Posted on

Drug allergy: แพ้ยา หรือไม่ ดูยังไง วิธีแก้ไขเบื้องต้นก่อนแพทย์ ทำอย่างไร

ภาวะแพ้ยา เกิดได้บ่อย พบได้ ประมาณร้อยละ 1-5 ส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกริยาไวเกิน( Hypersensitivity ) ของร่างกายต่อยาที่ใช้ อาจเกิดทันที ในเวลาไม่กี่นาที หรืออาจจะภายหลังได้
หรืออาจจะเคยรับประทานยาชนิดนี้มาก่อน แล้วไม่แพ้ แต่ในระยะเวลาต่อมา เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นอย่าได้ชะล่าใจ นะครับว่า ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยแพ้ยา แต่มาระยะหลัง ( แก่ขึ้น ) จะมาแพ้ยาตัวนี้ได้
กลุ่มยาที่มักทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย
1. กลุ่ม Penicillin เช่น Amoxycillin,Cloxacillin,Dicloxacillin ซึ่งมักเป็นยาแก้อักเสบ ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค แกรมบวก
แพทย์มักจะใช้รักษาการติดเชื้อของระบบหายใจ ผิวหนัง เช่น ไข้หวัด ปอดบวม แผลอักเสบผิวหนัง แผลฝีหนอง ฯลฯ
2. กลุ่ม Sulpha เช่น Bactrim ใช้รักษาฆ่าเชื้อโรคแกรมลบ ในระบบทางเดินอาหาร ระบบปัสสาวะ เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
3. กลุ่ม NSAID ( non-steroidal antiinflammatory drug) เช่น Brufen , Aspirin , Indomethacin ใช้รักษาโรคทางกระดูกและข้อ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ เก๊าซ์ เส้นเอ็นอักเสบ ปวดหลัง
4. กลุ่ม Barbiturate ใช้ในโรตลมชัก

ลักษณะอาการที่พบ

– ถ้าเป็นการแพ้ครั้งแรก มักเกิดผื่นแดงแบบจุดแดง คัน ( maculopapular rash) เกิดหลังกินยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าได้รับซ้ำอีก อาจเกิดผื่นได้เร็วขึ้น แต่อาจรุนแรงมากขึ้น จนเป็นปื้นแดงทั่วตัว แบบ erythema rash ถ้ารุนแรงมาก อาจมีอาการทางร่างกาย เช่น ไข้ต่ำๆ ปวดตามตัว คลื่นใส้ อาเจียนได้
– อาจพบลักษณะอาการแพ้ยา โดยมีผื่นแบบอื่นๆ ได้ เช่น ลมพิษ(urticaria) รอยจ้ำช้ำเฉพาะที่( fixed drug eruptions) ภาวะไวต่อแสงแดด (Phtosensitivity) ผนังเส้นเลือดอักเสบ(vasculitis) ฯลฯ

แนวทางการรักษา ก่อนไปพบแพทย์ 

  1. ถ้าสงสัย หยุดใช้ยาทันที และพบแพทย์ที่รักษาและให้ยา จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะทราบว่าให้ยาอะไรแก่ท่าน และถ้าไม่สะดวก ควรพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุดก่อน และนำยาที่รักษาไปด้วย ถ้าทราบชื่อยายิ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษา
  2. ถ้ามี่ยาแก้แพ้ หรือแก้คัน เช่น Chorpheniramine, Actifed, Atarax อาจรับประทานก่อน 1 เม็ดทันที ก่อนพบแพทย์เพื่อป้องกันมิให้อาการแพ้ลุกลาม
  3. ทายาแก้แพ้ เช่น Stroid cream ,Calamine lotions กรณีที่คันมากๆ ก่อนพบแพทย์ เพื่อป้องกันการเกาให้เกิดเป็นแผล
  4. เมื่อพบแพทย์ แพทย์มักให้ยาในกลุ่ม Antihistamine,Steroid ทั้งในรูปของยารับประทานหรือยาฉีด หรือให้นอน รพ. เพื่อสังเกตอาการ กรณีที่อาการแพ้รุนแรงมาก
Posted on

Bikini Bottom : ผืื่นบั้นท้าย สิวที่ก้น ของคนที่ชอบใส่ชุดว่ายน้ำเปียกแฉะตลอดเวลา

หน้าร้อนนี้ หลายๆท่านคงใช้เวลาว่างในการคลายร้อน ด้วยการว่ายน้ำ หรือ ไปพักผ่อนชายทะเล มีโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มักเกิดกับนักกีฬาว่ายน้ำหรือผู้ที่หลังว่ายน้ำแล้วยังนุ่งกางเกงว่ายน้ำที่เปียกแฉะอยู่ตลอดเวลา
Bikini bottom หรือ Deep bacterial folliculitis of the inferior buttocks คือ ภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียที่รูขุมขน บริเวณบั้นท้าย ของผู้ที่ชอบใส่กางเกงว่ายน้ำที่เปียกแฉะตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการอักเสบเป็นตุ่มนูนแดง เหนือบริเวณบั้นท้าย(ดังในภาพ) หากไม่ได้ทำการรักษาที่ถูกต้อง อาจลุกลามให้อักเสบบวมแดงเป็นตุ่มฝีหนองได้
แนวทางการรักษา
ควรทำแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด(normal saline) และน้ำยาล้างแผล เช่น Betadine solutions ทุกวัน และรับประทานยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Cloxcillin,Eythromycin และถ้าแผลแห้งไม่เปียกแฉะ ควรทายาที่มีส่วนผสมของ Clinndamycin lotions ,Erytromycin lotions ร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้งดการใส่เสื้อผ้ารัดรูป กางเกงว่ายน้ำนานประมาณ 10 วัน
แนวทางการป้องกัน
หลังว่ายน้ำ ควรรีบอาบน้ำให้สะอาด ทำความสะอาดร่างกาย เช็ดตัวให้แห้ง หรือถ้าจะว่ายน้ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ช่วงที่ขึ้นมาพัก ควรใช้แป้งที่ดูดซับความขื้น( absorbent powder)ทาเป็นระยะๆ
เมื่อทราบหลักการดังกล่าวแล้ว หวังว่าท่านที่ขอบใส่บิกินี่ทั้งหลาย คงต้องป้องกันไว้หน่อยนะครับ แล้วก้นสวยๆ จะมีแผนที่เต็มไปหมด

Bikini Bottom
Posted on

เลือกครีมบำรุงผิวหน้าอย่างไร ให้คุ้มค่า ได้ผล ตรงกับปัญหา ไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินเปล่า

ในปัจจุบันนี้ มีครีมบำรุงผิวออกสู่ท้องตลาดมากมาย หลากหลายยี่ห้อ การเลือกซื้อครีมบำรุงผิว ควรมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ โดยพิจารณาจาก องค์ประกอบของสารต่างๆ ที่ช่วยในการต่อต้านริ้วรอย มีดังนี้
     วิตามินซี  ทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่างๆที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น Ferric/Cupric Metalions Enzymes ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. พบได้บ่อยในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว แต่ในการใช้ผสมในครีมบำรุงผิว ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าจะป้องกันผิวหนังหย่อนยานได้ นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น
     วิตามินอี ประกอบด้วย Tocopherols,Tocotrienols ซึ่งพบได้บ่อยในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนื้อสัตว์และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนตืที่สำคัญในพลาสมาและเม็ดเลือดแดง ที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมันจากอนุมูลอิสระ ผลจากการทดลองพบว่า วิตามินอี ช่วยลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้น ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึง 3,000 มก.โดยไม่มีอันตราย แต่อย่างใด
     วิตามินเอ(Retinol) พบมากในพืชที่มีสีเขียวและสีเหลือง ไข่แดง เนย ตับและน้ำมันตับปลา อนุพันธุ์สังเคราะห์ของวิตามินเอ เราเรียกว่าเรตินอยด์ ซึ่งพบว่าสามารถช่วยลดริ้วรอยได้ เมื่อทาสารนี้ และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น กระและฝ้าจางลง

 Beta-carotene เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จาก Lipid Peroxidations พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง ร่างกายไม่ควรรับประทานมากกว่า 30 มก.ต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 5 ( Panthenol) เป็นส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม ทำให้เส้นผมยืดหยุ่นนุ่มสลวย แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ เท่าวิตามินเอและอี
วิตามินบี 3( Niacinamide) พบว่าช่วยในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ลดริ้วรอยได้
CoenzymeQ10ใ นการทดลองพบว่า สารดังกล่าวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังพบว่า สามารถป้องกันการสันดาปของแสงยูวีเอ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ จึงทำให้ลดริ้วรอยรอบดวงตา และชะลอความแก่ได้
Flavanoids Compound พบว่าเป็นสารตัวใหม่ที่พบว่าช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น Xanthine oxidase,Lipperoxidase และปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย Rutin,Pycnogenol,Quercetin,Catechin โดย Rutin,Catechin สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า และพบมากในใบยาสูบ ส่วน Pycnogenol หรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสนมาริไทม์ และเมล็ดองุ่น

Posted on

อาร์จินีน (Arginine ) กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ชาย

Arginine คือ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เป็น non-essential amino acid ที่ร่างการสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จากโปรตีนที่รับประทานเข้าไป

Arginine พบมากในอาหาร

  • เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก รวมทั้ง อาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดแอมิโนทุกชนิด รวมทั้งอาร์จินินด้วย
  • เมล็ดถั่วแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย ถั่วเหลือง 100 กรัม มีปริมาณอาร์จินีนถึง 3.1 กรัม almonds (2.5 g ต่อ 100 g), walnuts (2.3 g ต่อ100 g), hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน  Brazil nuts, pistachios และ งา
  •  ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีน แต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดยผักโขมแช่แข็งมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g
  • เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าวสาลีที่ไม่ได้ขัดสี ปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g.ถ่
  •  ถั่วเหลือง และโปรตีนจากถั่วเหลือง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นแหล่งอุดมของอาร์จินีนน
  • ไข่ โดยเฉพาะไข่แดง เป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ ไข่ขาว มี  0.65 g ต่อ100 g
    ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • คุณสมบัติเป็น Nitric Oxide ที่มีประโยชน์ในการขยายหลอดเลือด เพื่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารแก่เซลล์
  • ช่วยลดปริมาณ ไขมัน Cholesterol ในเลือด
  • ช่วยการขับถ่ายของเสีย แอมโมเนีย ที่เกิดจากการออกกำลังกาย
  • การรักษาบาดแผล
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
  • Arginine เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนหลายตัว เช่น Glucagon,Insulin ซึ่งเกี่ยวกับควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย , Growth hormone เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • สามารถเพิ่มจำนวนอสุจิในผู้ชายด้วย

แต่ขณะเดียวกัน ถ้ารับประทานอาหารเสริมที่มี Arginine สูงเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เพิ่มการเกิดโรคเริมที่ปาก และทำให้การดูดซึมกรดอะมิโน Lysine ลดลง ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มี arginine ให้เหมาะสม ควรอยู่ที่ ประมาณ 500 มก.ต่อวัน

Posted on

SLE ( Sysemic Lupus Erythematosus) : โรคแพ้ภูมิตัวเอง กับอาการที่พบทางผิวหนัง

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE คืออะไร
         
ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus ) คือ ภาวะที่เม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ  โดยปกติเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรค แต่ในคนไข้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิในเม็ดเลือดขาวกลับไปทำลายเซลล์ร่างกายตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ที่มันไปทำลาย ดังนั้น อาการที่เกิดขึ้นก็เกิดจากเม็ดเลือดขาวไปโจมตีอวัยวะต่าง ๆ เหล่านั้น

เป็นโรคอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ไม่หายขาด และก่อให้เกิดโรคได้ในหลายๆ ระบบ ( เช่น ไต ไขข้อ ระบบเลือด ระบบผิวหนัง )

