Posted on

งานวิจัย : ฮอร์โมนสกัดจากเยื่อบุลำใส้ ลดความอยากอาหารลงได้ กินน้อย อิ่มนาน

ภาวะโรคอ้วน ได้แพร่กระจายและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากในชาวอเมริกัน และกำลังแพร่ระบาดขยายไปทั่วโลก ทำให้หลายๆ หน่วยงานได้พยายามค้นคว้าวิจัย หาวิธีการมากมายในการพยายามควบคุมและลดน้ำหนักให้ได้…….
นักวิจัยแห่ง Imperial College ประเทศอังกฤษ และนักวิทยาศาสตร์แห่งรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการสกัดฮอร์โมนรหัส PPY 3-36 จากเยื่อบุลำไส้ โดยพบว่าฮอร์โมนชนิดนี้ที่ผลต่อเซลล์สมองในหนู โดยทำให้สามารถควบคุมน้ำหนัก และลดความอยากอาหารลงได้

294_2

ต่อมาได้มีการพัฒนาฮอร์โมนนี้ให้นำมาใช้ทดลองในคน โดยมีชื่อว่า Third helping Hormone ซึ่งจัดเป็นฮอร์โมนประเภทฉีด แต่นำมาหยอดเข้ากระแสเลือดดำของอาสาสมัครจำนวน 12 ราย โดยหยอดในช่วงก่อนอาหาร ผลการทดลองพบว่า ทุกคนสามารถลดจำนวนปริมาณอาหารที่รับประทานลงได้ถึง 1 ใน 3 และทำให้ไม่รู้สึกหิวเลยติดต่อกันหลังหยอดฮอร์โมนนี้ไปอีกนานกว่า 12 ชม. โดยได้มีการอธิบายว่าฮอร์โมนนี้จะเปรียบเสมือนอาหารหลอกๆ ( fake meals) ที่ทำให้สมองรู้สึกว่าอิ่มแล้ว

จากผลงานวิจัยนี้ ทำให้วงการแพทย์อาจจะนำไปพัฒนายาที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนดังกล่าวมากขึ้น เพื่อลดการรับประทานจุกจิกระหว่างมื้อ และลดปริมาณอาหารหลักที่รับประทานลง แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมวิจัย ยังไม่พิสูจน์ยืนยันชัดเจนว่ากลไกการออกฤทธิ์ที่แน่นอนของร่างกายที่ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วจากผลการตอบสนองต่อ ฮอร์โมน PPY 3-36 นี้ได้ผลอย่างปลอดภัยหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

Posted on

นาโนเทคโนโลยี่ (nanotechnology) กับวงการเครื่องสำอาง

นาโนเทคโนโลยี่ คืออะไร

นาโนเทคโนโลยี่ คือ เทคนิคใหม่ในการทำให้ทุกสิ่งมีขนาดเล็กลงในระดับนาโนเมตร ซึ่งตาเปล่าจะมองไม่เห็น และสามารถแทรกซึมออกฤทธิ์ต่อ บริเวณเป้าหมายโดยตรง( 1 นาโนเมตร เท่ากับ 10 ยกกำลังลบ9 เช่น ถ้าสิ่งหนึ่งมีความสูง 1 เมตร เมื่อจะต้องการจะจำลองทำให้เหลือ 1 นาโนเมตร ก็ต้องจำลองให้เล็กลงสิบล้านเท่า)
ท่านอาจจะได้ยินคำว่า ” นาโนเทคโนโลยี่” กันบ่อยขึ้น เพราะปัจจุบันได้มีการผลิตและคิดค้นหลายสิ่งหลายอย่างด้วยเทคนิคนี้ แล้วก็ยังมีหลักสูตรการเรียนด้านนี้โดยเฉพาะทั้งในประเทศและต่างประเทศ …. … แม้แต่ในแวดวงความสวยความงาม ก็ได้นำเทคนิคนี้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือยา ใช้ในวงการแพทย์เช่นกัน

ในวงการเครื่องสำอาง ได้นำมาทำให้สารออกฤทธิ์หรือยาที่สำคัญ มีขนาดเล็กลง แล้วนำมาผสมในเครื่องสำอาง เพื่อประโยชน์ดังนี้

  1. เพื่อการแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น และช่วยบำรุงผิวได้ล้ำลึกกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไป
  2. สามารถลดความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิตที่ไม่จำเป็น
  3. ผู้บริโภคสามารถทาครีมเพียงปริมาณน้อยๆ ทาบางๆ ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่เหนอะหนะผิวหน้าและไม่เปลืองเกินความจำเป็น
  4. เครื่องสำอางบางชนิด เช่น ครีมกันแดด ครีมรองพื้น อายแชโดว์ จัดเป็นเครื่องสำอางที่เกาะติดผิว ไม่ต้องการการแทรกซึมสู่ผิวชั้นใน ก็จะผลิตด้วยเทคนิคนาโน ให้มีขนาดเล็กลง จะทำให้เครื่องสำอางเกาะติดผิวได้ดีขึ้น จนแลดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
  5. ทำให้สามารถบรรจุสารสำคัญในระดับนาโน ลงในแคบซูลเล็กๆ เพื่อป้องกันการสลายตัวของสารสำคัญนั้นๆ หรือต้องการให้สารสำคัญค่อยๆ ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ เช่น กลุ่มครีมทาผิวสีแทน ครีมกำจัดขน หรือลิปติกที่ต้องการให้ออกฤทธิ์ช้าๆ ค่อยๆ ทำให้ปากชุ่มชื้นและสีลิปติกติดทนนานได้ทั้งวัน
  6. ทำให้สามารถบรรจุสารสำคัญหลายชนิดเข้าด้วยกันได้ในขนาดระดับนาโน เพื่อให้ออกฤทธิ์ได้หลายขั้นตอน

หลักการสังเกตว่าเครื่องสำอางชนิดใด ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี่หรือไม่ ให้ดูที่ฉลากว่ามีการระบุว่าเป็น Nanotech Products หรืออธิบายไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งการดูด้วยตาเปล่าจะไม่สามารถบอกได้ ถ้าต้องการทราบแน่นอน การจัดส่งให้กรมวิทยาศาสตร์ทางแพทย์เป็นผู้ตรวจวิเคราะห์ก็จะทราบได้

ดังนั้นในอนาคตข้างหน้านี้ เครื่องสำอางนาโนเทคโนโลยี่ อาจจะเป็นอีกทางเลือกใหม่การการเลือกใช้เครื่องสำอาง ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ปริมาณน้อยลง แต่ได้ผลดีตามต้องการ และอาจจะประหยัดมากกว่าในปัจจุบันนี้

Posted on

งานวิจัย : รับประทานอาหารด้วยการหรี่ไฟ ได้บรรยากาศดี แถมลดน้ำหนักได้ด้วย

การสร้างบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อม อาจจะทำให้ลดน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่งที่อาจจะดูประหลาดซักนิด แต่ก็มีการวิจัยกันว่าบรรยากาศก็มีผลต่อการลดน้ำหนักน้ำหนักเช่นกัน โดยมีการวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้น ได้ทดลองกับอาสาสมัครกลุ่มตัวอย่าง 100 คน ผลการวิจัยพบว่าดังนี้

ได้มีการจัดบรรยากาศการลดน้ำหนักในอาสาสมัคร 100 คน โดยให้รับประทานในบรรยากาศที่มีแสงสว่างมากๆ เช่นการจัดบุฟเฟต์กลางแจ้ง หรือห้องที่มีแสงสว่างมากๆ เปรียบเทียบกับบรรยากาศกลางแสงเทียน หรือในร้านอาหารที่มีการหรี่ไฟ พบว่าอาสาสมัครมากกว่า 50 % สามารถรับประทานอาหารมากขึ้นในที่ที่แสงสว่างๆ มากๆ และเห็นหน้าตาของอาหาร

ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมว่า ในบรรยากาศที่แสงสว่างไม่มาก คนจะค่อยๆ รับประทานอาหาร ( อาจจะกลัวก้างติดคอ) อย่างช้าๆ และพักผ่อนไปด้วยในตัว ทำให้ใช้เวลาในการรับประทานอาหารมากขึ้น และทำให้อิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้นเราลองมาจัดบรรยากาศห้องอาหารในบ้าน โดยอาจจะด้วยการหรี่ไฟ รับประทานกลางแสงเทียน หรือใช้ที่กำบังระหว่างที่รับประทานและครัวให้ห่างออกจากกัน อาจจะทำให้น้ำหนักเราลดลงได้หลายกิโล ควบคู่กับการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ กันด้วยดีกว่

Posted on

อาหารลดน้ำหนัก ( Diet foods) เลือกอย่างไรดี ที่ไม่ทำให้อ้วน แล้วไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น

อาหารลดน้ำหนักได้แก่อะไรบ้าง

ส่วนใหญ่การรับประทานอาหารต่อวันไม่ควรเกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ได้มีรายงานวิจัยพบว่า อาหารที่ไม่ไขมันต่ำ ( ไม่เกินร้อยละ 10) สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 5 กิโลกรัมในคนอ้วน และลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
อาหารลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีแคลอรี่น้อย โดยจะต้องรับประทานในระยะยาวด้วย การจัดตารางการรับประทานอาหาร ควรจะเป็นดังนี้
– กลุ่มไขมัน ร้อยละ 10
– กลุ่มโปรตีนร้อยละ 15
– กลุ่มผักผลไม้ ร้อยละ 35
– และกลุ่มคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 40

12 เมนูอาหารลดน้ำหนักง่าย ๆ แคลอรีต่ำอิ่มครบทั้งสามมื้อ
1 แซนด์วิชโฮลวีต+อกไก่สับไม่ใส่น้ำมัน+ไข่ดาวไม่ใส่น้ำมัน
2. ปลาซาบะทอด+ต้มยำกุ้ง+แกงจืด
3. อกไก่ผัดกะปิ
4. ผัดกะเพราอกไก่
5. ผัดผักรวมใส่อกไก่+ไข่คนไม่ใส่น้ำมัน
6. แซนด์วิชสันในหมูสับ
7. น้ำพริกปลาทู+ปลาทูทอด+ผักเคียง8. อกไก่ทอดไข่ดาว
8. อกไก่ทอดไข่ดาว
9. ข้าวผัดทูน่าน้ำเเร่+แกงจืดไข่เจียว
10. ไข่เจียวไม่ใส่น้ำมันกับผักสามอย่าง
11. ผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่อกไก่
12. ผักสลัดแซลมอนย่าง ไข่ดาวไร้น้ำมัน และข้าวโพดนึ่ง

การปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหาร 
– รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่น้อยลง โดยการเลือกจานใบเล็กแทนใบใหญ่
– แบ่งมื้ออาหารเป็น 5 มื้อย่อยจานเล็กๆ ดีกว่ารับประทานอาหาร 3 มื้อด้วยจานใบใหญ่
– หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอซัก 30 นาทีเพื่อถามตัวเองว่ายังรู้สึกหิวอยู่จริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณอาหารอีกทีละน้อย
– ควรรับประทานอาหารคนเดียว เพื่อจะได้ควบคุมปริมาณได้ถูกต้อง และเลี่ยงการรับประทานอาหารในสถานที่ บุคคล หรือบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการกินให้มากขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และทำให้น้ำหนักเพิ่ม
-หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับ ขนมขบเคี้ยว เค้ก ขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด ไอสครีม ช็อกโกแลต
-แต่ถ้าหิวควรทดแทนด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด
-ไม่ควรเก็บของว่างหรืออาหารไว้ในตู้เย็น หรือครัว นอกจากนี้
-จำกัดหรืองดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เพราะมีแคลอรี่สูงพอๆ กับไขมัน ควรจะดับกระหายด้วยน้ำเปล่า

อนึ่งการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร แต่เพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่จะได้ผลดีเฉพาะกรณีที่น้ำหนักเกินมาตรฐานประมาณ 5 กิโลเท่านั้น และต้องใช้ความอดทน ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ดังนั้นการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ ต้องทำร่วมด้วยเสมอ ที่สำคัญ ต้องยึดมั่นในทัศนคติของคุณในการตั้งใจลดน้ำหนัก แม้จะมีน้ำหนักหวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีก แต่มันจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ต้องสู้ สู้ สู้ ไม่ท้อถอย 

Posted on

ยาหมดอายุหรือยัง ! (Drug Expiration Dates ) ดูตรงไหน ดูยังไง ถ้าไม่ทราบ ทำอย่างไร

1.การสังเกตยาหมดอายุกรณีมีฉลากกำกับ
1.1. ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต สามารถสังเกตได้จากวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ เช่น ที่แผงยา ซองยา เป็นต้น
1.2. กรณีที่ระบุเฉพาะเดือนและปีที่หมดอายุ วันหมดอายุจะเป็นวันสุดท้ายของเดือน
2. การสังเกตยาหมดอายุกรณีมีฉลากกำกับเฉพาะวันทีผลิต ไม่ระบุวันหมดอายุ
2.1 ยาเม็ด มักจะมีอายุได้ประมาณ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.2 ยาน้ำ มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.3 ยาฉีด มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.4 ยาครีม มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.5 ยาขี้ผึ้ง มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต

ยาจะมีคุณภาพที่ดีจนถึงอายุยาที่กล่าวข้างต้นได้ หากอยู่ภายใต้การจัดเก็บที่เหมาะสมตามที่แนะนำโดยบริษัทผู้ผลิต แต่หากมีการจัดเก็บยาที่ไม่เหมาะสม ยาจะเสื่อมสภาพและมีคุณภาพลดลงต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ ดังนั้นการสังเกตลักษณะทางกายภาพของยาร่วมด้วยจัดเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหากยามีลักษณะที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ก็อาจอนุมานได้ว่าคุณภาพของยาน่าจะเปลี่ยนแปลงและผู้บริโภคไม่ควรใช้ยานั้นต่อไป

Posted on

วิตามินหรืออาหารเสริมต้านสิว (Vitamins for acne) ช่วยให้ป้องกันและรักษาสิว ไม่ให้เกิดได้

