

-ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
-ดื่มน้ำให้มากๆ ประมาณ 2 ลิตร
-เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรได้รับวิตามินซีวันละ 1000 มก ประมาณ  1 อาทิตย์ ก่อนการทำ
-ห้ามรับประทานยา กลุ่ม ASA หรือ NSIAD ก่อน ทำ 2-3 วัน
-งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วัน

Posted on

7 เคล็ดลับกับการดูแลตัวเอง หลังทำศัลยกรรม ลดอาการบวมช้ำ ทำให้หายเร็วขึ้น

หลังทำศัลยกรรม การดูแลสำคัญมาก ถ้าอยากสวย

คนที่เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมความงาม สิ่งสำคัญที่สุดหลังทำก็คือการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด และมีวินัยในการดูแล ตัวเอง เพื่อจะได้สวยหล่อสมใจ ไร้ปัญหาหรือผลแทรกซ้อนภายหลัง และแน่นอนว่าหลังผ่าตัดอาการบวมช้ำเป็นเรื่องปกติ จะบวมมาก บวมน้อย ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการผ่าตัด ยิ่งทำการผ่าตัดที่ลึกเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสบวมได้มากเท่านั้น
หลายคนชอบคิดว่าอาการบวมช้ำนั้นเป็นเพราะหมอมือหนัก หมอไม่เก่ง จริงๆ แล้วอาการบวมหรือช้ำหลังการผ่าตัดนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดทุกชนิด ส่วนจะบวมช้ำมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของการทำศํลยกรรม เพราะการผ่าตัดนั้นเป็นการทำให้เนื้อเยื่อได้รับการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง ซึ่งสภาพร่างกายแต่ละคนก็มีการตอบสนองต่อการบาดเจ็บที่ต่างกันไป จึงมีอาการบวมช้ำมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละ

7 เคล็ดลับ กับการดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม

1.อาหาร:  สำคัญที่สุด เพราะมีผลต่อการรักษาแผล และการดูแลหลังทำศํลยกรรม  เพราะถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องอาหาร ในช่วงที่พักฟื้นที่บ้าน อาจจะต้องพบว่าเกิดอาการเลือดคั่งภายในหรือบวมมากขึ้น จากาอาหารบางประเภท ซึ่งไม่ได้เกิดจากผลของการผ่าตัดแต่อย่างใด
1.1 อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่าตัดใหม่ ได้แก่ ฟักทอง สาหร่าย ใบบัวบก ถั่วดำ น้ำมะพร้าว เพราะอาหารเหล่านี้มีวิตามินเอสูง ช่วยลดการติดเชื้อหลังผ่าตัด ช่วยขจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ช่วยลดอาการบวม แร่ธาตุ ใยอาหาร และธาตุเหล็ก ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น ลดอาการบวมช้ำ แถมยังช่วยบำรุงโลหิต ขจัดสารพิษในร่างกาย และลดการติดเชื้อได้อีกด้วย

1.2 อาหารที่ควรงดหรือเลี่ยงสำหรับผู้ที่ผ่าตัดใหม่ ได้แก่
อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารหมักดอง ควรงดไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร เพราะในอาหารเหล่านี้มักจะมีสารเคมีและสารพิษต่าง ๆ เจือปนอยู่ ซึ่งคนไข้บางรายเมื่อรับประทานเข้าไป อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระหว่างพักฟื้นบาดแผลได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็คือ

– อาหารทะเลบางชนิด สำหรับข้อนี้ผู้ที่แพ้อาหารทะเลควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดค่ะ เพราะหากเกิดการแพ้อาหารในช่วงหลังทำศัลยกรรมด้วยแล้ว อาจยิ่งทวีความรุนแรงต่อบาดแผล ทำให้หายช้า หรือเกิดอันตรายได้ แต่สำหรับบางคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแพ้อาหารทะเลหรือไม่ ก็ขอให้เลี่ยงไว้ก่อน รอแผลศัลยกรรมหายสนิทแล้วค่อยกลับมากินนะคะ
แอลกอฮอล์ ทำให้เลือดช้ำง่ายขึ้น
บุหรี่ มีผลต่อการสมานแผลให้หายช้าลง
อาหารเสริม ที่ไม่รู้ส่วนประกอบชัดเจน อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัดของคุณได้เช่นกัน

