Posted on

Trichotillomania : โรคที่เวลาเครียด คันเส้นผม ต้องดึง ต้องถอนเส้นผม ทำให้ผมร่วง ผมบาง

Trichotillomania คืออะไร

คือ ภาวะผิดปกติทางจิต จากการที่คนที่มีปัญหาผมร่วง หรือศรีษะล้านบางกรณี ที่มาพบแพทย์ และแพทย์ได้ตรวจและซักประวัติ จะพบว่าคนพวกนี้ จะชอบดึงและถอนผมเล่นมาก่อน อาจจากภาวะเครียด หรือ มักจะทำอะไรบางอย่างเพลินอยู่ เช่น ดูหนังสือ หรือโทรทัศน์ โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 11 ปี
อาการเริ่มแรก ก็คือ คนกลุ่มนี้มักเริ่มที่มีความเครียดอยู่ก่อน แล้วเมื่อได้ถอนผมหรือขนแล้วจะหายเครียด จนเกิดเป็นความเคยชิน
ลักษณะที่ตรวจพบ – บริเวณที่ผมร่วงที่ศรีษะ มักจะเป็นแห่งเดียว รูปร่างไม่แน่นอน แต่สังเกตได้ง่ายชัดเจน คือบริเวณที่ถอนจะยังเห็นตอเส้นผมอยู่ โดยมีขนาดความยาวแตกต่างกัน เนื่องจากการถอนขนแต่ละครั้ง อาจหลงเหลือตอหรือรากผมที่หนังศรีษะ
– บางครั้งต้องแยก โรคผมร่วงจากภาวะ Trichootillomania จากโรคผมร่วงหย่อม Aloprcia areata โดยดูจากการซักประวัติ และลักษณะผมที่แหว่งไป
โรคชอบดึงหรือถอนขนนี้ ถ้าหยุดดึงได้ เส้นผมก็จะกลับมาปกติได้เอง แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ถือว่าเป็นปัญหาทางจิต ถ้าต้องการให้หายขาด ต้องรักษาร่วมกับจิตแพทย์

Posted on

กรดผลไม้ (Hydroxy Acid): สารสกัดบำรุงผิวหน้า ให้ขาวใส ไร้รอยด่างดำ มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร

กรดผลไม้( Hydroxy Acid) คืออะไร : สารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด โดยสกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์
ประโยชน์ในการนำมาใช้
มาใช้ในการช่วยเพิ่มหรือเร่งอัตราการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าหยาบกร้าน รอยดำ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยหลุม โดยอาจจะผสมในครีม หรือเครื่องสำอางค์ หรือแพทย์ผิวหนังได้นำมาใช้ในการผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ ลดริ้วรอย รอยด่างดำ ฝ้า กระ รอยหลุม ฯลฯ
ประเภทของกรดผลไม้
1. AHA (Alpha-hydroxy acid): กรดผลไม้ชนิดแรก ที่นำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกันในการใช้ประโยชน์ โดยมากในเคาน์เตอร์ความงาม จะพบเห็นแพร่หลาย ในส่วนประกอบของครีมบำรุง โดยมักจะผสมในความเข้มข้น ไม่เกิน 10 % การที่จะผสมให้ความเข้นข้นสูงกว่านี้ จะถือว่าเป็นยา
ดังนั้นจะพบได้เฉพาะในคลินิกผิวหนังเท่านั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของ AHAs ยังขึ้นอยู่กับค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) โดยถ้ายิ่ง pH ต่ำจะมีประสิทธิภาพดีกว่า pH สูงแต่ก็ระคายเคืองผิวหนังมากกว่า และไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวแพ้ง่าย( sensitive skin)

2. BHA (Beta-hydroxy acid) เป็นกรดผลไม้อีกชนิดหนึ่ง ที่ออกมาสู่ท้องตลาด ในเวลาไม่กี่ปีมานี้ BHAเป็น สารพวก organic aromatic compound (ซึ่งมี hydroxy group ที่ beta position (ขณะที่ AHA มีที่ alpha positions) ซึ่งสารตัวนี้ ทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือน AHA สารตัวนี้ที่เรารู้จักกันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid)
BHA ละลายในไขมันจึงซึมแทรกลงไปในรูขุมขนได้ดี ทำให้บางคนอนุมานว่าจะดีกว่า AHAs ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ต้องอยู่ที่ จุดประสงค์ในการใช้แก้ปัญหา
AHA จะเหมาะกับการทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกได้ดี หลังใช้ทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวหน้านุ่มขึ้น
แต่ BHA จะเหมาะกับการรักษาผิวหน้าที่ลึกกว่า ใช้แก้ปัญหาการหลุดลอกของสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และกระชับรูขุมขน เพราะ BHA สามารถลอกผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมากได้ดีกว่า AHA โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก นอกจากนี้ พบว่า BHA ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเกราะป้องกันของผิวหนัง ( Transepidermal water loss) จึงใช้ได้ในคนที่ผิวแพ้ง่าย
3. CHA (combined hydroxy acid) เป็นการผสมผสานของกรดผลไม้หลายชนิด แต่ไม่นิยมเพราะเตรียมยาก
4. PHA (Poly-hydroxy acid) จะเป็นกรดผลไม้ตัวล่าสุด PHA ผลิตขึ้นเพื่อจะมาแทนที่ AHA ในอนาคต โดยมีการปรับให้มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ดูดซึมเข้าไปในผิวหนังลดลง จึงไม่ระคายเคืองผิว และใช้ได้กับคนที่ผิวแพ้ง่าย โดยมีแนวโน้มในการใช้ลอกผิวหนังได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะป้องกันผิวพรรณ ดังนั้นPHA อาจจะเป็นของใหม่ ในศตวรรษนี้ ที่กล่าวถึงกันมาก
แต่ในปัจจุบันทั้ง AHA,BHA ก็ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาทั้งสองตัว ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกใช้ได้เหมาะสม

Posted on

ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) สมุนไพรพื้นบ้าน กับ 15 ประโยชน์ในทางการแพทย์และความงาม

ว่านหางจระเข้ หรือ หางตะเข้ หรือ ว่านไฟใหม้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยมีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Aloe barbadensis Mill หรือ Aloe vera Inn. ในตระกูล Liliaceae มีลักษณะเป็นพืชล้มลุก ลำต้นสั้น ใบยาวแหลม อวบ และติดแน่นกับลำต้น ขอบใบมีหนามแหลม ภายในมีวุ้นใส และที่เปลือกใบมีท่อ ซึ่งทำให้น้ำยางเป็นสีดำ 

สรรพคุณว่านหางจระเข้

  1. รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษารอยไหม้บนผิวได้ดี โดยสารสำคัญในส่วนของวุ้น คือ Glycoprotein 2 ชนิด ขื่อ Aloctin-A และ Aloctin-B จะช่วยลดการอักเสบ และมีฤทธิ์สมานแผล
  2. ลดการอักเสบของผิว รักษาสิวได้โดยการเอาว่านหางจระเข้มาทาบาง ๆ ที่สิวก่อนนอน 
  3. ลดการแสบผิวจากแสงแดดได้ ใครที่ผิวแสบไหม้ วุ้นจากใบว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาได้เป็นอย่างดี 
  4. บำรุงดูแลเส้นผมให้เงางาม เพียงแค่นำวุ้นจากใบว่านหางมาชโลมบนเส้นผม 
  5. บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่น ไม่แห้งแตก เนื่องจากมีฤทธ์เย็น กระตุ้นเซลล์ผิวหนังได้ดี 
  6. บรรเทาอาหารท้องผูก เนื่องจากมีเปลือกสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเป็นส่วนประกอบของ ยาดำที่ใช้เป็นยาระบายในตำรับแผนไทย
  7. ควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน โดยการดื่มน้ำว่านหางจระเข้เข้มข้น 80% วันละ 2 ครั้ง ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 
  8. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและรักษาอาการกรดไหลย้อน โดยการทานวุ้นว่านหางจระเข้เป็นประจำ 
  9. ใช้วุ้นจากใบในการรักษาฝ้า แบบไม่พึ่งครีมรักษาฝ้า
  10. ลดรอยแผลเป็น ให้แผลดูจางลงได้โดยการใช้วุ้นจากใบว่านหางมาทาเบา ๆ บนรอบแผล 
  11. ลดการอักเสบ แสบคันและการตกสะเก็ดจากโรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ 
  12. ช่วยลดสิว สิ้วเสี้ยนบนใบหน้าได้  ใช้เนื้อวุ้นว่านหาง ผสมไข่ขาวและน้ำผึ้ง ผสมกัน มาสก์ทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 15 นาที จะ
  13. ใบว่านหางจระเข้สามารถช่วยรักษาริดสีดวงทวาร โดยใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก 
  14. นำมาทำเป็นของหวานเพื่อสุขภาพคลายร้อนได้ เช่น วุ้นว่านหางจระเข้ลอยแก้ว น้ำว่านหางจระเข้สมูทตี้ ฯลฯ 
  15. ช่วยลดหน้าท้องลายหลังการคลอดลูก โดยให้นำวุ้นว่านหางมาทาบริเวณท้องเป็นประจำ 

    วิธีใช้ว่านหางจระเข้
  1. ควรเลือกต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้เลือกส่วนล่างสุดเนื่องจากจะมีวุ้นมากกว่าส่วนอื่น ๆ 
  2. นำว่านหางจระเข้มาแช่เย็นก่อนการใช้จะสดชื่นมากขึ้น 
  3. ควรล้างเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ให้สะอาดก่อนการใช้ทุกครั้ง เนื่องจากเมือกยางจากใบมีสาร Anthraquinone ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ 
  4. ไม่ควรใช้เป็นยาระบายหรือยาถ่ายในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีประจำเดือน และผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร 
  5. วุ้นของว่านหางจระเข้ถ้าปอกแล้วจะเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมง ดังนั้นควรใช้ทันทีจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด 

Posted on

สมุนไพรพญายอ (เสลดพังพอน) สมุนไพรไม้พุ่ม รักษาโรคเริม งูสวัด ได้ผลไม่แพ้ยาแผนปัจจุบัน

  สมุนไพรพญายอ ( Clinacanthus nutans,Lindau) 
พญายอ
สมุนไพรไม้พุ่ม มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวเรียวยาวรูปหอก กว้างประมาณ 1 ซม. และยาว 3-10 ซม. ขอบใบจักเป็นซี่ฟัน พบได้ทั่วไป และปลูกขยายพันธุ์ได้ง่าย
กลไกการออกฤทธิ์
พบว่าสารสกัดจากส่วนใบ คือ ฟลาโวนอยด์ มีความสามารถในการลดการอักเสบในหนูขาวทดลอง และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส HSV-2 และ VZA ได้ดีมาก
คณะวิจัยจากกรมการแพทย์ รพ.บางรัก และรพ.ตากสิน ได้นำมาทำการทดลองใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ จำนวน 77 ราย จนได้ข้อสรุปว่า ครีมที่ผสมด้วยสมุนไพรพญาลอ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริม และงูสวัด ไม่แตกต่างจากยา Acyclovir และดีกว่าตรงที่ เมื่อทาตรงแผลแล้วจะรู้สึกเย็น ในขณะที่ acyclovir cream ทาแล้วจะรู้สึกแสบ
ดังนั้น องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผลิตครีมพญายอ ออกจำหน่ายทั่วไป ปัจจุบัน พญายอ ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ กลุ่มยาพัฒนาจากสมุนไพร เป็นยาสำหรับรักษากลุ่มอาการทางระบบผิวหนัง บรรเทาอาการของเริมและงูสวัด รักษาแผลในปาก บรรเทาอาการผด ผื่น คัน ลมพิษ บรรเทาอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อ โดยมีการพัฒนายาหลายรูปแบบ เช่น ครีม กลีเซอรีน โล่ชั่น ยาหม่อง

อ้างอิง จาก วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนิตยสารเภสัชอายุรเวช เรื่อง การใช้เสลดพังพอน

Posted on

Iontophoresis : ไอออนโต แก้ปัญหาผิวมัน ไร้สิว ไร้ฝ้า หน้าขาวใส ไร้รอยด่างดำ

ไอออนโต คืออะไร

คือ เครื่องมืออิเลคโทรนิค ที่มีความสามารถในการผลักดันวิตามิน หรือยาเข้าสู่ผิว ด้วยกลไกทางฟิสิกซ์ว่า ประจุเหมือนกันจะผลักกัน และประจุต่างกันจะดูดเข้าหากันโดยใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำ ทำให้ยาซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้มากกว่าการทายาเพียงอย่างเดียวหลายเท่าตัว
ขบวนการดังกล่าว เราเรียกว่า Iontophoresis