กลุ่มอาหารเสริมต้านสิว

ปัจจุบัน ปัญหาสิวก็ยังเป็นปัญหายอดฮิตที่รบกวนผิวพรรณ และจิตใจของวัยรุ่นอยู่เป็นอย่างมาก บางคนไม่อยากใช้ครีม หรือยารับประทานรักษาสิว เพื่อกลัวผลข้างเคียง และสิวเป็นไม่มากนัก อยากลองหาอาหารเสริมที่ช่วยป้องกันและรักษาสิวได้ แต่มีหลายยี่ห้อ เลือกไม่ถูก ขอบอกแนวทางในการเลือกดังนี้นะครับ
กลุ่มอาหารเสริมต้านสิว
1. L-Optizinc 75 มก. ( ซึ่งให้สังกะสี 15 มก.ต่อแคบซูล)พอดีกับที่ร่างกายต้องการต่อวัน ) เป็นสังกะสีที่ผสมกับ Methionine ซึ่งช่วยการดูดซึมของสังกะสีเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น โดยเราทราบว่า สังกะสี มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของสิวและป้องกันการเกิดสิวได้ถึง 70 % ซึ่งใกล้เคียงกับยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าซัยคลิน นอกจากนี้ สังกะสีช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์จากวิตามินเอได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสมดุลย์ของปริมาณไขมัน ในร่างกายควบคุมปัญหาการเกิดการอุดตัน ของไขมันที่ทำให้เกิดสิว
2. Chromium Picolinate 1.04 มก. (ซึ่งให้แร่ธาตุโครเมียม 130 ไมโครกรัมต่อเม็ด) มีผลในการปรับสภาพผิวและช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น โดยอยู่ในรูป Chromium Picolinate ซึ่งถือว่าเป็น form ที่สามารถดูดซึม Chromium ผ่านทางเดินอาหารของมนุษย์ได้ดีกว่า โครเมียม(Chromium) รูปแบบอื่นๆ
3. วิตามินซี 60 มก. เพื่อป้องกันและรักษารอยดำที่เกิดขึ้น จากการหายของสิวอักเสบ ป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV
4. วิตามินอี 15 หน่วยสากล เพื่อป้องกันและรักษาแผลเป็นที่อาจจะเกิดขึ้น จากการหายของสิวอักเสบ
5. สารสกัดจากสาหร่ายซาลีน่า (Phytosphingosine) 20 มก.ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย P.acne ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวอักเสบ

Posted on

ผิวของคนเราจะเข้มขึ้นหรือจางลงได้ มีกระบวนการเกิดอย่างไร (Melanin-Biosynthesis Pathway)

เซลล์เมลานิน คืออะไร

คือ เซลล์ชนิดหนึ่งในชั้นผิวหนังกำพร้า ( Melanocyte) ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เรียกว่า Melanosome ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสี Melanin ให้เข้มขึ้น เวลาโดนแสงแดด หรือเกิดภาวะอักเสบจากสาเหตุต่างๆ เม็ดสีที่เข้มขึ้นนี้จะถูกนำมาสู่ชั้นผิวหนังด้วยเซลล์อีกตัวคือ keatinocytes ซึ่งสร้างเคอราตินที่ชั้นผิวหนังและทำให้เม็ดสีเมลานินมาอยู่ที่ผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ซึ่งเม็ดสีเมลานินที่ผลิตออกมามี 3 แบบ ก็คือ

  1. Eumelanin ซึ่งจะได้แก่เม็ดสีดำ ซึ่งพบในคนเอเซียและคนที่ผิวคล้ำทั้งหลายในปริมาณที่มากกว่าคนผิวขาว
  2. Pheo-melanin ซึ่งได้แก่เม็ดสีแดง(Oxyhemoglobin)หรือสีเหลือง(carotene) ซึ่งจะพบในคนที่ผิวขาวมากกว่าคนที่ผิวคล้ำ
  3. Mixed-melanin คือมีเม็ดสีเมลานินทั้งสองแบบข้างบน ผสมผสานกัน
    เมื่อมีการสร้างเม็ดสีมากขึ้น ก็จะทำให้สีผิวที่เข้มขึ้น เกิดฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ ขี้แมลงวัน

สาเหตุที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้น หรือสีผิวผิดปกติ

1. แสงแดด :
– รังสียุวีเอ จะกระตุ้นเซลล์เมลานินโดยตรงให้ทำงานมากขึ้น หรือทางอ้อม โดย จะกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase หรือจะกระตุ้นให้มีสารที่คล้ายสารอาหาร ทำให้เซลล์ keratinocyste รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น
– ส่วนรังสียูวีบี จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน
2. ยาคุมกำเนิด หรือฮฮรโมนบางอย่าง เช่น เอสโตรเจน หรือโปรเจสเตอโรน
3. ความเครียดเรื้อรัง ซึ่งจะเห็นว่าในบางคนทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ไร้ราศีได้
4. ยารับประทาน บางอย่างที่ทำให้ผิวหนังบางลงและไวต่อแสง
5. สารเคมีในเครื่องสำอาง หรือน้ำหอม ทำให้เกิดการแพ้ ไวต่อแสง หรือผิวหนังอักเสบ
6. พันธุกรรมหรือเชื้อชาติ ที่ทำให้ไวต่อแสงอยู่แล้ว เช่นกลุ่มชาวเอเซีย กลุ่มฮีสแปนิค(กลุ่มชนละติน)
7. แร่ธาตุบางอย่าง เช่น ทองแดง สังกะสี ธาตุเหล็ก ทำให้มีการสร้างสีเมลานินได้มากขึ้น ดังนั้นในอาหารเสริมพวกนี้ ต้องมีขนาดที่พอเหมาะ ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้สีคล้ำลงได้

กระบวนการเกิดเม็ดสีผิว

ขั้นตอนการสังเคราะห์ เม็ดสีผิวเมลานิน อาศัย เอนไซม์ที่สำคัญมากมาย แต่จะกล่าวเฉพาะตัวเด่นๆ ดังนี้

  1. เอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งถือว่าเป็นเอนไซม์ที่สำคัญสุดและมีบทบาทมากสุดในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินให้สีผิวเข้มขึ้น ซึ่งทำให้มีการวิเคราะห์สารไวเทนนิ่งที่ยับยั้งเอนไซม์นี้ให้ทำงานน้อยลง เช่น Hydroquinone วิตามินซี,Albutin,Licorice
  2. เอนไซม์ Glutathione Or Cysteine มีบทบาทในการยับยั้งขบวนการสร้างเม็ดสี ดังนั้น การฉีดกลูต้า หรือทานน้ำผึ้งที่มีสาร Cysteine จึงทำให้สีผิวขาวขึ้น
  3. เอนไซม์ D.tautomerase ,Dpolymerase ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสีของกระ หรือรอยแดง ซึ่งพบว่าครีมไวเทนนิ่งกลุ่มวิตามินซี,Licorice,Kogic acid สามารถยับยั้งเอนไซม์นี้ได้
  4. เอนไซม์ D.peoxidase เป็นเอนไซม์อีกขั้นตอนหนึ่งที่เปลี่ยนเม็ดสี Pheomelanin(สีแดง) เป็น Eumelanin (สีดำ) ซึ่งสารไวเทนนิ่งกลุ่ม albutin จะออกฤทธิ์ยับยั้งตรงนี้นะครับ
    ดังนั้น ครีมไวเทนนิ่ง หรือขบวนการฟอกสีผิวให้ขาวขึ้น หรือการรักษาเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ เช่น ฝ้า กระ การทำเลเซอร์หรือ ทาครีมรักษาฝ้า กระ ต้องมีฤทธิ์ในการรบกวน ขบวนการ ขั้นตอน หรือเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินนี้
Posted on

สีผิวแต่ละคนแตกต่างกัน ประเภทของสีผิว (Skin Tone Classification) มีผลกับรักษาผิวพรรณ

สีผิวคนเราเกิดจากอะไร

สีผิวของคนเรา เกิดจากการผสมของสี ของสารต่างๆในร่างกาย ดังนี้

  1. สีน้ำตาลหรือดำ เกิดจาก Melanin pigments ที่เกิดขึ้นจากเซลล์ melanocytes ที่อยู่ที่ชั้น Stratum basale ในชั้นหนังกำพร้า(Epidermis)
  2. สีแดง (Oxyhemoglobin) ที่อยู่ในหลอดเลือด ซึ่งสีนี้จะเข้มขึ้นเมื่อมีการขยายตัวของหลอดเลือด หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ที่ผิดปกติของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดขยายตัว ก็จะเห็นผิวเป็นสีแดงเพิ่มขึ้น
  3. สีเขียว (Reduced hemoglobin) ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจาก Oxyhemoglobin เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกาย ซึ่งจะเกิดเฉพาะบางบริเวณ เช่น ที่ใบหน้าหรือที่มือ
  4. สีเหลือง (Carotene) เป็นสีของน้ำดี สีนี้มักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเกิดภาวะที่มีน้ำดีคั่ง หรือการรับประทานอาหาร ที่มีสาร carotene มาก เช่นมะละกอ ฟักทอง ปกติสีนี้จะถูกผสมกลมกลืนไปกับสีอื่นหมด คือจะไม่เห็นสีเหลืองเด่นชัด แต่ถ้ามีปริมาณมากในภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น ภาวะตับอักเสบ หรือถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน จึงจะทำให้เห็นสีเหลืองออกมาเด่นชัด ที่เรียกว่าภาวะดีซ่าน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดทั่วตัว ถือเป็นลักษณะสีผิวที่บ่งบอกโรคบางอย่างได้

การจัดแบ่งสีผิวของคนเรา (Skin tone classification) ในทางผิวหนัง โดยอาศัย Fitpatric skin type classification  ซึ่งเป็นหลักที่แพทย์ผิวหนัง ใช้เป็นหลักสากล ที่แพทย์ต้องแยกสีผิวคนไข้ให้ได้ว่าอยู่โทนสีผิวไหน จะมีประโยชน์ สำหรับการเลือกพลังงานและชนิดของเลเซอร์ในการรักษาผิวพรรณ เพราะเลเซอร์บางชนิด จะใช้กับบางสีผิวไม่ได้ การที่ทราบกลไกการสร้างสีผิว ทำให้มีการพัฒนาแนวทางการรักษาปัญหาทางผิวหนังให้เหมาะสมกับสีผิวแต่ละประเภท เมื่อให้ได้ผลมากทีสุดและผลข้างเคียงน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นแนวทาง ในการแต่งตัว แต่งหน้า เลือกเฉดสีให้เหมาะกับผิวแต่ละประเภทอีกด้วย

แบ่งออกได้ดังนี้

Skin typeคำจำกัดความคำอธิบาย ตัวอย่าง
Type IVery fair skin. Burns very easily & doesn’t tanผิวขาวซีด อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวใหม้ง่ายมาก และไม่มีสีแทนหรือคล้ำ เช่น กลุ่มคนเผือก
Type IIFair skin. Burns easily & tans slightlyผิวขาวอมชมพู อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวใหม้ง่าย และมีสีแทนหรือคล้ำได้เล็กน้อย เช่น กลุ่มชนผิวขาวผมบอนด์แถบยุโรปตอนบน เช่น ไอร์แลนด์
Type IIIBurns occasionally & tans slowlyผิวขาวปนเหลือง ตากแดดแล้วบางครั้งผิวใหม้ และมีสีแทนหรือคล้ำได้แต่ก็ต้องใช้เวลา เช่น กลุ่มชนผิวขาวแถบอเมริกาตอนใต้ กลุ่มแสกนดิเนเวีย ลูกครึ่งเอเซีย-ยุโรป
Type IVMinimal burning & tans alwaysผิวเหลือง ตากแดดแล้วผิวใหม้ได้บ้างแต่น้อย และมีสีแทนหรือคล้ำได้เสมอๆ เช่น กลุ่มชนเอเซียตอนบน เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี
Type VRarely burns & tans always. Medium to heavy pigmentation.ผิวคล้ำ ผิวสองสี ตากแดดแล้วผิวใหม้ได้น้อยมาก และมีสีผิวคล้ำและดำในบางที่ เช่น กลุ่มชนเอเซียตอนล่าง กลุ่มทางอเมริกาใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย เม็กซิโก สเปน
Type VINever burns & has a very dark tan. Heavy pigmentationผิวดำ ตากแดดแล้วผิวไม่เคยใหม้ และมีสีผิวดำสนิท เช่น กลุ่มชนผิวดำ(นิโกร) แถบแอฟริกาใต้
Posted on