โรคที่พบได้ไม่บ่อย และบางคนอาจยังไม่รู้จักโรคนี้กันเท่าใดนัก เคยมีอดีตราชินีลูกทุ่งหญิงของไทยท่านหนึ่ง ได้เสียชีวิตจากโรคนี้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทำให้โรคนี้ได้มีกล่าวถึงกันมากขึ้น

แต่ในวงการแพทย์โรคนี้รู้จักกันมานาน แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของกลุ่มเนื้อเยื่อเกี่ยวกัน( connective tissue diseases) โดยมีการทำลายเนื้อเยื่อในระบบภูมิคุ้มกัน อาการทางผิวหนังเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของโรคที่สังเกตให้เห็นได้

อุบัติการณ์ของโรคนี้ พบประมาณ 2-3 คนใน 100,000 คน มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วน 9:1 ในช่วงอายุ 20-50 ปี อาการของโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต คือภาวะแทรกซ้อนทางไต ทำให้ไตวาย และระบบประสาทส่วนกลาง

อาการของโรค ที่พบได้บ่อย คือ การปวดข้อ ข้ออักเสบ ไตอักเสบ ไข้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โรคโลหิตจาง เกร็ดเลือดต่ำ ผื่นทางผิวหนัง พบว่า ผู้ป่วยประมาณ 77 % หลังจากป่วยด้วยโรคนี้ และไม่ได้พบแพทย์รักษาตัวต่อเนื่อง หรือมีอาการแทรกซ้อนหลายระบบ จะเสียชีวิตภายใน 5 ปี

ผื่นทางผิวหนัง ในผู้ที่ป่วยด้วยโรค SLE
แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. ระยะเฉียบพลัน (acute phase) มักพบกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการทางระบบอื่น ร่วมด้วย ผื่นมีได้หลายแบบ เช่น ผื่นราบแดงหรือม่วงคล้ำ หรือ ตุ่มน้ำ แต่มักในบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดด เช่น ใบหน้า และที่พบได้บ่อย คือ ลักษณะผื่นบวมนูนแดงที่แก้มทั้งสองข้าง คล้ายปีกผีเสื้อ( malar rash) ดังในภาพที่แสดง มักเกิดขึ้นทันทีที่โดนแดด บางครั้งอาจจะคัน ผื่นมักหายได้เอง ในเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ สีผิวอาจไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อหาย หรือคล้ำลงเล็กน้อย
2.ระยะกึ่งเฉียบพลัน( subacute phase) มักพบในผู้ป่วยอายุน้อยถึงวัยกลางคน พบได้ประมาณ 25-85 % ของผู้ป่วยทั้งหมด
3.ระยะเรื้อรัง( chronic phase) ผื่นชนิดนี้ มักมีอาการแสดงทางระบบอื่นร่วมด้วยน้อย ประมาณร้อยละ 5-10 มักพบได้บ่อยสุดในผื่นระยะต่างๆ มีลักษณะผื่นแดง ขอบเขตชัด ตรงกลางบาง พบได้บ่อยบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น หน้า หนังศีรษะ หู ริมฝีปากล่าง ถ้าเป็นที่หนังศีรษะมักเกิดแผลเป็น และทำให้ผมร่วง และแก้ไขให้หาย ผมก็จะไม่ขึ้นมาทดแทน
อาการที่ควรพบแพทย์
         
อาการที่พบบ่อย  มีอาการทางผิวหนัง เช่น  มีผมร่วง มีแผลในปาก จะอยู่ที่เพดานซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บ  แพ้แสง เวลาถูกแสงแดดจะมีปฏิกิริยามากกว่าปกติ  มีผื่นรูปผีเสื้อสีแดงขึ้นที่บริเวณโหนกแก้มและจมูก มีอาการปวดข้อ บวมแดง ร้อน นอกจากนี้ยังมีอาการที่อวัยวะภายในอื่น ๆ  เช่น หัวใจ ปอด ไจ และระบบประสาท
การวินิจฉัยและรักษา
         
การวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้จากประวัติของผู้ป่วย   การตรวจร่างกายพบรอยโรคร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด  ปัสสาวะ การตรวจเอ็กซเรย์หัวใจและปอด
          สำหรับการรักษามีวิธีรักษาด้วยยา จะมียาลดการอักเสบของข้อ ลดการเจ็บปวด นอกจากนี้อาจจะมียาช่วยในการปรับการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ทำงานเหมือนปกติมากยิ่งขึ้น  ยากลุ่มนี้ ได้แก่ ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากดภูมิ
          ส่วนการรักษาอื่นในผู้ทีมีอาการข้อปวดบวม ข้อติดขัด อาจจะมีการแช่ในน้ำอุ่น   ขยับมือและขยับข้อในน้ำอุ่น ซึ่งทำให้ข้อนั้นลดความฝืด ลดความปวดได้ดีขึ้น

Posted on

แมกนีเซียม (Magnesium): แร่ธาตุและอาหารเสริมที่มีประโยชน์ มากกว่าการทำให้กระดูกแข็งแรง

แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญชนิดหนึ่งของร่างกาย มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์หลายร้อยตัว โดยเกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงาน และการทำงาน ของหลอดเลือดและหัวใจ
 แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แมกนีเซียมมีความสัมพันธ์กับแคลเซียม โดยจะเป็นตัวพาแคลเซียมเข้าไปในกระดูกส่วนในเพราะถ้าไม่มีแมกนีเซียมแล้ว แคลเซียมจะพอกอยู่รอบๆ กระดูกเท่านั้น จึงทำให้ขนาดกระดูกใหญ่แต่ความหนาแน่นน้อย
ปริมาณความต้องการของร่างกาย
โดยเฉลี่ยร่างกายต้องการแคลเซียมในปริมาณ วันละ 1,000 มก. จะมีสัดส่วนในการต้องการแมกนีเซียมในสัดส่วน Calcium:Magnesium= 2:1 คือประมาณ 500 มก.ต่อวันโดยประมาณ โดย FDA ของอเมริกา ได้ทำสรุปความต้องการแคลเซียมของร่างกาย ดังนี้ ในผู้ชายประมาณ ไม่น้อยกว่า 350 มก.ต่อวัน และในผู้หญิงปกติ ประมาณ 300 มก.ต่อวัน แต่ในสตรีมีครรภ์ ประมาณ 450-500 มก.ต่อวัน
ตำแหน่งที่แมกนีเซียมสะสม
แมกนีเซียมในร่างกาย 65 % จะสะสมอยู่ที่กระดูกและฟัน ส่วนอีก 35 % จะพบในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ 
แหล่งอาหารที่พบแมกนีเซียมสูง
ผักสีเขียวต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ถั่วชนิดต่างๆ ยีสต์ และอาหารทะเล

บทบาทสำคัญของแมกนีเซียม 

  1. ช่วยในนำแคลเซียมเข้าสู่ภายในกระดูกได้มากขึ้น
  2. ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อเรียบ ( โดยมีแคลเซียมมีบทบาทในการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบ )
  3. ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ถ้าขาดอาจทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ( Coronary arteries) เกิดจากหดเกร็งทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันได้ และในหลอดเลือดทั่วไป ถ้าขาดแมกนีเซียมอาจทำให้การนำออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ เกิดอาการปวด บาดเจ็บหรือกล้ามเนื้อตายได้
  4. ทำให้การทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ในขบวนการเมตาบอริซึมของโปรตีนและคารโบไฮเดรต และการสร้างและทำงานของ DNA ทำงานได้ปกติ
  5. มีบทบามในขบวนการสร้าง ATP ซึ่งเป็นสารให้พลังงานแก่ร่างกาย
  6. ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ โดยจากการทดลองในคน 81 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับแมกนีเซียมวันละ 600 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะมี ความถี่ในการปวดศีรษะไมเกรน ลดลงได้ถึง 42 %
  7. ช่วยลดอาการปวดท้อง ในระหว่างมีประจำเดือนในสตรี
  8. ช่วยต่อสู้กับอาการซึมเศร้า ช่วยให้นอนหลับได้ดี

    ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับแมกนีเซียมลดลง และควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้
  1. การรับประทานอาหารจำพวกแป้งที่ผ่านการขัดสีแล้ว
  2. อาหารที่มีไขมันสูง
  3. การดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ น้ำหวาน
  4. การได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่สูงๆ
  5. การได้รับประทานยาขับปัสสาวะในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

    ดังนั้นในปัจจุบันได้มีการให้ความรู้ทางสื่อมากมาย เกี่ยวกับความสำคัญของแคลเซียม โดยอาจอยู่ในรูปของเครื่องดื่ม นม และอาหารเสริมมากมาย แต่ท่านต้องอย่าลืมแมกนีเซียมด้วย ดังนั้นก่อนเลือกบริโภค ควรดูส่วนประกอบให้ดีว่าได้รับทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียมควบคู่ไปด้วยกัน เป็นคู่รัก คู่รส คู่ใหม่
Posted on

แคลเซียม (Calcium) : แร่ธาตุที่ทุกคนต้องการ อยากเพิ่มแคลเซี่ยม แต่ไม่ได้ผล เพราะอะไร

ทำไมต้องรับประทานแคลเซี่ยม
แคลเซียมมีประโยชน์มากมาย มีความจำเป็นมากกับความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก ในภาวะปกติ ร่างกายต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1000 มก.ต่อวัน
แต่เนื่องจาก ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ เราต้องเพิ่มแคลเซี่ยม จากภายนอก ซึ่งมี 2 ทางได้แก่
1. การรับประทานที่มีแคลเซี่ยมสูง
ได้แก่ นม, กุ้งแห้ง, กะปิ, ปลาเล็กปลาน้อย, ปลาสลิด, หอยนางรม, ผักใบเขียวที่มีลักษณะแข็ง (คะน้า, ใบยอ, ใบชะพลู), งาดำ ฯลฯ
2. อาหารเสริม
ได้แก่ แคลเซียม ซิเตรต แคลเซียมฟอสเฟต แคลเซียมแลกเตต แคลเซียมคีเลต ไบโอแคลเซียม แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต ซึ่งปริมาณแคลเซียมและการดูดซึมของแคลเซียมต่างรูปแบบก็จะต่างกัน โดยพบว่า แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต จะดูดซึมได้ 90% และรับประทานได้แม้ตอนท้องว่าง
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ
อายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ว
วัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้ว
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้ว
ผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30  – 40% ส่วนผู้ชาย 10%
10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน 

ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมแคลเซี่ยม

  1. การขาดวิตามินดี เพราะวิตามินดี มีส่วนช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น
  2. ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบ มะเร็งลำไส้ การติดเชื้อในทางเดินอาหาร ท้องเสีย
  3. ภาวะความเป็นกรดของกระเพาะสูงเกินไป ทำให้แคลเซียมแตกตัวเป็นอิออนมาก และดูดซึมน้อยลง
  4. ความเครียด ทำให้กรดในกระเพาะหลั่งมากขึ้น
  5. การรับประทานอาหารพวกไขมัน หรือโปรตีนในปริมาณสูงๆ ทำให้ไปบดบังการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร
  6. อาหารบางอย่างที่ให้กรด Oxalic acid ในปริมาณสูง ทำให้กรดนี้ไปจับกับแคลเซียมในทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งกรด Oxalic acid นี้พบได้มากใน ผักขม โกโก้ ถั่วเขียว เป็นต้น
  7. การได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป จึงเกิดการแย่งกันดูดซึมกับแคลเซียม
  8. คาเฟอีนและแอลกอฮอร์ จะทำให้ร่างกายเร่งการขับถ่ายแคลเซียมออกจากร่างกายได้
  9. การสูบบุหรี่ ทำให้สตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็วขึ้น และทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง
Posted on

กวาวเครือ (kwao-krua) : สมุนไพรสำหรับสตรี ที่อยากมีหน้าอกกระชับ ปรับผิวให้เต่งตึง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