ชนิดของยา ที่สามารถนำมาใช้ด้วยเครื่องไอออนโต เพื่อทำการรักษาปัญหาผิวหน้า อาทิเช่น

  1. Vitamin A : สิวอุดตัน แผลเป็น รอยหลุม
  2. Vitamin C : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  3. Kojic Acid : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  4. Albutin : หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ ฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น
  5. Aloe vera , Hyaluronic acid : รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ากระชับ
  6. Azeleic Acid,Tranxemic acid : ปัญหาฝ้า รอยด่างดำ

ไอออนโต รักษาอะไร

ปัจจุบันนำมาเพื่อทำให้หน้าขาวใส รักษาสิว รอยด่างดำตื้นๆ ลดหน้ามัน เป็นหลัก เพราะมีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถ ใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้ง ประมาณ 250-400 บาท ขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้ในการทำไอออนโต และสามารถมาทำได้บ่อย 2-3 ครั้งต่ออาทิตย์
มีข้อถกเถียงกันในวงการแพทย์ผิวหนัง ว่าการรักษาด้วยไออออนโต สามารถผลักยาลงไปได้จริงหรือไม่ มีทั้งผลงานวิจัยที่สนับสนุน( ของเมืองนอก) และคัดค้าน( ที่รพ.ศิริราชทำวิจัย ) ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่จากความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนและประสบการณ์ที่ใช้รักษาคนไข้ คนไข้ส่วนใหญ่ พอใจกับผลการรักษาในระดับหนึ่ง
ไอออนโตถือเป็นการทำทรีทเม้นต์พื้นฐาน หรือตัวเลือกแรก สำหรับคนปัญหาผิวมัน สิว ฝ้า กระ แต่มีงบประมาณจำกัด ในการแก้ปัญหาผิวหน้าให้ดีขึ้น แต่ต้องทำหลายครั้ง ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ ยังไม่พอใจ จึงค่อยเปลี่ยนไปทำทรีทเม้นต์อื่นๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ปัจจุบัน การทำไอออนโต จะให้ต้องใช้ยา หรือครีมรักษา นำกลับไปดูแลต่อที่บ้านด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้มากขึ้น

Posted on

ไม่อยากใช้ครีมผสมสเตียรอยด์ รักษาผื่นแพ้ในเด็ก เลือกครีมสมุนไพรจีน ปลอดภัย แน่หรือ!

การรักษาโรคผื่นแพ้ในเด็ก เช่น Eczema, Atopic dermatitis การใช้สารสเตียรอยด์ ถือว่าเป็นยาหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวลในผลแทรกซ้อนของสารสเตียรอยด์ จึงได้หันมาใช้สมุนไพรจีนและครีมของจีน ที่มีการอ้างว่าเป็นสารธรรมชาติและปราศจากสารสเตียรอยด์ และทำให้ไม่มีการควบคุมกันอย่างจริงจัง
งานวิจัยสมุนไพรจีน
มีผลงานการวิจัยของโรงพยาบาล King’s college ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาครีมสมุนไพรจีน 10 ชนิด แล้วนำ มาตรวจสอบสารสเตียรอยด์ เนื่องจากทีมนักวิจัยพบว่ามีผู้ป่วยที่ประเทศอังกฤษ ได้นำมาทำการรักษาผู้ป่วยทางผิวหนัง และมีผลการรักษาที่ดีเยี่ยม และทำให้อาการกำเริบมากขึ้น
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 36 ปี เป็นคนไข้เด็ก 7 คน และผู้ใหญ่ 3 คน โดยได้รับการสั่งยาจากหมอจีนแผนโบราณ ครีมมีเนื้อครีมสีขาว กลิ่นหอมน่าใช้
รายละเอียดผลงานวิจัย
การทดสอบทำโดย การละลายครีมสมุนไพรจีนตัวอย่าง ใน ethyl acetate และกรองเอาส่วนสารอินทรีย์ไว้ โดยปล่อยให้ตัวทำละลายระเหยออกไป แล้วนำน้ำมันที่เหลือผ่านกระบวนการ Liquid-gel chromatography แล้วนำมาละลายใหม่และผ่านกระบวนการ gas chromatography พบว่า ครีมสมุนไพรจีน 70 % มีสารสเตียรอยด์ ประเภท Dexamethasone เป็นส่วนประกอบตั้งแต่ 64-740 microgram/1 gram ของครีมซึ่งเป็นปริมาณที่แพทย์ผิวหนังใช้รักษาคนไข้ปกติหลายเท่า
ผลสรุป
ดังนั้นท่านที่นิยมสมุนไพรทั้งหลาย และคิดว่าปลอดภัยกว่ายารักษาโรคในปัจจุบัน ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ และมีวิจารณญาณในการเลือกใช้ เพราะการวิเคราะห์ที่มีหลักเกณฑ์ตามหลักวิชาการ ย่อมปลอดภัยกว่าการแอบอ้างชวนเชื่อ จึงพึงระวัง นะจะบอกให้!

Posted on

ยาคุมกำเนิด : มีหลายยี่ห้อ เลือกอย่างไร ให้ตรงกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ใช้แล้วเหมาะกับเรา

ยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบัน มีมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ทำให้การเลือกใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงอายุ และภาวะที่เป็นอาจแตกต่างกันได้ เพื่อให้ลดความสับสนของการเลือกใช้ จะแยกยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นหมวดหมู่ตามหลักการแพทย์ ให้ทราบพอสังเขปนะครับ
หมวดหมู่ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด
1. Sequential pill  เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นเก่าๆ ที่ยังมีวางจำหน่ายอยู่ โดยเลียนแบบลักษณะของรอบเดือน โดยในช่วงแรกจะมีเฉพาะฮอรโมนเอสโตนเจน ช่วงกลางมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน และช่วงสุดท้ายมีโปรเจนเตอโรนอย่างเดียว อาทิเช่น ยี่ห้อ Trinordiol,Triquilar แม้จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี แต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม คลื่นไส้ ฝ้า ปวดศีรษะ ได้ง่าย
2.Combined contraceptive pill เป็นยาคุมกำเนิด ทีแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน โดยมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน เท่ากันทุกเม็ด โดยแบ่งย่อยตามปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา ตามขนาดดังนี้
2.1.Standard จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 50 ไมโครกรัม เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือมากระปริบกระปรอย แต่ไม่เหมาะกับผู้หญิงที่มีประวัติเลือดแข็งตัวได้ง่าย หรือมีประวัติเส้นเลือดอุดตัน ที่มีวางขายตามท้องตลาดได้แก่ ยี่ห้อ Microgynon 50 ED,Eugynon,Nordiol เป็นต้น
2.2. Low dose จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 30 ไมโครกรัม ( ยกเว้น Dian-35 จะมี 35 ไมโครกรัม) เป็นชนิดที่นียมกันมาก เนื่องจากปริมาณเอสโตรเจนมีน้อย ทำให้ลดผลข้างเคียงได้ แต่มีฤทธิ์คุมกำเนิดดีดังประเภทแรก ได้แก่ยี่ห้อ Dian-35,Marvelon,Nordette,Minulet,Microgynon 30 ED,Gynera

2.3.Ultralow dose  จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 20 ไมโครกรัม เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด แต่มีข้อเสียคือต้องรับประทานทุกวัน ไม่ควรขาดหรือลืมกิน เพราะอาจทำให้ฤทธิ์การคุมกำเนิดลดลง ตั้งครรภ์ได้ง่าย
เหมาะกับคนที่มีความจำได้ดี ไม่ลืม ได้แก่ ยายี่ห้อ Mercion Minipill ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ในทุกเม็ดยาคุม มักใช้ในการคุมกำเนิด มารดาหลังคลอดบุตร และให้น้ำนมบุตร เพราะไม่ทำให้การสร้างน้ำนมลดลง แต่ต้องรับประทานทุกวัน จนกว่าจะเลิกให้นมบุตร มีวางขายในชื่อยี่ห้อ Exluton
2.4.Postcoital pill  เป็นยาคุมกำเนิดหลังการร่วมเพศ และต้องรับประทานภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธุ์ จึงจะป้องกันได้ดีที่สุด แต่ละเม็ดยาจะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในปริมาณสูง คือ 750 ไมโครกรัม โดยออกฤทธิ์ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก ไม่เหมาะสมต่อการผังตัวของตัวอ่อนทารก แต่ไม่ได้ไปยับยั้งการตกไข่ เหมือนยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทอื่นๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานเกินเดือนละ 4 เม็ด เพราะจะทำให้รับปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ที่มีวางจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Postionr, Madonna

จากคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นหลักในการพิจารณาเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับสตรีได้ในระดับหนึ่ง การเลือกใช้แต่ละยี่ห้อ ในแต่ละประเภท ต้องคำนึงถึงราคา และผลข้างเคียงที่อาจมีได้ แม้จะอยู่ประเภทเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อ ซึ่งแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป คงต้องทดลองใช้ดู ไม่ลองก็ไม่รู้

Posted on

Vitamin A ( Retinols) วิตามินเอ กับบทบาท หน้าที่สำคัญกับสุขภาพและผิวพรรณ

วิตามินเอ เป็นมีฤทธิ์เป็น Antioxidants ที่สำคัญตัวหนึ่ง และมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยมักเรียกว่า กลุ่มยาเรตินอยด์( Retinoids ) เป็นคำเรียกรวมๆ ของ วิตามินเอจากธรรมชาติ และสังเคราะห์ขึ้น เช่น Isotretinoin,Roaccutane
ปริมาณที่ร่างกยต้องการ ปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซึ่งพบในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันปลา โดยร่างกายจะสะสมวิตามิน ในตับ

หน้าที่และบทบาทของวิตามินเอ ต่อร่างกาย โดยทั่วๆ ไป มีได้ดังนี้

  1. ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์บุผิว (Epithelial cells) และการพัฒนาการของเซลล์
  2. หยุดยั้งเนื้องอกที่อาจเป็นเซลล์มะเร็ง
  3. หยุดยั้งการแบ่งตัว และการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. ลดการอักเสบของเซลล์
  5. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินเอ ต่อผิวพรรณ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ ในการซ่อมแซม และฟื้นตัวของผิวหนัง จากการทำลายของแสงแดด
  2. ช่วยให้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดลง
  3. ช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ไม่หยาบกร้าน
  4. ลดอัตราการเกิด ขี้แมลงวันจากสาเหตุของแสงแดด
  5. ลดจำนวน และขนาดของกระเนื้อ
  6. ในรูปของอนุพันธุ์ของวิตามินเอ เช่น ยาทา ช่วยรักษาสิวอุดตัน
  7. ในรูปของยารับประทาน เช่น Roaccutrend,Isotreinoin นำมาใช้รักษาสิวอักเสบ ที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ สิวอุดตัน ปัญหาผิวหน้ามัน ช่วยรักษาแผลเป็นรอยหลุม
Posted on

อนุมูลอิสระ(Free radicles) คือปัญหาของการชราของผิวพรรณ(Cutaneous ageing) จะการป้องกัน แก้ไขอย่างไร

ขบวนการชราของผิวหนัง(Cutaneous Ageing) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  1. ความชราที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ (Intrinsic Ageing) โดยมีการเสื่อมไปตามกาลเวลา
  2. ความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์(Extrinsic Ageing) เป็นความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์ จากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด (Photoageing) มลภาวะ การสูบบุหรี่ อดนอน ความเครียด อายุ ภูมิคุ้มกัน ระดับฮอร์โมน และพันธุกรรม เศรษฐานะ ภูมิประเทศ ศาสนา อาชีพ วัฒนธรรม ดังนั้น ภาวะชราจากปัจจัยภายนอก จึงแตกต่างกันในแต่ละคน
    ภาวะ Cutaneous Ageing เป็นผลของความชรา จากเซลล์ภายใน และปัจจัยภายนอกร่วมกัน เช่น แสงแดด(ด้งนั้น การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ สามารถป้องกัน และลดความแก่ได้ระดับหนึ่ง) และพบว่าตัวการสำคัญที่เกิดขึ้น เราเรียกว่า free radicles(อนุมูลอิสระ)
    Free radicles  คืออนุมูลอิสระ อาจเป็น อะตอม อิออน หรือ โมเลกุล ที่พร้อมจะทำปฏิกริยากับสารต่างๆ ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน(Metabolism) ในขบวนการต่างๆ และมี ออกซิเจน เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องด้วย และอนุมูลอิสระนี้เอง แบ่งได้เป็นหลายชนิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะชราของผิวหนังทั้งสิ้น
    ดังนั้น ในการแก้ไข ป้องกันภาวะชรา จึงต้องหาสารที่สามารถกำจัด อนุมูลอิสระ(free radicles)เหล่านี้ และสารดังกล่าวที่นำมาใช้กำจัด เราเรียกว่า Antioxidants