Aromatherapy : ศาสตร์แห่งการบำบัดด้วยกลิ่น เพื่อสุขภาพกายและใจที่ผ่อนคลาย

Aromatherapy(สุวคนธบำบัด) หมายถึงการนำกลิ่นหอมจากสมุนไพรมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพ ทำให้ร่างกาย จิตใจอารมณ์เกิดความสมดุล
-โดยใช้หลักทางสรีรศาสตร์ที่มนุษย์สามารถสัมผัสกลิ่น ได้มากกว่าหมื่นชนิดนั่นเอง กลิ่นที่มนุษย์ได้รับสัมผัสในแต่ละครั้ง จะผ่านประสาทสัมผัสรับกลิ่น (Olfactory nerves) ซึ่งอยู่เหนือโพรงจมูก (nasal cavity) เมื่อกลิ่นต่าง ๆ จากโมเลกุลของละอองเกสรดอกไม้ ผ่านกระเปาะรับกลิ่น (Olfactory bulbs) ที่ต่อกับลิมบิค ซีสเต็ม (Limbic system) ซึ่งเป็นสมองส่วนควบคุมอารมณ์และความทรงจำ
– ไอจากน้ำมันหอมระเหยจะผ่านลมหายใจ เข้าสู่ปอด และผ่านไปสู่ศูนย์ควบคุม การทำงานของสมองไปยังต่อมประสาท ต่อมสมอง แล้วหยุดที่ระบบความจำ ซึ่งจะกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก ทำให้รู้สึกสบาย
– กลิ่นหอมที่ไปสู่ระบบควบคุมประสาท จะทำให้ความคิดโลดแล่น เมื่อไปกระทบต่อมฮอร์โมน ก็กระตุ้นให้ฮอร์โมนหลั่งสารแห่งความสุข ( Endorphine) ช่วยคลายเครียด กระปรี้กระเปร่า ไม่ซึ่มเศร้า
– หลักการ นี้เอง น้ำมันหอมระเหยที่ถูกสกัดจากพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดจึงถูกค้นคว้าวิจัย เพื่อนำมาบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เพราะคุณสมบัติที่แตกต่างกันของพืชสมุนไพรซึ่งผ่านการค้นคว้ามาแล้วจากหลายสถาบัน หลายอารยธรรม หลายช่วงกาลเวลา ถูกสั่งสมให้คุณค่าของความรู้ทางด้านน้ำมันหอมระเหยมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ประเภทของการบำบัดด้วย Aroma Therapy
อโรมา เธอราพี… เป็นการบำบัดรักษาด้วยการใช้น้ำมันหอมระเหย หรือ Essential Oil ที่สกัดจากพืชที่มีกลิ่นหอม ซึ่งใช้หลักใหญ่ 2 แบบ คือ
1 การดมกลิ่น
2 การทาให้ซึมผ่านทางผิวหนัง
ทั้งนี้ อาจจะทำทั้งสองแบบควบคู่ไปด้วยกัน
การเลือกกลิ่นสำหรับการบำบัดรักษา
เบซิล – มีผลช่วยสร้างความสดชื่น กระปรี้ประเปร่าให้กับร่างกาย ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและมีสมาธิในการทำงานต่างๆ ในแต่ละวัน เวลากลับจากงานเหนื่อยๆ เบซิลจะช่วยไล่ความอ่อนเพลียได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งเหยาะผสมกับลาเวนเดอร์และเปปเปอร์มินท์ด้วยแล้ว ยิ่งไล่ความเครียดได้อย่างดี
ลาเวนเดอร์ – พืชยอดนิยมที่มักจะใช้เป็นหัวน้ำหอมของสบู่ และแป้งหลายยี่ห้อ มีคุณสมบัติในการรักษาและบรรเทาอาการต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะช่วยลดความตึงเครียด ปรับสภาพสมดุลย์ให้กับร่างกายและจิตใจ คืนความสดชื่นให้กับสมอง ฝ่าเท้า และกล้ามเนื้อตามจุดต่างๆ  ลาเวนเดอร์เพียง 2-3 หยดบนหมอนใบนุ่ม จะช่วยให้หลับสบายฝันหวานตลอดคืน…
อีฟนิ่ง พริมโรส – น้ำมันหอมระเหยที่มักใช้ผสมในโลชั่นบำรุงผิวสมัยนี้ เพราะอุดมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ ให้ผลดีกับใบหน้าและผิวพรรณ ป้องกันความแห้งกร้าน รักษาโรคผิวหนังเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย
ซีดาร์วู้ด – น้ำมันสกัดที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยโบราณว่ามีคุณสมบัติช่วยป้องกันผิวเสีย และลดความมันของใบหน้า ใช้บรรเทาอาการไอ แก้หวัดได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ห้ามใช้กับหญิงมีครรภ์เป็นอันขาด
มะกรูด – สมุนไพรใกล้ครัวชนิดนี้นอกจากใช้ทำยาสระผมแก้ผมร่วง บำรุงเส้นผมแล้ว น้ำมันหอมยังช่วยให้ผ่อนคลาย เติมพลังให้อารมณ์สดชื่น เสริมสร้างความมั่นใจ ถ้าใช้เป็นน้ำมันนวดตัว ก็จะช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้
โรสวู้ด – กลิ่นหอมของน้ำมันสกัดชนิดนี้จะช่วยให้สดชื่น และหอมติดกายดีแท้ ถ้านำมาใช้ผสมกับน้ำมันนวด หลังการออกกำลังกายจะช่วยบรรเทาอาการเมื่อย ลงได้โขทีเดียว แถมยังช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย
เปลือกส้ม – กลิ่นหอมจากน้ำมันเปลือกส้มแทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น อบอุ่น อารมณ์สนุกสนาน เมื่อผสมกับน้ำมันนวดตัว จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยให้นอนหลับสบาย

ข้อควรระวังในการใช้ Aromatherapy

น้ำมันหอมระเหยที่ใช้ใน Aromatherapy นั้น สามารถใช้สูดดมหรือนวดตามร่างกายได้อย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากเป็นน้ำมันสกัดที่มีความเข้มข้นสูง ผลิตภัณฑ์บางชนิดจึงอาจจำเป็นต้องเจือจางก่อนนำไปใช้ เพราะหากทาลงบนผิวหนังโดยตรงก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวไวต่อแดดได้ หรือหากสูดดมจากบรรจุภัณฑ์ก็อาจมีกลิ่นฉุนแสบจมูกและทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ไวต่อกลิ่นด้วย

นอกจากนี้ มีข้อควรระวังเพิ่มเติมในการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหย ดังนี้

  • ไม่ควรชิม ดื่ม หรือรับประทานน้ำมันหอมระเหย เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจมีพิษและทำให้เกิดความเสียหายต่อทางเดินอาหาร ตับ และไตได้
  • ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยกับเด็ก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะอาจไม่ปลอดภัยและทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้
  • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือสารสังเคราะห์ใด ๆ
  • ควรทดสอบอาการแพ้ที่ผิวหนังก่อนใช้ทุกครั้ง โดยทาน้ำมันหอมระเหยที่ท้องแขนแล้วปิดไว้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หากมีอาการบวม แสบ หรือแดง ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้นอีก
Posted on

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) : เจ็บครั้งเดียวป้องกันได้นานหลายปี ไม่มีท้อง

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) คืออะไร
เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งในประเทศไทยปัจจุบันมี 3 ชนิด ได้แก่ Norplant®, Jadelle® และ Implanon NXT® โดยทั้ง 3 ชนิดเป็นระบบที่แคปซูลหรือหลอดที่ใช้ฝังไม่สลายตัว (non-biodegradable implants) ภายในแท่งหรือหลอดจะบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เอาไว้ เมื่อฝังเอาไว้เรียบร้อยก็จะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร นานแค่ไหน
ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกปากมดลูกเหนียวข้นส่งผลให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ยากขึ้น อยู่ได้นานเป็นเวลา 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา
ใครบ้างที่เหมาะสมที่จะคุมกำเนิดด้วยยาฝัง
– สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดนานตั้งแต่ 3ปีขึ้นไป
– สตรีหลังคลอดและให้นมบุตร
– สตรีที่สูบบุหรี่
– สตรีที่มีภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30กิโลกรัมต่อตารางเมตร)
– สตรีที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น เป็นไมเกรนมีความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเป็นต้น
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำาเนิด
– สตรีที่ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
– มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระยะเฉียบพลัน
– เป็นมะเร็งหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศ เช่น มะเร็งเต้านม
– มีหรือเคยมีเนื้องอกที่ตับ มีการท างานของตับผิดปกติ
– มีเลือดออกจากช่องคลอดที่ไม่ทราบสาเหตุ
ผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด
-เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิดอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งเป็นอาการปกติของปีแรกที่ฝังยา
-บางคนอาจมีประจำเดือนที่มากขึ้นหรือมาถี่ขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่เริ่มฝังยา
-บางคนอาจมีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลาหรือมาน้อย ซึ่งพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ที่ฝังยาคุมกำเนิดจะไม่มีเลือดออกมาเมื่อมีประจำเดือน
-ยาฝังคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้น เมื่อเพศสัมพันธ์ยังคงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อดังกล่าวอยู่ จึงควรต้องมีการป้องกัน เช่น ใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น
การฝังยาคุมกำเนิดมีโอกาสมีบุตรยากหรือไม่
ยาฝังคุมกำเนิดไม่ได้ท าให้มีบุตรยาก เนื่องจากภายหลังถอดยาฝังคุมก าเนิดออก ระดับฮอร์โมนของยาฝังคุมกำเนิดจะลดลงอย่างรวดเร็ว สตรีสามารถกลับมาตกไข่ใน 1-2เดือน โดยผู้ใช้ยาเกือบทั้งหมดจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ภายใน 1ปี

Posted on

อบตัว เข้าซาวน่า ช่วยเรื่องอะไร ลดน้ำหนัก สลายไขมันได้จริงหรือไม่ ข้อควรระวัง

การอบตัว สามารถแบ่งออกได้ 2 แบบ คือ 1. แบบอบแห้ง ( Sauna) และ 2. แบบอบเปียก หรืออบไอน้ำ (Stream) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการอบแบบไหน สามารถให้คุณประโยชน์ที่หมือนกัน ไม่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกิดจากความเกร็งตึง หรืออาการเมื่อยล้าหลังจากทำงานหนัก หรือการออกกำลังกาย
  2. กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ความร้อนจะทำให้ผิวหนังและโครงสร้างของผิวหนังได้รับออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น
  3. กระตุ้นระบบหายใจ ทำให้การหายใจสะดวกขึ้น ดีขึ้น เพราะน้ำที่ใส่ไว้รดก้อนหินนั้น มักจะมีส่วนผสมของพิมเสน การบูร และน้ำมันยูคาลิปตัส นอกจากนี้ไอน้ำใน Stream จะทำให้ลมหายใจมีน้ำมากขึ้น ช่วยทำให้ขับเสมหะและสิ่งสกปรกในหลอดลมได้ดี
  4. ช่วยเปิดรูขุมขน ทำการขับถ่ายสิ่งสกปรกและสารพิษที่อยู่ในร่างกาย ในรูปของเหงื่อ
  5. ช่วยรักษาสมดุลย์ความเป็นกรด-ด่าง ของผิวหนังที่อาจจะถูกทำลายจากแสงแดดหรือสารเคมี
  6. กระตุ้นระบบประสาท ระบบฮอรโมนต่างๆ ในร่างกาย ทำให้มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังปรับกระบวนการทางเคมีของเซลล์ทั่วร่างกายให้ระบบเสริมสร้างและระบบย่อยสลายอาหารเข้าสู่สมดุลใหม่
  7. ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย สบาย นอนหลับได้ง่าย
  8. ช่วยทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและชุ่มชื้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำทรีทเม้นต์อย่างอื่นๆ เช่น การกรอผิว การนวดตัว การทาครีมบำรุง

    ข้อควรระวังในการเข้าอบตัว 
  1. ไม่แนะนำให้คนที่มีปัญหาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เข้าอบตัว เนื่องจากจะทำใหัหัวใจทำงานมากกว่าปกติได้ ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้เกิดเป็นลม หน้ามืด หมดสติได้
  2. คนสูงอายุ หรือเด็กที่มีอายุน้อย ไม่ควรอบตัว อาบเหงื่อ เพราะสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์พอ
  3. ไม่ควรใส่ชุดว่ายน้ำในการอบตัว เพราะเส้นใยอีลาสติน เมื่อโดนความร้อน จะทำให้ยืดและหดตัวแห้งกรอบ และอาจจะใหม้ได้
  4. การอบตัวนานกว่ากำหนด จะทำให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อ และน้ำมากเกินไป ทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ เป็นลม ชัก และหมดสติได้
  5. สตรีมีครรภ์ไม่ควรอบตัว เพราะมีงานวิจัยว่าทำให้เด็กในครรภ์จะน้ำหนักน้อยกว่าปกติ

ขั้นตอนการอบตัวที่ถูกต้อง 

  1. ก่อนเข้าห้องอบตัว ควรจะอาบน้ำชำระร่างกายเสียก่อน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมเข้าสู่การอบตัว และเป็นชะล้างทำความสะอาดระดับหนึ่งก่อน
  2. ถอดเครื่องประดับที่เป็นโลหะ ทอง เครื่องเงิน ออกก่อนเพราะเป็นตัวนำความร้อน อาจจะทำให้ผิวหนังใหม้ได้
  3. กระโจมอก สำหรับผู้หญิง หรือใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับผู้ชาย เป็นชุดที่ดีที่สุดกรณีที่อบตัวในที่ส่วนรวม หรือจะถอดออกหมดก็ได้ (กรณีในที่ลับเฉพาะ) เพื่อให้ความร้อนกระจายทั่วร่างกาย และรูขุมขนเปิดทั่วๆ ไป
  4. ไม่ทาครีมบำรุงผิวใดๆ ก่อนเข้าห้องอบตัว เพราะเนื้อครีมจะเคลือบผิวหนังไว้ และปิดรูขุมขนทำให้การขับสิ่งสกปรกไม่ได้เต็มที่
  5. สามารถใช้ครีมหมักผม ครีมบำรุงเส้นผมก่อนเข้าห้องอบตัวได้ เพราะจะสามารถอบไอน้ำให้กับเส้นผมไปพร้อมๆ กัน
  6. การอบตัว ควรใช้เวลาประมาณ 3-5 นาทีต่อครั้งไม่ควรเกิน 15 นาที แล้วควรออกจากห้องอบ เพื่อใช้ความเย็นช่วยปิดรูขุมขน เช่นอาจจะ ลงไปจุ่มตัวในสระน้ำเย็น 1-2 นาที หรือสระน้ำจากุ๊ซซี่ ที่อุณหภูมิ 13-18 องศาเซลเซียส ประมาณ 1-2 นาที แล้วค่อยเข้าไปอบตัวใหม่ ไม่ควรใช้น้ำเย็นเกินไป เพราะร่างกายจะปรับตัวลำบาก หรือถ้าใช้น้ำที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียสจะไม่กระตุ้นเราอวัยวะภายในได้เต็มที่
  7. หลังจากออกจากห้องอบตัว ควรอาบน้ำและเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขน
  8. ดื่มน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากการอบตัว เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่ต้องสูญเสียไปกับเหงื่อ

    ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการอบตัว 
  1. ความร้อนจากการอบตัว ไม่ใช่วิธีการในการลดน้ำหนัก เพียงช่วยปรับสมดุลการทำงานของต่อมฮอร์โมนต่างๆ ดังนั้นการที่อบตัวนานๆ ในตู้อบ ทำให้น้ำหนักลดได้ก็จริงจากการเสียน้ำ แต่เมื่อดื่มน้ำทดแทน น้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม
  2. ความร้อนจากการอบตัว ไม่ได้ช่วยละลายไขมันสะสมในร่างกาย
  3. การอบตัวโดยใช้ความร้อน และความเย็นสลับกันไปมา ไม่ได้ทำให้ร่างกายไม่สบายได้ ในประเทศเมืองหนาวบางประเทศ จะมีห้องอบตัว และห้องที่เปิดให้ความเย็นด้านนอกเข้ามาสลับกันด้วยซ้ำ
Posted on