กวาวเครือ เป็นพืชไม้เลื้อย ผลัดใบ ลำต้นเกลี้ยง ยาวประมาณ 5 เมตร หัวใต้ดินมีขนาดใหญ่ ค่อนข้างกลมและคอดยาวเป็นตอนๆ ต่อเนื่องกัน เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบตามป่าเบญจพรรณซึ่งเป็นป่าผลัดใบ และป่าเต็งรัง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของประเทศไทย
กราวเครือกระจายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีความหลากหลายทางพันธุกรรมค่อนข้างสูง ทำให้ลักษณะใบแตกต่างกันหลายๆแบบ ในแต่ละพื้นที่ แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือดำ และกราวเครือมอ โดยเรียงลำดับ จากความแรงอ่อนสุดไปมากสุด
กวาวเครือ เป็นสมุนไพรที่เป็นที่รู้จักและมีการใช้กันมานานแล้วในฐานะของสมุนไพรอายุวัฒนะ ในตำรับยาโบราณที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ทำให้ ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและผิวหนังเต่งตึง ซึ่งความสวยงามที่ได้เป็นผลพลอยได้เท่านั้น และต่อมาได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

คุณสมบัติทางยา
มีการค้นพบว่ามีสารเคมีที่สามารถออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) หลายชนิด คือ Miroestrol,puerarin,mirificin,diadzin,Beta-sitosterol,coumestrol,genistein และสารเคมีอื่นๆ ที่ไม่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านทางเหนือ จึงเชื่อว่าถ้ารับประทานเข้าไปในขนาดและวิธีที่เหมาะสม จะมีประโยชน์โดยสรุปดังนี้
1. เป็นยาอายุวัฒนะใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิงในผู้สูงอายุ ทำให้เจริญอาหาร นอนหลับได้ดี
2. ทำให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล ลดรอยย่น ตีนกา
3. ช่วยเสริมให้หน้าอกโตได้ ทำให้คัดหน้าอก
4. ช่วยให้ประจำเดือนกลับมามีได้ใหม่ ในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน
5. ช่วยให้ช่องคลอดไม่แห้ง มีน้ำหล่อลื่น
6. เสริมพละกำลัง ไม่อ่อนเพลียง่าย
7. หูตาที่ฝ้าฟางกลับดีขึ้น ทำให้อ่านหนังสือได้ชัดขึ้น
8. ความจำดีขึ้น
9. ลดกำหนัดได้
10. ช่วยให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และทำให้เพิ่มเส้นผมได้
แต่จากการรวบรวมข้อมูลการรับประทานกวาวเครือ ของยุทธนา สมิตะสิริ(2541) พบว่าเมื่อหยุดใช้กวาวเครือ อาการต่างๆ จะกลับมาเหมือนเดิม

กราวเครือขาว
กราวเครือแดง
ก้อนที่หน้าอก หรือมะเร็งเต้านม
เยื่อหุ้มอัณฑะหนา มะเร็งในผู้ชาย

ข้อควรระวังในการใช้

ตามรายงานของวารสารสยามสมาคม(Kerr,1932) และตำรายาหัวกวาวเครือ (ของหลวงอนุสารสุนทร,2474) ได้กล่าวเน้นให้ความสำคัญในการบริโภคคือ ต้องรู้จักต้นกวาวเครืออย่างดี เพราะถ้าไม่รู้จักดีพอ การเอาเถา ต้น หัว ใบ ของต้นไม้ชนิดอื่นที่คล้ายแล้วไปทำเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว นอกจากจะไม่ได้ ประโยชน์แล้ว อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
หรือการรับประทานหัวกวาวเครือเกินขนาดก็เกิดโทษได้ โดยพบว่าในกวาวเครือ สารพิษที่พบก็คือ Butanin แล้วยังพบว่าในกราวเครือ อาจมีส่วนผสมของโลหะปรอท 4.0 มก.ต่อกรัม ,Litium 94.0 มก.ต่อกรัม,Sodium 10.0 มก.ต่อกรัม,Calcium 29.0 มก.ต่อกรัม ดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านภาคเหนือ จึงต้องนำสมุนไพรอื่นร่วมในการทำยา เรียก ‘ ตัวคุม’

พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ นายกสมาคมแพทย์แผนไทย ได้กล่าวสรุปว่า ไม่ควรรับประทานมากหรือต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจมีอาการเต้านมโต เป็นก้อน ถึงก่อให้เกิดมะเร็งในผู้หญิงได้ หรือทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนา ถึงก่อมะเร็งในผู้ชาย นอกจากนี้ยังได้สรุปปัญหาการบริโภคในระดับปัจเจกชนมีดังนี้

  1. บริโภคกวาวเครือผิดประเภท เช่น ใช้พืชหัวอื่นที่คล้ายกราวเครือ ทำให้มีพิษต่อร่างกายถึงชีวิต
  2. บริโภคกวาวเครือผิดขนาด หลายระยะเวลา มากเกินไป หรือ นานเกินไป
  3. บริโภคกวาวเครือผิดวิธี ซึ่งตำรายาระบุไว้หลายวิธี ซึ่งมีผลต่อความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์
  4. บริโภคกวาวเครือผิดวัตถุประสงค์ เดิมมิได้รับประทานเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ต้องการผลข้างเคียงอย่างอื่น

ปัจจุบัน ได้มีนักวิจัยหลายๆ กลุ่ม พยายามที่จะพัฒนานำสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงจากหัวกวาวเครือมาใช้ในแวดวง ความสวยงาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่สรุปและยอมรับในมาตรการความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอย่างเพียงพอ ได้มีการประชุมเชิงสัมนาเรื่องกวาวเครือ กับผลงานการวิจัย ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพียงว่า ผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือมีความเป็นฮอร์โมนสูง จึงเหมาะเพียงสำหรับผู้หญิงวัยทอง เพราะจะไปช่วยเพิ่มความสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศในร่างกาย แต่อย่างไร ก่อนหรือหลังใช้ ต้องพิจารณาผลการทดสอบความเป็นพิษก่อนเสมอ

อกสารอ้างอิง; คู่มือการตรวจสอบ กวาวเครือ และทองเครือ ของฝ่ายพันธุ์พืช กองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการการเกษตร
เอกสารอ้างอิง; เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ 2541 ปัญหาการใช้กวาวเครือในประเทศไทย,เอกสารประกอบการสัมมนา ของสถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์

Posted on

อยากเลิกเหล้า ยาเลิกสุรา ได้ผลมากน้อยอย่างไร ตัวไหนที่ได้ผล ไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง

การติดสุรา (Alcoholism) เป็นภาวะที่เลิกได้ยาก ส่วนใหญ่เลิกได้ไม่กี่เดือนก็จะหวนกลับมาดื่มต่อ ทำให้โรคทางกายที่เกิดจากสุราไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้
ยาเลิกสุรา
ยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยา คงมีประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก เพราะยาแต่ละอย่างมีปัญหาหรือจุดด้อยในตัวเองที่ทำให้การรักษาไม่ได้ผลอย่างที่อยากให้เป็น ยาเหล่านีได้แก่
1. Disulfiram
ยาเลิกเหล้าขนานแรกสุดที่คิดค้นกันขึ้นมาได้ ยาขนานนี้มีอายุอานามหลายสิบปี ยาขนานนี้มีกลไกเปลี่ยนเส้นทางของการเผาผลาญแอลกอฮอล์ที่ปกติจะลงเอยกลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษและน้ำในร่างกายขับถ่ายออกไป แต่เมื่อใช้ยานี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยดื่มเหล้า แอลกอฮอล์จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสารพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน เป็นลม ปวดศีรษะ ไม่สบายตัวอย่างมาก บางรายถึงกับช็อกจนเสียชีวิตก็มี ลงท้ายผู้ป่วยรู้แกวก็เลิกกินยาแทนที่จะเลิกกินเหล้า
2. Naltrexone (Revia ,Depade)
ยาอีกขนานหนึ่งที่ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของยาเลิกเหล้าคือ ยาที่อาศัยหลักการว่า ทำให้การดื่มไม่เกิดความสุขอีกต่อไป โดยยาขนานนี้ขัดขวางระบบสารความสุขตามธรรมชาติในสมอง (natural brain opioids) ดังนั้น ดื่มทีไรก็ไม่สุขเหมือนเคย ช่วยลดการดื่มลงได้

3. Acamprosate (Campral)
ยาขนานที่สามที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการเลิกเหล้าเมื่อไม่นานมา เป็นยาที่ปรับระบบความเครียดภายในสมอง ยานี้ช่วยลดอาการ withdrawal เมื่อหยุดเหล้าได้ แต่น่าเสียดายที่ผลในทางคลินิกไม่ได้ดีดังที่อยากให้เป็น และยานี้ก็ไม่ช่วยลดอาการนอนไม่หลับหรืออาการซึมเศร้าในผู้ป่วยที่เลิกเหล้า4.
4. Gabepentin ( Neurotin)
ยาขนานใหม่ล่าสุดในการช่วยเลิกเหล้า สามารถสงบอาการขาดเหล้าได้ ทั้งนี้ก็ด้วยกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสื่อประสาท GABA ซึ่งเป็นระบบสารสื่อประสาทที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์มากที่สุด ยานี้จึงช่วยได้ทั้งลดอาการขาดเหล้า (withdrawal syndrome) อาการวิตกกังวล และอาการจิตตกซึมเศร้าในผู้ป่วย เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ผู้ป่วยทนยาได้ดี ผลข้างเคียงน้อย

ก่อนจะเลือกใช้ยาตัวไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนดีที่สุด สำคัญที่กำลังใจ และความตั้งใจที่จะเลิกเหล้าจริงๆ

Posted on

หอยนางรม (Oyster): คุณประโยชน์ต่อร่างกายครบ จบใน 1 ตัว แต่รับประทานแค่ไหน จึงจะปลอดภัย

หอยนางรม เป็นหอยประเภท 2 ฝา เป็นสัตว์ในตระกูล Crassosteagis thunberg อาศัยอยู่ในทะเล พบมากในมหาสมุทรแปซิฟิต โดยคุณภาพหอยนางรม จะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่มันอาศัยอยู่ และเชื่อว่าญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งที่หอยนางรมมีคุณภาพมากแหล่งหนึ่ง
หอยนางรม เป็นอาหารที่เลิศรสอย่างหนึ่งในร้านอาหารซีฟู๊ดทั้งหลาย และสนนราคาก็แพงเอาการทีเดียว เพราะเชื่อกันว่า สารอาหารที่อยู่ในหอยนางรมมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ บางคนเชื่อว่าเป็นยาโด๊บจากธรรมชาติเลยทีเดียว ลองมาดูรายละเอียดของหอยนางรม

ส่วนประกอบและคุณสมบัติที่พบจากหอยนางรม

1. Taurin เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้จัก โดยมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
1.1 ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับระบบ Renin-Angiotensin ในระบบไต
1.2 ช่วยควบคุมการแลกเปลี่ยน เข้าออก ของอิออนต่างๆ จากเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ปฏิกริยารีเฟล็กซ์ จึงพบได้มากในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ในเรื่องกระแสประสาทที่สมองส่วนกลาง ในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อลาย และหัวใจ
1.3 ช่วยในการสร้าง taurocholate ซึ่งจะไปทำให้ไขมันที่รับประทานเข้าไป แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้สามารถย่อยและเผาผลาญได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายนำพลังงานไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เร็วขึ้น
1.4 ช่วยให้สเปริ์ม เคลื่อนที่และมีกำลังเคลื่อนที่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นในผู้ป่วยที่มีบุตรยาก
2. Glycogen เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่สามารถนำไป ใช้งานได้โดยตรงทันที เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย หรือต้องการกำลังงานเพิ่ม
3. Essential Minerals เช่น สังกะสี (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศชาย Testosterone) ธาตุเหล็ก ทองแดง ไอโอดีน ซีลีเนียม ( ซึ่งเป็นสาร Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย พร้อมทั้งเชื่อว่า สามารถกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ 
4. Essential Fatty acids หลายตัวที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนที่สำคัญ ในร่างกาย และพบว่าสามารถเพิ่มจำนวน sperms ได้
5. Vitamins หลายตัวที่ช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพทั่วไปของร่างกายแข็งแรงขึ้น