Antioxidants จำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ 

1. สารต้านออกซิเดชันธรรมชาติ ได้แก่ สารเคมีจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร ชา

  • Phenolic Compound ในเครื่องเทศ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ชา ขมิ้น
  • ยูจีนอล ใน กานพลู
  • วิตามินซี
  • วิตามินอี
  • กรดซิตริก
  • แอนโทไซยานิน
  • ซีลีเนียม
    2. สารต้านออกซิเดชันสังเคราะห์ สารกลุ่มนี้จะมีโมเลกุลเล็ก ทำงานทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะทำงานภายนอกเซลล์ และในกลุ่มนี้เอง ที่ได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ อย่างแพร่หลาย และได้มีการคิดค้นเพื่อใช้ป้องกันและรักษา ภาวะชราของผิวหนัง ซึ่งได้แก่
  • – Viamin C
  • – Vitamin E
  • – Vitamin A
  • – Beta carotene
  • – Coenzyme Q10

คุณสมบัติของสาร Antioxidants ที่ดี(Ideal) ควรมีดังนี้

1. กำจัด free radicles ได้หลายชนิด
2. หาง่าย
3. ไม่เป็นพิษ ไม่ระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดี
5. มีความคงตัว ไม่สลายง่าย
6. ออกซิไดซ์ ได้ง่ายในบริเวณที่ใช้

ดังนั้นเครื่องสำอาง หลายๆ ยี่ห้อ ได้นำ Antioxidants มาผสมเพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาภาวะชรา การได้ทราบพื้นฐานของกลไกการทำงาน อาจเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เลือกใช้ อย่างฉลาด

Posted on

Phonophoresis : โฟโน นวดหน้า ผลักยากระชับผิว ให้ขาวใส ไร้ริ้วรอย เหี่ยวย่น

โฟโน คืออะไร

คือ เทคนิคยกกระชับหน้า โดยเครื่อง อัลตราโซนิค หรือเสียงความถี่สูง ประมาณ 20,000 Hz แต่จะไม่ได้ยินเสียง เดิมทางการแพทย์ ใช้ช่วยในการนวดกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ตลอดจนเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถ ทายาที่ผิวหนัง แล้วใช้คลื่นความถี่ผลักยาให้ซึมลงสู่ผิวหนัง ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเครื่องไอออนโต ที่ใช้การแตกประจุยา แล้วให้ประจุบวก หรือ ลบ ผลักยาลงไปที่ผิวหนัง

แก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

  1. ใช้ผลักยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ข้อติด ซึ่งมักใช้โดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
  2. ยกกระชัับหน้า ลดการหย่อนคล้อย
  3. รักษารอยด่าง ดำ บริเวณผิวหน้า
  4. รักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น รอบดวงตา รอยตีนกา รอยย่นที่มุมปาก รอยย่นที่หัวคิ้ว และลำคอหย่อนยาน
  5. ใช้นวดลดถุงไขมันใต้ตา ขอบตาดำคล้ำ เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต นวดเซลล์ ทำให้สารอาหารมาหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น

ข้อห้ามในการทำ Phonophoresis 

  1. ผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
  2. ไม่ควรใข้ในบริเวณท้อง ในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้แท้งบุครได้
  3. ไม่ใช้ในตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง เพราะอาจทำให้มะเร็งแพร่กระจายได้
  4. ไม่ควรใข้ในผู้ป่วย ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ( cardiac pacemaker

การทำ Phonophoresis ได้นำมาใช้ยกกระชับหน้าประมาณปี พ.ศ. 2542 และได้รับความนิยม เพราะราคาไม่แพง และช่วงนั้นมีเครื่องมือให้เลือกไม่กี่อย่าง แต่ ปัจจุบันลดความนิยมลง เพราะบางคนทำแล้วไม่ได้ผล เมื่อเทียบกับเครื่องมือใหม่ๆ ที่ออกมาภายหลัง เช่น Thermage, Ulthera,HIFU แต่ก็อาจจะถือว่าเป็นทางเลือกแรกสำหรับคนงบน้อย และมีปัญหาหน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ต้องการกระชับผิวแบบทำได้ทุกอาทิตย์

Posted on

Chemical Peeling : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ให้หน้าขาวใส ไร้ริ้วรอย ด่างดำ รูขุมขนกระชับ

Chemical Peeling  คือ

คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้AHAs,BHAs,PHA,และ TCA ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ของแพทย์ ในการใช้แก้ปัญหาด้านผิวพรรณ
โดยมีหลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
การทำ Peeling แบ่งการผลัดผิวได้เป็น
1.Very Superficial Peeling การผลัดผิว อย่างบางๆ ลอกเฉพาะเซลล์ผิวชั้นนอก(Stratum Corneum) ของชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ( AHA) หรือ 10 % TCA ทานาน 1-2 นาที
2. Superficail Peeling ผลัดผิวลึกลงกว่า วิธีที่ 1 ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 30-50 % Glycolic acid ทานาน 2-20 นาที หรือ 10-30 % TCA

3. Medium Peeling ลอกลึกถึงเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) บางส่วน หรือทั้งหมด มักใช้ 70 % Glycolic acid ทานาน 3-30 นาที หรือ 30-50 % TCA
4. Deep Peeling ผลัดผิวลึกที่สุด ทำให้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า( Epidermis) ทั้งหมด จนถึงบริเวณ รอยหยัก หลุดลอกออก มักใช้ 100 % Glycolic acid ทานาน 1-3 นาที หรือ 70 % TCA

ประโยชน์ในการผลัดผิวหน้า ด้วยการทำ Peeling 

  1. ลดรอยหมองคล้ำ รอยดำ ทำให้ผิวหน้าขาวเนียนขึ้น
  2. รักษาฝ้า กระ ให้สีจางลงได้
  3. ข่วยให้รอยหลุมจากสิวตื้นขึ้น และ แผลเป็นรอยนูนราบลงได้
  4. แก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
  5. ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย

การทำ Peeling นี้ แต่ละคลินิกจะได้ผลแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ 

  1. วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ลอก ลึกแค่ระดับใด
  2. ชนิดของสารเคมีที่ใช้
  3. ความเข้นข้นของสารเคมี
  4. จำนวนครั้งการทา
  5. PHของสารเคมีที่ใช้
  6. เทคนิคการทา
  7. สีผิวหรือปัญหาของผิวหนังแต่ละคน
  8. ระยะเวลาในการทาทิ้งไว้
  9. ความสะอาดของผิวหน้า
  10. ประวัติรักษาที่เคยทำมาก่อน

ข้อแนะนำหลังการรักษา 

  1. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือ โฟม หรือ สบู่อ่อนๆ งดใช้ครีมทุกชนิด ในวันแรกที่ทำการรักษา
  2. หลีกเลี่ยงการออกแดด เพราะอาจจะทำให้หน้าเกรียมแดด หมองคล้ำลงได้ แต่ถ้าจำเป็นให้ใช้ครีมกันแดดทาก่อนออกแดด ควรเลือกที่มี SPF > 50
  3. ผิวหน้าจะลอกภายใน วันที่ 3-5 หลังการทำ Peeling ไม่ควรแกะออกเอง ให้หลุดลอกตามธรรมชาติ อาจใช้ครีมบำรุงกลบรอยขุยที่หลุดลอกได้
    ข้อควรระวัง : แม้ว่าการลอกผิวด้วยสารเคมี จะเป็นที่นิยม เพราะราคาไม่แพง แต่ก็ควรระวังในคนที่สีผิวคล้ำ หรือผิวแพ้ง่าย เพราะมีผลข้างเคียง อาจจะทำให้เกิดรอยดำชั่วคราวหรือถาวรได้ จากการระคายเคืองจากสารเคมีได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ
Chemical peeling before after 2 weeks
Chemical peeling before after 2 weeks

Posted on

ขมิ้นชัน(Turmeric) : สมุนไพรมหัศจรรย์ ที่รักษาได้หลายโรค จนเราไม่คาดคิด ไม่มีพิษต่อร่างกาย

ขมิ้นชัน รู้จักกันโดยทั่วไปในด้านการใช้ประกอบอาหารต่างๆ โดยเฉพาะในภาคใต้ และสารสีเหลืองในขมิ้นชันนี่เองที่ชาวอินเดียและชาวตะวันออกกลางใชัทำเครื่องแกงที่เรียกว่า curry โดยมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn. ในวงศ์ Zingiberaceae

ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ 

  1. เคลือบแผลในกระเพาะอาหาร เหมือนยาลดกรด เมื่อรับประทานเหง้าของชมิ้นชัน จะมีสาร Curcumin สามารถกระตุ้นการหลั่งสาร mucin ออกมาในกระเพาะอาหาร จึงสามารถใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
    ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่ยังสู้ยาลดกรดทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากในขมิ้นชัน จะมีสาร curcumin ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้ปรับขนาดยาได้ไม่แน่นอน
  2. ลดการอักเสบได้ เมื่อนำมาทาที่ผิวหนัง จึงใข้รักษาโรคผิวหนังพุพอง กลาก เกลื้อน ทาแก้ยุงกัด ลดสิวอักเสบ
  3. มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี และฆ่าเชื้อแบดทีเรียในลำไส้ จึงช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการอุจจาระร่วงได้
  4. ลดการหดเกร็ง ปวดท้อ เพราะ มีฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อเรียบ
  5. ป้องกันตับอักเสบ เนื่องจากตับเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำย่อยหลายชนิด การที่ curcumin สามารถป้องกันการอักเสบเนื่องจากสารพิษ จึงอาจเป็นการลดอาการแน่นจุดเสียดทางอ้อม

ความเป็นพิษ
ขมิ้นชันจัดเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง ถึงแม้จะมีรายงานว่า curcumin เองก็อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และผงขมิ้นชันทำให้เกิดพิษต่อตับในสัตว์ทดลอง แต่ก็เป็นการให้ในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นหากจะใข้ประโยชน์จากขมิ้นชันในการรักษาโรค แนะนำว่าไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากกว่า 500 มก.ต่อครั้งที่รับประทาน

อ้างอิงจากหน่วยข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลับมหิดล

Posted on

เชื้อราที่เล็บ (Fungal Nail Infection : Onychomycosis ) สาเหตุจากอะไร สังเกตยังไง รักษาแบบไหนดี

การติดเชื้อราที่เล็บ เป็นความผิดปกติของเล็บที่พบกันบ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เกิดในสตรี มากกว่าบุรุษ โดยพบที่เล็บเท้า บ่อยกว่าเล็บมือ เพราะมีความอับชื้นสูงกว่า ทำให้เชื้อโรคมีโอกาสก่อโรคมากกว่า

ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดเชื้อราที่เล็บ คือ

1. เบาหวาน
2. ความชรา
3. ภาวะการไหลเวียนของเลือดต่ำ
4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาทิ โรคเอดส์ ซึ่งในปัจจุบัน คนไข้ที่มาพบแพทย์ผิวหนัง ด้วยเชื้อราที่เล็บ ทั้งมือ และเท้า และเป็นมากๆ ทุกนิ้ว และพบว่าผู้ป่วย อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ไม่มีอาการของโรคอื่นๆ มักแนะนำให้ตรวจเลือดหาเชื้อ เอชไอวี
สาเหตุ: ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา Dermatophyte แต่อาจเกิดจากยีสต์ก็ได้ เช่น C.albicans
ลักษณะอาการที่พบ มักเกิดจากบริเวณปลายเล็บ หรือ ซอกเล็บด้านข้างก่อน แล้วเชื้อราจะลุกลามแทรกเข้าไปใต้เล็บ ทำให้เกิดการแยกตัวของเล็บกับเนื้อข้างใต้ และมีขุยใต้เล็บมาก ทำให้ตัวเล็บดูขุ่นขาว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจลุกลามทั่วเล็บ ทำลายเล็บ ทำให้เล็บเสียรูปทรง ทำให้ดูไม่สวยงาม และมักไม่ค่อยมีอาการอื่น เช่นการอักเสบ หรือ ปวดเล็บ