ครีมบำรุง เริ่มทาอย่างไร ตรงไหนก่อนหลัง แบบไหน ให้ถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวพรรณ

การใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื้นแก่ผิว จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญของการดูแลผิวหน้า ซึ่งนอกจากการเลือกใช้ครีมบำรุงที่เหมาะหรือตรงตามความต้องการของผิวแล้ว ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้อง จึงจะทำให้ได้ประสิทธิภาพของครีมได้เต็มที่

ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวพรรณ 

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
  2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง
  3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
  4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
  5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
  6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
  7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
  8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
  9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
Posted on

งานวิจัย Mederma : เจลทารักษาและป้องกัน แผลเป็นหลังผ่าตัด แผลเป็นนูน คีลอยด์ ดีมั้ย

Mederma คือยาอะไร

Mederma เป็นเจลทาป้องกันและรักษาแผลเป็นนูนตัวใหม่ ที่เริ่มมีการใช้แพร่หลายในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริการ โดยมีรายงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงผลการรักษาของเจลรักษาแผลเป็นตัวนี้ เนื้อเจลประกอบด้วยตัวยาสำคัญสองชนิดคือ สารสกัดจากหัวหอมที่ชื่อว่า Cepalin และสาร Allantoin
สรรพคุณ
1 ยับยั้งขบวนการอักเสบของแผล คล้ายครีมทาสเตียรอยด์
2 ลดการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็น
3 กระตุ้นการสมานแผล
4 ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อนได้
5 ส่งเสริมการปรับสภาพผิว
6 ยับยั้งการสร้างเซลล์ Fibroblast และ ชะลอการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective tissues) ในชั้นหนังแท้

ผลงานวิจัยว่าได้ผลจริงมั้ย

  1. งานวิจัยที่ประเทศโปแลนด์: Chadzynska และ Jabloska แพทย์ผิวหนังชาวโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาโดยผลการใช้ Mederma ในแผลคีลอยด์จากแผลไฟใหม้ พบว่า Mederma ให้ผลการรักษาที่ดีอย่างมีนัยสำคัญทำให้คีลอยด์มีขนาดเล็กลงและแบนราบลงในผู้ป่วยมากกว่า 50% ลักษณะแผลเป็นนูนมีความนุ่มมากขึ้น สีของแผลดีขึ้น แต่ก็พบว่ามีอัตราการไม่ได้ผลจากการทายาประมาณ 10%
  2. งานวิจัยที่ประเทศเยอรมัน: Maragakis แพทย์ผิวหนังชาวเยอรมัน ได้ทดลองนำมารักษาคนไข้เด็กหลังผ่าตัดช่องอก 65 คน เพื่อป้องกันแผลเป็นพบว่าได้ผลดีมากถึง 52% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่ 32% โดนพบว่ากลุ่มที่ใช้ Mederma มีลักษณะแผลที่ดีกว่าและมีขนาดเล็กกว่ากลุ่มเปรียบเทียบที่ใช้ยาหลอก
  3. งานวิจัยที่ประเทศเยอรมัน: Willital แพทย์ผิวหนังชาวเยอรมัน และคณะ ได้ทำการศึกษาแบบเดียวกันกับ Maragakis แต่ให้ทายาเร็วขึ้น คือภายใน 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด พบว่ากลุ่มที่ทาด้วยยา Mederma บาดแผลจะกว้างเพียง 1 มม.(โดยเฉลี่ย) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบที่มีบาดแผลกว้างถึง 4 มม.(โดยเฉลี่ย)
  4. งานวิจัยที่ประเทศฟิลิปปินส์ : Prof. Navarro ศัลยแพทย์ตกแต่งชาวฟิลิปินส์ ได้ทดลองทาแผลเป็นนูน คีลอยด์ ในผู้ป่วย 81 คน พบว่าหลังการใช้ทายา 6 เดือน แผลเป็นนูนมีลักษณะดีขึ้น ราบลง สีผิวดีขึ้น ถึง 43 ราย
    ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีการรักษาแผลเป็นนูน คีลอยด์ ที่ได้ผลหายดี 100 % ดังนั้นการรักษาแบบผสมผสานหลายๆ วิธีจึงยังเป็นแนวการรักษาที่ได้ผลมากสุด การป้องกันการเกิดแผลเป็น และ Keloids จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการรักษาเมื่อ เกิดแผลเป็นนูนขึ้น จะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าหลายเท่านัก
Posted on

โรคอ้วน ( Obesity) : อ้วนไม่อ้วน ดูที่ตรงไหน ทำไมถึงอ้วนง่าย ไม่อยากอ้วนทำอย่างไร

อ้วนมั้ย ดูที่ BMI

หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาว่าจะเข้าข่ายของโรคอ้วนหรือไม่ แพทย์จะคิดคำนวณจากค่า ดัชนีความหนาของร่างกาย (Body mass index=BMI) ดังนี้ เราสามารถจะคำนวณค่า BMI ได้ด้วยตัวของเราเอง โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
BMI = น้ำหนัก(กิโล) / ส่วนสูง(เมตร)ยกกำลังสอง เมื่อได้ตัวเลขแล้ว จะนำมาประเมินภาวะอ้วนผอมได้ดังนี้

20.0-24.9 บ่งว่า BMI มีค่าปกติ
18.5-19.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 1
17.0-18.4 บ่งว่า BMI อยู่ในผอมระดับ 2
16.0-16.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 3
< 16 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะผอมระดับ 4
25.0-29.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 1
30.0-39.9 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 2
> 40 บ่งว่า BMI อยู่ในภาวะอ้วนระดับ 3

ทำไมคนเราจึงอ้วนมากและง่ายขึ้นในปัจจุบัน : เกิดได้จากหลักการใหญ่ๆ ดังนี้

  1. ปัจจุบันมีอาหารแปลกใหม่ รสชาดน่าลิ้มลองมากขึ้นกว่าในอดีต มีการเช็คอิน ร้านอาหารน่านั่ง หลายร้าน ทำให้มีการรับประทานมากขึ้น
  2. มีการใช้พลังงานที่ได้จากกิจกรรมต่างๆ ที่เผาผลาญพลังงานลดลง เพราะมีความอำนวยความสะดวกขึ้น มีเครื่องจักรกลช่วยทำงาน เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน การมีรถยนต์ หรือมีการดูโทรทัศน์มากขึ้น แทนที่จะใช้เวลาในการออกกำลังกาย และอีกเหตุผลก็คือ ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้คนเราต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาว่างในการคิดถึงสุขภาพตนเอง

ปัจจัยของการลดน้ำหนักได้ยาก : พอจะกล่าวได้เป็นข้อๆ ดังนี้

  1. สาเหตุของกรรมพันธุ์ ทำให้อ้วนง่ายอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลของยีนที่ได้รับจากพ่อแม่
  2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เมื่อลดน้ำหนักได้แล้ว กลับมาอ้วนได้ใหม่และง่ายขึ่น คือ เมื่อน้ำหนักลดลง ทำให้อัตราการเผาผลาญลดลง สาร leptin ในร่างกายที่เป็นตัวทำให้อิ่มก็ลดลงไปด้วย จึงทำให้หิวได้ง่ายขึ้น รับประทานมากขึ้น ซึ่งพบได้ในคนที่เคยลดน้ำหนักบ่อยๆ แล้วในระยะหลังจะลดได้ยากขึ้น
  3. มีความรู้สึกท้อแท้ เมื่อตั้งความหวังไว้สูงมากๆ ว่าจะลดได้มากๆ เมื่อทำไม่ได้ จึงหมดความพยายาม
  4. ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้เครียดหงุดหงิด จึงหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ โดยไม่ได้มีเวลาออกกำลังกาย

แนวทางในการปฏิบัติตนเมื่อเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก :

  1. ต้องทราบว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้น น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยทุก 0.5-1 กิโลกรัมต่อปี เมื่ออายุมากกว่า 25 ปี แม้จะรับประทานอาหาร ในปริมาณเท่าเดิมและออกกำลังมากขึ้น ดังนั้นจะต้องลดปริมาณอาหารและออกกำลังกายมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น
  2. การออกกำลังกายโดยการวิ่ง หรือเดินระยะทางนานๆ ถึอว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด และผลข้างเคียงน้อยที่สุดในปัจจุบัน
  3. ควรควบคุมน้ำหนักให้คงที่ ด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ไม่แนะนำให้รับประทานยาลดน้ำหนักไปเรื่อยๆ แบบไม่สิ้นสุด เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำหนัก ประเภทกระตุ้นให้อิ่มเร็วขึ้น เพราะเมื่อหยุดยา มีโอกาสเกิดโยโย่ได้ง่ายมาก
  5. รับประทานอาหารเสริมในสัดส่วนที่พอเหมาะ การลดน้ำหนักด้วยยารับประทานนานๆ ทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่และวิตามินที่สำคัญ
Posted on

แผลเป็น รอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว (Acne Scars) ปัญหาผิวที่ใครก็อยากหาย รักษาอย่างไร

Teen girl with acne problem squeezing pimple indoors

ชนิดของแผลเป็นสิว( Acne scars)

1 รอยแดงจากสิว(Postinflammatory reddness): มักพบและเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เมื่อสิวอักเสบ เริ่มจะหาย หรือเกิดจากสาเหตุของสิวอักเสบ ค่อนข้างรุนแรง เมื่อยุบตัว ยังเหลือรอยแดงให้หลงเหลืออยู่
แนวทางการรักษา: ปกติมักจะจางหายไปได้เอง ภายใน 1-4 อาทิตย์ แล้วแต่ความรุนแรงของการเกิดสิว และสภาพสีผิวในแต่ละคน โดยในคนผิวขาวจะหายได้ช้ากว่าคนสีผิวคล้ำ การทาครีมลดการอักเสบ ช่วยได้ระดับบ้าง แต่ถ้าจะให้ได้ผลแน่นอน และหายไว การยิงด้วยเลเซอร์
V-Beam Laser จัดเป็นเลเซอร์ชนิดเดียว ที่ยอมรับเป็นมาตรฐานสากลในการรักษารอยแดงสิวที่ได้ผลดีที่สุด ไวสุด ผ่าน อย ทุกประเทศ และเห็นผลในครั้งเดียว รอยแดงจากสิว จะจางหายไปทันทีที่ยิง และยังไปกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งทำหน้าที่นำอาหารมาสู่ผิวหนังมากขึ้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
นอกจากนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความผิดปกติของรอยแดงชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เส้นเลือดในรูปแบบต่างๆ เช่น เส้นเลือดฝอยบนใบหน้า เส้นเลือดฝอยที่ขา แผลเป็นนูน ปานแดง โดยไม่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อหรือผิวบริเวณที่ทำการรักษา หลังทำควรจะการทาครีมกันแดด และการเลี่ยงแดด จะช่วยป้องกันมิให้เกิดรอยคล้ำจากการไหม้แดด

2 รอยดำจากสิว (Postinflammatory hyperpigmentation):  เกิดขึ้นได้เป็นลักษณะเป็นวงๆ สีน้ำตาลแดงจนถึงสีเข้ม รอยดำจากสิว มักจะเกิดจากการกดหรือบีบสิว แต่ในบางครั้งก็เกิดได้เองในบางคนที่การสมานแผลไม่ดี พบได้บ่อยในคนผิวคล้ำมากกว่าคนผิวขาว มักจะเป็นชั่วคราว แล้วจะ ค่อยๆ จางไปเอง แต่ในบางรายที่อาจจะใช้เวลา นานเป็น 8-12 เดือน จึงมีการแก้ไขให้จางเร็วขึ้นดังนี้
แนวทางการรักษา: การทำให้รอยดำลอกออกด้วยกรดเข้มข้น ทาครีมไวเทนนิ่ง การทำไอออนโต หรือกรอผิวอาจจะช่วยได้แค่รอยดำในชั้นตื้นๆ แต่มีโอกาสกลับมาดำใหม่ได้ นอกจากนี้ยังไม่ช่วยให้รอยดำชั้นลึกให้จางลง
Revlite laser จะใช้การรักษาที่แตกต่างไป โดยจะทำให้รอยดำ ค่อยๆ จางด้วยการระเบิดเม็ดสีที่จับตัวแน่นให้คลายออก แล้วให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมากินเม็ดสีเมลานิน รอยดำจะค่อยๆ จางลง และไม่กลับมาดำได้ใหม่ จัดเป็นการรักษารอยดำที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน แก้ปัญหาได้ทั้งรอยดำตื้น หรือรอยดำลึก และใช้ได้กับทุกที่ของร่างกาย  เพราะถือว่าเป็นเลเซอร์เม็ดสี ที่มีพลังงานสูงสุดและสม่ำเสมอ และเป็นเลเซอร์เม็ดสีที่ได้มาตรฐานสากล อย. ทุกประเทศ รับรองผล

รอยหลุมสิว(acne scars) มักเกิดจากสาเหตุการมีปัญหาสิวอักเสบมาก่อน เมื่อแตกหรือยุบตัว ก็เกิดรอยหลุมขึ้น ซึ่งมักจะเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่แตกและยุบตัวอย่างรวดเร็ว(แม้จะไม่ได้กดหรือบีบเอง) หรือสิวอุดตันหรือสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่รักษาไม่ถูกวิธี มีการกดหรือบีบสิวอย่างผิดวิธี
แนวการรักษาหลุมสิว มีหลายๆ วิธี มีการพัฒนาให้ได้ผลมากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีวิธีใด วิธีเดียว ที่จะได้ผล 100% ต้องใช้การรักษาแบบผสมผสาน หลายๆ วิธี หลักๆ คือ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น และทำให้หลุมสิวเต็มขึ้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนกันขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยหลุมด้วย แบ่งกลไกการรักษาดังนี้
1. การทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
2. การทำให้หลุมสิวเต็มขึ้น
3. ศัลยกรรมตัดพังผืด แผลเป็นสิว
ในรายละเอียด มีการรักษา แต่ละแบบ เขียนรายละเอียดไว้อีกบทความ คลิกอ่านได้ด้านล่าง หรือตามลิ้งค์

