Posted on

การดูแลผิวพรรณ และขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิว อย่างไรให้ถูกวิธี เมื่อย่างเข้าหน้าหนาว

เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว สุขภาพผิวพรรณในช่วงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ผิวหน้าจะแห้งตึงได้ง่าย การบำรุงดูแลผิวหน้า อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จึงจะแนะนำขั้นตอนในการดูแลผิว ในช่วงหน้าหนาวกันอย่างง่าย ๆ ดังนี้นะครับ

  1. เช็คผิวหน้าก่อนว่า ลักษณะผิวในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวผสม ในช่วงนี้
  2. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือกที่ไม่มีฟองมากนัก เพราะฟองมากๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงได้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีส่วนประกอบของสารเคลือบผิว เช่น Lanolin,Urea ซึ่งมักจะพบในกลุ่มเจลล้างหน้า หรือโฟมไม่มีฟอง เพื่อลดการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  3. ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพราะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงมากขึ้น
  4. ไม่ควรดูดสิวเสี้ยนในช่วงนี้ เพราะจะทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย
  5. งด หรือละเว้นการขัดหน้าด้วยครีมที่มีเม็ดขัดหน้าในช่วงนี้
  6. ควรดื่มน้ำสะอาด มากๆ เพื่อเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  7. ควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดเกลี้ยง เมื่อกลับถึงบ้าน และทาครีมบำรุงผิวทันที
  8. สำหรับผิวผสม บริเวณ T-zone ที่มัน อาจใช้สบู่ล้างหน้ าหรือโลชั่นเช็ดหน้าได้บ้าง
  9. มาส์คหน้า อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ด้วยครีมบำรุง สำหรับสาวผิวแห้ง
  10. หลีกเลี่ยง การทำ Peeling ไม่ว่า ด้วย AHAs,BHAs ,TCA หรือ ครีม เจลที่ส่วนผสมของกรดผลไม้ เพื่อป้องกันผิวหน้าลอกมากขึ้น
  11. กรณีที่ทำไอออนโตประจำ แนะนำให้ลดความเข้มข้นของ วิตามินเอที่ใช้ทำประจำ และเพิ่มสารหล่อลื่นผิว เช่น Hyaluronic
  12. กรณีที่รับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ เช่น roaccutane,acnotin,Isotane อาจจะต้องลด Dose ของยาลง หรือ งดรับประทาน ถ้าผิวหน้าแห้งตึงมาก
  13. นวดหน้าด้วยครีมบำรุง อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต
  14. ทาครีมบำรุง( Moisturizer) เช้าและก่อนนอนทุกวัน
  15. เมื่อมีปัญหาด้านผิวหน้า ควรพบแพทย์ประจำทันที
  16. ในผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าอักเสบเซ็บเดิร์ม อาจจะมีอาการกำเริบขึ้นได้ การทาครีมแก้แพ้ ครีมบำรุงผิว และพักผ่อนให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัย ที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น อัลกอฮอล์ ภาวะเครียด
  17. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การผิงไฟ หรือความร้อนที่ให้ร่างกายอบอุ่น เพราะจะยิ่งเพิ่มการแตก แห้ง ตึงของผิวพรรณ

ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวพรรณ

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
  2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง
  3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
  4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
  5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
  6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
  7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
  8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
  9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
Posted on

งานวิจัย : พักผ่อนนอนหลับแค่ไหน จึงไม่อ้วน

พฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่ : ดร.สันเจย์ ปาเทล จากมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอนของสตรีมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่
โดยได้ทำการสุ่มตัวอย่างผู้หญิงจำนวนกว่า 70,000 คน ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยด้านสุขภาพของสหรัฐฯ ในโครงการ ” Nurses Health Study” โดยนักวิจัยได้ติดตามเก็บข้อมูลน้ำหนัก และพฤติกรรมการนอนของผู้หญิงเหล่านี้นานถึง 16 ปี
ผลการวิจัย พบว่า
– ในผู้หญิงที่มีเวลานอนพักผ่อนคืนละ 5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านี้ จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5.4 ปอนด์
– สตรีที่มีเวลานอนพักผ่อนมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน และจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.6 ปอนด์ในช่วง 10 ปีต่อมา
เหตุผลที่ผู้หญิงที่นอนน้อยแล้วจะอ้วนได้ง่าย เพราะการที่คนนอนน้อย จะทำให้ร่ายกายอ่อนเพลีย เกิดความเครียด จึงทำให้อยากทานอาหารมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกายน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ฮอร์โมนตามธรรมชาติทีตอบสนองต่อความเครียดจากการนอนไม่พอ เปลี่ยนแปลง ทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง หรือทำให้พฤติกรรมการกินอาหารเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งกล่าวโดยสรุปพบว่า สตรีที่นอนน้อยกว่าวันละ 5 ชั่วโมง จะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 32% และจะมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน ( วัดจากค่าดัชนีมวลกาย BMI) ประมาณ 15 % ดังนั้นสาวๆ ทั้งหลาย รีบนอนแต่หัวค่ำกันเถอะ เพื่อสัดส่วนที่สวยงาม น่าหลงใหล

Posted on

ฺ น่องปูด น่องโต ฉีดโบ โชว์ขาเรียว ไม่เป็นมัด จัดไป ใส่ขาสั้นได้ ( Botox for Radish-like Legs)