รับประทานได้แค่ไหน ไขมันไม่สูง ไม่ท้องเสีย
หลายคนอาจกังวลว่าหอยนางรมจะมีคอเลสเตอรอลเยอะเกินไปหรือไม่ และหากกินสดจะเสี่ยงอันตรายอะไรหรือเปล่า โดยพบว่า หอยนางรมมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลต่ำเมื่อเทียบกับอาหารทะเลชนิดอื่น ๆ โดยหอยนางรมดิบปริมาณ 85 กรัมมีคอเลสเตอรอลเพียง 21 มิลลิกรัมเท่านั้น
แม้สารอาหารทั้งหมดในหอยนางรม 1 ตัว จะมากมาย แต่ เราไม่ควรกินหอยนางรมเกิน 5 ตัวใน 1 มื้อ เพราะหอยนางรมเกือบทุกตัวมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Vibrio parahaemolyticus และเชื้อ Salmonella ซึ่งถ้ามีปริมาณมากไป จะทำให้มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ส่วนใครที่เป็นโรคตับ ติดสุราเรื้อรัง เอชไอวี หรือกำลังทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ อาจมีอาการหนักกว่าคนปกติ มีความเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นใครที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ควรทานหอยนางรม

การเลือกซื้อหอยนางรม อย่างไรให้ปลอดภัย

  1. เลือกซื้อหอยนางรมจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจในคุณภาพได้
  2. สังเกตความสะอาดของเปลือก และภายในของหอย ต้องสดใหม่ สะอาด ไม่มีกลิ่นไม่เหม็นคาว
  3. สีของหอยไม่เปลี่ยน หรือผิดปกติไปจากเดิม เช่น เนื้อของหอยไม่ยุ่ยเละ สีไม่คล้ำ
  4. เลี่ยงการทานน้ำทะเลที่มากับหอย
  5. ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด คือ ควรกินหอยนางรมปรุงสุก แม้ว่าจะกินกับมะนาว หรือการปรุงสุกด้วยกรด ก็ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มากับหอยได้ และที่สำคัญอย่ากินหอยนางรมมากเกินไปในคราวเดียว เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม
Posted on

โรคไฟลามทุ่ง ( Erysipelas) : ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียทางผิวหนังรุนแรง ที่ต้องรีบรักษาด่วน !

โรคไฟลามทุ่ง (Erysipelas) คือ โรคทางผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเ อย่างรุนแรงในชั้นหนังแท้ (Dermis) ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ และท่อน้ำเหลืองใกล้เคียง อาการมักลุกลามอย่างรวดเร็วคล้ายไฟลามทุ่งจึงเป็นที่มาของชื่อโรค และยังจัดเป็นประเภทหนึ่งของโรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า  
อาการของโรคไฟลามทุ่ง
มีอาการบวม แดง ร้อน มีขอบเขตชัด ผิวหนังจะขรุขระคล้ายผลส้ม อาจพบตุ่มน้ำพองใส คล้ายโรคอีสุกอีใส ได้ ซึ่งถ้ารุนแรง อาจพบผิวหนังจะลอกเป็น แผลถลอกเป็นแผ่นๆ จนถึงเซาะลึกลงไปใต้ผิวหนัง
– พบได้บ่อยในเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคระบบหมุนเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่ดี ภาวะขาดอาหาร โดยเชื้อโรคจะเข้าทางรอยแตกแยกของผิวหนัง เชื้อโรคที่พบได้บ่อย คือ จาก Streptococcus group A แต่ในเด็กเล็กอาจพบอาจเชื้อโรค Haemophilus influenzae type B

แนวทางการรักษา
เป็นภาวะฉุกเฉินทางผิวหนัง ที่ต้องรีบพบแพทย์ เนื่องจากในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นถ้ามีอาการสงสัย ดังในภาพ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะแพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุ เพื่อจะให้ยาปฏิชีวนะได้ถูกต้องตามชนิดการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ส่วนใหญ่แพทย์จะให้นอนพักที่ รพ. เพื่อสังเกตอาการ
  2. มักให้พักบนเตียง นอนยกขาสูง ไม่ให้เคลื่อนไหวมาก
  3. ทำความสะอาดผิวหนัง ด้วยยาฆ่าเชื้อโรค ทุกวัน
  4. แนะนำไม่ให้แกะเกาแผล
  5. ให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อโรค อาจในรูปยารับประทาน หรือยาฉีด ตามผลการตรวจเพาะเชื้อ หรือตามที่พบในกล้องจุลทรรศน์จากการย้อมสีแกรม

Posted on

น้ำยาปลูกผม ( Hair lotion) ที่วางขายทั่วไป ช่วยรักษาผมร่วง ผมบาง ผมดกดำขึ้น ได้จริงมั้ย

น้ำยาปลูกผมในท้องตลาด ดูอย่างไร ว่าได้ผลจริง

ปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นหยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำ ออกมามาวางจำหน่ายในท้องตลาด หรือในออนไลน์ มากมายหลายยี่ห้อ ได้ทำการโปรโมทเป็นอย่างหนัก ทำให้มีคำถามมากมายว่าได้ผลจริงหรือไม่ ก่อนจะดัดสินใจซื้อมาใช้ ควรดูส่วนประกอบว่า มีตัวยาอะไรบ้าง และมีหลักพิจารณาดังนี้
1. ไมนอกซิดิล : อันนี้สำคัญมาก เพราะ น้ำยาปลูกผม ไม่ว่าจะเป็นแบบเซรั่ม หรือสเปรย์ ถ้ามีส่วนผสมของไมนอกซิดิล ใน % ที่เหมาะสม คือ มากกว่า 3% Minoxidil ก็ทำให้เส้นผมดกดำได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะวางจำหน่ายไม่ได้ เพราะเข้าช่ายเป็นยา อย. ไม่อนุญาติให้จำหน่ายทั่วไป ต้องจ่ายจากในคลินิกเท่านั้น
2. สารสกัดธรรมชาติ : ที่วางจำหน่ายได้ทั่วไป และผ่าน อย . น่าจะเป็นกลุ่มนี้ อาทิเช่น ที่สกัดได้จากพืชที่ชื่อ Stephania cephtaranta และ Notoginseng โดยพืช ทั้งสองตัว ให้สารสำคัญหลักได้แก่ Cepharantine และ Isotretrandrine ซึ่งเชื่อว่า มีประโยชน์ดังนี้

  1. จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยบริเวณหนังศรีษะ ทำให้เลือดนำออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยง เซลล์รากผมได้อย่างพอเพียง
  2. ช่วยเพิ่มคุณภาพของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงรากผม ช่วยป้องกันผมร่วง
  3. ช่วยเพิ่มขบวนการเมตาบอลิซึม ทำให้เซลล์เส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง
    จากประสิทธิภาพของสารดังกล่าว สันนิษฐานว่า ใกล้เคียงกับการทาด้วย Minoxidil solutions แต่ผลการวิจัยและสนับสนุนมีไม่เพียงพอ เหมือนการวิจัยยาทาที่มี Minoxidil solutions ที่ FDA ของหลายๆประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า ทำให้เส้นผมและขนขึ้นได้
    ดังนั้นก่อนจะดัดสินใจซื้อ ควรสอบถามส่วนประกอบที่สำคัญ แล้วไปค้นคว้าเพิ่มเติม สารดังกล่าวมีงานวิจัยและ อย.ทั่วโลกรับรองหรือไม่ มิใช่แค่เห็นรูปรีวิว ก็จัดเลย เดี๋ยวจะเสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึก

Posted on

เจลาติน ( Gelatin) : โปรตีนสกัด กับบทบาทอาหารเสริม บำรุงเล็บ เส้นผม ผิวพรรณ

เจลาติน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไม่มีสี ที่ได้จากปฏิกริยาการย่อยสลายโดยการใช้น้ำ(hydrolysis) จากโปรตีนคอลลาเจนของสัตว์อีกทีหนึ่ง จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนหลายชนิดจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพ นอกจากจะใช้ในรูปแบบของขนมน้ำตาลสูง อย่างเยลลี่ หมากฝรั่ง หรือวุ้น

ส่วนประกอบของเจลาติน 

1. Proline and Hydroxyprolene 25 %
2. Glycine 27 %
3. Alanine 9 %
4. Aspartic acid 6 %
5. Glutamic acid 10 %
6. กรดอะมิโนเอซิคอื่นๆ 15 %

ประโยชน์ของเจลาติน : – เป็นแหล่งโปรตีนที่ร่างกายนำไปสร้างคอลลาเจนได้ทันที หรือเป็นส่วนประกอบหลักของอวัยวะที่มีโปรตีนคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลัก อันได้แก่อวัยวะต่างๆ ดังนี้

  1. เล็บ ทำให้เล็บแข็งแรงเป็นเงามัน ไม่แตก หรือเปราะหักง่าย
  2. เส้นผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม โทนสีสม่ำเสมอ เส้นผมยาวเหยียดตรง และมีน้ำหนัก
  3. ผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นเกินวัย ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวลผ่องใส ทำให้สุขภาพผิวแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมและเชื้อโรคได้
  4. กระดูกอ่อน เอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues)

การรับประทานอาหารเสริมที่มีเจลาติน เหมาะกับบุคคลดังต่อไปนี้ 

  1. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ โดยเฉพาะสตรีที่ให้นมบุตร สตรีในระยะที่มีประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน เพราะในสตรีกลุ่มนี้มักจะบกพร่องในเรื่องสารอาหารหลายชนิด ทำให้อาจบกพร่องในการสร้างคอลลาเจนด้วย
  2. ผู้สูงอายุ ที่มักเกิดจากความเสื่อมของกระดูก โดยการรับประทานเพื่อเสริมเจลาตินที่เสื่อมสภาพไป ให้ฟื้นฟูสภาพได้ ดังเดิม หรือป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมถอยมากขึ้น
  3. นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะในกลุ่มนี้จะต้องการให้กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นแข็งแรง เพื่อรองรับ การทำงานที่หนักหน่วง
  4. ใช้ลดน้ำหนักในโปรแกรมอาหารเสริมลดน้ำหนักได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการพองตัวและเกิดความหนืดเมื่อละลายน้ำ

ขนาดในการรับประทานอาหารเสริมเจลาติน ประมาณ 1,550 มิลลิกรัม หรือ ครั้งละ 24 เกรน วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที และดื่มน้ำตามมากๆ
นอกจากนี้ถ้าจะให้อาหารเสริมเจลาตินทำงานหรือดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณได้ดีขึ้น แนะนำให้รับประทานร่วมกับอาการเสริมที่ช่วยทำให้การหมุนเวียนของโลหิต เช่น น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันจากผล Black current oils,Borage oils หรือกระเทียมสกัด( Garlic extract)

Posted on

เป็นเหา ( Lice) คันหนังศีรษะ อยากหาย ทำไงดี

เหา แมลงไร้ปีกที่มีขนาด 1-2 มม. พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เหาจะคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร ในน้ำลายของเหามีสารที่ระคายผิวหนังได้ ทำให้เกิดตุ่มคันตรงรอยกัด
เหา มีลำตัวเรียวยาวดังภาพ มีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว จึงติดต่อกันได้ง่ายมาก พบว่าเด็กผู้หญิงที่มีเหาที่หนังศีรษะ สามารถแพร่การติดเชื้อให้แก่เพื่อนๆ ภายในชั้นเรียนเดียวกัน ภายใน 24 ชม. ไข่มีขนาดเล็ก ประมาณ 0.5 มม.ฟักเป็นตัวอ่อน ของเหา ภายใน 1 สัปดาห์ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แนวทางการรักษา 