แนวทางการป้องกัน คือ ต้องระวังไม่ให้เล็บมือ เล็บเท้าอับชื้น หลีกเลี่ยงการแช่มือ เท้า ในน้ำนานๆ เช่น บางคนชอบไปทำเล็บที่ร้านเสริมสวย และมักติดเชื้อราที่เล็บกลับมาเป็นของแถม ได้บ่อยๆ ไม่ควรใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับคนอื่น

แนวทางการรักษา 

1. ยาฆ่าเชื้อรา ชนิดรับประทาน เป็นการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีหลายตัว ที่ได้ผลดี ระยะเวลาในการรักษาก็แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของยา กรณีที่รับประทานสะดวก ใช้เวลาไม่มากนัก ก็จะราคาแพง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ดีกว่าจะเลือกซื้อยามารับประทานเอง
2. ครีมทาฆ่าเชื้อรา ใช้ทาที่เล็บมักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจาก ตัวยาไม่สามารถซึมผ่านเล็บไปได้ ยกเว้นกรณีที่พบเป็นขุยๆ ที่ขอบเล็บไม่มาก
3. ในปัจจุบัน ในยุโรป ได้มียาทารักษาเชื้อราที่เล็บชนิดใหม่ เรียกว่า Ciclopirox nail laqure ซึ่งตัวยาทาเล็บนี้ จะติดทน และซึมผ่านเล็บไปยับยั้งเชื้อราได้ โดยให้ทาวันเว้นวันในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดความถี่ในการทาลง ภายใน 6 เดือน
4. ไม่แนะนำให้ถอดเล็บ เนื่องจากไม่ได้ผล ฆ่าเชื้อราไม่ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เจ็บปวด และทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ ( Nail matrix) ทำให้เล็บที่จะงอกใหม่บูดเบี้ยว หรือผิดรูปอย่างถาวรได้

Posted on

Hair Transplantation : การผ่าตัดปลูกย้ายรากผม สำหรับผมร่วงบางรุนแรง ยากินเอาไม่อยู่

การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation)

เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ง่ายเหมือนผมด้านหน้า
วิธีการปลูกผมแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ

1.การปลูกผมแบบตัดหนังศีรษะ (Follicular Unit Strip Surgery: FUSS) เป็นวิธีปลูกผมที่นำหนังศีรษะบริเวณที่มีผมขึ้นมาเย็บติดกับหนังศีรษะบริเวณที่ไม่มีผม โดยบริเวณท้ายทอยที่ได้ทำการผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมาจะถูกเย็บปิดแผลและกลายเป็นแผลเป็นต่อไป
2. การปลูกผมแบบไม่ผ่าตัด (Follicular Unit Extraction: FUE) เป็นวิธีการปลูกผมที่นำเอากอผมจากบริเวณหนังศีรษะของผู้เข้ารับการปลูกผม ฝังลงบนหนังศีรษะ โดยวิธีนี้จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทย่อย ๆ ได้แก่

  • การปลูกโดยใช้รากผมในปริมาณที่มาก (Slit Grafts) โดยจะใช้รากผม 4-10 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม
  • การปลูกโดยใช้ปริมาณผมน้อย (Micro-Grafts) ใช้รากผมเพียง 1-2 รากต่อหลุมผมในแต่ละหลุม

ในปัจจุบัน การปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการปลูกผมแบบถาวร (FUE) เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลดี อีกทั้งยังไม่ทำให้มีแผลเป็นจากการปลูกผมอีกด้วย

ใครควรจะผ่าตัดปลูกผม

มักทำใน คนไข้ที่มีผมล้าน เกรด 4 ขึ้นไป หรือทำในคนอายุมากพอสมควรก่อน ( ส่วนใหญ่ก็อายุเกินสี่สิบไปแล้ว) จนอิทธิพลจาก ฮอร์โมนเพศชาย DHT (ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วง) น้อยลงแล้ว และแนวเส้นผมจะร่นล้านขึ้นไปคงที่แล้ว จึงพิจารณาทำการย้ายรากผม จำนวน การปลูกย้ายรากผม จะมีปริมาณมากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ข้อห้ามในการปลูกผม

แม้ว่าการปลูกผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป โดยการปลูกผมด้วยวิธีศัลยกรรมนั้นถือเป็นข้อห้ามของคนกลุ่มดังต่อไปนี้

  • ผู้หญิงมีลักษณะศีรษะล้านทั่วหนังศีรษะ
  • ผู้ที่มีปริมาณผมที่ใช้ในการปลูกไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่มีสาเหตุของโรคประจำตัว เช่น SLE, มะเร็ง หรือ ศีรษะล้านจากเคมีบำบัด
    การปลูกย้าย รากผม ปัจจุบัน มีเทคนิคหลายๆ อย่างที่แพทย์ผู้เชี่ยวขาญได้เลือกใช้ และมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผ่าตัดด้วยแพทย์​ จนถึงการผ่าตัดปลูกย้าย ด้วยหุ่นยนต์​
    ดังนั้นก่อนจะทำการผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ควรจะพิจารณาให้ดี ว่าควรทำแบบไหน เพราะแต่ละวิธี ผลการรักษาแตกต่างกันมาก และค่าใช้จ่ายในการทำการปลูกย้ายรากผม ก็แตกต่างกันแล้วแต่คลินิก หรือ รพ. รวมทั้งเทคนิคในการทำผ่าตัด นอกจากนี้ หลังทำการผ่าตัด ผมขึ้นดีแล้ว ยังควรแนะนำให้ทานยาป้องกันการร่วง เช่น Finasterdie ,Dutasteride ไว้ด้วย เพื่อมิให้ผมร่วงกลับมาร่วงได้อีก
Posted on

โรคปากนกกระจอก( Angular stomatitis) เป็นก็ง่าย หายก็ยาก สาเหตุมีมาก ไม่ใช่เฉพาะขาดวิตามิน

โรคปากนกกระจอก คือ ภาวะอักเสบบริเวณมุมปาก เกิดแผลบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้าน มีรอยแตก และแยกออกจากกัน ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเกิดจากการขาดวิตามินบี 2 ( Riboflavin) แม้แต่แพทย์ทั่วไปหลายๆ ท่าน ก็ทำการรักษาโดยให้วิตามินบี 2 ทั้งๆ ที่สาเหตุจากการขาดวิตามินดังกล่าว พบได้น้อยมาก
ลักษณะอาการที่พบ คือ จะมีการหลุดลอกของเซลล์หนังกำพร้าบริเวณมุมปาก แล้วต่อมาเกิดเป็นแผล และอาจติดเชื้อแบดทีเรียแทรกซ้อน อักเสบ ปวดเจ็บได้

สาเหตุของโรคปากนกกระจอก แบ่งได้ดังนี้

  1. ปัญหาของโรคผิวหนังเอง เช่น Atopic dermatitis, Seborrheic dermatitis ทั้งสองแบบนี้ เป็นสาเหตุของโรคปากนกกระจอกที่พบได้บ่อยที่สุด 
  2. ผู้ป่วยสูงอายุ ที่ไม่มีฟัน ทำให้รูปปากผิดปกติ ทำให้เกิดการอับชื้นที่มุมปาก เกิดการติดเชื้อจากเชื้อราได้
  3. การขาดอาหาร ได้แก่ การขาดวิตามินบี 2 การขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซี และการขาดโปรตีน(พบได้น้อย)
  4. การติดเชื้อแทรกซ้อน จากเชื้อแบคทีเรีย
  5. ภาวะน้ำลายมากกว่าปกติ ( Hypersalivation)

แนวทางการป้องกันและรักษา 

  1. หาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก แล้วรักษาที่สาเหตุ อาการดังกล่าวจะหายได้
  2. ทำความสะอาดช่องปาก เช็ดมุมปากให้แห้งตลอดเวลา
  3. กรณีที่ไม่ได้ใส่ฟัน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหา
  4. การใช้ยาป้ายแผลในปาก เช่น kenalog in oral base ได้ผลดีในแง่แผลที่เกิดจากภาวะอักเสบจากภูมิแพ้

ดังนั้น กรณีที่เป็นปากนกกระจอก ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโรคขาดอาหารเสมอไป ควรมองหาสาเหตุข้างต้นด้วย เพื่อจะได้รักษาได้ตรงสาเหตุ 

Posted on

Winter itch : ผิวแห้ง คัน แตกลายตามขวาง ในผู้สูงอายุ หรือคนที่อาศัยในที่หนาวจัด นานๆ

Winter Itch คือ ภาวะผิวหนังอักเสบ แห้ง แตกเป็นขุย และมีรอยแตกเป็นร่องตื้นๆ ตามขวาง( cracking ) มักไม่ค่อยมีอาการคัน พบได้บ่อยบริเวณ หน้าแข้ง รองลงมาก็คือ ต้นขา แขน มือ และลำตัว
ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดนี้ มักเกิดในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อาศัยในบริเวณที่หนาวจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว หรือผู้ที่มีปัญหาผิวหนังแห้ง และอยู่ในห้องแอร์นานๆ
กลไกการเกิดโรค ที่แท้จริง ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานได้จากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น
– ภาวะผิวแห้ง
– การลดลงของไขมันใต้ผิวหนังในคนสูงอายุ
– ภาวะทุพโภชนาการ
– การลดลงของระดับฮอร์โมน
– การระเหยของน้ำจากผิวเพิ่มขึ้นเมื่ออากาศแห้ง ในฤดูหนาว
– การอุ้มน้ำของผิวหนังลดลงจากการถูกทำลายยสารระคายเคือง หรือการแพ้

แนวทางการป้องกันและรักษา 

  1. แนะนำให้หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด
  2. ใช้สบู่ที่มีความเป็นกลาง ไม่มีฟอง หรือเลือกสบู่อาบน้ำที่มีสารเคลือบผิวกันการสูญเสียน้ำ เช่น Bath oil ที่ผสม Ceramide หรือสาร Emolients อย่างอื่นเช่น Lanolin
  3. ถ้าผิวหนังอักเสบ คัน อาจให้ทาด้วยครีมที่ผสมเสตียรอยด์ชนิดอ่อน หรือ ที่ผสมยูเรีย ให้ความชุ่มชื้น เช่น Urea in TA cream
  4. ทาครีมบำรุงเป็นประจำ
Posted on

Vitamin E ( Alpha-tocopherol) : วิตามินอี กับบทบาทการปกป้องผิวจากแสงแดด และความเหี่ยวย่นก่อนวัย

วิตามินอี  ถือเป็น Antioxidants อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมนำมารักษาปัญหาด้านผิวพรรณ วิตามินดี พบใน Plasma และเม็ดเลือดแดง โดยปกติจะช่วย ปกป้องเซลล์บุผิว จากการถูก Peoxidation ให้เกิด อนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์
จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังในบริเวณที่มีต่อม Sebaceous glands ( ต่อมไขมัน) มาก เช่น ใบหน้า จะมีปริมาณของวิตามินอี มากกว่าบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อม Sebaceous glands เป็นช่องทางที่สำคัญ ในการหลั่งวิตามินอี ออกสู่ผิวหนัง
แหล่งอาหารที่มีวิตามินอี
พบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม ซึ่งร่างกาย ต้องการวิตามินอี ในรูปของ alpha-tocopherol ประมาณ 10 มก.ต่อวัน
วิตามินอี ประกอบด้วย Tocopherols และ Tocotrinols โดยมี Alpha-tocopherol และ Gamma-tocopherol เป็นตัวที่ Active ที่สุด ซึ่งร่างกาย

ประโยชน์ของการทาครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินE ในการป้องกันและรักษาผิวพรรณ 

  1. ช่วยลดอัตราการทำลายของแสงแดด ( Phtoprotection ) ที่ทำให้เซลล์เกิด Sunburn รอยแดงไหม้ ( erythema ) chronic UVB damage
  2. ลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังจากแสงแดด ( photocarcinogenesis)
  3. ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
  4. ลดความหยาบกร้านของผิวพรรณ