น่องโต เกิดจากอะไร

เรียวขาที่สวยงาม เป็นจุดดึงดูดทางเพศแก่ผู้ชาย รองมาจากใบหน้าและหน้าอก น่องโต จึงปัญหาที่ทำให้สาวๆ ไม่กล้า ใส่ขาสั้น หรือชุดว่ายน้ำ อวดสายตาให้คนได้ ชาวจีนให้สมญานามของผู้หญิงน่องโตว่า “ขาหัวผัดกาดแดง ( Radish-like Legs)
น่องที่โต ก็คือ กล้ามเนื้อที่น่องที่เรียกว่า Gastrocnemius muscles ที่ทำหน้าที่ สำคัญในการเดิน การกระโดด หรือการวิ่ง งอหลังเท้า เหยียดนิ้วเท้า ถีบฝ่าเท้าลงและช่วยงอเข่าด้วย แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. กล้ามเนื้อน่องด้านใน (Medial Gastrocnemius-MG)
2. กล้ามเนื้อน่องด้านนอก (Lateral Gastrocnemius-LG)
 ส่วนฉายา “ขาหัวผักกาดแดง” ก็คือ การโตขึ้นของกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius (MG)
นอกจากนี้ ยังมีกล้ามเนื้อที่ลึกลงไปชั้นในใกล้กระดูกขา คือ กล้ามเนื้อ Soleus (SL) ทั้ง 2 มัดกล้ามเนื้อ ในส่วนปลายจะรวมตัวกันเป็นเอ็นร้อยหวาย ( Achillis Tendon)ที่ทำหน้าที่ในการเขย่งข้อเท้า งอข้อเท้า

การแก้ไขปัญหาน่องโต

1. การผ่าตัด : จัดเป็นวิธีดั้งเดิม ก่อนจะมีการฉีดสารโบทอกซ์ลดน่อง ได้ผลดี เร็ว และถาวร แบ่งเป็น
1.1 การผ่าตัดเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ (Selective Neurectomy) จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนี้อ่อนกำลังลง มีขนาดเล็กลง ซึ่งถือว่าทำให้ได้ผลเร็ว หลังผ่าตัดฟื้นตัวได้เร็ว แต่ข้อเสียคือ บอกไม่ได้แน่นอนว่าน่องจะลดลงแค่ไหน และอาจจะทำให้การควบคุม การทำงานของขาผิดปกติได้
1.2 การผ่าตัดกล้ามเนื้อน่องด้านใน ( Total excision of MG) วิธีนี้คือการตัดกล้ามเนื้อมัดนี้ออกไป ปัจจุบันไม่ค่อย นิยม เพราะทำให้เกิดรอยแผลผ่าตัดยาวถึง 5-8 ซม. ระยะเวลาพักฟื้นนาน และทำให้การทำงานของขาผิดปกติ
1.3 การผ่าตัดแบบเหลากล้ามเนื้อทั้ง 3 มัดMG+LG+SL ( Muscle sculture) ก็คือการค่อยๆ ตัดกล้ามเนื้อที่ไม่เข้ารูป ออกทั้ง 3 มัด โดยจัดแต่งให้เข้ารูปที่ต้องการ แต่ก็มีผลเสีย คือ ใช้เวลานานในการผ่าตัดและพักฟื้น ราคาแพง และเกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด

2. ฉีด Botox ลดน่อง : เป็นทางเลือกใหม่ ในการแก้ปัญหาน่องโตโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เกิดผลข้างเคียง ไม่ต้องพักฟื้น โดยแพทย์จะฉีด Botox ที่กล้ามเนื้อ Gastrocnemius ทั้งสองด้านนอกและด้านใน โดยเน้นที่กล้ามเนื้อน่องด้านในเป็นหลัก เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของน่องโตเป็นหัวผักกาดแดง
ผลการรักษา พบว่าทำให้สามารถลดขนาดน่องลงได้ภายใน 1-3 เดือน ผลงานนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะใน ประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์กลุ่มแรกๆ ที่นำสาร Botox มาแก้ปัญหาเหล่านี้
ส่วนปริมาณยูนิต ขึ้นอยู่กับขนาดน่องโตมากน้อยแค่ไหน โดยแพทย์จะทำการประเมินเบื้องต้น โดยจะให้คนไข้ยืนเขย่งเท้า เพื่อแสดงให้เห็นขนาดของ กล้ามเนื้อ แล้วจะทำเครื่องหมายรอบๆ บริเวณน่องโตดังกล่าว แล้วค่อยๆ ฉีด Botox เป็นจุดเล็กๆ ในปริมาณ 4 ยูนิตต่อพื้นที่ประมาณ 2 ตร.ซม. ซึ่งแต่ละข้างจะใช้ปริมาณโบท๊อกซ์ประมาณ 100-150 ยูนิตต่อน่อง 1 ข้าง แต่ด้วยการออกฤทธิ์ชั่วคราวของ Botox จึงต้องฉีดซ้ำทุก 6 เดือน

Posted on

ครีมทาหรือยากิน ในการรักษาโรคทางผิวหนัง ยาหมดอายุ ดูอย่างไร ใช้ยังไง ให้ได้ผล ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง

การใช้ยาทา และยารับประทาน สำหรับโรคผิวหนัง บางครั้ง ผู้จ่ายยาแก่ท่าน อาจจะให้รายละเอียดได้ไม่ชัดเจน ทำให้ประสิทธิผลการรักษาอาจจะไม่เต็มที่ หรือเกิดผลข้างเคียง……ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งจะได้นำประเด็นหลักๆ สำคัญมาให้ทราบดังนี้
แขมพูยา กลุ่ม Coal tars (น้ำมันดิน)
– เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบ รังแค สะเก็ดเงิน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของครีม ขี้ผึ้ง หรือแชมพู สำหรับแชมพู หลักการใช้ควรใช้น้ำอุ่นชโลมหนังศีรษะให้เปียกก่อน แล้วค่อยใช้แชมพูที่พอเหมาะทาถูให้ทั่วหนังศีรษะ แล้วทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วค่อยล้างออก อาจจะต้องสระซ้ำอีกครั้ง อาจจะสระทุกวันหรือทุกอาทิตย์แล้วแต่แพทย์จะสั่ง ส่วนกรณีที่เป็นแบบครีมหรือขี้ผึ้ง หลังทาควรจะเลี่ยง แสงแดด ระวังตัวยาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า หรือเส้นผม เพราะจะทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมเปลี่ยนสีได้
ยารับประทานแก้แพ้
– ยากลุ่ม Antihistamine เช่น Chlorpheniramine, Atarax ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการง่วงซึม ควรระมัดระวังในการขับขี่หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องกล ไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ หลังรับประทานยาแก้แพ้ เพราะจะเสริมฤทธิ์ทำให้ง่วงมากขึ้น นอกจากนี้ยาทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง และควรระวัดระวังในผู้ที่มีอาการหอบหืด ต้อหิน ยากลุ่มนี้ ไม่จำเป็นต้องทานตามแพทย์กำหนด เมื่ออาการดีขึ้น อาจจะหยุดยาเองได้