  1. เดิมใช้วิธีโกนผมออกให้หมด ซึ่งที่จริงใช้รักษาได้ผลดี เพราะเหาไม่มีที่ยึดเกาะ แต่ก็ในแนวทางปฏิบัติ คงทำได้ยาก เพราะคงไม่อยากมีใคร เป็นโล้นซ่าส์ได้ง่ายๆนัก โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง การใช้หวีที่มีซี่ถี่ๆ สางตัวเหาออก้เป็นอีกวิธีทีนิยม แต่เหามักจะไม่หมด
  2. ปัจจุบัน มีตัวยาที่ใช้ฆ่าเหา และไข่เหาได้ผลดี คือ Gamma benzene hexachoride ใช้ทาทั่วศีรษะ หลังสระผมให้สะอาดแล้ว แล้วทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง และสระผมซ้ำล้างออก โดยจะฆ่าตัวเหาได้หมด แต่ไข่เหายังไม่หมด จึงแนะนำให้ทายาซ้ำอีก 1 สับดาห์ แล้วใช้หวีซี่ถี่ๆ สางผมให้ไข่เหาหลุดออก
  3. นำเครื่องใช้ของผู้ติดเหาไปล้างทำความสะอาด ส่วนเครื่องนุ่งห่ม ให้นำไป ตากแดดหรือเข้าเครื่องอบผ้า

Posted on

งานวิจัย Dementia : ผู้หญิงอ้วน เสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม! มากกว่าผู้ชายอ้วน

โรคอ้วนนั้นนอกจากจะทำให้เราสูญเสียภาพลักษณ์ที่น่ามองแล้ว ยังพบว่ายังก่อให้เกิดอาการผิดปกติแก่ร่างกาย เช่น การปวดข้อต่างๆ ได้ง่าย การเคลื่อนไหวไม่กระฉับกระเฉง แถมยังทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น ภาวะเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
งานวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ยังได้มีการค้นพบโรคอีกโรคที่มีผลมาจากความอ้วน นั่นคือ โรคสมองเสื่อม โดยนักวิจัยของอเมริกา ได้รายงานว่าผู้หญิงอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมมากถึง 74% ในขณะที่ผู้ชายที่อ้วนจะมีโอกาสเสี่ยงเพียงแค่ 39 % ( น้อยกว่าถึง 2 เท่า) ส่วนสาเหตุหรือกลไกที่ทำให้เกิด โรคสมองเสื่อมนั้น ยังต้องศึกษากันต่อไป

ส่วนการวิจัยในสวีเดนพบว่า การวัดขนาดรอบเอว ก็พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ โดยได้ทำการวิจัยจากอาสาสมัคร 2,700 คน อายุระหว่าง 18-70 ปี ผลการศึกษาพบว่า ขนาดรอบเอวที่มากกว่า 36 นิ้ว จะเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน ( ที่ควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือด) มากกว่าขนาดรอบเอวที่น้อยกว่านี้

Posted on

Trichotillomania : โรคที่เวลาเครียด คันเส้นผม ต้องดึง ต้องถอนเส้นผม ทำให้ผมร่วง ผมบาง

Trichotillomania คืออะไร

คือ ภาวะผิดปกติทางจิต จากการที่คนที่มีปัญหาผมร่วง หรือศรีษะล้านบางกรณี ที่มาพบแพทย์ และแพทย์ได้ตรวจและซักประวัติ จะพบว่าคนพวกนี้ จะชอบดึงและถอนผมเล่นมาก่อน อาจจากภาวะเครียด หรือ มักจะทำอะไรบางอย่างเพลินอยู่ เช่น ดูหนังสือ หรือโทรทัศน์ โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 11 ปี
อาการเริ่มแรก ก็คือ คนกลุ่มนี้มักเริ่มที่มีความเครียดอยู่ก่อน แล้วเมื่อได้ถอนผมหรือขนแล้วจะหายเครียด จนเกิดเป็นความเคยชิน
ลักษณะที่ตรวจพบ – บริเวณที่ผมร่วงที่ศรีษะ มักจะเป็นแห่งเดียว รูปร่างไม่แน่นอน แต่สังเกตได้ง่ายชัดเจน คือบริเวณที่ถอนจะยังเห็นตอเส้นผมอยู่ โดยมีขนาดความยาวแตกต่างกัน เนื่องจากการถอนขนแต่ละครั้ง อาจหลงเหลือตอหรือรากผมที่หนังศรีษะ
– บางครั้งต้องแยก โรคผมร่วงจากภาวะ Trichootillomania จากโรคผมร่วงหย่อม Aloprcia areata โดยดูจากการซักประวัติ และลักษณะผมที่แหว่งไป
โรคชอบดึงหรือถอนขนนี้ ถ้าหยุดดึงได้ เส้นผมก็จะกลับมาปกติได้เอง แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ถือว่าเป็นปัญหาทางจิต ถ้าต้องการให้หายขาด ต้องรักษาร่วมกับจิตแพทย์

Posted on

กรดผลไม้ (Hydroxy Acid): สารสกัดบำรุงผิวหน้า ให้ขาวใส ไร้รอยด่างดำ มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร

กรดผลไม้( Hydroxy Acid) คืออะไร : สารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด โดยสกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์
ประโยชน์ในการนำมาใช้
มาใช้ในการช่วยเพิ่มหรือเร่งอัตราการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าหยาบกร้าน รอยดำ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยหลุม โดยอาจจะผสมในครีม หรือเครื่องสำอางค์ หรือแพทย์ผิวหนังได้นำมาใช้ในการผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ ลดริ้วรอย รอยด่างดำ ฝ้า กระ รอยหลุม ฯลฯ
ประเภทของกรดผลไม้
1. AHA (Alpha-hydroxy acid): กรดผลไม้ชนิดแรก ที่นำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกันในการใช้ประโยชน์ โดยมากในเคาน์เตอร์ความงาม จะพบเห็นแพร่หลาย ในส่วนประกอบของครีมบำรุง โดยมักจะผสมในความเข้มข้น ไม่เกิน 10 % การที่จะผสมให้ความเข้นข้นสูงกว่านี้ จะถือว่าเป็นยา
ดังนั้นจะพบได้เฉพาะในคลินิกผิวหนังเท่านั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของ AHAs ยังขึ้นอยู่กับค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) โดยถ้ายิ่ง pH ต่ำจะมีประสิทธิภาพดีกว่า pH สูงแต่ก็ระคายเคืองผิวหนังมากกว่า และไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวแพ้ง่าย( sensitive skin)

2. BHA (Beta-hydroxy acid) เป็นกรดผลไม้อีกชนิดหนึ่ง ที่ออกมาสู่ท้องตลาด ในเวลาไม่กี่ปีมานี้ BHAเป็น สารพวก organic aromatic compound (ซึ่งมี hydroxy group ที่ beta position (ขณะที่ AHA มีที่ alpha positions) ซึ่งสารตัวนี้ ทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือน AHA สารตัวนี้ที่เรารู้จักกันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid)
BHA ละลายในไขมันจึงซึมแทรกลงไปในรูขุมขนได้ดี ทำให้บางคนอนุมานว่าจะดีกว่า AHAs ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ต้องอยู่ที่ จุดประสงค์ในการใช้แก้ปัญหา
AHA จะเหมาะกับการทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกได้ดี หลังใช้ทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวหน้านุ่มขึ้น
แต่ BHA จะเหมาะกับการรักษาผิวหน้าที่ลึกกว่า ใช้แก้ปัญหาการหลุดลอกของสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และกระชับรูขุมขน เพราะ BHA สามารถลอกผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมากได้ดีกว่า AHA โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก นอกจากนี้ พบว่า BHA ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเกราะป้องกันของผิวหนัง ( Transepidermal water loss) จึงใช้ได้ในคนที่ผิวแพ้ง่าย
3. CHA (combined hydroxy acid) เป็นการผสมผสานของกรดผลไม้หลายชนิด แต่ไม่นิยมเพราะเตรียมยาก
4. PHA (Poly-hydroxy acid) จะเป็นกรดผลไม้ตัวล่าสุด PHA ผลิตขึ้นเพื่อจะมาแทนที่ AHA ในอนาคต โดยมีการปรับให้มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ดูดซึมเข้าไปในผิวหนังลดลง จึงไม่ระคายเคืองผิว และใช้ได้กับคนที่ผิวแพ้ง่าย โดยมีแนวโน้มในการใช้ลอกผิวหนังได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะป้องกันผิวพรรณ ดังนั้นPHA อาจจะเป็นของใหม่ ในศตวรรษนี้ ที่กล่าวถึงกันมาก
แต่ในปัจจุบันทั้ง AHA,BHA ก็ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาทั้งสองตัว ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกใช้ได้เหมาะสม

Posted on

ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) สมุนไพรพื้นบ้าน กับ 15 ประโยชน์ในทางการแพทย์และความงาม

ว่านหางจระเข้ หรือ หางตะเข้ หรือ ว่านไฟใหม้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยมีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Aloe barbadensis Mill หรือ Aloe vera Inn. ในตระกูล Liliaceae มีลักษณะเป็นพืชล้มลุก ลำต้นสั้น ใบยาวแหลม อวบ และติดแน่นกับลำต้น ขอบใบมีหนามแหลม ภายในมีวุ้นใส และที่เปลือกใบมีท่อ ซึ่งทำให้น้ำยางเป็นสีดำ 

สรรพคุณว่านหางจระเข้

  1. รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษารอยไหม้บนผิวได้ดี โดยสารสำคัญในส่วนของวุ้น คือ Glycoprotein 2 ชนิด ขื่อ Aloctin-A และ Aloctin-B จะช่วยลดการอักเสบ และมีฤทธิ์สมานแผล
  2. ลดการอักเสบของผิว รักษาสิวได้โดยการเอาว่านหางจระเข้มาทาบาง ๆ ที่สิวก่อนนอน 
  3. ลดการแสบผิวจากแสงแดดได้ ใครที่ผิวแสบไหม้ วุ้นจากใบว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาได้เป็นอย่างดี 
  4. บำรุงดูแลเส้นผมให้เงางาม เพียงแค่นำวุ้นจากใบว่านหางมาชโลมบนเส้นผม 
  5. บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่น ไม่แห้งแตก เนื่องจากมีฤทธ์เย็น กระตุ้นเซลล์ผิวหนังได้ดี 
  6. บรรเทาอาหารท้องผูก เนื่องจากมีเปลือกสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเป็นส่วนประกอบของ ยาดำที่ใช้เป็นยาระบายในตำรับแผนไทย
  7. ควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน โดยการดื่มน้ำว่านหางจระเข้เข้มข้น 80% วันละ 2 ครั้ง ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 
  8. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและรักษาอาการกรดไหลย้อน โดยการทานวุ้นว่านหางจระเข้เป็นประจำ 
  9. ใช้วุ้นจากใบในการรักษาฝ้า แบบไม่พึ่งครีมรักษาฝ้า
  10. ลดรอยแผลเป็น ให้แผลดูจางลงได้โดยการใช้วุ้นจากใบว่านหางมาทาเบา ๆ บนรอบแผล 
  11. ลดการอักเสบ แสบคันและการตกสะเก็ดจากโรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ 
  12. ช่วยลดสิว สิ้วเสี้ยนบนใบหน้าได้  ใช้เนื้อวุ้นว่านหาง ผสมไข่ขาวและน้ำผึ้ง ผสมกัน มาสก์ทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 15 นาที จะ
  13. ใบว่านหางจระเข้สามารถช่วยรักษาริดสีดวงทวาร โดยใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก 
  14. นำมาทำเป็นของหวานเพื่อสุขภาพคลายร้อนได้ เช่น วุ้นว่านหางจระเข้ลอยแก้ว น้ำว่านหางจระเข้สมูทตี้ ฯลฯ 
  15. ช่วยลดหน้าท้องลายหลังการคลอดลูก โดยให้นำวุ้นว่านหางมาทาบริเวณท้องเป็นประจำ 

    วิธีใช้ว่านหางจระเข้
  1. ควรเลือกต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้เลือกส่วนล่างสุดเนื่องจากจะมีวุ้นมากกว่าส่วนอื่น ๆ 
  2. นำว่านหางจระเข้มาแช่เย็นก่อนการใช้จะสดชื่นมากขึ้น 
  3. ควรล้างเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ให้สะอาดก่อนการใช้ทุกครั้ง เนื่องจากเมือกยางจากใบมีสาร Anthraquinone ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ 
  4. ไม่ควรใช้เป็นยาระบายหรือยาถ่ายในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีประจำเดือน และผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร 
  5. วุ้นของว่านหางจระเข้ถ้าปอกแล้วจะเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมง ดังนั้นควรใช้ทันทีจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด 