ประโยชน์ของการรับประทานวิตามิน E 

  1. ในสัตว์ทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนัง ( basal cell carcinoma) ได้ถึง 70 % โดยเฉพาะรับประทานควบคู่กับวิตามินเอ
  2. ช่วยสมานแผล ( wound healing) เมื่อรับประทานวันละ 400 มก. ทำให้แผลหายได้เร็ว
  3. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ร่างกาย โดยมีฤทธิ์ในการรักษาการอักเสบ ( anti-inflammatory effects ) และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ( immunostimulatory effects )

วิตามินอี จะเสื่อมสภาพได้เร็ว เมื่อถูกแสงแดด หรือออกซิเจน แต่จะทนต่อความร้อนได้ถึง 100 องศาเซลเซียส และภาวะความเป็นกรดด่าง การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด และยาระบาย จะทำให้ฤทธิ์ของวิตามินอี ในรูปรับประทานลดลงเช่นกัน

ขนาดในการรับประทานวิตามินอี ควรเริ่มที่ขนาดต่ำๆ ก่อน ประมาณ 100 มก.ต่อวันก็น่าจะได้ สาร alpha-tocopherol เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แม้จะมีความปลอดภัยสูง เมื่อรับประทาน ขนาด ประมาณ 3,000 มก.ต่อวัน ได้เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4,000 มกต่อวัน

Posted on

กลิ่นตัว ( Body Odor) : กลัวคนรอบข้างรังเกียจสาเหตุจากอะไร การแก้ไขได้อย่างไร ได้ผล

การมีกลิ่นตัว เป็นภาวะที่เจ้าของกลิ่นเอง มักไม่ค่อยรู้สึก เพราะคนที่ได้กลิ่น คือคนรอบข้าง แต่ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าบอกความจริงให้เราทราบ ( นิสัยคนไทย) แต่ท่านจะโดนรังเกียจจากสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการทราบถึงปัญหาดังกล่าว ควรขอบคุณแก่คนที่บอกความจริงให้ทราบ ไม่ควรโกรธนะครับ แล้วรีบหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข ด้วยตนเอง

สาเหตุของกลิ่นตัว: เกิดจากสารคัดหลั่งที่มาจาก ต่อมเหงื่อ(Apocrine gland) ที่บริเวณรักแร้ เป็นส่วนใหญ่ ขาหนีบ ซอกนิ้ว แต่ปกติจะไม่มีกลิ่นรุนแรง ยกเว้นจะมีพวกแบคทีเรีย พวก Aerobic bacteroid เจริญเติบโต ทำให้เกิดกลิ่นได้ นอกจากนี้ ไขมันที่เป็นส่วนประกอบของต่อมไขมัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นได้เช่นกัน เพราะไขมันในSebum นี้ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก บริเวณรักแร้ เกิด Ph เป็นด่าง แล้วทำให้กลิ่นรุนแรงขึ้น

แนวทางการแก้ไข 

  1. อาบน้ำ ด้วยสบู่ที่มีส่วนประกอบของ Triclosan trichocarbon จะช่วยให้กลิ่นตัวลดลงได้
  2. ทาสารที่มีส่วนประกอบของ 20% Aluminium chlorhydrate ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดการสร้างเหงื่อ หรือ หยุดยั้งสารคัดหลั่งจากเหงื่อ จะช่วยลดกลิ่นตัวบริเวณรักแร้ได้มาก จากประสบการณ์พบว่า การใช้สารจำพวกนี้ทาบริเวณรักแร้วันละครั้งในสัปดาห์แรก หลังจากนั้นทาสัปดาห์ละครั้ง จะลดกลิ่นตัวได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
  3. ใช้ยาแอนตี้เซพติด หรือ Antibiotic อาทิ Gentamycin,Clindamycin เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  1. การฉีดสาร botox : สาร Btlulinum toxin นอกจากจะ สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท Acethylcholine ทำให้กล้ามเนื้อคล้ายเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้ว ยังทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ช้าลงด้วย เหงื่อจึงลดลง มักได้ผล ในการฉีดสารนี้ที่บริเวณ รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ซึ่งสามารถลดปัญหาดังกล่าวได้นาน 6-12 เดือน และต้องมาฉีดซ้ำ แต่ก็เป็นที่นิยมในต่างประเทศ มากกว่าการทำการผ่าตัด เพราะเจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องนอนรพ.
  2. การผ่าตัดต่อมเหงื่อทิ้ง มักใช้กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ โดยการผ่าตัดเส้นประสาทบริเวณทรวงอกโดยการส่องกล้อง ที่เรียกว่า endoscpoic thoracic sympathectomy ซึ่งพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล และหายขาด เกือบ 90-97 % แต่ได้ผลดีเฉพาะเหงื่อออกบริเวณรักแร้ มีความปลอดภัยสูง แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
โบทอกซ์ฉีดลดกลิ่นเตา
Posted on

กลิ่นปาก ( Bad mouth ) อยากแก้ไขให้ดีขึ้น สาเหตุจากอะไร ทำยังไง จึงจะได้ผล

การมีกลิ่นปาก เป็นภาวะกระอักกระอ่วนใจ และสร้างคนไม่มั่นใจ ของทั้งเจ้าของกลิ่นเอง และคนรอบข้าง ดังนั้นการเกิดปัญหาดังกล่าว จึงควรหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อตนเอง และคนรอบข้าง นอกจากนี้การแก้ไขที่ถูกต้อง ตรงกับสาเหตุที่เกิด จะทำให้เรา ไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้าประเภทนี้ อาทิ ยาสีฟัน ยาอมบ้วนปาก ยาฉีดสเปรย์ หรือยาอมดับกลิ่น ที่มีการโฆษณากันเป็นจำนวนมาก และยังเสริมบุคลิกภาพที่มั่นใจ หอมสดชื่นทั้งภายนอกและภายใน

สาเหตุของกลิ่นปาก 

  1. พบว่า 85% ของคนไข้ที่มีกลิ่นปาก มาจากช่องปาก (โดยพิสูจน์ง่ายๆ ด้วยการบ้วนปากบ่อยๆ) แล้วทำให้กลิ่นปากลดลงได้ การเกิดการอักเสบ ของช่องปาก ฟันและเหงือก โดยมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
  2. ทอนซิล หรือระบบทางเดินหายใจ พบได้ ประมาณ 12 %
  3. ระบบทางเดินอาหาร พบได้น้อย นอกจากจะมีการเรอ หรือ อาเจียน
  4. โรคระบบภายในอื่นๆ พบได้น้อย อาทิ การอักเสบของระบบหายใจ ไต ตับ มะเร็งในช่องปาก หรือเหงือก

คนที่มีกลิ่นปาก บางคนไม่ทราบว่าตนเองมีกลิ่นปาก( อาจเกิดจากความเคยชินอยู่กับกลิ่น) เช่นเดียวกับคนที่ใช้น้ำหอม ใช้ใหม่ๆ จะมีความรู้สึกดีมาก แต่พอชินแล้วก็จะรู้สึกลดลง การพิสูจน์ว่ามีกลิ่นปากรุนแรงหรือไม่ ทำได้โดยการเลียที่ต้นแขน แล้วดมดู หลังจากแห้งแล้ว ถ้ามีกลิ่นแรง ถือว่ามีกลิ่นปากจริง! หรือ การใช้กระดาษลิตมัสที่ทดสอบความเป็นกรดด่าง หากกระดาษเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่าลมปากสะอาดดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงบ่งบอกว่าปากมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุจาก แบดทีเรีย

สารที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก เกิดจากสารระเหยที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน(Velatile sulfur components) เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟล์ เมตทิลเมอร์แคบแทน เป็นสารหลักที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ซึ่งสร้างขึ้นจากแบคทีเรีย กลุ่ม Fusobacterium,Treponema,Pophyromonas species ซึ่งสามารถเพาะเชื้อในช่องปากได้

แนวทางการรักษา 

  1. แปรงฟันทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปาก เหงือก ฟันและลิ้น
  2. ทำความสะอาดซอกฟันด้วย ด้ายขัดฟัน อาทิ Dental floss
  3. หมั่นพบทันตแพทย์ ทุก 3-6 เดือน เพื่อขูดหินปูน เช็คสุขภาพฟัน
  4. ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เมื่อสงสัยว่ามีกลิ่นปากที่ไม่ได้เกิดจากภายในช่องปาก
  5. บ้วนปากบ่อยๆ และดื่มน้ำมากๆ
  6. เคี้ยวหมากฝรั่งปลอดน้ำตาล เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำลาย ลดการสะสมของแบคทีเรีย
Posted on

รำข้าวโอ๊ต ( Oat bran) กับบทบาทอาหารเสริม ลดน้ำหนัก ลดโรค ลดไขมันในเลือด

รำข้าวโอ๊ต ลดน้ำหนัก ลดโรคได้อย่างไร

ข้าวโอ๊ต ( Oat ) เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูล Avena sativa ที่นิยมเพาะปลูกในแถบยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเจริญเติบโตได้ดี ในเขตหนาว ชาวยุโรปนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ข้าวโอ๊ต เป็นพืชที่ให้เมล็ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต
รำข้าวโอ๊ต ( Oat Bran ) เป็นเส้นใย Fiber ที่ได้จากการขัดสีข้าวโอ๊ตให้ขาว หรือ คือเส้นใยบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ตนั่นเอง โดยเราพบว่า รำข้าวโอ๊ตจะให้เส้นใยอาหาร หรือ fiber 2 ชนิด คือ

  1. เส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้( Soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 95-98% ของปริมาณ เส้นใยอาหารทั้งหมด ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้เกิดสารละลายที่มีลักษณะเป็นเจล โดยเมื่อรับประทานเข้าไป ไฟเบอร์นี้จะละลายในสารอาหารก่อนที่ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเจลของไฟเบอร์จะเกาะติดกับสารอาหาร โดยเฉพาะไขมัน ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และจะเอาอาหารขับออกทางอุจจาระ จึงทำให้ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดได้
  2. เส้นใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำ( Non-soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 2-5 % ของ ปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมด โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ โดยจะดูดซับน้ำใว้กับตัวเองทำให้พองตัว เมื่อรับประทานเข้าไปจึงจะส่งผลให้ จึงทำให้ ปริมาตรของสารที่ต้องการขับถ่ายเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูกได้

ดังนั้นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่ผลิตจากรำข้าวโอ๊ต จึงนำมาใช้ในผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรค ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึง สารอาหารและวิตามินที่จำเป็นบางอย่างในอาหาร อาจ ถูกขับถ่ายออกไปด้วย

ขนาดที่รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหาร 20-30 นาทีทั้ง 3 มื้อ และดื่มน้ำตามประมาณ 1-2 แก้ว

Posted on

ลมพิษ ( Urticaria) ตุ่มนูน คัน ทำไมยิ่งเกา ยิ่งลาม

ลมพิษ เป็นภาวะที่เกิดตุ่มนูน คัน ผื่นแพ้ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งมีอาการคัน เป็นอาการนำ ซึ่งถ้ายิ่งเกา อาการคันจะยิ่งมากขึ้น และอาจลุกลามให้เป็นมากขึ้น ขนาดโตขึ้น อาจพบอาการแพ้รุนแรง จนเกิดอาการบวมขึ้น บริเวณใบหน้า หนังตา และปาก บางครั้งอาจทำให้หลอดลมบวมได้ ซึ่งเกิดผลต่อระบบหายใจ ทำให้หายใจลำบากได้
– การเกิดผื่นที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูน ขอบเขตไม่เรียบนี้ ถ้าดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบการบวมของเซลผิวหนัง จากการไหลซึมเข้าของน้ำเหลือง จากหลอดเลือด ซึมผ่านเข้าไป เนื่องจาก เมื่อเกิดปฏิกริยาแพ้ จากสารที่ทำให้แพ้ ที่เรียกว่า แอนติเจน
ซึ่งเมื่อสัมผัส หรืออยู่ในร่างกาย แอนติเจนจะทำการจับกับสารต้าน ที่เรียกว่า Immunoglobulin E แล้วหลั่งสารที่เรียกว่า Histamine ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผนังหลอดเลือดขยายตัว จึงทำให้น้ำเหลืองใหลออกนอกเส้นเลือด เข้าสู่ผิวหนังข้างเคียง เมื่อปฏิกริยาสิ้นสุดลง หรือได้รับการรักษา น้ำเหลืองจะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในหลอดเลือด ผื่นจึงยุบลง ไม่หลงเหลืออาการให้เห็น