ครีมทาลดรอยดำ ( Depigmenting agents) 
ได้แก่ กลุ่มยา Hydroquinone ซึ่งจัดเป็นยาที่ใช้ได้ แต่ต้องอยู่ในความควบคุม หรือสั่งจ่ายได้เฉพาะจากแพทย์เท่านั้น จัดเป็นตัวยารักษารอยดำที่ได้ผลดีตัวหนึ่ง แนะนำให้ทาเฉพาะรอยดำตามลำตัวได้วันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าทาที่ใบหน้าให้ทาเฉพาะก่อนนอน และเลี่ยงแดด หรือทาครีมกันแดด ยาตัวนี้ ควรใช้เท่าที่จำเป็น เพราะยากลุ่มนี้ใช้ไปนานๆ อาจจะเกิดผลข้างเคียง เช่น ด่างขาวถาวร หรือรอยดำมากขึ้นจากผลของยา ปัจจุบันมียาตัวใหม่ๆ ที่มีสรรพคุณไวเทนนิ่งที่ปลอดภัยกว่ายาตัวนี้ ดังนั้นปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาทุกครั้ง ไม่ควรเลือกใช้ยาเอง ยากลุ่มนี้ควรเก็บในช่องเย็นธรรมดาไม่ต้องแช่แข็ง
ยารับประทานรักษาเชื้อรา
-ได้แก่ยา Griseofulvin และยา Ketoconazole ควรแนะนำให้รับประทานหลังอาหารทันที หรือรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันสูง จะทำให้ตัวยาดูดซึมได้ดี
– สำหรับยา Griseofulvin เมื่อรับประทานรักษาเชื้อรา ควรเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดด เพราะมีผลทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด และเลี่ยงการรับประทานอัลกอฮอล์เพราะจะทำให้ปวดศีรษะได้
– ส่วนยา Ketoconazole ไม่ควรรับประทานพร้อมยาลดกรด จะประสิทธิภาพของยาจะลดลง ยาทั้งสองตัว ควรรับประทานให้ครบกำหนดเวลาที่แพทย์สั่ง ไม่ควรหยุดยาเอง ส่วนกรณียาฆ่าเชื้อราแบบฟอกตามลำตัว (สำหรับรักษาสิวจากเชื้อราที่หลัง หรือกลาก เกลื้อน) ควรจะใช้หลังจากฟอกสบู่เสร็จแล้ว แล้วทาทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยไม่ต้องฟอกสบู่ซ้ำอีก

คำแนะนำอื่นๆ โดยทั่วไป

  1. การปิดทับยา มักจะใช้เพื่อต้องการให้ยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น มักจะใช้กับยาที่รักษาหูด หรือตาปลา โดยหลังทายาควรใช้ผ้าพันแผลหรือเทปปิดทับบริเวณที่ทายาทิ้งไว้ทั้งคืนหรือประมาณ 12 ช
  2. การเก็บรักษายา โดยทั่วไปจะระบุไว้ที่ฉลากการใช้ยา ถ้าไม่ระบุ ควรจะเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง อากาศถ่ายเทสะดวก อย่าปล่อยยาให้โดนแสงแดดเพราะจะทำให้ยาเสื่อมสภาพได้ ไม่ควรเก็บยาในที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว และหลีกเลี่ยงการเก็บยาไว้ในที่มีอากาศร้อน และไม่ควรเก็บยาไว้ในตู้เย็น ยกเว้นยาครีมบางชนิด แต่ก็ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง
  3. ครีมหรือขี้ผึ้ง ให้สังเกตการแยกชั้นของตัวยา หรือการหดตัวของครีม หรือจุดด่างดำที่เนื้อครีม (ซึ่งแสดงว่ามีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์) ถ้าสังเกตพบ แนะนำให้หยุดใช้ยานั้นทันที เพื่อป้องกันผลข้างเคียง หรือประสิทธิภาพของยาอาจจะลดลง
  4. ยาเม็ด ที่เปลี่ยนสี แตกร่วน หรือสีซีดลง หรือมีกลิ่น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนจะใช้ยาต่อไป
  5. ยาแคบซูล ที่มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น บวมหรือพองออก หรือจับกันแน่น ผงยาเปลี่ยนสี ควรหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์
  6. ยาน้ำ ถ้ามีการตกตะกอน หรือความสม่ำเสมอของยาไม่เท่ากัน มีการแยกชั้น ซึ่งเมื่อเขย่าให้เข้ากันแล้ว ทำไม่ได้ ควรหยุดใช้ทันที
  7. การสังเกตยาหมดอายุ ควรดูวันที่ที่ผลิต และวันหมดอายุ ถ้าไม่มีระบุไว้ ให้ใช้หลักเกณฑ์ดังนี้

7.1 ยาเม็ด มักจะมีอายุได้ประมาณ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.2 ยาน้ำ มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.3 ยาฉีด มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.4 ยาครีม มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์
7.5 ยาขี้ผึ้ง มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต หรือวันที่ได้รับยาจากแพทย์