Posted on

สมุนไพรพญายอ (เสลดพังพอน) สมุนไพรไม้พุ่ม รักษาโรคเริม งูสวัด ได้ผลไม่แพ้ยาแผนปัจจุบัน

  สมุนไพรพญายอ ( Clinacanthus nutans,Lindau) 
พญายอ
สมุนไพรไม้พุ่ม มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวเรียวยาวรูปหอก กว้างประมาณ 1 ซม. และยาว 3-10 ซม. ขอบใบจักเป็นซี่ฟัน พบได้ทั่วไป และปลูกขยายพันธุ์ได้ง่าย
กลไกการออกฤทธิ์
พบว่าสารสกัดจากส่วนใบ คือ ฟลาโวนอยด์ มีความสามารถในการลดการอักเสบในหนูขาวทดลอง และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส HSV-2 และ VZA ได้ดีมาก
คณะวิจัยจากกรมการแพทย์ รพ.บางรัก และรพ.ตากสิน ได้นำมาทำการทดลองใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ จำนวน 77 ราย จนได้ข้อสรุปว่า ครีมที่ผสมด้วยสมุนไพรพญาลอ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริม และงูสวัด ไม่แตกต่างจากยา Acyclovir และดีกว่าตรงที่ เมื่อทาตรงแผลแล้วจะรู้สึกเย็น ในขณะที่ acyclovir cream ทาแล้วจะรู้สึกแสบ
ดังนั้น องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผลิตครีมพญายอ ออกจำหน่ายทั่วไป ปัจจุบัน พญายอ ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ กลุ่มยาพัฒนาจากสมุนไพร เป็นยาสำหรับรักษากลุ่มอาการทางระบบผิวหนัง บรรเทาอาการของเริมและงูสวัด รักษาแผลในปาก บรรเทาอาการผด ผื่น คัน ลมพิษ บรรเทาอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อ โดยมีการพัฒนายาหลายรูปแบบ เช่น ครีม กลีเซอรีน โล่ชั่น ยาหม่อง

อ้างอิง จาก วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนิตยสารเภสัชอายุรเวช เรื่อง การใช้เสลดพังพอน

Posted on

Iontophoresis : ไอออนโต แก้ปัญหาผิวมัน ไร้สิว ไร้ฝ้า หน้าขาวใส ไร้รอยด่างดำ

ไอออนโต คืออะไร

คือ เครื่องมืออิเลคโทรนิค ที่มีความสามารถในการผลักดันวิตามิน หรือยาเข้าสู่ผิว ด้วยกลไกทางฟิสิกซ์ว่า ประจุเหมือนกันจะผลักกัน และประจุต่างกันจะดูดเข้าหากันโดยใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำ ทำให้ยาซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้มากกว่าการทายาเพียงอย่างเดียวหลายเท่าตัว
ขบวนการดังกล่าว เราเรียกว่า Iontophoresis

ชนิดของยา ที่สามารถนำมาใช้ด้วยเครื่องไอออนโต เพื่อทำการรักษาปัญหาผิวหน้า อาทิเช่น

  1. Vitamin A : สิวอุดตัน แผลเป็น รอยหลุม
  2. Vitamin C : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  3. Kojic Acid : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  4. Albutin : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  5. Aloe vera , Hyaluronic acid : รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ากระชับ
  6. Azeleic Acid,Tranxemic acid : ปัญหาฝ้า รอยด่างดำ

ไอออนโต รักษาอะไร

ปัจจุบันนำมาเพื่อทำให้หน้าขาวใส รักษาสิว รอยด่างดำตื้นๆ ลดหน้ามัน เป็นหลัก เพราะมีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถ ใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้ง ประมาณ 250-400 บาท ขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้ในการทำไอออนโต และสามารถมาทำได้บ่อย 2-3 ครั้งต่ออาทิตย์
มีข้อถกเถียงกันในวงการแพทย์ผิวหนัง ว่าการรักษาด้วยไออออนโต สามารถผลักยาลงไปได้จริงหรือไม่ มีทั้งผลงานวิจัยที่สนับสนุน( ของเมืองนอก) และคัดค้าน( ที่รพ.ศิริราชทำวิจัย ) ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่จากความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนและประสบการณ์ที่ใช้รักษาคนไข้ คนไข้ส่วนใหญ่ พอใจกับผลการรักษาในระดับหนึ่ง
ไอออนโตถือเป็นการทำทรีทเม้นต์พื้นฐาน หรือตัวเลือกแรก สำหรับคนปัญหาผิวมัน สิว ฝ้า กระ แต่มีงบประมาณจำกัด ในการแก้ปัญหาผิวหน้าให้ดีขึ้น แต่ต้องทำหลายครั้ง ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ ยังไม่พอใจ จึงค่อยเปลี่ยนไปทำทรีทเม้นต์อื่นๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ปัจจุบัน การทำไอออนโต จะให้ต้องใช้ยา หรือครีมรักษา นำกลับไปดูแลต่อที่บ้านด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้มากขึ้น

Posted on

ไม่อยากใช้ครีมผสมสเตียรอยด์ รักษาผื่นแพ้ในเด็ก เลือกครีมสมุนไพรจีน ปลอดภัย แน่หรือ!

การรักษาโรคผื่นแพ้ในเด็ก เช่น Eczema, Atopic dermatitis การใช้สารสเตียรอยด์ ถือว่าเป็นยาหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวลในผลแทรกซ้อนของสารสเตียรอยด์ จึงได้หันมาใช้สมุนไพรจีนและครีมของจีน ที่มีการอ้างว่าเป็นสารธรรมชาติและปราศจากสารสเตียรอยด์ และทำให้ไม่มีการควบคุมกันอย่างจริงจัง
งานวิจัยสมุนไพรจีน
มีผลงานการวิจัยของโรงพยาบาล King’s college ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาครีมสมุนไพรจีน 10 ชนิด แล้วนำ มาตรวจสอบสารสเตียรอยด์ เนื่องจากทีมนักวิจัยพบว่ามีผู้ป่วยที่ประเทศอังกฤษ ได้นำมาทำการรักษาผู้ป่วยทางผิวหนัง และมีผลการรักษาที่ดีเยี่ยม และทำให้อาการกำเริบมากขึ้น
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 36 ปี เป็นคนไข้เด็ก 7 คน และผู้ใหญ่ 3 คน โดยได้รับการสั่งยาจากหมอจีนแผนโบราณ ครีมมีเนื้อครีมสีขาว กลิ่นหอมน่าใช้
รายละเอียดผลงานวิจัย
การทดสอบทำโดย การละลายครีมสมุนไพรจีนตัวอย่าง ใน ethyl acetate และกรองเอาส่วนสารอินทรีย์ไว้ โดยปล่อยให้ตัวทำละลายระเหยออกไป แล้วนำน้ำมันที่เหลือผ่านกระบวนการ Liquid-gel chromatography แล้วนำมาละลายใหม่และผ่านกระบวนการ gas chromatography พบว่า ครีมสมุนไพรจีน 70 % มีสารสเตียรอยด์ ประเภท Dexamethasone เป็นส่วนประกอบตั้งแต่ 64-740 microgram/1 gram ของครีมซึ่งเป็นปริมาณที่แพทย์ผิวหนังใช้รักษาคนไข้ปกติหลายเท่า
ผลสรุป
ดังนั้นท่านที่นิยมสมุนไพรทั้งหลาย และคิดว่าปลอดภัยกว่ายารักษาโรคในปัจจุบัน ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ และมีวิจารณญาณในการเลือกใช้ เพราะการวิเคราะห์ที่มีหลักเกณฑ์ตามหลักวิชาการ ย่อมปลอดภัยกว่าการแอบอ้างชวนเชื่อ จึงพึงระวัง นะจะบอกให้!

Posted on

ยาคุมกำเนิด : มีหลายยี่ห้อ เลือกอย่างไร ให้ตรงกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ใช้แล้วเหมาะกับเรา

ยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบัน มีมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ทำให้การเลือกใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงอายุ และภาวะที่เป็นอาจแตกต่างกันได้ เพื่อให้ลดความสับสนของการเลือกใช้ จะแยกยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นหมวดหมู่ตามหลักการแพทย์ ให้ทราบพอสังเขปนะครับ
หมวดหมู่ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด
1. Sequential pill  เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นเก่าๆ ที่ยังมีวางจำหน่ายอยู่ โดยเลียนแบบลักษณะของรอบเดือน โดยในช่วงแรกจะมีเฉพาะฮอรโมนเอสโตนเจน ช่วงกลางมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน และช่วงสุดท้ายมีโปรเจนเตอโรนอย่างเดียว อาทิเช่น ยี่ห้อ Trinordiol,Triquilar แม้จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี แต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม คลื่นไส้ ฝ้า ปวดศีรษะ ได้ง่าย
2.Combined contraceptive pill เป็นยาคุมกำเนิด ทีแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน โดยมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน เท่ากันทุกเม็ด โดยแบ่งย่อยตามปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา ตามขนาดดังนี้
2.1.Standard จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 50 ไมโครกรัม เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือมากระปริบกระปรอย แต่ไม่เหมาะกับผู้หญิงที่มีประวัติเลือดแข็งตัวได้ง่าย หรือมีประวัติเส้นเลือดอุดตัน ที่มีวางขายตามท้องตลาดได้แก่ ยี่ห้อ Microgynon 50 ED,Eugynon,Nordiol เป็นต้น
2.2. Low dose จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 30 ไมโครกรัม ( ยกเว้น Dian-35 จะมี 35 ไมโครกรัม) เป็นชนิดที่นียมกันมาก เนื่องจากปริมาณเอสโตรเจนมีน้อย ทำให้ลดผลข้างเคียงได้ แต่มีฤทธิ์คุมกำเนิดดีดังประเภทแรก ได้แก่ยี่ห้อ Dian-35,Marvelon,Nordette,Minulet,Microgynon 30 ED,Gynera

2.3.Ultralow dose  จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 20 ไมโครกรัม เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด แต่มีข้อเสียคือต้องรับประทานทุกวัน ไม่ควรขาดหรือลืมกิน เพราะอาจทำให้ฤทธิ์การคุมกำเนิดลดลง ตั้งครรภ์ได้ง่าย
เหมาะกับคนที่มีความจำได้ดี ไม่ลืม ได้แก่ ยายี่ห้อ Mercion Minipill ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ในทุกเม็ดยาคุม มักใช้ในการคุมกำเนิด มารดาหลังคลอดบุตร และให้น้ำนมบุตร เพราะไม่ทำให้การสร้างน้ำนมลดลง แต่ต้องรับประทานทุกวัน จนกว่าจะเลิกให้นมบุตร มีวางขายในชื่อยี่ห้อ Exluton
2.4.Postcoital pill  เป็นยาคุมกำเนิดหลังการร่วมเพศ และต้องรับประทานภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธุ์ จึงจะป้องกันได้ดีที่สุด แต่ละเม็ดยาจะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในปริมาณสูง คือ 750 ไมโครกรัม โดยออกฤทธิ์ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก ไม่เหมาะสมต่อการผังตัวของตัวอ่อนทารก แต่ไม่ได้ไปยับยั้งการตกไข่ เหมือนยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทอื่นๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานเกินเดือนละ 4 เม็ด เพราะจะทำให้รับปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ที่มีวางจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Postionr, Madonna

จากคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นหลักในการพิจารณาเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับสตรีได้ในระดับหนึ่ง การเลือกใช้แต่ละยี่ห้อ ในแต่ละประเภท ต้องคำนึงถึงราคา และผลข้างเคียงที่อาจมีได้ แม้จะอยู่ประเภทเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อ ซึ่งแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป คงต้องทดลองใช้ดู ไม่ลองก็ไม่รู้