2. ประคบเย็น :  ช่วยลดอาการบวมจากการศัลกรรม  เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดออกน้อยลงและช่วยลดบวมได้ การประคบเย็นหลังผ่าตัดควรประคบต่อเนื่อง 48 ชั่วโมง โดยการใช้เจลเย็นประคบหรือสามารถใช้ผ้าขนหนูเปียกแช่ช่องแข็งบริเวณที่บวมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการผ่าตัดที่เสริมซิลิโคน ไม่ว่าจะเป็นคาง หรือจมูก ควรทำการประคบบริเวณรอบเช่นหน้าผากหรือโดยรอบแทน ไม่ควรประคบลงบนซิลิโคนโดยตรง เนื่องจากอาจทำให้ซิลิโคนเคลื่อนตัวได้.

3. ประคบอุ่น : เมื่อครบ 1 สัปดาห์ หลังจากครบ 1 สัปดาห์อาการบวมจะเริ่มลดลง แผลจะเริ่มแห้ง เนื้อเยื่อภายในจะเริ่มสมานกันได้ดีขึ้น ช่วงนี้ให้เปลี่ยนมาเป็นการประคบร้อนหรือประคบอุ่นแทน เพราะความร้อนจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวรับการดูดซึมกลับของสารต่างๆ ทำให้เลือดใหม่เข้ามาหล่อเลี้ยงบริเวณผ่าตัด สลายลิ่มเลือดเก่า อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดพังผืดภายในที่แข็งเป็นไตให้นุ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การประคบร้อนไม่ต้องทำต่อเนื่องอย่างการประคบเย็น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดไหลดีจนเกิดไปจนเกิดอาการบวมใหม่ได้

4. ยกหัวให้สูง : รวมถึงการนอนหมอนให้สูงเข้าไว้ โดยเฉพาะในช่วง 3-5 วันแรก เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดไปสู่บริเวณแผลผ่าตัด ลดอาการเลือดคั่ง พยายามนอนท่าตรงไม่นอนตะแคง หรือจะให้ดีก็นอนแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนไปเลยก็จะช่วยให้อาการบวมลดลงไปได้เร็วขึ้น

5. ทานยาตามแพทย์สั่งและทานให้ตรงเวลา : เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อที่อาจเกิดจากการผ่าตัดและลดอาการบวมช้ำ และไปหาหมอตามแพทย์นัด ระหว่างนี้หากเกิดอาการผิดปกติเช่นเกิดเลือดคลั่ง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

6. เลี่ยงการออกไปข้างนอก : หลังการผ่าตัดควรงดการเดินทางหรือพบปะผู้คน ทั้งนี้เพื่อลดการติดเชื้อ ฝุ่น สิ่งแปลกปลอมเมื่ออกไปข้างนอก อีกทั้งยังช่วยลดอาการบาดเจ็บ การสะเทือน หรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะถึงแม้เราจะระวังตัวแต่คนอื่นอาจมาชนเราได้โดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะที่ที่มีคนพลุกพล่าน

Portrait smiling teenage couple hanging out with friends at skate park.

7. งดล้างหน้า ช่วง 3-4 วันแรก : สามารถบำรุงหน้าด้วยครีมทั่วไป แต่ยังไม่ควรแต่งหน้าและล้างหน้าใดๆ เนื่องจากจะไปทำให้แผลนั้นกระทบกระเทือน อีกทั้งเมื่อแต่งหน้าเสร็จก็ต้องล้างเครื่องสำอางอีก ช่วงแรกนี้ควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดด้วยน้ำเกลือ และกระดาษทิชชู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ควรให้แผลโดนน้ำโดยตรง

บทความเรื่องความงามโดยอาจารย์แพทย์✔✔✔Click
bit.ly/2M8jJ1E
……………………………………………………………………..
“กลัวมาก แต่อยากสวย” bit.ly/2WdTBGO