ทำไมยิ่งเกา ยิ่งลาม
การที่ลมพิษ ยิ่งเกายิ่งลุกลาม เนื่องจากการเกา จะกระตุ้นให้ปฏิกริยาการแพ้เป็นมากขึ้น สารจะหลั่ง histamine มากขึ้น จึงทำให้เกิดการลุกลามขยายใหญ่ ของตุ่มนูน เนื่องจากน้ำเหลืองใหลออกจากผนังหลอดเลือดเข้าเซลล์มากขึ้น จึงไม่ควรเกาถ้าเกิดลมพิษ
สาเหตุการเกิด
แอนติเจน หรือ สารก่อการแพ้ อาจเกิดจาก อาหาร ยา ( ที่พบบ่อย คือ เพนิซิลิน แอสไพริน และยาซัลฟา) ฝุ่นละออง เชื้อโรค ความเย็น ฯลฯ ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้ ควรสังเกตว่า แอนติเจนใดที่ก่อให้เกิดการแพ้ ลมพิษ ให้พยายามหลีกเลี่ยง
แนวการการแก้ไข 

1. ยาทา เช่น calamine lotions หรือ ครีมสเตียรอยด์ ในกรณีที่เป็นไม่มาก
2. ยารับประทาน ที่นิยมใช้บ่อยๆ ก็คือ ยากลุ่มต้านอีสตามิน( antihistamine) ที่รู้จักกันดี ก็คือ ยาคลอเฟนฟีนีคอล(CPM) เม็ดสีเหลือง เพราะหาง่าย ราคาถูก( ต้นทุน ประมาณ 30 สตางค์ต่อเม็ด) แต่มักมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอนได้ ดังนั้น อาจเลือกไปใช้ยากลุ่ม antihistamine ที่มีอาการง่วงน้อย เช่น hiamanol แต่ก็จะมีราคาแพง(ต้นทุน ประมาณ เม็ดละ 4-5 บาท)
3. กรณีที่เป็นรุนแรง ที่วตัว ควรพบแพทย์เพื่อใช้ยาฉีด
4. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่เกิด ในกรณีที่เป็นบ่อยๆ อาจต้องพบยาทา และยากินไว้ติดตัวตลอดเวลา

Posted on

เริม ( Herpes Simplex ) ตุ่มน้ำพองใส เริ่มเป็นเมื่อไหร่ ทำใจเลยว่า ไม่หายขาด

เริม (Herpes) คืออาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Virus type 1: HSV-1) ก่อให้เกิดอาการ เริมที่ปาก (Herpes Orolabialis)
  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (Herpes Simplex Virus type 2: HSV-2) ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes Genitalis)
    การติดต่อ
    – เริมที่ปาก ติดต่อ โดยการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อ หรือ การใช้ภาชนะอาหารที่ไม่สะอาดเพียงพอร่วมกับผู้ที่มีเชื้อเริม และไม่มีอาการให้เห็นขณะที่มีการติดเชื้อ โดยพบว่าในน้ำลายของผู้ที่มีเชื้อเริมที่ไม่ปรากฏตุ่มน้ำให้สังเกตเห็น สามารถติดต่อได้ ถึงร้อยละ 5 ในผู้ใหญ่ และร้อยละ 20 ในเด็ก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะป้องกัน
    – เริมที่อวัยวะเพศ ติดต่อ โดยการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อ โดยทางเพศสัมพันธ์ ไม่ค่อยพบว่าติดต่อโดยวิธีอื่นๆ

อาการของเริม
โดยรวมแล้วอาการของเริมที่ปาก และเริมที่อวัยวะเพศนั้นค่อนข้างคล้ายกัน โดยจะมีตุ่มน้ำใสบริเวณที่ติดเชื้อ ได้แก่ ปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา มีอาการเจ็บปวด แสบที่บริเวณแผล หากเป็นการติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการค่อนข้างรุนแรงและหายช้า แต่ถ้าหากเป็นการติดเชื้อซ้ำ อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เร็วกว่า
– เริมในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ในผู้ป่วยติดเชื้อ HIV มักพบได้รุนแรง อาจจะเป็นแผลเรื้อรังและเกิดการอักเสบหนองลุกลาม

แนวทางรักษา: 

1. ในการรักษาโรคเริมที่มักไม่หายขาด เนื่องจากเชื้อมักจะหลบอยู่ที่ไขสันหลัง เมื่อเกิดภาวะร่างกายอ่อนแอ เครียด อาจมีอาการซ้ำได้
2. ในรายที่เพิ่งได้รับการติดเชื้อเริมครั้งแรก แพทย์อาจให้รับประทานยา Acyclovir วันละ 200 มก. ทุก 5 ชั่วโมง นาน 7-10 วัน พร้อมกับการทายาบริเวณรอยโรค อาจทำให้อาการรุนแรงลดลง และย่นระยะเวลาการหายของโรค
3. ในรายที่เป็นซ้ำ ไม่จำเป็นต้องรับประทานยา ใช้ยาทาบริเวณแผล ก็จะทำให้หายได้ภายใน 2-3 วัน
4. ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง และมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจต้องพบแพทย์ และนอนรพ. เพื่อให้ยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เพื่อป้องกันการลุกลามรุนแรง



Posted on

Vitamin C ( Ascorbic acid) : วิตามินซี มีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพและผิวพรรณ

วิตามินซี มีฤทธิ์เป็น Antioxidants ที่สำคัญตัวหนึ่ง และมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีความจำเป็นต่อชีวิต
หน้าที่สำคัญ คือ กำจัดอนุมูลอิสระ(Free radicle scavenger) และเป็น ปัจจัยร่วม(Cofactors) ของเอนไซม์ต่างๆ อาทิ Procollagen hydroxylase ซึ่งต้องใช้วิตามินซี ในการทำงานสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นในการทำงานของเม็ดเลือดขาว( neutrophils) ในการกำจัดเขื้อโรคอีกด้วย ซึ่งมีหลายผลงานวิจัยที่พบว่า วิตามินซีช่วยในการป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดได้ดี

แหล่งอาหารของวิตามินซี พบมากใน ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะมาว องุ่น และ ผักใบเขียว เช่น บอคเคอรี่ แอสปารากัส คะน้า ผักบุ้ง ถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสง ความชื้น และออกซิเจน แต่ทนความร้อนได้ดีถึง 100 องศาเซลเซียส

บทบาทสำคัญของวิตามินซี ต่อผิวพรรณดังนี้

  1. ป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV โดยพบหลักฐานว่า ถ้าทาวิตามินซี ก่อนออกแดด สามารถลดปัญหาSun Burn ได้ และพบว่าเมื่อทาร่วมกับ วิตามินอี และ ครีมกันแดด ที่มี Oxybenzone สามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้เกือบ 100 %
  2. ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนา ของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis) ได้
  3. ช่วยลดอัตราการดื้อต่อการใช้แสงแดดรักษา ในผู้ป่วยผื่นแพ้สัมผัส ( Contact allergic dermatitis)
  4. กำจัดอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้มีการทดลองทาวิตามินซี ที่ใบหน้า เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เป็นไม่มาก( fine wronkle ) ดีขึ้น ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น จึงคาดว่าจะช่วยทำให้ภาวะชราจากแสงแดด( photoageing) ดีขึ้น
  5. ใช้เป็นสารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ) ในคนที่เป็นฝ้า กระ รอยดำ ทั้งในรูปของครีม โลชั่น สารละลาย จึงนำมาใช้ในการทาผิวหน้า และรักษาด้วยเครื่องไอออนโต
  6. ช่วยในการสมานแผล
  7. ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังได้

วิตามินซี ประเภท Ascorbyl palmitate สามารถละลายน้ำและไขมันได้ จึงนิยมนำมาผสมใน water cream,lotions และ Oils โดยสารนี้จะมี pH เป็นกลาง จึงไม่ระคายผิว

ได้มีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซี ในรูปของยาเม็ดเป็นประจำ เพื่อป้องกันและรักษาภาวะทางผิวพรรณ ได้หลายอย่างตามที่กล่าวข้างต้น แต่ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินซี ประมาณ 50- 60 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งชายและหญิง ( แต่ในคนที่สูบบุหรี่ อาจต้องการถึง 140 มก.ต่อวัน ) ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี มากกว่านี้ แม้จะมีหลักฐานว่า การรับประทานวิตามินซี ในระยะยาว ค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้ารับประทานปริมาณสูงมากๆ ติดต่อกัน อาจเกิดทำให้เกิด ระดับ Oxalate ในปัสสาวะสูง และเกิดนิ่วในไตได้ภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีข้อดี คือ หาง่าย ราคาถูก มีผลข้างเคียงน้อย

Posted on

โรคด่างขาว(Vitiligo) : ความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสี มีการรักษาอย่างไร ให้ดีขึ้น

โรคด่างขาว เป็นภาวะของโรคที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ที่ทำให้ร่างกายสูญเสียเซลล์สร้างเม็ดสีผิว( Melanocyte) ทำให้เกิดลักษณะบริเวณดังกล่าว เกิดเป็นรอยด่างสีขาว มีขอบเขตชัด ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับรอยด่างในเกลื้อนแดด(P.alba) ในบทความที่ผ่านมา จะมีขอบเขตไม่ชัด และสีไม่ซีดขาวมากเหมือนภาวะโรคด่างขาว
มักพบในวัยหนุ่มสาว ซึ่งเชื่อว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรม หรือ ภาวะภูมิคุ้มกัน เกี่ยวข้องกับสาเหตุของโรคด้วย
ลักษณะ สีผิวตรงรอยด่างขาว จะพบเป็นผื่นราบ( macule) หรือ เป็นปื้นๆ( patch) สีขาวเหมือนน้ำนม มีขอบเขตชัดเจน มีรูปร่างและจำนวนรอยด่างแตกต่างกัน และขนาดไม่แน่นอน ภายในรอยด่าง อาจมีสีน้ำตาลของสีผิวหลงเหลืออยู่
ตำแหน่งที่พบ พบได้บ่อยที่ ใบหน้า มือ เท้า และผิวหนังเหนือข้อ แต่อาจพบที่รอบทวารหนัก หรือ อวัยวะเพศได้ มักมีการกระจายเท่ากัน ทั้งซ้าย ขวาของร่างกาย และเมื่อเกิดมักจะไม่หายขาด แต่โดยทั่วไป สุขภาพร่างกายจะยังแข็งแรง ประกอบอาชีพได้ตามปกติ
โรคด่างขาวแยกจากโรคกลากเกลื้อนได้อย่างไร โรคด่างขาว แยกได้ง่ายจาก โรคเกลื้อนจากเชื้อรา( Tinea vesicolor) และเกลื้อนแดด( P.alba) เพราะลักษณะที่เห็นขอบเขตชัด ถ้าต้องการยืนยัน การตัดชิ้นเนื้อไปส่องกล้องจุลทรรศน์ โรคด่างขาวจะไม่พบเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte) และเม็ดสีเมลานิน ในขณะที่โรคกลาก เกลื้อน ยังพบเซลล์เม็ดสีปกติ