Posted on

สิว ไม่อยากไปหาหมอ หรือร้านยา สั่งออนไลน์มีหลักในการเลือก และใช้ยาอย่างไร

ยาสิวมีอะไรบ้าง เลือกตัวไหน แล้วใช้อย่างไร

1. ครีมแก้อักเสบฆ่าเชื้อสิว : ที่นิยมใช้กันในการทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว ได้แก่ กลุ่ม Erytromycin,Clindamycin
วิธีใช้ แนะนำว่าก่อนใช้ ควรล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง แล้วค่อยทายาให้ทั่วบริเวณที่เป็นสิว วันละ 2 ครั้ง การทาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นบริเวณที่ทา ทิ้งไว้อาการจะหายไปได้เอง ควรทายาทิ้งไว้จนแห้งสนิทจึงค่อยทายารักษาสิวตัวอื่นๆ ไม่ควรหยุดยาเอง แม้อาการสิวจะดีขึ้น
ข้อควรระวัง ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะกลุ่มนี้มักจะต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จากการทากลุ่มนี้ คือ ผิวหนังแห้ง ระคายเคือง การเก็บรักษายากลุ่มนี้ ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา ไม่ต้องแช่แข็ง
2. Benzoyl peroxide( BP) : จัดเป็นครีมทาป้องกันและรักษาสิวที่ดีตัวหนึ่ง ที่ยังไม่มีรายงานการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียสิว
วิธีใช้ มักจะให้ทาก่อนล้างหน้า ก่อนทาครีมตัวนี้ ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด และทำผิวหน้าให้สะอาดก่อน อาจจะทาทั่วหน้าหรือทาทิ้งไว้บริเวณที่เป็นสิว ประมาณ 5-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
ข้อควรระวัง การทายาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นเล็กน้อย ถ้าทนไม่ไหว อาจจะลดระยะเวลาในการทาทิ้งไว้ เหลือ 5 นาที วันละครั้ง เมื่อสภาพผิวหนังปรับสภาพทนยาได้ดีขึ้น จึงค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการทาทิ้งไว้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการทายา บริเวณที่ผิวหน้าบอบบาง เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก หรือเนื้อเยี่ออ่อน ระวังยาอย่าให้สัมผัสกับเสื้อผ้า หรือเส้นผม เพราะยาอาจจะกัดให้เกิดรอยด่างได้
– กรณีที่ต้องการใช้ยาทาวิตามินเอร่วมด้วย (เพื่อรักษาสิวอุดตัน) ควรทายาห่างกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลงแล้ว ยังทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้มากขึ้นได้

3. ครีมทาสิวอุดตันกลุ่มวิตามินเอ ( Retinoids ) : จัดเป็นกลุ่มยาทาที่ใช้กันบ่อยๆ ในการรักษาสิว โดยเฉพาะกลุ่มสิวอุดตัน เช่น Retin-A , Tretinoin, Differin
วิธีใช้ ควรใช้เมื่อผิวหน้า แห้งสนิทหลังล้างหน้าประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองลงได้ ระยะเวลาในการเห็นผลจึงต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์ การทาครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแสบหรืออุ่นบริเวณที่ทา ควรทายาทั่วใบหน้าในตอนกลางคืน และใช้ครีมกันแดดในช่วงเช้า
ข้อควรระวัง ไม่แนะนำให้ทาตอนเช้า เพราะตัวยาจะไวต่อรังสียูวี ในสัปดาห์แรกๆ ของใช้ยาทากรดวิตามินเอ อาจจะเกิดอาการสิวเห่อได้มากขึ้น ไม่ต้องหยุดทายา ให้ทาต่อไปเรื่อยๆ สิวจะค่อยๆ ฝ่อและหลุดหายไป
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ ผิวหนังลอก แดง และแห้ง ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่การแพ้ยา เมื่อผิวหน้าปรับสภาพได้ดีขึ้น อาการเหล่านี้จะลดลง
4. ยารับประทานกลุ่มวิตามินเอ(Vitamin A derivatives): ได้แก่ Roaccutane,ISOTANE,Acnotin เป็นยารับประทานสำหรับกรณีรักษาสิวที่เป็นรุนแรง ลดหน้ามัน
ข้อควรระวัง ผิวหน้าจะไวต่อแสง ปากแห้ง คอแห้ง ตาแห้ง (ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์) ผมร่วง (พบได้ร้อยละ 10) มีผลต่อทารกในครรภ์ และระดับไขมันในเลือดสูง หรือตับทำงานผิดปกติได้ ยากลุ่มนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

5. ยาปฏิชีวนะรับประทาน : หรือยาแก้อักเสบที่ใช้รักษาสิว ยากลุ่มนี้ ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่
5.1 กลุ่มยา Tetracycline : ที่นิยมใช้และรู้จักกันดี ได้แก่ Tetracyclines,Doxycycline
ข้อควรระวัง
1. ไม่ควรรับประทานช่วงที่ท้องว่าง เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้
2. ไม่แนะนำให้ทานร่วมกับนมหรือยาลดกรดหรือยาที่มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้การดูดซึมยาลดลง
3. ไม่แนะนำให้ทานร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดลดลง หรือถ้าจำเป็น ควรทานห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง หรือเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ยาฉีดคุมกำเนิดหรือถุงยางอนามัย
5.2 กลุ่มยา Co-trimoxazole : อาทิเช่น Bactrim มักจะใช้กรณีที่สิวที่เกิด ไม่ได้เกิดจากเชื้อสิวปกติ
วิธีใช้ หลังรับประทานควรดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่ว มักจะพบปัญหาแพ้ยากลุ่มนี้ได้บ่อย อาการที่พบได้ คือ เกิดตุ่มน้ำพองใส มีผื่นแพ้ คัน และเจ็บคอ ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรหยุดยาทันที และรีบปรึกษาแพทย์
6. ยาทาลอกขุย (Peeling Agents) : ได้แก่กลุ่ม Salicylic acids,AHA,BHA,Sulfur มักจะใช้ในการรักษาสิวบริเวณอื่นๆ เช่น ลำตัว คอ แขน ขา เพื่อทำให้เกิดการหลุดลอกของสิว ทำให้สิวฝ่อ หรือทำให้หัวสิวเปิดออก แล้วหยุดออกไปเอง
วิธีใช้ เวลาใช้ต้องล้างหน้าและอาบน้ำให้สะอาด (กรณีสิวตามลำตัว) ซับให้แห้ง ทายาบางๆ 1-2 ครั้งต่อวัน โดยไม่ต้องล้างออก ถ้าต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียสิว ชนิดน้ำหรือเจลร่วมด้วย แนะนำให้ทาหลังยากลุ่มนี้ ยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิว ไม่ต้องหยุดยา อาการจะหายไปได้เอง เมื่อใช้ยาไปซักระยะเวลาหนึ่ง ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ไปนานๆ มักจะการเปลี่ยนสภาพ เช่น สีอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล แสดงว่ายาเสื่อมสภาพ ให้ทิ้งไปไม่ต้องใช้ต่อ