“5 ปี” วางซิลิโคนผิด” bit.ly/30xyf6A

“จมูกใหม่สวยแบบมั่นใจ” bit.ly/30xyiiM

“เม้าท์มอยสวยยกแก๊งค์” bit.ly/2VAl0yg

“เสริมคาง ปรับหน้าเรียว อย่างมีศิลปะ” bit.ly/2EipKCz

“เปลี่ยนดวงตาคุณ ให้สวยเป็นธรรมชาติ” bit.ly/2WR3p6u

“ปลายพุ่ง โด่งสวย” bit.ly/2VSMJPq

“จมูกโด่งสวย มั่นใจ ยังไงก็ไม่โป๊ะ” bit.ly/30v7UGh

“เคล็ดไม่ลับ หลังอัพสวย” bit.ly/2LXdttS

Posted on

เย็บอินเตอร์โดม(Interdome) ช่วยแก้ปลายจมูกชมพู่ จมูกบาน ได้ง่ายๆ

ปลายจมูกที่เรียวเล็ก เชิดสวย ได้สัดส่วน จมูกไม่บาน

จมูกที่ดูดี สวยหล่อ ได้รูปเข้ากับใบหน้า นอกจากสันจมูกที่โด่งแล้ว ปลายจมูกที่เรียวเล็ก ได้สัดส่วน ก็เป็นสิ่งที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็น ดังนั้นในบางคนที่มีปัญหาจมูกใหญ่และบานออก หรือมีปลายจมูกใหญ่เป็นลูกชมพู่ ดูแล้วไม่สวยงาม ไม่ได้สัดส่วน จึงจำเป็นต้องแก้ไข

เปรียบเทียบจมูกเอเซียกับยุโรป

สิ่งที่ต้องรู้สำหรับจมูกคนเอเซีย
อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าจมูกของเรานั้น จะมี 2 ส่วน คือ ส่วนแรกคือ สันจมูกซึ่งเป็นกระดูกแข็งๆ ( Nasal bone ) โดยจะเริ่มจากหัวคิ้วลงไปจนถึงกลางจมูก แล้วส่วนที่ 2 ต่อจากกลางกระดูกไปนั้นจะเป็นกระดูกอ่อนจนถึงปลายจมูก ( Upper and Lower Nasal Cartilage )  โดยกระดูกอ่อนส่วนปลายจมูกนี้ จะแตกต่างกันแล้วแต่เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ ซึ่งของ คนไทยส่วนใหญ่ มักจะเป็นรูปร่างงอ กว้างแบะออก  จึงทำให้แลดู จมูกจะมีเนื้อบานออก ซึ่งจะแตกต่างจากจมูกของต่างชาติที่มักจะชิดกัน ไม่บานออก

เย็บอินเตอร์โดม (Interdome Suture ) คืออะไร

คือ การเย็บแต่งปลายจมูกที่อ้าออก ให้เข้ามาชิดกัน ดูเป็นทรงเรียวสวย ขึ้น เทคนิคนี้จะช่วยทำให้ปลายจมูกที่ใหญ่นั้น ดูเล็กและเรียวลง ได้รูปสวยงามมากขึ้น จมูกดูคมขึ้น และมีความสมดุล ทำให้สอดรับกับสันจมูกมากกว่าเดิม นอกจากนี้การเย็บ interdome ก็ยังเป็นฐานรองรับให้ซิลิโคนที่เสริมเข้าไปเชิดสวยขึ้น โดยค่อนข้างเหมาะกับคนที่อยากทำจมูก

ข้อดีของการเย็บอินเตอร์โดม

  1. ช่วยทำให้ปลายจมูกของเราแลดูเล็กและเรียวยาว
  2. เป็นฐานที่ช่วยให้ซิลิโคนที่เสริมเข้าไป เชิดขึ้น
  3. ทำให้จมูกแลดูพุ่งและอาจทำปลายหยดน้ำได้
  4. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเนื้อเยื้อบาง
  5. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปลายจมูกทะลุ
  6. ช่วยปรับความสมมาตรของรูจมูกและปลายจมูกได้ในบางคน