การรักษาโรคด่างขาว
โรคด่างขาวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาจะเป็นการประคับประคองอาการหรือทำให้รอยด่างขาวที่ปรากฏดูดีขึ้น คนที่เป็นโรคนี้ ก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพด้านอื่น หรือระบบอื่น และไม่ติดต่อไปยังคนรอบข้าง หรือคู่สมรส ส่วนวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการและความต้องการของผู้ป่วย
แนวทางการรักษา
ที่แพทย์ผิวหนังใช้พิจารณา มีหลักการดังนี้
1. ป้องกันแสงแดด โดยให้พยายามหลบเลี่ยงแสงแดด หรือ ทาครีมกันแดดบริเวณรอยด่างขาว เพื่อป้องกันผิวหนังไหม้ และรอยโรคเป็นมากขึ้น ในอตีดได้มีการให้ยาทา Meladinnine แล้วให้ผู้ป่วยไปตากแดด ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะอาจเกิดการอักเสบไหม้ แสบคันได้
2. กระตุ้นสีผิวให้กลับคืน ทำได้กรณีที่บริเวณรอยด่างขาว ยังพอมีเซลล์สร้างเม็ดสีหลงเหลือบ้าง โดยการฉายแสงแบบ PUVA (psovalen+UVA) ได้ผลประมาณ 50 %
3. การปลูกถ่ายผิวหนัง เพื่อให้มีเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินใหม่มาทำหน้าที่ทดแทน แต่ยังเป็นเทคนิดที่ยุ่งยากซับซ้อนอยู่
4. การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นการรักษาที่จะช่วยให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิวขึ้นมาใหม่โดยการใช้เอ็กซ์ไซเมอร์ เลเซอร์ (Excimer Laser) แต่เป็นวิธีที่ใช้กับพื้นที่ขนาดเล็กเท่านั้น และมักใช้รักษาร่วมกับการใช้ยาทาผิว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แดงและแผลพุพอง
5. วิธีฟอกสีผิว (Depigmentation) เป็นวิธีที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีด่างขาวแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้างและการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล โดยจะใช้ยาที่มีส่วนประกอบของโมโนเบนโซน (Monobenzone) ทาลงไปบนผิวหนังที่ยังมีสภาพปกติ ซึ่งจะช่วยทำให้สีผิวค่อย ๆ ขาวขึ้นจนใกล้เคียงกับผิวที่เกิดด่างขาว
5. การใช้เครื่องสำอาง ทาบดบังรอยโรค กรณีรายที่รักษาไม่ได้ผล

Posted on

หูดหงอนไก่ (Genital warts) : ติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด

หูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata) คือ หูดที่พบขึ้นบ่อยบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus – HPV) โดยจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด
ส่วนใหญ่จะพบได้ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ คือ ในช่วงอายุ 17-33 ปี ทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้หญิงมากกว่า ในบางครั้งอาจเรียกโรคนี้ว่า “หงอนไก่“, “หูดอวัยวะเพศ” หรือ “หูดกามโรค” และมักพบการติดเชื้อได้สูง ในกลุ่มที่ภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น กลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวี
ลักษณะอาการ : มักพบเป็นติ่งเนื้อสีชมพูรวมกันเป็นก้อน คล้ายหงอนไก่ มีจำนวนและขนาดแตกต่างกัน อาจพบได้มากกว่า 1 แห่ง พบบ่อยที่บริเวณ คอคอดของอวัยวะเพศชาย หรือเส้นสองสลึง ,แคมช่องคลอด และปากมดลูกของเพศหญิง ส่วนในตำแหน่งอื่น ๆ ที่อาจพบได้บ้างก็ได้แก่ ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ช่องปาก ลำคอ หลอดลม เป็นต้น
ปกติไม่มีอาการอะไร ยกเว้นมีการฉีกขาดเลือดออก หรือ ติดเชื้อแบคทีเรีย จึงทำให้อักเสบเป็นหนอง

แนวทางการรักษา 

1. จี้ด้วย น้ำยา 20-40 % Podophylline หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป จะมีวิธีการใช้อธิบายอย่างละเอียดในกล่อง ทำใด้ทุกอาทิตย์ จนกว่าจะหลุดหมด
2. แต้มด้วย 50 % TCA แต่ต้องไปทำที่คลินิกแพทย์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าแต้มเกิน 6 ครั้ง ยังไม่หายขาด
3. จี้ด้วยไฟฟ้า หรือจี้ด้วยความเย็น หรือทำ เลเซอร์ ด้วย CO2 laser
หากคู่นอนมีอาการของหูดหงอนไก่ ควรพาอีกคนมาพบแพทย์และรักษาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำไปมาซึ่งกันและกันหลังการรักษา
ในกรณีที่แพทย์ยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่จริง ผู้ป่วยควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยเสมอ เช่น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ หนองใน พยาธิในช่องคลอด ฯลฯ เพราะมักพบเกิดร่วมกันได้
วิธีป้องกันหูดหงอนไก่
1.มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน
2. หากต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง แม้การใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 100% แต่ก็เป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
3. วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ได้ตามรพ. หรือคลินิกที่มีให้บริการ โดยแนะนำให้ฉีดได้ทั้งในเด็กหญิงและเด็กชายที่มีอายุระหว่าง 11-12 ปี เพื่อการป้องกันหูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูก

Posted on

โรคหิด (Scabies) ติดแล้วจะคันมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน ป้องกัน รักษาอย่างไร

โรคหิด(Scabies) เป็นโรคติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อหิด หรือจากเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ซึ่งอาจจะมีหิดตัวเมียเกาะอยู่ ซึ่งอยู่ได้นานถึง 24-36 ชั่วโมง โดยหิดจะเคลื่อนเข้าหาอุณหภูมิที่อุ่นกว่าและสภาพแวดล้อม เมื่อได้กลิ่นคน
ตัวหิด(Sarcoptes scabiei var.homonis) คือแมง 8 ขา ในกลุ่มเดียวกับ ไร(mites) เล็นไร(Demodex) และเห็บ(Ticks) ปกติจะอยู่ในโพรงเล็กๆของหนังกำพร้าใต้ต่อชั้นขี้ไคล ตัวอ่อนโตเต็มที่ใช้เวลา 14-17 วันเมื่อผสมพันธุ์แล้ว หิดตัวผู้จะตาย
พบได้บ่อยแค่ไหน พบชายมากกว่าหญิง 2:1.7 และมีการระบาดทุก 10-15 ปี พบได้บ่อยในชุมชนแออัด หรือที่มีสุขอนามัยไม่ดี เช่น สลัม คุก ผู้ป่วยจะมีอาการหลังจากติดหิดแล้ว ประมาณ 1 เดือนในการติดครั้งแรก และจะมีอาการทันทีเมื่อมีการติดหิดครั้งต่อๆมา
อาการที่พบ :  ผื่นของหิดจะคันมาก เกิดหลังติดเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาการคันและผื่นเกิดจากปฏิกิริยาไวเกินของร่างกายต่อตัวหิดหรือสิ่งขับถ่ายของหิด
      ผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดงคัน ผื่นจะกระจายไปทั่วตัว บริเวณที่พบผื่นได้บ่อยคือ ง่ามมือ ง่ามเท้า ข้อพับแขน รักแร้ เต้านม อวัยวะเพศ รอบสะดือ และก้น ในเด็กอาจพบผื่นบริเวณหน้าและศีรษะ
ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องและผู้ป่วยสูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะทำให้การขยายพันธุ์ของหิดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทำให้เกิดผื่นมีสะเก็ดแห้งขุยหนา ภายในสะเก็ดแห้งมีตัวหิดอยู่เป็นจำนวนมหาศาล ทำให้แพร่เชื้อได้ง่าย

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นหิด ?
          1. การซักประวัติ ผื่นที่มีอาการคันมาก และพบสมาชิกครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่มีอาการพร้อมๆกัน
            2. การตรวจร่างกาย พบผื่นที่มีลักษณะจำเพาะเห็นเป็นเส้นเล็กๆ คดเคี้ยวที่ง่ามนิ้วเรียกว่า อุโมงค์หิด 
            3. การตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยขูดบริเวณผื่นคันหรืออุโมงค์หิด จะพบตัวหิด,ไข่ หรือสิ่งขับถ่ายของหิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างร่วมกัน           
การรักษาหิด
ยาทา
การทายาควรสวมถุงมือยางเมื่อทายาให้ผู้ป่วย ทายาหลังอาบน้ำตอนเย็น ทายา”ทั้งตัว”ตั้งแต่คอลงไป ไม่ควรเลือกทาเฉพาะส่วนที่มีผื่นเท่านั้น เด็กเล็กให้ทาทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะ หน้า คอ ใบหู โดยเฉพาะหลังหู ร่องก้น ง่ามนิ้วและใต้เล็บ  ทายาทิ้งไว้ 8-14 ชั่วโมงแล้วล้างออกในตอนเช้า ทาซ้ำตามรายละเอียดของยาแต่ละตัว
            1. Permethrin cream  ใช้ได้ดีกับผู้ใหญ่และเด็กมากกว่า 2 เดือน ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน ทาทั่วตัว 1 ครั้งและทาซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์
            2. 5-15% sulfur เป็นยากำมะถัน ใช้ได้ดีและค่อนข้างปลอดภัย ใช้ได้ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ควรทายาทั่วตัว 3 วันติดต่อกัน ข้อเสียคือ ยามีกลิ่นเหม็นและเหนอะหนะ
            3. 10-25% Benzyl benzoate ใช้ได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก ทาทั่วตัว 1 ครั้งและทาซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ ยาอาจมีแสบระคายเคืองได้
ยารับประทาน
        
  1. Ivermectin รับประทาน 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม มีประสิทธิภาพรักษาหิดได้ดี มีผลข้างเคียงน้อย
         
2. การรับประทานยาแก้คัน จะช่วยบรรเทาอาการคันได้
         
3. ฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ถ้าหลังได้รับการรักษาหิดแล้ว ยังพบตุ่มคัน นูนไม่หาย
          4. ยาปฏิชีวะนะ
กรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จากการเกาจนเป็นแผล

การป้องกันการแพร่กระจายของหิด
            – ควรรักษาสมาชิกทุกคนในครอบครัวพร้อมๆกัน โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ถึงแม้ไม่มีอาการ ก็จำเป็นต้องรักษา เพราะอาจจะอยู่ในระยะฟักตัว
            – ทำความสะอาดเครื่องใช้ ส่วนตัวทุกอย่าง ด้วยการซักน้ำร้อนอย่างน้อย 5 นาที สำหรับเครื่องนุ่มหุ่มที่ซักไม่ได้ เช่น หมอนและพรม ควรอบแห้ง 50oC 20 นาที หรือเก็บไว้ในถุงพลาสติกปิดปากแน่น อย่างน้อย 7 วัน
            – ทำความสะอาดพื้น ดูดฝุ่นพรมและเฟอร์นิเจอร์
            – แยกของใช้ส่วนตัว หวี ผ้าเช็ดตัว เครื่องนุ่งห่ม และที่นอน ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
            – ตัดเล็บสั้นและตะไบเล็บให้ไม่คม ไม่แคะแกะเกาผื่นคัน ให้เชื้อหิดกระจาย

Posted on

นวดหนังศีรษะอย่างไร ให้เกิดประโยชน์ และแปรงผมวิธีไหน ให้เส้นผมแข็งแรง

หนังศีรษะเป็นศูนย์กลางของปลายเส้นประสาท และเส้นเลือดมากมาย การนวดหนังศีรษะ จึงเป็นการผ่อนคลายและการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ลดอาการผมร่วงที่เกิดจากความเครียดได้ หลักการนวด แนะนำให้นวดด้วยปลายนิ้วและอุ้งมือ ไม่ควรใช้เล็บเกาหรือนวดแทนโดยเด็ดขาด

หลักการนวดหนังศีรษะด้วยตนเอง มีดังนี้

  1. เริ่มจากหน้าผาก – ด้วยการใช้มือซ้ายรองต้นคอไว้ ปล่อยศีรษะตามสบาย ใช้อุ้งมือขวาวางพาดไว้บนหน้าผาก กางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ แล้วกดไปบนบริเวณคิ้ว ค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปช้าๆ จนเลยแนวเส้นผมประมาณ 1 นิ้ว ทำเช่นนี้ประมาณ 5 ครั้ง
  2. นวดหนังศีรษะ– โดยการวางอุ้งมือทั้งสองข้างแนบข้างศีรษะตรงเหนือใบหู ใช้อุ้งมือยกหนังศีรษะขึ้นแล้ว เลื่อนมือในลักษณะวนเป็นวง มือหนึ่งเลื่อนไปทางด้านหน้า อีกมือหนึ่งไปที่กลางกระหม่อม แล้วจึงเลื่อนไปทางศรีษะด้านหลังที่บริเวณท้ายทอย นวดจนทั่วศีรษะ
  3. นวดด้วยปลายนิ้ว– เริ่มจากหนังศีรษะด้านข้างทั้งสองด้าน ค่อยๆไล่ขึ้นไปทางด้านหน้า ให้ทั่วหนังศีรษะ ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  4. นวดรอบไรผม– โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของแนวผมด้านหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงไปรอบๆ จนถึงแนวผมข้างขมับ ด้านข้างจนถึงด้านหลังท้ายทอย ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  5. นวดบริเวณกลางกระหม่อม– วางปลายนิ้วที่กลางกระหม่อมนวดวนเป็นวงจากกลางกระหม่อมมาที่ขมับ และจากข้างขมับสู่กลางกระหม่อม ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง
  6. นวดจากหลังใบหู– ก้มหน้าใช้อุ้งมือซ้ายรองรับหน้าผากไว้ ใช้ปลายนิ้วมือหรืออุ้งมือขวา เริ่มนวดในลักษณะวนเป็นวงจากหลังใบหูไปทางท้ายทอย จนจดหลังใบหูอีกด้านหนึ่ง ทำเช่นนี้ 2 ครั้ง
  7. นวดซิกแซ็ก– ใช้ปลายนิ้วนวดสลับจากกลางกระหม่อมสู่ท้ายทอย จากต้นคอด้านซ้ายไปด้านขวา
  8. ดึงเส้นผมเบาๆ– ด้วยการกอบเส้นผมด้วยนิ้วมือ ดึงช้าๆ นับ 1-3 แล้วปล่อย ทำเช่นนี้ ให้ทั่วศีรษะ