Posted on

ฝ้าขาว หรือคราบขาวในช่องปาก จากเชื้อรา (Oral thrush or White tongue) สาเหตุ และการแก้ไข

คราบขาว หรือฝ้าขาวในช่องปาก (white lesions) เป็นผื่นที่พบได้บ่อยๆ เกิดได้หลากหลายสาเหตุ และบางครั้งรอยโรคของผื่นขาวบางอย่าง ก็เป็นลักษณะอาการหนึ่งของการเกิดมะเร็ง หรือเป็นอาการแรกเริ่มที่บ่งบอกให้หาสาเหตุของการติดเชื้อร้ายแรงอย่างอื่นๆ เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น ผื่นขาวในช่องปากที่พบได้บ่อยๆ มักจะมีสาเหตุจากการติด เชื้อรา Candida albicans
เชื้อรา Candida albicans เป็นเชื้อราที่ไม่รุนแรง(normal flora) มักจะพบได้ในทางเดินอาหารส่วนล่าง เช่น ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ยกเว้นในกรณีที่มีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย จึงอาจจะมีการเพิ่มจำนวนและกลายเป็นเชื้อก่อโรคได้ สาเหตุหรือปัจจัย : มีได้ดังนี้
1. เด็กเล็ก ที่ไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากเองได้ หรือทารกที่นอนหลับแล้ว อมขวดนมค้างไว้ทั้งคืนบ่อยๆ
2. คนชรา ที่ใส่ฟันปลอมแล้วทำความสะอาดไม่ทั่วถึง
3. คนที่อนามัยช่องปากไม่ดี
4. คนที่สูบบุหรี่จัด เป็นระยะเวลานานๆ
5. คนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ในคนไข้ติดเชื้อไวรัส HIV,หรือผู้ป่วยที่ได้รับสารต้านมะเร็ง(chemotherapy) หรือการฉายแสง

ลักษณะอาการ: รอยโรคจะมีลักษณะเป็นฝ้าขาวขอบเขตชัดเจน บางครั้งดูคล้ายครีมหรือคราบนม(milk-curd like lesions) เกาะติด แน่นในเยื่อบุช่องปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเพดานปาก ฝ้าขาวนี้เขี่ยออกได้ง่าย และอาจจะพบลักษณะการอักเสบเป็นรอยแดงหลังขูดออก ดังนั้นอาจจะมีอาการแสบในปากขณะรับประทานอาหาร ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรง อาจจะลุกลามไปถึงหลอดอาหาร ทำให้มีการกลืนลำบาก หรือปวดบริเวณลิ้นปี่เวลากลืน
การวินิจฉัยโรค: แพทย์จะอาศัยลักษณะรอยฝ้าขาวที่พบ และตรวจยืนยันจากการขูดเอาฝ้าขาวไปย้อมสีแกรม หรือย้อมน้ำยา KOH แล้วส่องด้วย กล้องจุลทรรศน์ จะพบลักษณะเป็นเชื้อยีสต์ หรือเป็นสายปล้องๆ ที่เรียกว่า pseudohyphae และในวัยหนุ่มสาวที่ร่างกายแข็งแรง อาจจะต้องเจาะเลือด ดูสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น การติดเชื้อเอดส์ HIV เพื่อป้องกันการระบาดของโรค และหาแนวทางรักษาที่เหมาะสม
การรักษาเชื้อราที่ปาก : 
1. รักษาและแก้ไขสาเหตุการเกิด เช่น การทำสะอาดอนามัยช่องปากให้ดี สม่ำเสมอและถูกวิธี ( แนะนำให้แปรงฟันและลิ้นร่วมด้วย)
2. การใช้ยาต้านเชื้อแคนดิดา ทั้งในรูปของชนิดอมในปาก(clotrimazole troche) 5 ครั้งต่อวัน หรือน้ำยาบ้วนปาก (nystatin oral suspensions) วันละ 4 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 1-2 อาทิตย์จนกว่าจะหาย หรือในรายที่รุนแรงอาจจะต้องรับประทานยาต้านเชื้อรา เช่น Ketoconazole วันละ 200-400 มก.ต่อวันนาน 1-2 อาทิตย์ ,Itraconazole วันละ 100 มก.นาน 1-2 อาทิตย์ และในคนไข้เอดส์ อาจจะต้องรับประทานยานานกว่านั้น เพื่อป้องกันการ กลับมาเป็นซ้ำได้

Posted on

8 กติกาง่ายๆ ในการรับประทานอาหารอย่างฉลาด และไม่ยากในการปฏิบัติ สุขภาพดี ไม่มีโรค

8 กติกา ในการเลือกรับประทานอาหาร
1. อาหารที่รับประทานควรประกอบด้วยอาหารหลัก 4 หมู่ ดังนี้
1.1 ถั่วที่มีฝักต่างๆ ธัญพืชที่ยังไม่ได้ขัด ลูกนัท: ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติของกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Unsaturated essential fatty acids) เลซิติน และวิตามินบีรวม ที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีเส้นใยในอาหารที่ทำให้ลำไส้แข็งแรง แล้วในเมล็ดยังมีวิตามินเอ ซี อี ต่อร่างกายในปริมาณสูงด้วย
1.2 ผัก: ควรจะเป็นผักสด เพราะการทำให้สุกสามารถทำให้วิตามินเสื่อมหรือลดลงได้ หรือถ้าต้องการทำให้สุก ก็ไม่ควรเกิน 120 องศาฟาเนไฮต์
1.3 ผลไม้ : เลือกรับประทานผลไม้สดที่ย่อยง่าย และไม่ต้องผ่านการทำให้สุกมากนัก
1.4 เนื้อสัตว์: ควรเลือกที่มีโปรตีนและไขมันน้อยๆ ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้สุกเสียก่อนจะรับประทาน เพราะโปรตีนที่สูงมากเกินไป อาจจะทำให้ไตทำงานหนัก เกินไป และโปรตีนส่วนใหญ่เมื่อเผาผลาญพลังงานแล้ว จะมีของเสียหลงเหลืออยู่ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ ส่วนไขมันที่สูงมากเกินไป ก็จะทำให้ ไขมันในเลือดสูง เป็นบ่อเกิดของโรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ได้
2. เลือกรับประทานอาหารธรรมชาติที่ทำการเพาะปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยหรือสารเคมี และหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกรรมวิธีหรือการสกัดในการผลิตมาแล้ว เพราะมักจะมีสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะอาหารจากซูเปอร์มาร์เกตทั้งหลาย

อาหารที่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ
อาหารที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ

3. หาโอกาสในการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ได้แก่ นมสด (ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์) น้ำมันพืชที่ผ่านการสกัดเย็น เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันงา น้ำมันผึ้ง( เพื่มการสำรองแคลเซียมในร่างกาย) บริวเออร์ยีสต์ ( แหล่งรวมวิตามินบีปริมาณสูง) สาหร่ายทะเล น้ำมันตับปลา อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น
4. ดื่มน้ำบริสุทธิ์ทุกเมื่อที่มีโอกาส ในปริมาณมากๆ ต่อวัน
5. ควรรับประทานอาหารให้น้อยกว่าปกติที่ต้องการ และเป็นระบบ งดอาหารว่างและเลือกดื่มน้ำผลไม้ น้ำผัก เป็นครั้งคราว เพื่อชะล้างสารพิษที่สะสมออกไป
6. การรับประทานอาหารอย่างช้าๆ ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ ในปริมาณไม่มาก จะดีกว่าการรับประทานมื้อใหญ่ ไม่กี่มื้อ เพื่อ มิให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักมากเกินไป และเลือกทานกลุ่มเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก ก่อนจะทานผักผลไม้ทีหลัง
7. หลีกเลี่ยงบุหรี่ อัลกอฮอล์ กาแฟ ชา ช๊อกโกแลต และน้ำอัดลมทุกชนิด
8. ลดอาหารที่รสเค็มจัด มันจัด และหวานจัด

จากหลักการง่ายๆ ข้างต้นในการเลือกรับประทานอาหารแล้ว การพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม สูดอากาศบริสุทธิ์ และมองโลกในแง่ดี ถือว่าเป็นการบริหารสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี และทำให้แข็งแรงอายุยืนนานได้ในอนาคต แล้วอย่าลืมตรวจเช็คสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งด้วยนะครับ

Posted on

คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในอาหารเสริม ได้ผลเหมือนกับการรับประทานผักใบเขียวมั้ย

คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในผักใบเขียวทุกชนิด เป็นรงควัตถุสีเขียว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ประเภทที่ละลายในน้ำ
2. ประเภทที่ละลายในไขมัน คลอโรฟิลล์ในชั้นของใบพืชที่มีประโยชน์จะมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาพที่ละลายในไ่ขมันเท่านั้น
ประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
1. ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
2. ช่วยในการลดความผิดปกติของเลือดจากภาวะโลหิตจาง(anemia)
3.ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
4.มีฤทธิ์ในการต้านขบวนการออกซิเดชั่น ที่ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพหรือหมดอายุก่อนวัยอันควร
5. ช่วยชำระล้างสารพิษ หรือ ขจัดของเสียจากร่างกาย
6. ช่วยลดปัญหากลิ่นปาก หรือกลิ่นตัวได้
7. ลดกลิ่นของปัสสาวะ อุจจาระ หรือแผลเน่าได้
คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในอาหารเสริมได้ผลมั้ย
ปัจจุบัน จากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์พบว่า ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ว่าคลอโรฟิลล์ที่เรานำมาบริโภคในรูปของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพนั้นเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
น้ำคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ลดกลิ่นปากได้มั้ย
มีการกล่าวอ้างว่า มีส่วนช่วยในการลดกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นได้ แต่ในความจริงกลับพบว่าสินค้าที่วางขายอยู่โดยทั่วไปนั้นมีปริมาณค่าความเข้มข้นของคลอโรฟิลล์ไม่มากพอที่จะช่วยดับกลิ่นปากได้ ผู้ผลิตหลายรายจึงเลือกใช้วิธีการแต่งสีเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานให้แก่ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ไม่ค่อยจะพบประโยชน์มากเท่าใด

ดยทั่วไปแล้ว เราสามารถได้รับสารคลอโรฟิลล์ได้จากพืชทั่วๆไป การรับประทานผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับคลอโรฟิลล์ไปด้วย โดยสารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปธรรมชาตินี้จะอยู่ในรูปคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมัน ตัวอย่างเช่น ในผักชีฝรั่ง 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์สูงถึง 38 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์ 23.7 มิลลิกรัม ดังนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ ร่างกายก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับคลอโรฟิลล์เพิ่มเติมแต่อย่างใด

Posted on

เลิกบุหรี่ หักดิบ หรือค่อยๆ ลด ก็ไม่ได้ ทำอย่างไร เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือแผ่นแปะเลิกบุหรี่ ได้ผลมั้ย

การเลิกบุหรี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและไม่ง่าย คุณจึงจำเป็นต้องเลือกวิธีการเลิกบุหรี่ที่เหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุดโดยอาจตัดสินใจ เลิกแบบหักดิบ หรืออาจจะจะค่อยๆ ลดจำนวนที่เคยสูบลง ก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวคุณ แต่ถ้าหากคิดว่าทำไม่ได้ทั้งสองวิธี เพราะเสพติดนิโคตินไปแล้ว ได้มีการทดลองใช้ยาหรือนิโคติน ในรูปแบบอื่น ที่ไม่ต้องสูบ ให้เกิดควันเป็นที่รำคาญแก่คนอื่น จะได้ผลหรือไม่
หมากฝรั่งนิโคติน
หมากฝรั่งนิโคติน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมนิโคติน และทำให้ดูดซึมในช่องปากได้ดี ซึ่งที่มีจำหน่าย ก็มี 2 แบบ คือ แบบชิ้นละ 2 มก.และชิ้นละ 4 มก.
หลักการทำงาน การปลดปล่อยนิโคตินเข้าสู่กระแสเลือดมากน้อย ขึ้นกับความถี่และความรุนแรงในการเคี้ยงหมากฝรั่งนิโคติน ซึ่งโดยปกติหลังเคี้ยวประมาณ 20 นาที นิโคตินจะถูกปลดปล่อยประมาณ ร้อยละ 90 และดูดซึมเข้าช่องปาก
นิโคตินที่เหลือจากการเคี้ยว จะถูกกลืนลงไปในกระเพาะและถูกดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหาร และเผาผลาญอย่างรวดเร็วที่ตับ กลายเป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ และเป็นอันตราย
หากเคี้ยวนิโคตินในขนาด 4 มก ติดต่อกันทุก 2-3 ชั่วโมง จะได้รับนิโคตินในเลือดใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับในผู้ที่สูบบุหรี่จัด
ได้ผลแค่ไหน สำเร็จร้อยละ 38 จากการติดตามในช่วง 4-6 สัปดาห์ถึง 12 เดือน มีโอกาสกลับมาสูบบุหรี่ใหม่ ถึงร้อยละ 66.3 การที่เป็นเช่นนี้ อธิบายได้ว่า ไม่สามารถตอบสนองต่อสิงห์อมควันได้ทันท่วงทีนั่นเอง และการเคี้ยวหมากฝรั่งนิโคติน ทำให้เกิดการเมื่อยล้าขากรรไกร และเจ็บคอในระยะแรกได้