Posted on

ผิวมัน (Oily Skin) ทาแป้งไม่ติด คิดแก้ไขอย่างไร จะได้ไม่เกิดสิว รูขุมขนกว้าง

ผิวมัน เกิดจากอะไร

ผิวมันเกิดจากต่อมไขมันบนใบหน้าผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป โดยมักพบได้ในชาย มากกว่าหญิง พบในวัยรุ่น จนถึงวัยกลางคน ปัญหาหน้ามันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และรูขุมขนกว้าง ในภายหลังได้ โดยปัจจัยที่อาจทำให้หน้ามัน ได้แก่

  • กรรมพันธุ์ ลักษณะทางพันธุกรรมที่ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป อาจถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นได้
  • สภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็อาจทำให้เกิดหน้ามันได้เช่นกัน
  • ระดับฮอร์โมนเพศชายในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น เข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ หรือป่วยด้วย ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อจนทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายขาดความสมดุล
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าหรือเครื่องสำอาง เพราะเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจทำให้ความมันบนใบหน้าขาดความสมดุล

การป้องกันและแก้ไข

 1. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือก สบู่ล้างหน้า อาจเป็นก้อน หรือ สบู่เหลวก็ได้ เพราะในสบู่ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟอง ซึ่งสามารถลดความมันบนใบหน้าได้ ผู้ที่มีผิวมัน สามารถล้างหน้าได้บ่อย 4-5 ครั้งต่อวันได้ ในกรณีที่ไม่สามารถพกพาสบู่ล้างหน้าไปได้ในทุกที่ การล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่หน้ามัน ก็เป็นสิ่งที่ดี การใช้เจลล้างหน้า หรือโฟม ควรเลือกเป็นพิเศษสำหรับผิวมัน แต่มักล้างความมันบนใบหน้าได้น้อยกว่าสบู่ล้างหน้า
     2. โลชั่นหรือโทนเนอร์ เพื่อเช็ดหน้าลดความมัน เป็นสิ่งที่แนะนำให้ใช้ ถ้าล้างหน้าด้วยสบู่อย่างเดียวแล้วผิวหน้ายังมันอยู่
     3. Oil Control Products ซึ่งจะช่วยซับความมัน ควรเลือกที่มีอนุภาคเล็กๆ ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปซับได้ในรูขุมขน ซึ่งต้องมีขนาดที่เล็กมากเป็น Micron 
     4. ครีมกันแดด เลือกลักษณะที่เป็นโลชั่น หรือ ครีมที่มี SPF = 15 ก็เพียงพอ เพราะถ้าเลือกครีมกันแดด ที่มี SPF สูงกว่านี้มักจะมีความมันสูง ก่อนใช้ครีมกันแดดยี่ห้อใด ควรลองทาครีมบริเวณท้องแขน เพื่อทดสอบอาการแพ้ หรือ ความมัน ก่อนการตัดสินใจในการซื้อครีมกันแดด
     5. หลีกเลี่ยงของมัน ขนมหวาน ไอสครีม และอาหารที่มีแคลอรี่สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

6. ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน Progesterone เฉพาะชนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมน Angrogen ได้ จึงสามารถทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันลดลงได้ แต่การทำงานดังกล่าวอาจรบกวน การมีประจำเดือนในผู้หญิงได้ จึงได้มีการเสริมฮฮร์โมนเพศหญิงคือ Estrogen ร่วมด้วย  จึงอยู่ในลักษณะคล้ายยาคุมกำเนิด คือบรรจุเป็นแผง 21 เม็ด ที่นิยมใช้ในคลินิกผิวหนังก็คือ Dian-35  แต่ในผู้ชาย ไม่แนะนำให้รับประทาน เพราะมีผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชาย อาจจะทำให้สมรรภภาพทางเพศลดลง หรือมีนมโต( Gynecomastia )ได้ ซึ่งแม้จะหยุดทานยา อาการนมโต ก็ไม่อาจจะหายได้
7. ยารักษาสิว กลุ่ม Retinoids เช่น Roaccutane หรือ Acnotin วันละ10-20 มก.ต่อวัน ก็เป็นการช่วยได้มาก เพราะยาในกลุ่มนี้ จะช่วยลดการสร้างไขมันที่ต่อมไขมันบนใบหน้า นอกจากนี้ยังช่วยรักษาปัญหาสิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง และริ้วรอยแผลเป็นได้ดี แต่ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์  เพราะกรณีที่รับประทานติดต่อกันนานๆ อาจจะมีผลต่อตับ และไขมันในเลือดผิดปกติได้ นอกจากนี้ อาจจะมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
8. Fractional Laser:   ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm  เช่น Fraxel หรือ Fine scan 1550 nm โดยพบว่าพลังงานเลเซอร์ได้ไปทำให้ต่อมไขมัน ทำงานลดลง จึงลดหน้ามันได้ดี ปัจจุบันแพทย์จะแนะนำให้เลือกวิธีนี้ มากกว่าการรับประทานยา ลดหน้ามัน เพราะไม่มีผลข้างเคียง แลัวยังช่วยรักษาและป้องกันสิวได้ทุกชนิด กระชับรูุขุมขน ลดริ้วรอย ฯลฯ

Posted on

LED Light Therapy : รักษาสิว ผิวแพ้ง่าย รอยแดงสิว ด้วยคลื่นแสง อีกทางเลือกที่ไม่เจ็บ ไม่มีผลข้างเคียง