การเย็บอินเตอร์โดม อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนหรือดีขึ้นในทุกคนเพราะอะไร
ในการผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด  ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างปลายจมูก คนที่จะเห็นผลได้ดี คือคนที่กระดูกอ่อนส่วนปลายจมูกแข็งแรงดี และเนื้อปลายจมูกไม่หนาเกินไป ซึ่งแพทย์ผู้ผ่าตัด จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป แต่การเย็บอินเตอร์โดมในการผ่าตัดเสริมจมูกแบบเปิด จะได้ผลดีกว่าและผลลัพธ์ดีกว่า เพราะสามารถจะเห็นโครงสร้างจมูกได้ชัดเจนกว่า  แต่ก็แพงกว่า ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ละเอียดและเข้าใจ

Posted on

เสริมปลายจมูกให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ ป้องกันการทะลุ ด้วยเนื้อเยื่อเทียม(ADM) หรือกระดูกอ่อน คืออะไร

ทำจมูก กลัวทะลุ ป้องกันได้

ปัจจุบันศัลยกรรมเสริมจมูก  กำลังเป็นที่แพร่หลายและนิยมทำกัน ปลายจมูกเป็นส่วนที่ต้องระวังมากที่สุดในการเสริมจมูก เพราะความงามของจมูกขึ้นอยู่กับปลายจมูกเป็นสำคัญ ในคนเอเชียหลายคนมีปัญหาที่โครงสร้างจมูกเล็ก หรือมีปัญหาจมูกสั้น ซึ่งการเสริมซิลิโคนเพียงเพื่อหวังให้โด่งพุ่ง หรือโด่งแบบฝรั่ง โดยใช้ซิลิโคนในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาจมูกผิดรูปหรือซิลิโคนทะลุได้ครับ แต่ก็มีเทคนิคป้องกันได้ด้วยการเสริมปลายจมูก
การแต่งปลายจมูกหรือเสริมปลายจมูก นอกจากจะช่วยป้องกันปลายจมูกทะลุแล้ว ยังจะช่วยให้ปลายจมูกสวยมนได้รูปเป็นธรรมชาติ  ดังนั้น แพทย์ที่มีความชำนาญ จะใช้เทคนิคผสมผสาน ระหว่างการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเฉพาะบริเวณสัน และ เสริมปลายจมูกให้ยาวขึ้นหรือรองปลายจมูกกันทะลุ ด้วยเนื้อเยื่อเทียม(ADM)  หรือกระดูกอ่อน   มาเป็นตัวช่วยในการเสริมจมูกให้มีปลายหยดน้ำและเป็นธรรมชาติที่สุด

การรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม VS กระดูกอ่อน แตกต่างกันอย่างไร  :

การรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม (Acellular Dermal Metrix or ADM) :
– คือวัสดุที่สังเคราะห์ขึ้น มาจาก ประเทศเกาหลี ผลิตมาจากเนื้อเยื่อ  โดยผ่านกระบวนการ ที่เรียกว่า AlloClean™technology ที่ปลอดเชื้อ แต่ยังคงลักษณะโครงสร้าง สามมิติ ของผิวหนัง ไว้ได้ชัดเจน   มีลักษณะเป็นแผ่นนิ่มๆ คล้ายฟองน้ำ แต่มีคุณสมบัติทำให้มีการสร้างเส้นเลือดใหม่ การเติบโต ของเส้นประสาท และ การสร้างคอลลาเจน   จึงลดความเสี่ยงในการทะลุ สามารถนำมาเสริมปลายได้ทั้งการเสริมจมูกแบบปิดและแบบโอเพ่น

เนื้อเยื่อเทียม (EDM)เหมาะกับใคร

  1. คนที่จมูก สั้น
  2. คนที่มีเนื้อจมูกน้อย
  3. คนที่ต้องการปลายจมูกพุ่ง
  4. คนที่ปลายจมูกบาง
  5. คนที่งบน้อย และไม่ต้องการผ่าตัดกระดูกอ่อน เพราะราคาสูงกว่า และอาจจะมีแผลหลายที่

การรองปลายจมูกหรือเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อน
กระดูกอ่อนของตัวเอง นับว่าเป็นเนื้อเยื่อที่เหมาะสำหรับนำมารองปลายจมูก ซึ่งข้อดีคือ ตัววัสดุจะสามารถเข้ากับร่างกายเราได้ 100% เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการปรับปลายจมูกให้ดูมนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น หรือนำมาเสริมจมูก (กรณีที่ใช้กระดูกอ่อนจากซี่โครง) เพราะ มีความแข็งกำลังดี ทำให้ได้รูปทรงที่สวย และที่สำคัญทนต่อการติดเชื้อและไม่ก่อให้เกิดพังผืดในจมูกเหมือนซิลิโคน กระดูกอ่อนในร่างกายที่นำมาเสริมปลายจมูกได้มีอยู่ 3 ชนิด นั่นคือ
1. กระดูกอ่อนในโพรงจมูก เป็นชิ้นที่บางและนุ่มที่สุด เพราะเป็นเนื้อเยื่อชนิดเดียวกันกับจมูก กระดูกอ่อนแกนกลางจมูก  (Septal cartilage) เหมาะสำหรับคนทำจมูกครั้งแรกหรือแก้ไขไม่มาก จะใช้กระดูกส่วนนี้ การผ่าตัดเพื่อใช้กระดูกอ่อนในโพรงเสริมปลาย จะเป็นการผ่าตัดโดยเทคนิคแบบโอเพ่น เพื่อเปิดจมูกแล้วทำการค่อยๆเลาะเอากระดูกอ่อนมาใช้  เพื่อให้ได้ปลายจมูกที่สวยงาม นอกจากนี้ ยังสามารถแยกกระดูกอ่อนปีกจมูก เพื่อตกแต่งปลายและรูจมูกให้สวยมากขึ้นด้วย
2. กระดูกอ่อนหลังใบหู (Ear cartilage) จะเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่แพทย์จะเลือกใช้ เนื่องจากมีความแข็งมากกว่ากระดูกอ่อนในโพรงจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผ่านการแก้จมูกมาหลายครั้ง จนไม่เหลือกระดูกอ่อนในโพรงจมูกให้ใช้แล้ว  หรือใช้ร่วมกับกระดูกอ่อนในโพรงจมูก กรณีกระดูกอ่อนในโพรงจมูกไม่เพียงพอ อย่างไรการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหูก็ต้องใช้ซิลิโคนในการช่วยเสริมช่วงสันจมูกอีกด้วย
3. กระดูกจากซี่โครงตัวเอง (Allo cartilage)  กระดูกอ่อนซี่โครงซึ่งเป็นกระดูกอ่อนท่อนที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าที่อื่นๆ สามารถนำมาเสริมและตกแต่งจมูกได้ตลอดทั้งอันโดยไม่ต้องใช้ซิลิโคนเลยก็ได้ และได้รูปทรงจมูกที่สวยงาม เป็นธรรมชาติมากกว่าการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน การเสริมจมูกวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาจมูกผิดรูปมาก จมูกสั้นและแบน จมูกพิการ หรือผู้ที่จมูกพังจากการเกิดอุบัติเหตุหรือการทำศัลยกรรมมาหลายครั้ง เนื่องจากวิธีนี้เป็นการผ่าตัดแบบเปิด ทำให้มองเห็นโครงสร้างภายในจมูกทั้งหมด ง่ายแก่การตกแต่งและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นอกจากนั้นแล้วยังสามารถนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาตกแต่งปลายจมูก เพื่อให้โด่ง เชิด และป้องกันซิลิโคนทะลุได้อีกด้วย 

ใครบ้างที่เหมาะกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนจากซี่โครง?
  จมูกหดรั้ง หรือจมูกสั้นจากการติดเชื้อหรือผ่าตัดมาหลายๆ ครั้ง
–  ริมฝีปากยื่น จมูกแบน ใบหน้าแบนเป็นแอ่ง
–  จมูกที่เคยฉีดสารแปลกปลอม
–   จมูกบิดเบี้ยวจากอุบัติเหตุหรือปากแหว่งเพดานโหว่

การเสริมปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม หรือกระดูกอ่อน กันทะลุ ได้แค่ไหน
– ถึงแม้จะมีการรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยิ่อเทียม หรือกระดูกอ่อน จะมีความหนา ป้องกัน การทะลุได้ แต่อย่างไร ก็ตาม เนื้อปลายจมูก ของคนเราก็มีจำกัด ดังนั้น หาก เสริมจมูก ด้วยซิลิโคน ที่แข็ง หรือ เสริมโด่งเกินกว่า ที่เนื้อจมูก จะรับได้ ซิลิโคน ก็มีโอกาสดันเนื้อจมูก ดันเนื้อเยื่อเทียมหรือกระดูกอ่อน และ ทำให้ปลายจมูก ทะลุ ได้เช่นกัน
ดังนั้นไม่ว่าจะตกแต่งปลายจมูกด้วย เนื้อเยื่อเทียมหรือ ด้วย กระดูกอ่อนหลังหู นอกจากจะเลือกแพทย์ที่ชำนาญและมีประสบการณ์แล้ว ก็ต้องพิจารณาตามเนื้อจมูก และพื้นฐานของจมูกเดิมด้วย  โดยคำนึงถึงความปลอดภัย  มาเป็นอันดับแรก

Posted on

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี และข้อเสีย อย่างไร เมื่อเทียบกับแบบปิด

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) คืออะไร

วิธีนี้เป็นการเปิดแผลที่บริเวณฐานจมูกของคนไข้ จะใช้วิธีกรีดผ่าจมูกในแนวดิ่ง โดยเริ่มเปิดแผลตั้งแต่บริเวณปีกจมูกข้างซ้าย ไปถึงปีกจมูกข้างขวา แล้วทำการแยกเนื้อและผิวหนังออกจากโครงสร้างจมูก วิธีนี้จะเผยโครงสร้างภายในของจมูกได้ทุกส่วน ทำให้หมอสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างตรงจุด จึงช่วยปรับแก้ไขได้ เพราะจะมองเห็นจุดบกพร่องต่างๆ ได้ครบถ้วน สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเนื้อจมูกบาง แกนจมูกเดิ่มเบี้ยวเอียง หรือมีฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่หรือเปล่า
การเสริมจมูกแบบโอเพ่น นิยมทำในกรณีไหนบ้าง :

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น นิยมทำในกรณีไหนบ้าง :

  1. เนื้อจมูกน้อยและจมูกสั้น
  2. กระดูกคดเบี้ยวเสียรูป
  3. ผ่าตัดเสริมจมูกมาก่อนแล้วเกิดความผิดพลาดอยากแก้จมูก
  4. เสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์มาก่อนเกิดการเสียรูปต้องการแก้ไขต้องขูดฟิลเลอร์ออก
  5. จมูกมีฮัมพ์ คือ กระดูกที่นูนขึ้นมาบริเวณแนวกระดูก มีลักษณะนูนคล้ายหลังอูฐ
  6. เนื้อปลายจมูกโตแบบชมพู่
  7. จมูกสั้นจะต่อจมูกให้ยาวขึ้น และต้องการให้ปลายจมูกพุ่งขึ้น มีหยดน้ำมากขึ้น

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไรบ้าง :

ข้อดี
1. เลือกทรงจมูกได้ตามที่ต้องการ และดูเป็นธรรมชาติกว่าเสริมจมูกแบบปิด
2.ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดแก้ไขปัญหาจมูกได้ดีกว่า สมบูรณ์กว่า เพราะสามารถเห็นถึงโครงสร้างภายในจมูกได้ดีกว่า
3. ศัลยแพทย์สามารถตกแต่งปลายจมูกเพิ่มเติม โดยการใช้กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อสังเคราะห์ ได้่ง่ายกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
4. สามารถยกปลายจมูกให้สูงพุ่ง สวยเนียนเป็นธรรมชาติ
5. โอกาสเกิดซิลิโคนทะลุในอนาคตน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
6. มีโอกาสที่จมูกจะเอียงหรือเบี้ยวน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
ข้อเสีย
1. มีแผลเป็นที่มองเห็นได้ถ้าเงยหน้าขึ้น แต่ถ้าแพทย์ฝีมือ รอยผ่าจะเล็กมาก
2. ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า และยากกว่าเสริมจมูกแบบปิด  ต้องใช้ความละเอียดและฝีมือในการทำ
3. การผ่าตัดในบางครั้งต้องใช้การดมยาสลบด้วย
4. ราคาสูงกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
5. ระยะพักฟื้น ใช้เวลานานกว่า  และอาจเกิดอาการบวมช้ำได้นานกว่าการ เสริมจมูก แบบปิด