แผ่นแปะผิวหนังนิโคติน
เป็นเวชภัณฑ์ที่จะนำนิโคตินเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ในปริมาณที่คงที่และแน่นอน ต่อเนื่องนาน 16-24 ชั่วโมง และพบว่าระดับนิโคติน ในเลือดจะมีความเข้มข้นสูงสุดที่ 7-9 ชั่วโมงหลังแปะแผ่นนิโคติน ทั้งนี้ปริมาณมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการแปะด้วย แนะต่อเนื่องเกินกว่า 10 วัน จึงจะทำให้มีการสะสมของนิโคตินในเลือดในระดับที่ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง
แปะอย่างไร จึงจะได้ผล
– แปะแผ่นนิโคตินขนาด 30 ตร.ซม. จะเหมาะสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 1 ซอง
– ขนาด 20 ตร.ซม. จะเหมาะสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่น้อยกว่าวันละ 1 ซอง
ได้ผลทันทีมั้ย ภายหลังแปะ พบว่าอาการอยากสูบบุหรี่ลดลงอย่างเด่นชัด ลดอารมณ์หงุดหงิดได้ แต่ไม่ลดอาการหิวหรือความเคยชินที่อยากสูดควันบุหรี่
ได้ผลแค่ไหน พบว่าอัตราการเลิกบุหรี่ได้ด้วยแผ่นนิโคติน สำเร็จ ร้อยละ 5-20 ซึ่งอธิบายได้ว่า ต้องใช้เวลานานในการออกฤทธิ์ และคนที่ต้องการเลิก มีอาการปากว่าง ไม่เหมือนการเคี้ยวด้วยหมากฝรั่งนิโคติน และพบว่าผลข้างเคียงก็พบได้ เช่น อาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย ไอมากขึ้น ปวดเมื่อย

จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า การเลิกบุหรี่ด้วยยาทดแทนนิโคตินดังกล่าว ได้ผลน้อยมาก เมื่อเทียบกับการหักดิบ และพบว่านิโคตินที้ง 2 แบบ ได้มีการจดทะเบียนจำหน่ายแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่นัก แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีแบบสูดดม แบบพ่นจมูก ออกมาทำการทดลองเพิ่มขึ้นก็ได้

จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า การเลิกบุหรี่ด้วยยาทดแทนนิโคตินดังกล่าว ได้ผลน้อยมาก เมื่อเทียบกับการหักดิบ และพบว่านิโคตินที้ง 2 แบบ ได้มีการจดทะเบียนจำหน่ายแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่นัก แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีแบบสูดดม แบบพ่นจมูก ออกมาทำการทดลองเพิ่มขึ้นก็ได้
อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิก

Posted on

งานวิจัย : รักษาสิวอักเสบ ด้วยยารับประทาน หรือยาทาสิว อันไหนได้ผลดีกว่ากัน

ครีมทาสิว VS ยารับประทาน

– มีงานวิจัยที่ประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับการใช้ยาปฎิชีวนะ-Antibiotics เปรียบเทียบกับการใช้ยาทา ในการรักษาสิวที่ใบหน้า ว่าได้ผลแตกต่างกันอย่างไร
– อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 649 คน โดยมีอายุเฉลี่ย 20 ปี โดยเป็นเพศชายและหญิงจำนวนเท่าๆ กัน และมีปัญหาสิวขนาดปานกลาง โดยแบ่งการทำการวิจัยผลการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ผลมากน้อยเท่าใดโดยขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้
วิธีการทดลอง ได้ทำการแบ่งกลุ่มใหญ่ๆ ในผู้ทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่รับประทานยาปฎิชีวนะ-Antibiotics จำพวก Minocycline,Oxytetracycline และกลุ่ม ที่ใช้ครีมทา และ/หรือโลชั่นทารักษาสิวอย่างเดียว ( ได้แก่กลุ่มที่ใช้ 5% Benzoyl peroxide และ 3% Erythromycin Lotion
ผลการทดลอง ใช้เวลาทดลองและติดตามผลการทั้งหมด 18 อาทิตย์ พบว่า
1. ในระยะ 6 อาทิตย์แรก ผลการรักษาทั้ง 2 กลุ่มได้ผลดีพอๆ กัน
2. ในระยะ 12 อาทิตย์หลัง พบว่า ผลการรักษาสิวในกลุ่มใช้ครีมทาหรือโลชั่นทารักษาสิวอย่างเดียว ( ได้แก่กลุ่มที่ใช้ 5% Benzoyl peroxide และ 3% Erythromycin Lotion ) ได้ผลดีขึ้นโดยเฉลี่ยที่ 66 % แต่กลุ่มที่รับประทานยาปฎิชีวนะ-Antibiotics จำพวก Minocycline,Oxytetracycline ได้ผลดีขึ้น โดยเฉลี่ยที่ 54 % ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
สรุปผลงานวิจัย การใช้ครีมทาและ/หรือโลชั่นทารักษาสิวอักเสบ ได้ผลมากกว่ามากกว่าการรับประทานยาปฎิชีวนะ-Antibiotics และราคาก็ถูกกว่าด้วยป เหตุลที่กลุ่มที่รับประทานยาปฎิชีวนะ ได้ผลลดลง อาจจะเกิดการดื้อยาของเชื้อสิว เพราะรับประทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เกิรไป ส่วนการพิจารณาใช้ควบคู่กันหรือไม่ ควรพิจารณาปัญหาคนไข้เป็นรายๆ ไป

Posted on

เลือกดื่มนมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์ หลายยี่ห้อ หลายแบบมากในท้องตลาด ต่างกันมั้ย

นม เป็นเครื่องดื่มอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญๆ หลายตัว ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินซี ไนอะซิน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และที่สำคัญเป็นแหล่งที่ให้ แร่ธาตุแคลเซียมสูง นอกจากนี้ นมยังประกอบด้วย ไขมันชนิดอิ่มตัวประมาณ ร้อยละ 60 และไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ร้อยละ 40 ตามลำดับ

ได้มีการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ ชนิดของนมที่มีขายตามท้องตลาด ( ปริมาณ 100 มล.) ได้ข้อสรุปดังนี้

  1. นมสดครบส่วน: ถือเป็นนมสดที่เป็น ‘ อาหารสมบูรณ์’ เพราะมีสารอาหารหลากหลาย ทั้งโปรตีน แคลเซียม สังกะสี และวิตามินต่างๆ ข้างต้นครบถ้วน ในปริมาณที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้ปริมาณพลังงาน 65 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน สูงถึงร้อยละ 3.8
  2. นมสดพร่องมันเนย: เป็นนมสดที่ได้แยกไขมันออกไปถึงร้อยละ 50-60 ก่อนการฆ่าเชื้อด้วยวิธีพาสเจอไรส์หรือวิธียูเอชที ให้ปริมาณพลังงาน 48 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน เพียงร้อยละ 1.4 จึงไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กเล็ก
  3. นมขาดมันเนย: เป็นนมที่ให้พลังงานเพียงครึ่งเดียวของนมสดครบส่วน แต่ประกอบด้วยวิตามินต่างๆ (ยกเว้นวิตามินเอ) และแร่ธาตุพอๆ กับนมสดครบส่วน ให้ปริมาณพลังงาน 35 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน เพียงร้อยละ 0.1 มีข้อดีก็คือ เก็บไว้ได้นานในตู้เย็นได้ นานถึง 1 เดือน ขณะที่นมสดครบส่วนจะมีชั้นไขมันแยกออกมา
  4. นมข้นหวาน: ถือเป็นนมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีปริมาณแคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุสังกะสี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มีน้ำตาลในปริมาณเกินกว่า ครึ่งของปริมาตร โดยมีการเติมน้ำเชื่อมลงไปในนมหลังจากการพลาสเจอร์ไรส์แล้ว ให้ปริมาณพลังงาน 327 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน สูงถึงร้อยละ 9.3 ไม่เหมาะในการเลี้ยงทารก เนื่องจากนมข้นหวานไม่ใช่อาหารที่จะใช้แทนนมสด
  5. นมเปรี้ยวชนิดพร้อมดื่ม รสธรรมชาติ: ประกอบด้วยนมวัวร้อยละ 55-85 น้ำตาลและน้ำผลไม้ ( เช่น รสส้ม รสลิ้นจี่) ร้อยละ 15-43 รวมทั้งเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บริวเออร์ยีสต์ ให้ปริมาณพลังงาน 67 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมันเพียงร้อยละ 0.79 ควรเลือกซื้อชนิดที่มีสัดส่วนนมวัว ในปริมาณมาก จะให้ประโยชน์มากกว่า

กรรมวิธีในการผลิตนม แบ่งได้เป็น 

  1. นมสดพลาสเจอร์ไรส์ (Pasteurised milk) คือ นมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนต่ำ ประมาณ 63-72 องศาเซลเซียส ทำให้รสชาติ ของนมไม่เปลี่ยนจากเดิมมากนัก นมชนิดนี้ต้องเก็บในตู้เย็น และบริโภคให้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด
  2. นมสดสเตอริไลส์ (Sterilised milk) คือ นมสดที่ผ่านความร้อนระดับสูง ประมาณ 115-130 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นนมต้ม สีนมออกเหลือง และมีการสูญเสียวิตามินบี1 ไปในปริมาณ 1/3 และวิตามินบี12 ไปประมาณ 1/2 ของปริมาณที่มีอยู่
  3. นมสดยูเอชที (Ultra-heated treated milk) คือนมสดที่ผ่านความร้อนสูงมาก ประมาณไม่ต่ำกว่า 132 องศาเซลเซียสในระยะเวลาที่สั้นมาก อย่างน้อย 1 วินาที ความร้อนในระดับนี้ จะช่วยยืดอายุของการเก็บรักษานม ไม่เกิดกลิ่นนมต้ม และคุณค่าทางโภชนาการถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อย
  4. นมโฮโมจีไนส์ (Homogenised milk) เป็นนมที่ผ่านกระบวนการพลาสเจอร์ไรส์ แล้วทำให้ไขมันหรือครีมในนมแตกกระจายไปทั่วเนื้อนม เพื่อป้องกัน การแยกตัวของไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มนมแล้วเกิดย่อยยาก
  5. นมผง (Powderd milk) ชนิดธรรมดา จะมีสารอาหารเช่นเดียวกับนมสด ยกเว้นวิตามินบี1 และบี12 เหมาะสำหรับการเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้นาน

บทความนี้ได้นำเสนอ บางแง่มุม สาระน่ารู้ เพื่อการเลือกดื่มนมให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทั้งผู้ที่ต้องการแร่ธาตุครบถ้วน เช่น เด็กทารก หรือต้องการแร่ธาตุบางส่วน ในผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ด้วยการเลือกดื่มนมแทนอาหาร

Posted on

สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina plantensis ) : คุณประโยชน์จากท้องทะเลที่อุดมด้วยโปรตีนและวิตามิน

สาหร่ายเกลียวทอง
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Spirulina plantensis ‘สาหร่ายสไปรูลิน่า’ หรือที่รู้จักกันว่า ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว จัดอยู่ในกลุ่มสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Blue-green algae) เป็นสายพันธุ์ Platensis ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ซึ่งให้สารคลอโรฟิลล์ในประมาณที่สูงและยังเป็นสาหร่ายที่อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน60-70% กรดไขมันจำเป็น วิตามินและเกลือแร่ รวมทั้งสารอาหารอื่นๆอีกมากมายที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย
ชนิดที่พบโดยมากมีเม็ดอากาศ (gas vacuoless) เล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในเซลล์ ทำให้สาหร่ายเกลียวทองลอยตัวได้ดี เม็ดอากาศแต่ละเม็ด อยู่ภายในถุงซึ่งเป็นเยื่อบางๆ และเยื่อนี้เป็นสารจำพวกโปรตีนปริมาณสูง( ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าโปรตีนจาก เนื้อวัวและไข่ถึง 3 เท่า) นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณค่าต่อร่างกาย อย่าง B1,B2,B3และ B12 วิตามิน C วิตามิน E และเบต้าแคโรทีน (ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20-25 เท่าของที่มีอยู่ในแครอท)

ตอนนี้สาหร่ายเกลียวทองได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของอาหารเสริมชนิดหนึ่ง ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่มากมายดังกล่าว และได้มีการค้นพบเพิ่มเติมว่า ยังประกอบไปด้วย

  1. กรดกลูมาติก ซึ่งมีความสำคัญในขบวนการเผาผลาญอาหารให้เซลล์สมอง
  2. แมงกานิส เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญและช่วยเข้าไปเสริมการทำงานของประสาทสมอง
  3. ไอโซลิวซีน ในสาหร่ายเกลียวทองช่วยป้องกันความเสื่อมของระบบประสาท
  4. ลิวซีน ไปกระตุ้นสมองส่วนบนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและกระฉับกระเฉง
  5. เบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็งหลายชนิด

ปัจจุบันสาหร่ายเกลียวทองนอกจากเป็นอาหารเสริม บำรุงร่างกายแล้วยังสามารถนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ครีมบำรุงรักษาผิวพรรณ ครีมลบรอยแผลเป็นต่างๆ ได้อีกด้วย ที่ดูจะเป็นข่าวดีที่สุดก็คงเป็นเรื่องของการทดลองสกัดสารจากสาหร่ายเกลียวทองแล้ว พบว่า คือ สาร Sulfolipid ที่เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสาหร่ายนั้น มีผลต่อการยับยั้งไวรัสเอดส์ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากขึ้น ถ้าหากมีการพัฒนาสารชนิดนี้ แล้วนำมาสกัด เป็นยารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ได้ เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเกินความสามารถของมนุษย์ อย่างเราไปได้แน่นอน

เอกสารอ้างอิง:วิทยานิพนธ์ ‘การใช้สาหร่ายเกลียวทองสดเป็นส่วนประกอบของอาหารผสมสำหรับเลี้ยงปลาตะเพียนขาว และปลาดุกอุย’ โดย บานชื่น ชลสวัสดิ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันจันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2543

Posted on

เคล็ดลับการเลือกเพศบุตร ด้วยวิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ ทำอย่างไร

เคล็ดลับการเลือกเพศบุตร แบบธรรมชาติ เป็นการคิดค้นของ นายแพทย์เช็ทเทิล ชาวฝรั่งเศส และนายแพทย์สโตโลสกี้ ชาวรัสเซีย ซึ่งตามทฤษฏีของนายแพทย์ทั้งสองท่าน จะมีโอกาสได้เพศบุตรตามต้องการถึง ร้อยละ 80-85 โดยมีรายละเอียดดังนี้