แสงรักษาสิวได้อย่างไร

หลักการรักษาสิวด้วยแสงนั้น ได้มีการทดลองหลายๆ แห่ง พบว่า แสงบางช่วงคลื่น สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ ( P.acnes) ไม่แพ้กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
เหมาะสำหรับคนสิวแบบไหน : เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบ บวมแดง สิวหัวหนอง และเบื่อกับการทาครีมรักษาสิว หรือไม่อยากรับประทานยารักษาสิว กลัวผลข้างเคียง พบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาสิวด้วยแสง จะมีอาการโดยรวมดีขึ้น เร็วขึ้น นอกจากนี้การรักษาด้วยแสงได้มีรายงานว่า ในคนที่ทานยากลุ่ม Retinoids
( roacutane,acntoin,Isotane) เพื่อคุมสิว เมื่อสิวสงบ ก็หยุดทานยา แล้วมาฉายแสงควบคุม พบว่าสามารถลดการกลับมาเป็นสิวกำเริบซ้ำอีก

แสงแบบไหนรักษาสิวได้

Blue light therapy  เป็นคลื่นแสงสีน้ำเงิน ความยาวช่วงคลื่นที่ 407-420 nm. ที่ได้รับการยอมรับจาก FDA ของอเมริกา หลักการทำงานโดยการฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว ( P.acne)และใช้รักษาสิวอักเสบ ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาชนิดอื่น Blue Light ในปัจจุบัน จะไม่มี UV light เป็นส่วนประกอบ เนื่องจาก UV light จะทำอันตรายกับผิวหนังได้ พบว่าการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้ผลประมาณ 55-60%
แม้การรักษาสิวด้วยแสง จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ไม่อยากแนะนำให้รักษาเป็นทางเลือกอันดับแรก น่าจะเป็นการรักษาเสริม การรักษาสิวแบบมาตรฐาน เพราะใช้รักษาสิวด้วยแสง  ได้ผลดีเฉพาะสิวอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เท่านั้น ถ้าเป็นสิวอุดตัน หรือสิวที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ยังไม่มีรายงานว่าได้ผลชัดเจน ดังนั้นควรพบแพทย์ ปรึกษาหาสาเหตุ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมตามลำดับขึ้น

Posted on

มังคุด(Mangosteen): ราชินีแห่งผลไม้ไทย เปลือกใช้รักษาโรคทางผิวหนัง สมานแผล แก้ท้องเสียได้

มังคุด(Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gardinia mangosteen Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae จัดเป็นไม้ผลเมืองร้อน ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งผลไม้” ด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด รสชาดอร่อย อย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้
เปลือกของมังคุด
คนไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดมาเป็นยารักษาโรคมานานแล้ว เปลือกมังคุดรสฝาดสมาน
รสฝาดในเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสติมีสรรพคุณดังนี้ มาใช้ประโยชน์ดังนี้
1. ยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
2. สมานแผล ลดดการอักเสบ และช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิมได้ด้วย
3. โรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน จากเชื้อรา บรรเทาอาการผดผื่นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันทั้งหลาย

เปลือกมังคุด กับการรักษาแผนโบราณ

เอกสารอ้างอิง. “สมุนไพรน่ารู้” วันดี กฤษณพันธ์ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2541
“สุขภาพดีด้วยสมุนไพรใกล้ตัว (9)” โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น กรกฏาคม 2541
“รู้คุณรู้โทษโภชนาการ ” นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ สำนักพิมพ์ รีดเดอร์ส ไดเจสท์( ประเทศไทย) จำกัด กันยายน 2543

Posted on

งานวิจัย: ยาคุมกำเนิด ลดอาการปวดท้องรอบเดือน (Dysmenorrhea) ลงได้หรือไม่

อุบัติการณ์การเกิดอาการปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) พบได้ประมาณ 15% ของวัยรุ่นผู้หญิง ซึ่งอาการจะรุนแรงมากน้อย ต่างก็มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ในสตรีวัยรุ่น พบเพียง 1 ใน 7 รายเท่านั้นที่ไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจะอายแพทย์ หรือเกรงว่าจะมีการตรวจภายใน ทำให้ส่วนที่เหลือยังคงใช้ความอดทนอย่างมาก กับอาการเหล่านี้ทุกๆ ครั้งที่มีรอบเดือน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ ว่าจะสามารถช่วยรักษาอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ได้หรือไม่
ขั้นตอนการวิจัย
สุ่มตัวอย่างวัยรุ่นในอเมริกา จำนวน 74 คน ( อายุเฉลี่ย 16.8 ปี) มาทำการศึกษาวิจัย โดยในกลุ่มที่ทำการทดลอง มีอาการปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ดังนี้
– ระยะรุนแรงถึง 58%
-ระยะปานกลางถึง 42%
โดยให้รับประทานยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ ( ประกอบด้วย Ethinyl estradiol 20 microgram+Levonorgestrel 100 micrograms ) เปรียบเทียบกับยาหลอก (Placebo) โดยติดตามอาการหลังทำการวิจัย ประมาณ 3 เดือน โดยทุกคนยังสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

ผลการทดลอง พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลอง มีความรุนแรงของอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับ การใช้ยาหลอก และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดลดลงในเดือนที่ 2-3 ของการวิจัย และยังพบอีกว่า กลุ่มที่ลองรับประทานยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ 61% ไม่จำเป็นต้องใช้ ยาแก้ปวดเลย ในรอบเดือนที่ 3

จากผลงานวิจัย แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาคุมกำเนิดสามารถใช้รักษาอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ลงได้ และสตรีวัยรุ่นทุกคนก็ยินดีที่ใช้ยาต่อไป เนื่องจากว่ายาคุมกำเนิดขนาดต่ำมีความปลอดภัยสูง และผลข้างเคียงน้อยมาก และทำให้ไม่จำเป็นต้องไปตรวจภายในจากอาการดังกล่าว เพราะนอกจากจะทำให้อาการปวดท้องดีขึ้นแล้ว ผลพลอยได้จากยาคุมกำเนิดก็คือ ช่วยป้องกันและรักษาสิว ผิวหน้ามันได้อีกด้วย

Posted on

ปากแห้ง คอแห้ง น้ำลายเหนียว สาเหตุจากอะไร อันตรายหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไรให้ดีขึ้น