Posted on

Vitamin A ( Retinols) วิตามินเอ กับบทบาท หน้าที่สำคัญกับสุขภาพและผิวพรรณ

วิตามินเอ เป็นมีฤทธิ์เป็น Antioxidants ที่สำคัญตัวหนึ่ง และมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยมักเรียกว่า กลุ่มยาเรตินอยด์( Retinoids ) เป็นคำเรียกรวมๆ ของ วิตามินเอจากธรรมชาติ และสังเคราะห์ขึ้น เช่น Isotretinoin,Roaccutane
ปริมาณที่ร่างกยต้องการ ปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซึ่งพบในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันปลา โดยร่างกายจะสะสมวิตามิน ในตับ

หน้าที่และบทบาทของวิตามินเอ ต่อร่างกาย โดยทั่วๆ ไป มีได้ดังนี้

  1. ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์บุผิว (Epithelial cells) และการพัฒนาการของเซลล์
  2. หยุดยั้งเนื้องอกที่อาจเป็นเซลล์มะเร็ง
  3. หยุดยั้งการแบ่งตัว และการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. ลดการอักเสบของเซลล์
  5. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินเอ ต่อผิวพรรณ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ ในการซ่อมแซม และฟื้นตัวของผิวหนัง จากการทำลายของแสงแดด
  2. ช่วยให้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดลง
  3. ช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ไม่หยาบกร้าน
  4. ลดอัตราการเกิด ขี้แมลงวันจากสาเหตุของแสงแดด
  5. ลดจำนวน และขนาดของกระเนื้อ
  6. ในรูปของอนุพันธุ์ของวิตามินเอ เช่น ยาทา ช่วยรักษาสิวอุดตัน
  7. ในรูปของยารับประทาน เช่น Roaccutrend,Isotreinoin นำมาใช้รักษาสิวอักเสบ ที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ สิวอุดตัน ปัญหาผิวหน้ามัน ช่วยรักษาแผลเป็นรอยหลุม
Posted on

อนุมูลอิสระ(Free radicles) คือปัญหาของการชราของผิวพรรณ(Cutaneous ageing) จะการป้องกัน แก้ไขอย่างไร

ขบวนการชราของผิวหนัง(Cutaneous Ageing) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  1. ความชราที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ (Intrinsic Ageing) โดยมีการเสื่อมไปตามกาลเวลา
  2. ความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์(Extrinsic Ageing) เป็นความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์ จากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด (Photoageing) มลภาวะ การสูบบุหรี่ อดนอน ความเครียด อายุ ภูมิคุ้มกัน ระดับฮอร์โมน และพันธุกรรม เศรษฐานะ ภูมิประเทศ ศาสนา อาชีพ วัฒนธรรม ดังนั้น ภาวะชราจากปัจจัยภายนอก จึงแตกต่างกันในแต่ละคน
    ภาวะ Cutaneous Ageing เป็นผลของความชรา จากเซลล์ภายใน และปัจจัยภายนอกร่วมกัน เช่น แสงแดด(ด้งนั้น การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ สามารถป้องกัน และลดความแก่ได้ระดับหนึ่ง) และพบว่าตัวการสำคัญที่เกิดขึ้น เราเรียกว่า free radicles(อนุมูลอิสระ)
    Free radicles  คืออนุมูลอิสระ อาจเป็น อะตอม อิออน หรือ โมเลกุล ที่พร้อมจะทำปฏิกริยากับสารต่างๆ ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน(Metabolism) ในขบวนการต่างๆ และมี ออกซิเจน เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องด้วย และอนุมูลอิสระนี้เอง แบ่งได้เป็นหลายชนิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะชราของผิวหนังทั้งสิ้น
    ดังนั้น ในการแก้ไข ป้องกันภาวะชรา จึงต้องหาสารที่สามารถกำจัด อนุมูลอิสระ(free radicles)เหล่านี้ และสารดังกล่าวที่นำมาใช้กำจัด เราเรียกว่า Antioxidants

Antioxidants จำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ 

1. สารต้านออกซิเดชันธรรมชาติ ได้แก่ สารเคมีจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร ชา

  • Phenolic Compound ในเครื่องเทศ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ชา ขมิ้น
  • ยูจีนอล ใน กานพลู
  • วิตามินซี
  • วิตามินอี
  • กรดซิตริก
  • แอนโทไซยานิน
  • ซีลีเนียม
    2. สารต้านออกซิเดชันสังเคราะห์ สารกลุ่มนี้จะมีโมเลกุลเล็ก ทำงานทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะทำงานภายนอกเซลล์ และในกลุ่มนี้เอง ที่ได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ อย่างแพร่หลาย และได้มีการคิดค้นเพื่อใช้ป้องกันและรักษา ภาวะชราของผิวหนัง ซึ่งได้แก่
  • – Viamin C
  • – Vitamin E
  • – Vitamin A
  • – Beta carotene
  • – Coenzyme Q10

คุณสมบัติของสาร Antioxidants ที่ดี(Ideal) ควรมีดังนี้

1. กำจัด free radicles ได้หลายชนิด
2. หาง่าย
3. ไม่เป็นพิษ ไม่ระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดี
5. มีความคงตัว ไม่สลายง่าย
6. ออกซิไดซ์ ได้ง่ายในบริเวณที่ใช้

ดังนั้นเครื่องสำอาง หลายๆ ยี่ห้อ ได้นำ Antioxidants มาผสมเพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาภาวะชรา การได้ทราบพื้นฐานของกลไกการทำงาน อาจเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เลือกใช้ อย่างฉลาด

Posted on

Phonophoresis : โฟโน นวดหน้า ผลักยากระชับผิว ให้ขาวใส ไร้ริ้วรอย เหี่ยวย่น

โฟโน คืออะไร

คือ เทคนิคยกกระชับหน้า โดยเครื่อง อัลตราโซนิค หรือเสียงความถี่สูง ประมาณ 20,000 Hz แต่จะไม่ได้ยินเสียง เดิมทางการแพทย์ ใช้ช่วยในการนวดกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ตลอดจนเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถ ทายาที่ผิวหนัง แล้วใช้คลื่นความถี่ผลักยาให้ซึมลงสู่ผิวหนัง ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเครื่องไอออนโต ที่ใช้การแตกประจุยา แล้วให้ประจุบวก หรือ ลบ ผลักยาลงไปที่ผิวหนัง

แก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

  1. ใช้ผลักยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ข้อติด ซึ่งมักใช้โดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
  2. ยกกระชัับหน้า ลดการหย่อนคล้อย
  3. รักษารอยด่าง ดำ บริเวณผิวหน้า
  4. รักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น รอบดวงตา รอยตีนกา รอยย่นที่มุมปาก รอยย่นที่หัวคิ้ว และลำคอหย่อนยาน
  5. ใช้นวดลดถุงไขมันใต้ตา ขอบตาดำคล้ำ เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต นวดเซลล์ ทำให้สารอาหารมาหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น

ข้อห้ามในการทำ Phonophoresis 

  1. ผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
  2. ไม่ควรใข้ในบริเวณท้อง ในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้แท้งบุครได้
  3. ไม่ใช้ในตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง เพราะอาจทำให้มะเร็งแพร่กระจายได้
  4. ไม่ควรใข้ในผู้ป่วย ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ( cardiac pacemaker

การทำ Phonophoresis ได้นำมาใช้ยกกระชับหน้าประมาณปี พ.ศ. 2542 และได้รับความนิยม เพราะราคาไม่แพง และช่วงนั้นมีเครื่องมือให้เลือกไม่กี่อย่าง แต่ ปัจจุบันลดความนิยมลง เพราะบางคนทำแล้วไม่ได้ผล เมื่อเทียบกับเครื่องมือใหม่ๆ ที่ออกมาภายหลัง เช่น Thermage, Ulthera,HIFU แต่ก็อาจจะถือว่าเป็นทางเลือกแรกสำหรับคนงบน้อย และมีปัญหาหน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ต้องการกระชับผิวแบบทำได้ทุกอาทิตย์

Posted on

Chemical Peeling : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ให้หน้าขาวใส ไร้ริ้วรอย ด่างดำ รูขุมขนกระชับ

Chemical Peeling  คือ

คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้AHAs,BHAs,PHA,และ TCA ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ของแพทย์ ในการใช้แก้ปัญหาด้านผิวพรรณ
โดยมีหลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
การทำ Peeling แบ่งการผลัดผิวได้เป็น
1.Very Superficial Peeling การผลัดผิว อย่างบางๆ ลอกเฉพาะเซลล์ผิวชั้นนอก(Stratum Corneum) ของชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ( AHA) หรือ 10 % TCA ทานาน 1-2 นาที
2. Superficail Peeling ผลัดผิวลึกลงกว่า วิธีที่ 1 ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ทานาน 2-20 นาที หรือ 10-30 % TCA

3. Medium Peeling ลอกลึกถึงเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด มักใช้ 70 % Glycolic acid ทานาน 3-30 นาที หรือ 30-50 % TCA
4. Deep Peeling ผลัดผิวลึกที่สุด ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) ทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 100 % Glycolic acid ทานาน 1-3 นาที หรือ 70 % TCA

ประโยชน์ในการผลัดผิวหน้า ด้วยการทำ Peeling 

  1. ลดรอยหมองคล้ำ รอยดำ ทำให้ผิวหน้าขาวเนียนขึ้น
  2. รักษาฝ้า กระ ให้สีจางลงได้
  3. ข่วยให้รอยหลุมจากสิวตื้นขึ้น และ แผลเป็นรอยนูนราบลงได้
  4. แก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
  5. ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย

การทำ Peeling นี้ แต่ละคลินิกจะได้ผลแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ 

  1. วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ลอก ลึกแค่ระดับใด
  2. ชนิดของสารเคมีที่ใช้
  3. ความเข้นข้นของสารเคมี
  4. จำนวนครั้งการทา
  5. PHของสารเคมีที่ใช้
  6. เทคนิคการทา
  7. สีผิวหรือปัญหาของผิวหนังแต่ละคน
  8. ระยะเวลาในการทาทิ้งไว้
  9. ความสะอาดของผิวหน้า
  10. ประวัติรักษาที่เคยทำมาก่อน

ข้อแนะนำหลังการรักษา 

  1. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือ โฟม หรือ สบู่อ่อนๆ งดใช้ครีมทุกชนิด ในวันแรกที่ทำการรักษา
  2. หลีกเลี่ยงการออกแดด เพราะอาจจะทำให้หน้าเกรียมแดด หมองคล้ำลงได้ แต่ถ้าจำเป็นให้ใช้ครีมกันแดดทาก่อนออกแดด ควรเลือกที่มี SPF > 50
  3. ผิวหน้าจะลอกภายใน วันที่ 3-5 หลังการทำ Peeling ไม่ควรแกะออกเอง ให้หลุดลอกตามธรรมชาติ อาจใช้ครีมบำรุงกลบรอยขุยที่หลุดลอกได้
    ข้อควรระวัง : แม้ว่าการลอกผิวด้วยสารเคมี จะเป็นที่นิยม เพราะราคาไม่แพง แต่ก็ควรระวังในคนที่สีผิวคล้ำ หรือผิวแพ้ง่าย เพราะมีผลข้างเคียง อาจจะทำให้เกิดรอยดำชั่วคราวหรือถาวรได้ จากการระคายเคืองจากสารเคมีได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ
Chemical peeling before after 2 weeks
Chemical peeling before after 2 weeks

Posted on

ขมิ้นชัน(Turmeric) : สมุนไพรมหัศจรรย์ ที่รักษาได้หลายโรค จนเราไม่คาดคิด ไม่มีพิษต่อร่างกาย

ขมิ้นชัน รู้จักกันโดยทั่วไปในด้านการใช้ประกอบอาหารต่างๆ โดยเฉพาะในภาคใต้ และสารสีเหลืองในขมิ้นชันนี่เองที่ชาวอินเดียและชาวตะวันออกกลางใชัทำเครื่องแกงที่เรียกว่า curry โดยมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn. ในวงศ์ Zingiberaceae

ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ 

  1. เคลือบแผลในกระเพาะอาหาร เหมือนยาลดกรด เมื่อรับประทานเหง้าของชมิ้นชัน จะมีสาร Curcumin สามารถกระตุ้นการหลั่งสาร mucin ออกมาในกระเพาะอาหาร จึงสามารถใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
    ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่ยังสู้ยาลดกรดทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากในขมิ้นชัน จะมีสาร curcumin ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้ปรับขนาดยาได้ไม่แน่นอน
  2. ลดการอักเสบได้ เมื่อนำมาทาที่ผิวหนัง จึงใข้รักษาโรคผิวหนังพุพอง กลาก เกลื้อน ทาแก้ยุงกัด ลดสิวอักเสบ
  3. มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี และฆ่าเชื้อแบดทีเรียในลำไส้ จึงช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการอุจจาระร่วงได้
  4. ลดการหดเกร็ง ปวดท้อ เพราะ มีฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อเรียบ
  5. ป้องกันตับอักเสบ เนื่องจากตับเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำย่อยหลายชนิด การที่ curcumin สามารถป้องกันการอักเสบเนื่องจากสารพิษ จึงอาจเป็นการลดอาการแน่นจุดเสียดทางอ้อม

ความเป็นพิษ
ขมิ้นชันจัดเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง ถึงแม้จะมีรายงานว่า curcumin เองก็อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และผงขมิ้นชันทำให้เกิดพิษต่อตับในสัตว์ทดลอง แต่ก็เป็นการให้ในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นหากจะใข้ประโยชน์จากขมิ้นชันในการรักษาโรค แนะนำว่าไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากกว่า 500 มก.ต่อครั้งที่รับประทาน

อ้างอิงจากหน่วยข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลับมหิดล

Posted on

เชื้อราที่เล็บ (Fungal Nail Infection : Onychomycosis ) สาเหตุจากอะไร สังเกตยังไง รักษาแบบไหนดี

การติดเชื้อราที่เล็บ เป็นความผิดปกติของเล็บที่พบกันบ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เกิดในสตรี มากกว่าบุรุษ โดยพบที่เล็บเท้า บ่อยกว่าเล็บมือ เพราะมีความอับชื้นสูงกว่า ทำให้เชื้อโรคมีโอกาสก่อโรคมากกว่า

ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดเชื้อราที่เล็บ คือ

1. เบาหวาน
2. ความชรา
3. ภาวะการไหลเวียนของเลือดต่ำ
4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาทิ โรคเอดส์ ซึ่งในปัจจุบัน คนไข้ที่มาพบแพทย์ผิวหนัง ด้วยเชื้อราที่เล็บ ทั้งมือ และเท้า และเป็นมากๆ ทุกนิ้ว และพบว่าผู้ป่วย อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ไม่มีอาการของโรคอื่นๆ มักแนะนำให้ตรวจเลือดหาเชื้อ เอชไอวี
สาเหตุ: ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา Dermatophyte แต่อาจเกิดจากยีสต์ก็ได้ เช่น C.albicans
ลักษณะอาการที่พบ มักเกิดจากบริเวณปลายเล็บ หรือ ซอกเล็บด้านข้างก่อน แล้วเชื้อราจะลุกลามแทรกเข้าไปใต้เล็บ ทำให้เกิดการแยกตัวของเล็บกับเนื้อข้างใต้ และมีขุยใต้เล็บมาก ทำให้ตัวเล็บดูขุ่นขาว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจลุกลามทั่วเล็บ ทำลายเล็บ ทำให้เล็บเสียรูปทรง ทำให้ดูไม่สวยงาม และมักไม่ค่อยมีอาการอื่น เช่นการอักเสบ หรือ ปวดเล็บ

แนวทางการป้องกัน คือ ต้องระวังไม่ให้เล็บมือ เล็บเท้าอับชื้น หลีกเลี่ยงการแช่มือ เท้า ในน้ำนานๆ เช่น บางคนชอบไปทำเล็บที่ร้านเสริมสวย และมักติดเชื้อราที่เล็บกลับมาเป็นของแถม ได้บ่อยๆ ไม่ควรใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับคนอื่น

แนวทางการรักษา 

1. ยาฆ่าเชื้อรา ชนิดรับประทาน เป็นการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีหลายตัว ที่ได้ผลดี ระยะเวลาในการรักษาก็แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของยา กรณีที่รับประทานสะดวก ใช้เวลาไม่มากนัก ก็จะราคาแพง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ดีกว่าจะเลือกซื้อยามารับประทานเอง
2. ครีมทาฆ่าเชื้อรา ใช้ทาที่เล็บมักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจาก ตัวยาไม่สามารถซึมผ่านเล็บไปได้ ยกเว้นกรณีที่พบเป็นขุยๆ ที่ขอบเล็บไม่มาก
3. ในปัจจุบัน ในยุโรป ได้มียาทารักษาเชื้อราที่เล็บชนิดใหม่ เรียกว่า Ciclopirox nail laqure ซึ่งตัวยาทาเล็บนี้ จะติดทน และซึมผ่านเล็บไปยับยั้งเชื้อราได้ โดยให้ทาวันเว้นวันในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดความถี่ในการทาลง ภายใน 6 เดือน
4. ไม่แนะนำให้ถอดเล็บ เนื่องจากไม่ได้ผล ฆ่าเชื้อราไม่ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เจ็บปวด และทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ ( Nail matrix) ทำให้เล็บที่จะงอกใหม่บูดเบี้ยว หรือผิดรูปอย่างถาวรได้

Posted on

Hair Transplantation : การผ่าตัดปลูกย้ายรากผม สำหรับผมร่วงบางรุนแรง ยากินเอาไม่อยู่

การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation)

เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ง่ายเหมือนผมด้านหน้า
วิธีการปลูกผมแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ

1.การปลูกผมแบบตัดหนังศีรษะ (Follicular Unit Strip Surgery: FUSS) เป็นวิธีปลูกผมที่นำหนังศีรษะบริเวณที่มีผมขึ้นมาเย็บติดกับหนังศีรษะบริเวณที่ไม่มีผม โดยบริเวณท้ายทอยที่ได้ทำการผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมาจะถูกเย็บปิดแผลและกลายเป็นแผลเป็นต่อไป
2. การปลูกผมแบบไม่ผ่าตัด (Follicular Unit Extraction: FUE) เป็นวิธีการปลูกผมที่นำเอากอผมจากบริเวณหนังศีรษะของผู้เข้ารับการปลูกผม ฝังลงบนหนังศีรษะ โดยวิธีนี้จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทย่อย ๆ ได้แก่

  • การปลูกโดยใช้รากผมในปริมาณที่มาก (Slit Grafts) โดยจะใช้รากผม 4-10 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม
  • การปลูกโดยใช้ปริมาณผมน้อย (Micro-Grafts) ใช้รากผมเพียง 1-2 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม

ในปัจจุบัน การปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการปลูกผมแบบถาวร (FUE) เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลดี อีกทั้งยังไม่ทำให้มีแผลเป็นจากการปลูกผมอีกด้วย

ใครควรจะผ่าตัดปลูกผม

มักทำใน คนไข้ที่มีผมล้าน เกรด 4 ขึ้นไป หรือทำในคนอายุมากพอสมควรก่อน ( ส่วนใหญ่ก็อายุเกินสี่สิบไปแล้ว) จนอิทธิพลจาก ฮอร์โมนเพศชาย DHT (ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วง) น้อยลงแล้ว และแนวเส้นผมจะร่นล้านขึ้นไปคงที่แล้ว จึงพิจารณาทำการย้ายรากผม จำนวน การปลูกย้ายรากผม จะมีปริมาณมากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ข้อห้ามในการปลูกผม

แม้ว่าการปลูกผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป โดยการปลูกผมด้วยวิธีศัลยกรรมนั้นถือเป็นข้อห้ามของคนกลุ่มดังต่อไปนี้

  • ผู้หญิงมีลักษณะศีรษะล้านทั่วหนังศีรษะ
  • ผู้ที่มีปริมาณผมที่ใช้ในการปลูกไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่มีสาเหตุของโรคประจำตัว เช่น SLE, มะเร็ง หรือ ศีรษะล้านจากเคมีบำบัด
    การปลูกย้าย รากผม ปัจจุบัน มีเทคนิคหลายๆ อย่างที่แพทย์ผู้เชี่ยวขาญได้เลือกใช้ และมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผ่าตัดด้วยแพทย์​ จนถึงการผ่าตัดปลูกย้าย ด้วยหุ่นยนต์​
    ดังนั้นก่อนจะทำการผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ควรจะพิจารณาให้ดี ว่าควรทำแบบไหน เพราะแต่ละวิธี ผลการรักษาแตกต่างกันมาก และค่าใช้จ่ายในการทำการปลูกย้ายรากผม ก็แตกต่างกันแล้วแต่คลินิก หรือ รพ. รวมทั้งเทคนิคในการทำผ่าตัด นอกจากนี้ หลังทำการผ่าตัด ผมขึ้นดีแล้ว ยังควรแนะนำให้ทานยาป้องกันการร่วง เช่น Finasterdie ,Dutasteride ไว้ด้วย เพื่อมิให้ผมร่วงกลับมาร่วงได้อีก
Posted on

โรคปากนกกระจอก( Angular stomatitis) เป็นก็ง่าย หายก็ยาก สาเหตุมีมาก ไม่ใช่เฉพาะขาดวิตามิน

โรคปากนกกระจอก คือ ภาวะอักเสบบริเวณมุมปาก เกิดแผลบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้าน มีรอยแตก และแยกออกจากกัน ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเกิดจากการขาดวิตามินบี 2 ( Riboflavin) แม้แต่แพทย์ทั่วไปหลายๆ ท่าน ก็ทำการรักษาโดยให้วิตามินบี 2 ทั้งๆ ที่สาเหตุจากการขาดวิตามินดังกล่าว พบได้น้อยมาก
ลักษณะอาการที่พบ คือ จะมีการหลุดลอกของเซลล์หนังกำพร้าบริเวณมุมปาก แล้วต่อมาเกิดเป็นแผล และอาจติดเชื้อแบดทีเรียแทรกซ้อน อักเสบ ปวดเจ็บได้

สาเหตุของโรคปากนกกระจอก แบ่งได้ดังนี้

  1. ปัญหาของโรคผิวหนังเอง เช่น Atopic dermatitis, Seborrheic dermatitis ทั้งสองแบบนี้ เป็นสาเหตุของโรคปากนกกระจอกที่พบได้บ่อยที่สุด 
  2. ผู้ป่วยสูงอายุ ที่ไม่มีฟัน ทำให้รูปปากผิดปกติ ทำให้เกิดการอับชื้นที่มุมปาก เกิดการติดเชื้อจากเชื้อราได้
  3. การขาดอาหาร ได้แก่ การขาดวิตามินบี 2 การขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซี และการขาดโปรตีน(พบได้น้อย)
  4. การติดเชื้อแทรกซ้อน จากเชื้อแบคทีเรีย
  5. ภาวะน้ำลายมากกว่าปกติ ( Hypersalivation)

แนวทางการป้องกันและรักษา 

  1. หาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก แล้วรักษาที่สาเหตุ อาการดังกล่าวจะหายได้
  2. ทำความสะอาดช่องปาก เช็ดมุมปากให้แห้งตลอดเวลา
  3. กรณีที่ไม่ได้ใส่ฟัน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหา
  4. การใช้ยาป้ายแผลในปาก เช่น kenalog in oral base ได้ผลดีในแง่แผลที่เกิดจากภาวะอักเสบจากภูมิแพ้

ดังนั้น กรณีที่เป็นปากนกกระจอก ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโรคขาดอาหารเสมอไป ควรมองหาสาเหตุข้างต้นด้วย เพื่อจะได้รักษาได้ตรงสาเหตุ