วิธีการตรวจไข่สุกด้วยตนเอง

  1. วัดอุณหภูมิร่างกายพื้นฐาน และบันทึกในกราฟดังนี้
    1. เตรียมปรอทวัดไข้ไว้ แล้วสลัดปรอทให้อุณหภูมิต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส แล้ววัดอุณหภูมิทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้า โดยอาจจะวัดทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอด ใส่ไว้นาน 3-5 นาที แล้วอ่านผล
    2. นำผลที่วัดได้ มาเขียนกราฟบันทึกไว้ในแต่ละวัน โดยเริ่มบันทึกวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 วันที่ไข่สุกจะเป็นวันที่อุณหภูมิลดลงต่ำสุด ควรทำเป็นกราฟดูล่วงหน้า 1-2 เดือน จะเห็นรูปแบบชัดเจนขึ้น
  2. ตรวจดูมูกในช่องคลอด โดยการสอดนิ้วชี้ที่ล้างสะอาดแล้วเข้าไปในช่องคลอดจนสุด และเอาเมือกที่ติดนิ้วออกมายืดดูระหว่างนี้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ ในวันไข่สุกมูกจะใสและยืดได้ยาวมากประมาณ 8-10 ซม.
  3. ซื้อชุดทดสอบการตกไข่มาตรวจ มีหลายชนิดให้เกลือ โดยตรวจจากปัสสาวะจะบอกล่วงหน้าได้ว่าวันไหนไข่จะสุก
  4. ในผู้ที่มีการปวดท้องน้อยวันไข่สุกนั้น เป็นวิธีการสังเกตวันไข่สุกอีกวิธีหนึ่ง

เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้บุตรชาย โดยพบว่าตัวอสุจิเพศชาย (Chromosome Y ) จะมีขนาดเล็ก ว่ายเร็วและทนต่อสภาพด่าง จึงมีวิธีง่ายๆ ดังนี้

  1. ต้องมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่สุก หรือในเวลาที่ใกล้ไข่สุกมากที่สุด
  2. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ควรจะสวนล้างช่องคลอดให้มีสภาพเป็นด่างอ่อนๆโดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต(ผงฟูที่ใช้ทำขนมปัง) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
  3. ในการมีเพศสัมพันธ์ฝ่ายหญิงควรถึงจุดสุดยอดก่อนหรือพร้อมๆ กับฝ่ายชายเพื่อจะได้มีการหลั่งน้ำเมือกที่มีคุณสมบัติเป็นด่างออกมา
  4. เมื่อถึงจุดสุดยอดฝ่ายชายจะต้องสอดอวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุด เพื่อที่จะหลั่งน้ำอสุจิบริเวณปากมดลูก ซึ่งมีน้ำเมือกที่เป็นด่างรออยู่
  5. ท่วงท่าและลีลาแห่งความรัก ควรจะเป็นท่าสอดผ่านไปทางด้านหลัง
  6. ต้องงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ไว้จนกว่าจะถึงวันที่ไข่สุก

สูตรอาหารสำหรับผู้ต้องการบุตรชาย 

ต้องกินอาหารที่มีส่วนปะกอบของแร่ธาตุโซเดียมและโปแตสเซียมสูง ได้แก่ อาหารที่มีเกลือ น้ำปลา หรือมีรสเค็มนำหน้า ข้าว ขนมปังเค็ม เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ผลไม้ทุกชนิด เนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งผักทุกชนิดยกเว้นผักสีเขียว

อาหารที่ห้ามกินเด็ดขาด ก็คือ นม เนย ไอศกรีม ช๊อกโกแลต ไมโล โอวัลติน และเครื่องดื่มที่มีนมและช๊อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ ไข่ คุกกี้ชนิดต่างๆ

เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้บุตรหญิง โดยพบว่าตัวอสุจิเพศหญิง (Chromosome X ) จะมีขนาดใหญ่ ว่ายช้าและทนต่อสภาพกรด จึงมีวิธีง่ายๆ ดังนี้

  1. ต้องมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2 วัน ก่อนวันไข่สุก
  2. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ควรสวนล้างช่องคลอดให้มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ โดยการใช้น้ำส้มสายชูกลั่นประมาณ 2 ช้อนโต็ะผสมกับน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
  3. ในการมีเพศสัมพันธ์ฝ่ายหญิงควรถึงจุดสุดยอดหลังฝ่ายชาย เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำเมือกที่มีคุณสมบัติเป็นด่างออกมา
  4. เมื่อถึงจุดสุดยอดฝ่ายชายจะต้องสอดอวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอดเพียงตื้นๆ เพื่อให้ตัวอสุจิว่ายผ่านความเป็นกรดของช่องคลอด ซึ่งตัวอสุจิเพศหญิงจะผ่านได้ดีกว่า และทนกว่าในสภาพกรด
  5. ไม่จำเป็นต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้นในระยะ 2-3 วันก่อนไข่ตก

สูตรอาหารสำหรับผู้ต้องการบุตรหญิง 

ต้องกินอาหารที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมสูง ได้แก่ นม เนย ไอศกรีม ช๊อกโกแลต ไมโล โอวัลติน และเครื่องดื่มที่มีนมและช๊อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ ไข่ คุกกี้ชนิดต่างๆ ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักบุ้ง ตำลึง

อาหารที่ห้ามกินเด็ดขาด ก็คือ อาหารที่มีเกลือ น้ำปลา หรือมีรสเค็มนำหน้า ขนมปังเค็ม เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วย สัปประรด ส้ม มะนาว น้ำผลไม้ เนยแข็ง และเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอร์ผสม

Posted on

อยากรับประทานวิตามินเสริม ควรเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวหลายตัว อย่างไหน ดีกว่ากัน

การเลือกสูตรวิตามินที่ดีที่สุดสำหรับคนเราทั่วไป ควรจะเป็นสูตรใด หรือ ควรเลือกวิตามินเดี่ยวๆ ที่มีขายทั่วไป หรือวิตามินรวม ลองดูข้อคิดเห็นเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจนะครับ

ข้อคิดเห็นบางแง่มุม ในการเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวๆหลายๆ ตัวในการบริโภคเสริม

  1. ร่างกายต้องการเกลือแร่และวิตามินมากมายหลายชนิดในแต่ละวัน เช่น วิตามินเอ บี ซี เค ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ไอโอดีน ฯลฯ ดังนั้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีเกลือแร่และวิตามินหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวกัน ย่อมครอบคลุมได้มากกว่าและสะดวกกว่าการเลือกรับประทานวิตามินเดี่ยวๆ หลายๆ ตัว
  2. วิตามินเดี่ยวๆ มักจะมีปริมาณสูงกว่าที่ร่างกายต้องการมาก เมื่อรับประทานร่วมกันหลายๆ ตัว อาจทำให้ปริมาณสมดุลที่เหมาะสมแต่ละตัวเปลี่ยนแปลงได้เมื่อต้องทำงานร่วมกัน การเลือกวิตามินรวมที่มีสัดส่วนที่พอเหมาะจะทำให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกันมากกว่า ยกเว้นในรายที่ขาดวิตามินใดวิตามินหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การซื้อวิตามินเดี่ยวหลายๆ ตัว เมื่อรวมมูลค่าแล้ว ย่อมเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลือกวิตามินรวมในเม็ดเดียว
  4. การรับประทานวิตามินรวมสูตรดีๆ เพียง 1 เม็ดต่อวัน ย่อมสะดวกว่าการรับประทานยาวันละหลายๆ เม็ด
  5. การรับประทานวิตามินรวมเสริมอยู่แล้ว สามารถเพิ่มบางตัวเป็นพิเศษได้ถ้าส่วนประกอบไม่เพียงพอ เช่น

– แคลเซี่ยม ปกติร่างกายต้องการวันละ 1,000 มก.ต่อวันถ้าบรรจุในวิตามินรวม อาจจะทำให้เม็ดใหญ่เกินไป ทำให้กลืนลำบาก จึงอาจเพิ่มเติมได้อีกหนึ่งอย่าง
– วิตามินซี อาจเพิ่มได้วันละ 200-300 มก.ต่อวัน กรณีที่ร่างกายต้องการมากขึ้นใน ภาวะเครียด การเจ็บป่วย ขาดภูมิต้านทานโรค

จากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ ลองใช้เป็นหลักพิจารณาเลือกวิตามินสำหรับบริโภคเสริมด้วยตนเองได้นะครับ

Posted on

เชื้อโรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ว่าที่อาวุธชีวภาพ ที่เกิดขึ้นได้ในสงครามอนาคต ติดง่าย ตายไว

โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อของสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์กินหญ้า เช่น วัว ควาย แพะ แกะ คนเริ่มกลัว เพราะในปี 2001 เชื้อโรคนี้อาจจะเป็น อาวุธสงครามเชื้อโรคได้ในอนาคต โดยเฉพาะในอเมริกา เนื่องจากผู้ก่อการร้ายใช้สปอร์ของเชื้อ Bacillus anthracis โรยตามจดหมายและพัสดุภัณฑ์ เมื่อกลางปี 2001
โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เกิดจากการติดเชื้อ Bacillus anthracis ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมบวก สร้างสปอร์ภายในเซลล์ ( ดูภาพประกอบที่ 1) โดย อยู่ในรูปสปอร์ได้เป็นเวลานานหลายปี และมีความทนทานต่อความร้อนแห้งที่อุณหภูมิ 140 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 1-3 ชั่วโมง และความร้อนที่มีไอน้ำได้ถึง 5 นาทีที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส

การติดต่อ: มนุษย์สามารถรับเชื้อ Bacillus anthracis โดยได้รับสปอร์เข้าสู่ร่างกาย ได้ 3 วิธีดังนี้

  1. ทางการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อโรค จากซากสัตว์ที่ตายจากโรคนี้ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ เช่น แปรงโกนหนวด อานม้า ผ้าคลุมของม้า หนังสัตว์ ขนสัตว์
  2. ทางเดินอาหาร โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคนี้
  3. ทางลมหายใจ โดยการสูดดมสปอร์ของเชื้อโรคโดยบังเอิญ เช่นที่เกิดขึ้นกับคนไข้ในอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

ลักษณะอาการทางคลินิกที่ตรวจพบ
1. โรคแอนแทรกซ์ผิวหนัง( Cutaneous anthrax): โดยเชื้อโรคจะสัมผัสกับผิวหนังที่ถลอก หรือมีบาดแผล พบบ่อยบริเวณแขน และมือ แผลมีลักษณะจำเพาะ คือมีลักษณะกลมขนาดเส้นผ่าศูนต์กลาง 1-3 เซนติเมตร เป็นแผลคลุมด้วยสะเก็ดดำล้อมรอบ (eschar) คือมีอาการบวมนุ่มๆ แต่กดไม่บุ๋ม ขอบแข็ง ตรงกลางมีรอยแผลไหม้ดำ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้รอยโรคมีอาการอักเสบและกดเจ็บ
2. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal anthrax) มักพบจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนสปอร์เชื้อโรค มีอาการไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งพบได้ประมาณ 20-60% และช๊อคเสียชีวิต ภายใน 2-5 วันหลังจากมีอาการที่รุนแรง
3. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินหายใจ ( Inhalational anthrax,Woolsorter’s disease)  ผู้ป่วยได้รับการสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการทางคลินิกได้ 2 ระยะ ก็คือ
-ระยะแรกใน 1-2 วัน อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และอาจปวดกล้ามเนื้อ อาการอาจหายๆไปภายใน 2-3 วัน
– หรืออาจจะมีอาการมากขึ้น หายใจไม่ออก เหนื่อยหอบ ขาดออกซิเจน ตัวเขียว และอาจถึงแก่ชีวิตได้ถึง 90% ภายใน 24-36 ชั่วโมง โดยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเลือดออกในสมอง ถ้าทำการรักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาและป้องกัน: 

– ให้ยารับประทานด้วย PenV 250 มก.ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 5-7 วันก็ทำให้เชื้อโรคหมดไปได้ใน 24 ชม.แรกและอาการยุบบวมสะเก็ดหลุดอีก 3-7 วันต่อมา
– แต่ในกรณีที่เป็นรุนแรง หรือติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด อาจจะต้องฉีดยาเข้าเส้นแทน และนอนรพ.

วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์(Anthrax)
มักจะฉีดให้แก่คนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น คนที่ทำงานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ โดยประกอบด้วย การฉีด 6 ครั้ง ใต้ผิวหนังสัปดาห์ที่ 0,2,4,6,12,18 และกระตุ้นปีละครั้ง – โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ในประเทศไทยเป็นโรคที่ต้องแจ้งความต่อข่ายงานเฝ้าระวังโรค กรณีที่ตรวจพบ

Posted on

เลี่ยงแดด ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง เลี่ยงไม่ได้ กินอาหารและวิตามิน ช่วยป้องกันได้

มะเร็งผิวหนัง จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นจากสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน การทำลายชั้นบรรยากาศมากขึ้น ส่งผลให้แสงอัลตราไวโอเลตผ่านลงมาถึงผิวโลกได้มากขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์เราตามมามากขึ้น

แสงอุตราไวโอเลต โดยเฉพาะ UVA,UVB จากการศึกษาในแง่พันธุกรรมพบว่า ทำให้สารพันธุกรรม DNA มีการเปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นการป้องกัน ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาครีมกันแดด การใส่หมวกหรือแว่นกันแดดป้องกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปัจจุบันได้มีสารหรือตัวยาหลายตัวที่ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ดังนี้

1. วิตามินเอ และสารอนุพันธ์เรตินอยด์ : – พบว่ามีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด โดยวิตามินเอจะไปยับยั้งหรือสามารถไป ย้อนกลับกระบวนการเกิดของมะเร็งผิวหนังและหนังแก่ก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว: – พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ(Good-fats) สามารถลดอัตรากรเกิดใหม่ของรอยโรคก่อนมะเร็ง(Actinic keratose) หรือมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. ชาเขียว(Green Tea) : – จัดเป็นเครื่องดื่มที่นิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสารประกอบเป็นกลุ่มต้านอนุมูลอิสระ โดยได้มีการศึกษาพบว่าสารสกัดที่สำคัญจากชาเขียว ชื่อว่า ECGC (Epigallocatechin-3-gallate) สามารถป้องกันการเกิดมะเร็วผิวหนังได้ ทั้งในรูปของยากินและยาทา ได้มีการทดลองทาโลชั่นสารสกัดจากชาเขียว พบว่า ณ ความเข้มข้น 10% ของสารสกัด ใช้ทาก่อนออกแดด 30 นาที สามารถป้องกันแสงอุตราไวโอเลตได้นานถึง 48-72 ชั่วโมง
4. ถั่วเหลือง (soybean): – ในถั่วเหลือง เราพบว่ามีสาร Genistein ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสารIsoflavones ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีผลต่อการเจริญเติบโตของแซลล์ และควบคุมการทำงานของแซลล์มะเร็ง นอกจากนี้สาร Genistein ยังมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. แอสไพรินและยาลดการอักเสบ(NSAID): – โดยพบว่ายามีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclo-oxygenase (COX) ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจและอยู่ในการวิจัยขณะนี้