ปากแห้ง คอแห้ง หมายถึง ริมฝีปาก และภายในบริเวณ ช่องปากทั้งหมด แห้งหรือไม่มีน้ำลาย นอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายในช่องปากแล้ว ยังพบว่า ผู้ที่อยู่ในสภาวะปากแห้งจะพบว่าฟันจะผุ เป็นแผลได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณคอฟันเพราะไม่มีน้ำหรือน้ำลาย มาชะล้างคราบอาหารออกจากผิวฟัน และทำให้มีกลิ่นปากได้ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะเหงือกอักเสบ เป็นแผลร้อนในได้ง่าย
สาเหตุ ที่ทำให้เกิดปากแห้งมีหลายสาเหตุที่พบได้บ่อยๆ ดังนี้

  1. การขาดน้ำ ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยหรืออยู่ในสภาวะบางอย่างที่ดื่มน้ำไม่ได้ เช่น ผู้ที่พูดอยู่เป็นเวลานาน ผู้ที่ท้องเสียรุนแรง ภาวะไข้สูง
  2. ผู้ที่ออกกำลังกายเสียเหงื่อออกมาก และไม่ได้ดื่มน้ำชดเชยปริมาณที่พอเพียง
  3. การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาลดน้ำมูก ยารักษาสิวบางตัว( ที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่ Roaccutane,Isotane,Acnotin) ยากดประสาททางจิตเวช ซึ่งยาเหล่านี้ จะลดการไหลของน้ำลายลงไปด้วย จะทำให้ปากและคอแห้งในช่วงที่รับประทานยาอยู่ และอาการปากแห้งจะหายไปเมื่อหยุดยา
  4. ผู้ที่หายใจทางปาก ซึ่งอาจเกิดจากโรคหรือสภาวะบางอย่าง เช่น ขณะเป็นหวัดมีการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก หายใจไม่ออกต้องหายใจทางปาก ก็ทำให้ปากแห้งได้หรือผู้ที่เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบ มีเนื้องอกในโพรงจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องหายใจทางปากแทน ผู้ที่นอนอ้าปากหรือนอนหายใจทางปาก ทำให้ปากและคอแห้งได้ สังเกตได้จากตื่นเช้ามา มักจะเจ็บคอ หรือคอแห้ง
  5. ผู้ที่ได้รับการฉายรังสี เพื่อรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และลำคอหลังจากฉายแสงแล้วมีอาการปากแห้งได้ เพราะต่อมน้ำลายและต่อมที่ผลิตน้ำเมือกถูกทำลาย น้ำลายจึงน้อยลงซึ่งทำให้เกิดสภาวะปากแห้งอยู่ตลอดเวลา
  6. ความเครียด เชื่อว่าความเครียดจะทำให้ต่อมน้ำลาย และน้ำเมือกทำงานลดลง
    การแก้ไข
    ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะปากแห้ง คอแห้ง จะต้องจิบน้ำบ่อยๆ และแนะนำว่าควรจะเป็นน้ำเย็นหรือน้ำที่ไม่ร้อนมาก เพราะน้ำร้อนจะไปทำให้อาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากปากแห้งเป็นมากขึ้น และควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรเป็นน้ำผลไม้ น้ำอัดลม หรือน้ำหวาน เพราะน้ำเหล่านี้มีกรด และน้ำตาลผสมอยู่ ถ้าจิบบ่อยๆ นอกจากจะทำให้ฟันผุได้ง่ายแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาล มากเกินความจำเป็นได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ จะทำให้ท้องอืดได้ ส่วนผู้ที่หายใจทางจมูกไม่สะดวก ควรให้แพทย์ตรวจดูเพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขเสีย ควรป้องกันฟันผุ ด้วยการอมน้ำยาบ้วนปากฟูลออไรด์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้สภาวะปากแห้งมากขึ้น และควรให้ทันตแพทย์ทำความสะอาดฟัน และเคลือบฟลูออไรด์ทุก 6 เดือนด้วย
Posted on

ยาระบาย ช่วยลดน้ำหนัก ได้จริงมั้ย

ยาระบาย คืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร

ยาระบายหรือยาถ่าย คือกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย ให้มีการขับถ่ายอุจจาระออกจากร่างกาย หรือถ่ายหนัก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ได้ผลดีแตกต่างกัน แล้วแต่กลไกการทำงานและระยะเวลาในการออกฤทธิ์

ชนิดของยาระบาย แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้

  1. ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (stimulant laxatives) เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และใช้เพื่อลดความอ้วน เช่น ยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็กๆ ที่มีชื่อสามัญทางยา “บิสโคดิล” (bisacodyl) หรือ Dulcolax
  2. ยาเพิ่มความเหลวของอุจจาระ (saline laxatives)
  3. ยาเพิ่มกากใยไฟเบอร์ของอุจจาระ (bulk forming laxatives)
  4. ยาสวนทหวารหนัก (fleet enema) ยาเหน็บทวารหนัก (suppositories)

ยาระบายช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่ ?

ไม่จริง เพราะยาระบาย จะออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่บีบตัวไล่อุจจาระที่สะสมอยู่ออกทิ้งไป จึงมีฤทธิ์ช่วยการระบายอุจจาระเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อการลดการดูดซึมอาหาร หรือลดความอ้วนหรือลดไขมันที่สะสมบริเวณท้องหรือพุงของเราเลย แต่อาจจะส่งผลบ้างเล็กน้อยต่อน้ำหนักตัวที่ลดลงตามน้ำหนักของอุจจาระที่ถ่ายทิ้งออกไปจากร่างกาย เราเท่านั้น