การแปรงผมให้ถูกวิธี หลักการก็เพื่อขจัดเส้นผมที่หลุดร่วงตามอายุ เซลล์หนังศีรษะเก่า ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกจากมลภาวะ และเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิต

  1. เลือกแปรงที่มีคุณภาพ ขนแปรงกลมไม่แหลมคม และโอนอ่อนตามแรงหวีได้ เช่น หวีที่ทำจากขนสัตว์ที่มีความยืดหยุ่น
  2. ความถี่ห่างของซี่แปรง นั้นเลือกให้เหมาะกับสภาพและขนาดของเส้นผม
  3. ก้มศีรษะขณะหวีผม จะช่วยกระตุ้นการทำงานของหนังศีรษะ แล้วเริ่มแปรงผมย้อนจากต้นคอไปทางหน้าผาก
  4. จากนั้นแปรงผมจากด้านข้างทั้งสองข้าง แล้วปิดท้ายด้วยการหวีจากด้านหน้าผากไปด้านหลัง
  5. ถ้าหากผมพันกันให้เริ่มแปรงผมจากปลายผมก่อน แล้วแปรงอย่างทะนุถนอมและเบามือที่สุด
  6. หลังแปรงผมทุกครั้ง ทำความสะอาดด้วยแชมพูอย่างอ่อน เพื่อให้คราบความสกปรกจากผลิตภัณฑ์แต่งทรงผม หรือน้ำมันได้หลุดลอกออกง่ายและหมดจด
Posted on

แผลร้อนใน (Aphthous ulcer) กินอะไรไม่ได้ เป็นบ่อยๆ ป้องกัน รักษาอย่างไรให้หายขาด

38105393 – close up children with aphtha on lip

แผลร้อนใน อาการเจ็บปาก ปากเปื่อยเป็นแผล เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ก็คือ แผลแอฟทัส (Aphthous Ulcer)
ลักษณะ เป็นแผลเล็กๆ ตื้นๆ มีอาการเจ็บ มักเกิดบริเวณ เยื่อบุช่องปาก อาจมีแผลเดียว หรือหลายแผลก็ได้ มักหายโดยไม่มีแผลเป็น ภายใน 5-10 วัน
สาเหตุของการเกิดแผล ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และอาจเป็นอาการของโรคใดโรคหนึ่งได้ ดังนั้นถ้าเป็นบ่อยๆ อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพิ่มเติม

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลในปาก 

1. การติดเชื้อ – เชื้อที่พบมักเป็นจำพวกแบคทีเรีย แกรมบวก-Streptpcoccus sanguis
2. การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน เช่นในช่วงมีประจำเดือน
3. ความเครียด
4. การพักผ่อนไม่เพียงพอ
5. มีการระคายเคืองภายในช่องปาก เช่น สารบางชนิดในยาสีฟันหรืออาหาร : ถือว่าพบบ่อยที่สุด และมักจะพบได้หลายๆ ที่ อาจจะที่ลิ้น หรือเพดานปาก
6. การขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก ฯลฯ

การวินิจฉัยแยกโรค
โรคนี้เป็นสิ่งที่สามารถวินิจฉัยได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม อาการปากเปื่อยเป็นแผลยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น
– ถูกแปรงสีฟันครูดหรือกระแทก
– ถูกฟันกัด ถูกฟันปลอมเสียดสี
– แผลเริมขึ้นที่ปาก จะขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเป็นกระจุกเดียวตรงริมฝีปาก แล้วแตกเป็นแผลตื้นๆ เจ็บเล็กน้อย
– แผลมะเร็งในช่องปาก พบมากในวัยกลางคนขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่กินหมาก จุกยาฉุน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเพียวๆ มีลักษณะขอบหนา สกปรก มีกลิ่น และมักไม่เจ็บ

แนวทางการรักษา 

  1. บ้วนปากให้สะอาด ด้วยน้ำเกลืออุ่น แล้วทายาป้ายแผลในปาก อาทิ Kenalog in Oralbase เพื่อลดการอักเสบ
  2. ยารับประทาน พวกปฎิชีวนะ อาทิ Metronidasole 200 มก. รับประทาน 2 เม็ด 3 เวลา หลังอาหาร กรณีที่มีการอักเสบมาก และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เพื่อระงับ การมีกลิ่นปาก
  3. เปลี่ยนยาสีฟันที่ใช้อยู่ประจำ มักพบคนไข้บางคน แพ้สารที่ทำให้เกิดความรู้สึกซ่า สดชื่น ในยาสีฟันบางชนิด เช่น ดาร์กี้ คอลเกต หรือ ใกล้ชิด ฯลฯ แนะนำให้ใช้ยาสีฟัน รสจืด แทน
  4. ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย วันละ 10-12 แก้ว เพื่อลดการอักเสบ และทำความสะอาดช่องปาก
  5. รับประทานอาหานที่มีวิตามิน บี 12 ธาตุเหล็ก ในกรณีที่ขาดสารอาหาร
  6. ถ้าแผลเป็นนานกว่า 1 สัปดาห์ และปฏิบัติตาม ที่แนะนำแล้วยังไม่หาย อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างอื่น
Posted on

Telangiectasia: เส้นเลือดฝอยขยายตัวผิดปกติ ทำให้ผิวหน้า ผิวกาย แดงง่าย ไม่ขาวใส

Telangiectasia เป็นภาวะความผิดปกติ จากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย(capillaries) มีลักษณะเห็นเป็นเส้นแขนงเส้นเลือดฝอยสีแดง แตกเป็นกิ่งก้านสาขาบริเวณผิวหนัง ภาวะนี้จากเกิดเฉพาะที่ หรือเกิดทั่วร่างกายก็ได้ ลักษณะของเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. Facial Telangiectasias เป็นลักษณะที่พบได้บ่อย มักอยู่ตามบริเวณแก้มและปีกจมูก
สาเหตุที่เกิด 
1. ภาวะโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือโรคตับแข็ง จะพบลักษณะเส้นเลือดฝอยแบบนี้ได้บ่อยๆ
2. การใช้ยาทาแก้แพ้ ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์นานๆ
3. การใช้ยาทาฝ้า ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรคลิโนนความเข้มข้นสูงๆ เช่น 5% Hydroquinone
4. โรคทางพันธุกรรม
5. โรค SLE
6. ไม่ทราบสาเหตุ
2. Spider Telangiectasias มีลักษณะเป็นเส้นใยแมงมุม มีจุดแดงตรงกลางและมีเส้นเลือดฝอยแผ่กระจายกิ่งก้านสาขา เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ
สาเหตุที่เกิด 
มักจะเกิดจากฮอร์โมนEstrogen สูงกว่าปกติ เช่น ในผู้หญิงตั้งครรภ์ การรับประทานยาคุมกำเนิด

การรักษา 
– ถึงแม้ว่าเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้คงดูไม่ดีแน่ จึงควรหาวิธีการรักษาก่อนที่เส้นเลือดฝอยจะลุกลามไปทั่วแก้ม เพราะจะทำให้หน้าเป็นรอยแดง และอาจจะเห็นชัดมาก เวลาร้อนจัด หรือดื่มอัลกอฮอล์ จนคนอื่นอาจเข้าใจผิดคิดว่าไปโกรธใครมาถึงได้เลือดขึ้นหน้าขนาดนี้ วิธีการรักษามีดังนี้
1. รักษาตามสาเหตุของโรคที่ตรวจพบร่วมด้วย
2. การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electric cautery) ทำให้เส้นเลือดอุดตันหรือฝ่อไป มักใช้ในกรณีที่เส้นเลือดขนาดเล็กกว่า 1 มม. และไม่อยู่ในบริเวณใบหน้า
3. การใช้ เลเซอร์ Pulsed Dye Laser (V-Beam ) ซึ่งความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ปัจจุบันถือว่าเป็น Gold Standard Treatment ที่นิยมในปัจจุบัน เพราะได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อยและได้ผลเร็ว เหมาะกับลักษณะของเส้นเลือดที่มีขนาด 0.2 – 1 มิลิเมตร
4. เลเซอร์ Long pulse Nd:YAG ( Genle YaG laser ) ที่มีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร เหมาะกับลักษณะของเส้นเลือดที่มีขนาด 1 – 2 มิลิเมตร
5. การฉีดสาร Sclerosing agents หรือ Hypertonic saline มักใช้ในกรณีที่เส้นเลือดขนาดมากกว่า 1 มม. และไม่อยู่ในบริเวณใบหน้า

Posted on

โลน (Crab louse ) แมลงตัวเล็ก ในร่มผ้า สาเหตุที่ทำให้คัน ติดต่อกันทางเพศสัมพันธุ์

โลน ( Crab louse หรือ Phthiriasis pubis) เป็นปรสิตที่พบเฉพาะในมนุษย์ ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโลน โดยพบว่าเพียง 1 ครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อโลน จะมีโอกาสติดได้ถึง 95 %
ลักษณะอาการที่พบ คือ มีผื่นสีน้ำเงินเทาๆ เล็กๆ ตามตัว เส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1 ซม. โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกริยาของน้ำลายโลนกับเลือด และจะพบตัวโลนได้ถึง 30 วันก่อนจะมีอาการดังกล่าว
บริเวณที่พบตัวโลนและไข่ พบบ่อยที่ขนในอวัยวะสืบพันธุ์ แต่ถ้ามีจำนวนมาก อาจพบบริเวณขนสั้นๆ ได้ เช่น ที่รักแร้ ขนตามตัว คิ้ว ขนตา (โดยเฉพาะในเด็ก)
การวินิจฉัยว่าติดเชื้อโลน ก็คือ การได้พบตัวโลน (ดังในภาพที่1) และไข่โลนติดที่ขน โดยบางครั้งในนิ้วมือสางขน อาจรู้สึกสากมือเหมือนลูบด้วยเม็ดทราย ตัวโลนจะมีลักษณะสีขุ่นขาว ขนาดประมาณ 0.5-1 มม.มี 4 ขา

แนวทางการรักษา 

1. ฟอกตัวด้วยแชมพู ที่ผสม 1% Gamma benzene hexacholride (Lindane) ประมาณ 4 นาทีแล้วล้างออก แล้วทำซ้ำอีก 1 สัปดาห์ต่อมา
2. ทา 5% Pyretrin creams ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมงแล้วล้างออก
3. ทา Jacutin creams (HEXACHLOROCYCLOHEXANE ISOMERE GAMMA) บริเวณขนที่สงสัย ทั้งไว้ทั้งคืน ติดต่อกัน 3 วัน
4. ฟอกตัวด้วย Pyretrin shampoo ฟอกทิ้งไว้ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วันกรณีที่เป็นทั้งตัว
5. โลนที่ขนตา อาจจะต้องจับออก หรือทา Petrolatum วันละ 2 ครั้ง เพื่อรบกวนการหายใจของตัวโลน
6. ยารับประทานกลุ่ม Cotrimoxazole (Bactrim) ได้มีรายงานว่าได้ผล เพราะไปรบกวนการสร้างวิตามินบี ที่จำเป็นสำหรับโลน
7. กรณีไม่หายขาด ควรรักษาคู่นอนด้วย หรือ อาจจะทายาไม่หมด
8. ควรทำความสะอาดที่นอน เครื่องใช้ให้สะอาด และผึ่งตากแดด เพราะตัวโลน ถ้าอยู่นอกร่างกายมนุษย์มักจะตายภายใน 1 วัน