Posted on

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี และข้อเสียให้พิจารณาอย่างไร

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร :

วิธีนี้เป็นการศัลยกรรมเสริมจมูกแบบทั่วไป และเป็นที่นิยมกันมากในเอเซีย โดยมีแผลผ่าตัดด้านในรูจมูก และการเสริมเทคนิคนี้ ใช้ซิลิโคนเป็นหลัก อาทิการเติมสันจมูกหรือการเติมปลายจมูก เป็นต้น แผลในการผ่าตัดจะซ่อนอยู่ด้านในจมูก หนึ่งหรือสองด้าน
หลังจากนั้นจะใส่ซิลิโคนทางรูจมูก ซึ่งจะเสริมซิลิโคนตั้งแต่สันจมูกถึงปลายจมูก แผลจะอยู่ด้านในรูจมูก แพทย์จะใส่ซิลิโคนตั้งแต่สันจมูก ไปจนถึงปลายจมูก วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก วิธีนี้เป็นวิธีที่จะรบกวนโครงสร้างพื้นฐานของจมูกน้อยที่สุด และทำการเก็บแผลอยู่ภายในจมูกเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีพื้นฐานจมูกดีอยู่แล้ว  ตั้งแต่ดั้งจนถึงปลายจมูก แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแกนจมูกเอียง จมูกชมพู่ หรือมี Hump

ส่วนชนิดของซิลิโคน ที่จะทำการสอดใส่ ก็อาจจะเป็นทั้งแบบสำเร็จรูป หรือแบบเหลาเอง ซึ่งได้เขียนบทความไว้แล้วก่อนหน้านี้ ส่วนจะเลือกเสริมจมูกด้วยซิลิโคนแบบไหน เกรดไหน จากประเทศอะไร แต่ละแบบแตกต่างอย่างไร แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะครับ เพราะแต่ละแบบก็มีความเหมาะสมในแต่ละบุคคลตามงบประมาณ หรือทรงจมูกที่ต้องการ

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

ข้อดี
1. ราคาไม่สูงเท่าการทำจมูกแบบเปิด
2. บวมช้ำน้อย บางรายไม่บวมช้ำเลย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ
3. ใช้เวลาไม่นาน 30-45  นาที โดยประมาณ
4. การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก
ข้อเสีย
1. มีโอกาสที่จมูกจะเบี้ยวมากกว่าการ เสริมจมูก แบบเปิด และถ้าแกมจมูกเดิมเอียงอยู่แล้ว การใส่ซิลิโคนเสริมจมูกบนแกนเดิม ก็ทำให้เอียงได้เช่นกัน
2. การตกแต่งอาจทำไม่ได้เรียบเนียนสวย หรือจมูกโด่งเท่าแบบเปิด ถ้าต้องการโด่งมาก ก็เสี่ยงต่อการทะลุ แม้จะเสริมปลายด้วยกระดูกอ่อนไว้ก็ตาม
3. ไม่สามารถทำให้โด่งหรือปลายเชิดได้เท่าแบบเปิด แม้จะทำการเย็บ อินเตอร์โดม ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง การเสริมจมูกแบบปิดนั้น จะเริ่มจากแพทย์ที่ทำการผ่าจด จะให้คำปรึกษา หลังประเมินโครงสร้างว่าเหมาะสมสำหรับการเสริมแบบปิดหรือไม่ หลังจากนั้นแพทย์ผุ้ผ่าตัดกับคนไข้ จะเลือกชนิดของซิลิโคน ที่เหมาะสมกับงบประมาณ และความต้องการของคนไข้ อาจจะมีการเหลาซิลิโคนให้เหมาะกับโครงสร้างจมูก และทำการระงับความรู้สึก โดยใช้ยาชาเฉพาะบริเวณจมูก (ไม่นิยมให้กินยานอนหลับหรือใช้ยาสลบ) ก่อนลงทำ