ข้อควรระวังในการใช้ยาระบาย 

  1. ควรใช้ในขนาดที่เหมาะสม แต่ละคนมีความต้องการขนาดของยาที่แตกต่างกัน ตามความรุนแรงของอาการท้องผูก โดยเริ่มด้วยขนาดต่ำ หรือครั้งละ 1 เม็ด ก่อนนอนก่อน ถ้ายังได้ผลไม่ดี จึงค่อยๆ เพิ่มขนาด แต่ก็ไม่ควรจะเกินวันละ 5 เม็ด เพราะถ้ามีการใช้ยานี้มากเกินไปหรือเกินขนาด ก็จะไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่มากเกินไป จนทำให้เกิดปวดมวนท้อง และอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียน้ำและเกลือแร่ออกมากับอุจจาระมากเกินไปได้
  2. ยาระบายจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์หลังจากกินไปแล้ว 8 ชั่วโมง ถ้ากินก่อนนอน ก็พอดีกับเวลาที่เราพักผ่อนตอนกลางคืน พอตื่นนอนขึ้นมา ยาก็เริ่มแสดงฤทธิ์ เริ่มปวดท้องถ่ายอุจจาระพอดี
  3. ในการใช้ยาระบาย “ห้ามเคี้ยว” ทั้งนี้เพราะยาบิสโคดิลเป็นยาเม็ดที่ถูกออกแบบให้ภายนอก เคลือบน้ำตาลเป็นเกราะป้องกันกรดของกระเพาะอาหาร ยาชนิดนี้จึงไม่แตกตัวและออกฤทธิ์ในลำไส้ส่วนต้น และจะเริ่มแตกตัวไปออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วนปลายเท่านั้น
  4. ควรใช้ยาระบายนี้เท่าที่จำเป็น เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนานๆ ร่างกายของเราจะเริ่มทนต่อยา และจะทนต่อยามากขึ้นเรื่อยๆ ตามความถี่และปริมาณการใช้ยา การทนต่อยา คือการใช้ยาในขนาดเท่าเดิมแต่จะให้ผลในการรักษาลดน้อยลงกว่าเดิม ถ้าต้องการให้ยาออกฤทธิ์ให้ผลเช่นเดิม ต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้น
    ควรใช้ยานี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ใช้เมื่อมีข้อบ่งใช้หรือเมื่อท้องผูกและต้องการระบายอุจจาระจริงๆ และไม่ควรใช้ยาระบาย สำหรับการลดความอ้วน เพราะไม่มีผลต่อการลดความอ้วน หรือลดน้ำหนักเลย และถ้าใช้พร่ำเพรื่ออาจเกิดภาวะดื้อหรือทนต่อยา ต้องเพิ่มขนาดของยา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อสุขภาพและทรัพย์สินเงินทอง

Posted on

7 ข้อที่ควรต้องรู้ ถ้าคิดจะพิชิตพุง ให้ได้ผล

ดูอย่างไรว่าไม่มีพุง

การมีพุง บ่งบอกถึงการไม่ดูแล ใส่ใจในสุขภาพของตนเอง อาจจะพบว่าป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน (ส่วนใหญ่) โรคตับแข็ง ฯลฯ
พุง เกิดจากการที่ไขมันมาพอกพูน ไม่ใช่เฉพาะที่หน้าท้อง แต่มีการพอกพูนของไขมันที่เครื่องในด้วย เช่นลำไส้และเนื้อเยื่อรอบและหลังลำไส้ด้วย พุงที่หลามออกมาอย่างนี้มักจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะผู้หญิงเวลาอ้วนมักจะมีไขมันไปพอกพูนที่ตะโพกและต้นขามากกว่า
ผู้ชายที่อ้วนจึงมีลักษณะของลูกฝรั่ง หรือแอปเปิลที่อ้วนกลาง ส่วนผู้หญิงที่อ้วนมักจะมีรูปลักษณ์ของชมพู่คืออ้วนตรงฐาน ส่วนผู้หญิงสูงอายุที่อ้วนอาจจะมีลักษณะพุงหลามเหมือนผู้ชายได้เหมือนกัน
สูตรคำนวณว่ามีพุงหรือไม่
ดัชนีวัดพุง = วัดรอบเอว / วัดรอบสะโพก
– ชายไม่ควรเกิน 0.95
– หญิงไม่ควรเกิน 0.80
ถ้าใครได้ค่าเกินกว่านั้นควรจะทำ ถือว่ามีพุง

7 ข้อคิด พิชิตพุง

  1. ต้องรู้ว่าหญิงจำเป็นต้องออกแรง ในการลดพุงมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้เพราะสัดส่วนไขมันต่อกล้ามเนื้อ ในผู้หญิง > ผู้ชาย
  2. การลดอาหาร จะนับเป็นแคลอรีเป็นหลัก ควรการเลือกชนิดของอาหารทีแมีแคลอรี่น้อย แต่อิ่มถือว่าสำคัญ
  3. ลดพุงได้ดีคือการออกกำลังกายทุกส่วน โดยพบว่า
    3.1 การออกแรงไม่หนักแต่นานนั้นจะเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่
    3.2 การออกแรงแบบหนักแต่ไม่นานนั้นจะเผาผลาญแป้งที่อยู่ในตัวและกล้ามเนื้อ
    จึงแนะนำให้ออกกำลังทั้งสองอย่าง จึงจะช่วยในการลดพุง เพนสะการเล่นกล้ามท้องอย่างเดียวไม่ช่วยในการลดพุงได้เพียงพอ การลดพุงที่ได้ผลคือ การลดไขมันสะสมทั้งร่างกาย แต่การเล่นกล้ามท้องก็จะช่วยในแง่ดึงรั้งให้ท้องยุบลงแลดูสวยงาม
  4. ไม่เครียด เพราะความเครียดจะไปทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน 2 ตัว คือ
    4.1 แอดรีนะลีน ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรง ความดันเลือดพุ่งสูง
    4.2 ฮอร์โมน Cortisol จะช่วยเสริมฤทธิ์ตัวแรกในการผลักดันไขมันให้ไปพอกพูนอยู่ที่ท้อง
  5. ใครก็ลดพุงได้ ถ้าตั้งใจ ไม่เกี่ยวกับเพศและอายุ
  6. อย่าอ้างอ้วนเพราะกรรมพันธุ์ เพราะกรรมพันธ์มีส่วนอยู่เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือ 60-65% เกี่ียวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วไม่เผาผลาญ
  7. ตั้งสติ ตั้งใจ อย่างจริงจังเหมือนกับการตั้งใจทำงาน ห้ามพูดคำว่า ขี้เกียจ,ไม่มีเวลา,ช่างมันเถอะ แก่แล้ว ฯลฯ