Posted on

โภชนาการสำหรับผู้สูงวัย : รับประทานอย่างไร จึงจะปลอดภัย ไร้โรค สุขภาย สุขใจ

วัยสูงอายุ คือ บุคคลที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจัดเป็นวัยแห่งความสำเร็จของชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนักสร้างฐานะในวัยหนุ่มสาว เป็นวัยที่มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีลูกหลานรักใคร่และใกล้ชิด

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในกลุ่มคนสูงอายุ
เป็นขบวนการที่สลับซับซ้อนที่อธิบายได้ 4 ประการดังนี้

  1. เป็นสิ่งที่ต้องเกิดตามธรรมชาติ
  2. การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปในข้างหน้า อย่างไม่หยุดนิ่ง
  3. เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อม
  4. เกิดขึ้นภายในเซลล์ โดย เซลล์บางส่วนหยุดการแบ่งตัวทดแทนเซลล์เก่าที่หมดอายุไป และ ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อลดลง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น จึงเกิดโรคความดันโลหิตสูง หรือเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในวัยสูงอายุ ที่มีผลต่อภาวะโภชนาการไ ด้แก่

  1. ร่างกายมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารลดลง จึงมีอาหารท้องอืดเฟ้อได้ง่าย
  2. ขบวนการสร้างและหลั่งน้ำดีจากตับบกพร่อง ทำให้การย่อยอาหารบางประเภทผิดปกติ ทำให้มีผลกระทบต่อการสะสมของวิตามินและเกลือแร่บางชนิด
  3. ความรู้สึกอยากอาหารลดลง เพราะประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นลดลง
  4. การบดเคี้ยวอาหารลดลง จากปัญหาเหงือกและฟัน
  5. โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้มีการจำกัดอาหารบางประเภท จึงทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ

  1. ลดอาหารเค็มทุกชนิด เพราะการลดเกลือโซเดียม จะช่วยเสริมผลของยาลดความดันโลหิต พร้อมกับการลดน้ำหนักตัว
  2. ลดอาหารที่มีไขมันสูง
  3. ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง
  4. รับประทานผักผลไม้มากขึ้น

    ทำอย่างไรจึงจะหยุดบริโภคนิสัยเกี่ยวกับรสเค็มได้
  1. ขวดใส่เกลือ หรือ น้ำปลาที่หมดแล้วไม่ต้องเติมอีก
  2. ไม่วางน้ำปลา หรือ น้ำพริกไว้ที่โต๊ะอาหาร
  3. งดการใช้อาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ซอสปรุงรส บะหมี่สำเร็จรูป
  4. เลือกอาหารว่าง ที่เป็นพวกผลไม้สด
  5. รับประทานอาหารที่ไม่มีผลชูรส ระมัดระวัง ในการใช้ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ ปรุงอาหาร ใช้มะนาว ขิง และเครื่องเทศแทน

เลือกอาหารอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากไขมัน

  1. ใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหาร
  2. เลือกใช้มาการีนที่ทำมาจากน้ำมันพืช
  3. เลือกใช้เนื้อส่วนที่เป็นเนื้อแดง ตัดส่วนที่เป็นมันออก
  4. จำกัดอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ ควรบริโภคในปริมาณน้อยๆ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เนื้อปลา เนื้อไก่แทน งดพวกเครื่องในสัตว์ ตับ
  5. ดื่มนมพร่องมันเนย
  6. จำกัดไข่เพียง 3 ฟองต่อสัปดาห์
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ถั่วลิสง เนย ช๊อกโกแลค
  8. หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์เปลือกแข็ง เช่น หอย กุ้ง ปู

    เลือกอาหารอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากน้ำตาล
  1. ไม่ควรวางขวดน้ำตาลไว้ในโต๊ะอาหาร
  2. เลือกใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลปกติ
  3. เลี่ยงผลไม้บางอย่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่
  4. งดของหวานทุกชนิด
  5. งดดื่ม สุรา น้ำอัดลม แบ่งรับประทานอาหารเป็น 5 มื้อต่อวัน ในปริมาณที่น้อยและคงที่ งดกินอาหารจุกจิก
Posted on

วิตามินที่ได้จากสารสกัดธรรมชาติ ดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์ทางเคมีหรือไม่ เลือกอย่างไร ให้เกิดประโยชน์

ปัจจุบันกระแสความนิยมธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก ไม่ว่าในแง่ของการกลับไปรับประทานอาหารจากแหล่งธรรมชาติมากขึ้น เช่น การรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขัดขาว หรือแนวทางชีวจิตต่างๆ ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อและหวังว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงนั่นเอง
แนวความคิดดังกล่าว ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือวิตามินที่ใช้ในการรับประทานบำรุงร่างกาย ทำให้มีข้อกังขา หรือข้อสงสัยกันว่า ‘ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์หรือไม่?’

ก่อนจะตัดสินใจประโยคดังกล่าว ลองพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ดังนี้

  1. วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ หมายถึง วิตามินที่ได้จากการสกัดจากพืชหรือสัตว์ ส่วนวิตามินจากการสังเคราะห์ จะได้จากปฏิกริยาทางเคมี ส่วนข้อที่เป็นข้อเท็จจริง ก็คือ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติเอง ก็ต้องผ่านขั้นตอนทางอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย
  2. ดังนั้นวิตามินที่ได้จากธรรมชาติ ถ้ามาจากแหล่งผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจจะมีสารปนเปื้อนอืนๆ เจือปนได้ เช่น วิตามินที่มาจากพืชบางชนิด อาจจะมีฮอรโมนผสมหรือเจือปนมาด้วย ถ้าสกัดออกมาไม่บริสุทธิ์พอ อาจจะมีผลต่อเพศชายหรือเด็กได้
  3. การออกฤทธิ์ของวิตามิน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเคมีเป็นสำคัญ ซึ่งทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ และวิตามินที่มาจากการสังเคราะห์ ชนิดเดียวกัน จึงมีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน ผลที่ได้จึงไม่น่าแตกต่างกัน เช่น วิตามินซีซึ่งอาจจะผลิตออกมาได้ทั้งสองวิธี
  4. วิตามินที่ใช้กันในปัจจุบัน บางชนิดได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด เช่น วิตามินดี บางชนิดได้มาจากสังเคราะห์เท่านั้น เช่น กรดแอสคอร์บิค หรือเกลือ ของกรดแอสคอร์บิคในวิตามินซี 1เม็ด
  5. วิตามินที่เป็นกลุ่มวิตามินรวมหลายๆ ชนิด และเกลือแร่ เช่น Z-bec,Centrum มักจะเกิดจากการผสมผสานกันทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติและ วิตามินที่ได้จากการสังเคราะห์
  6. วิตามินที่ผลิตจากบริษัทหรือยี่ห้อเดียวกัน ต่างชนิดกัน อาจจะมีทั้งที่ได้จากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์

จากข้อเท็จจริงข้างต้น ดังนั้นการจะเลือกรับประทานวิตามินจากธรรมชาติหรือวิตามินจากการสังเคราะห์ จึงไม่น่าเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับเราในการตัดสินใจในการเลือกบริโภค แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อช่วยพิจารณา ดังนี้

  1. เลือกผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีสูตรเหมาะสมกับตนเอง
  2. มีปริมาณสารแต่ละชนิดไม่มากหรือน้อยเกินไป โดยอ้างอิงจาก FDA ที่รับรองขนาดที่จะรับประทานเป็นมาตรฐาน
  3. ผลิตภัณฑ์มาจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีการดูดซึมได้ดี ไม่มีสารปนเปื้อนหรือตกค้าง
  4. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
  5. ระบุวันหมดอายุก่อนซื้อทุกครั้ง
  6. ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานอาหารและยา
Natural Vitamin
Chemical Vtiamins

Posted on

ตับสัตว์ : คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร เหมาะกับใคร ต้องระวังอะไรในการรับประทาน

ตับ(Liver) เป็นอวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ เพราะตับจะเป็นแหล่งรวมของเอนไซม์มากมายที่มีประโยชน์ในการก่อให้เกิดกระบวนการหรือปฏิกริยาสำคัญๆ ต่อการทำงานของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และยังมีหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกายด้วย นอกเหนือจากไต

ตับจากสัตว์ ก็มีหน้าที่ไม่แตกต่างจากตับในมนุษย์ ดังนั้นการรับประทานตับจากสัตว์ต่างๆ เราก็จะได้รับเอนไซม์ และสารอาหารหลายๆ ตัวที่มีประโยชน์ต่อตับของมนุษย์เช่นกัน

สารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญจากการรับประทานตับ

  1. ธาตุเหล็ก: – พบว่าธาตุเหล็กจากตับ เป็นธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของเหล็กที่จับกับโปรตีน ซึ่งเรียกว่า Heme Iron ซึ่งดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านขบวนการใดๆ ซึ่ง heme iron นี้ ร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะทำหน้าที่ในการพาออกซิเจน ไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานขึ้น
  2. วิตามินบี 12: – วิตามินชนิดนี้ เป็น วิตามินพลังงาน (Energy Vitamin) เพราะจะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย โดยการเพิ่มการนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ วิตามินบี 12 ยังช่วยให้ heme iron ทำงานได้ดีขึ้น และยังมีความสำคัญในการสร้าง DNA,RNA,Choline และ กรดอะมิโนหลายๆ ตัว ในร่างกาย
  3. กรดโฟลิค: – เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกล้ามเนื้อ และช่วยเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ โดยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12
  4. เอนไซม์ Co-Q10: – ซึ่งพบได้มากในอวัยวะที่มีพลังงานสูง เช่น ตับ ถือว่าเป็นสารกำจัดอนุมูลอิสระ (Anti-oxidants) ที่ดีตัวหนึ่ง ทำให้ป้องกัน และลดการเสื่อมของเซลล์ (Ageing) นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
  5. วิตามินเอ: – พบในปริมาณที่สูง ซึ่งช่วยให้ผิวหนังสุขภาพดี และมีความต้านทานต่อการติดเชื้อ
  6. นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งธาตุสังกะสี

ตับสัตร์เหมาะกับใคร

  1. ลดอาการอ่อนเพลีย หรือเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย
  2. เพิ่มพลังงานในระหว่างออกกำลัง ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเหมาะกับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
  3. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ตับแข็ง จะได้รับสารอาหารเพื่อทดแทน
  4. ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
  5. ผู้สูงอายุที่มีความรู้สึกอ่อนเพลีย หรือหมดเรี่ยวแรงได้ง่าย
  6. สตรีที่มีประจำเดือน เพราะมีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก หรือผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
  7. เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
  8. เพื่มการไหลเวียนของโลหิต
  9. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  10. ช่วยเสริมสร้ามกล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่เล่นกล้าม

ข้อควรระวังในการรับประทานตับ 

  1. นสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่เตรียมจะมีบุตร ควรลดการรับประทานตับ หรือผลิตภัณฑ์จากตับ เช่นตับบด เพราะในตับ 100 กรัมจะมีวิตามินเอ สูงกว่าปริมาณที่ได้รับประจำถึง 16 เท่า และวิตามินเอปริมาณสูงๆ อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปกติได้
  2. ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรรับประทานไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะตับจะมีปริมาณคลอเรสเตอรอลสูง
  3. การรับประทานตับ ควรผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่ถูกวิธี และสุก เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ปะปนมากับตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี โรคพยาธิใบไม้ในตับ

Posted on

Creatine อาหารเสริม เพิ่มพลังงาน สร้างมวลกล้ามเนื้อ สำหรับคนออกกำลังกาย

Creatine เป็นสารประกอบไนโตรเจนชนิดหนึ่งที่พบมากในกล้ามเนื้อ และส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในรูปของ Creatine Phosphate ซึ่งถือเป็นสาร ที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องการในการหดตัว เพื่อสร้างพลังงานจากการเปลี่ยนกลับของ ADP เป็น ATP
ปกติในร่างกายของมนุษย์ขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาต่างๆ กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายจะทำงานอย่างหนัก โดยใช้พลังงาน ในปริมาณที่สูง พลังงานที่ได้นี้ มาจากการสลายโมเลกุลของสารที่อยู่ในร่างกาย เรียกว่า ATP (Adeonosine Triphosphate)
บทบาทของ Creatine
จะมีหน้าที่ในการเปลี่ยนให้โมเลกุลของ ADP กลับไปเป็น ATP ได้อีก เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานจาก ATP ดังนั้นการได้รับสาร Creatine เป็นอาหารเสริม จึงเหมือนการที่ทำให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ทำให้ทำงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงและโตขึ้น
ซึ่งโดยปกติร่างกายจะสร้างจากกรดอะมิโน 3 ตัว คือ Glycine+Arginine+Methionine ดังนั้นหากเรารับประทาน Creatine เป็นอาหารเสริมโดยตรง จึงช่วยลดขั้นตอนการสร้าง และทำให้กล้ามเนื้อ สามารถทำงานได้เต็มที่ ในขณะที่ต้องการพลังงานเร่งด่วน หรือจำเป็น

เหมาะกับกลุ่มคนเหล่านี้
1. ผู้ที่ออกกำลังกายทั่วไป ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. นักกีฬาที่ออกกำลังกายอย่างหนักในระยะเตรียมตัวฝึกซ้อม หรือก่อนการแข่งขัน
3. นักกีฬายกน้ำหนัก หรือนักกล้ามที่กำลังฟิตร่างกาย เพื่อการแข่งขัน
4. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ ประสารกับได้เร็วขึ้น
5. ผู้ที่อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือหักโหม

ขนาดรับประทาน 3-5 กรัมต่อวัน สำหรับนักกีฬาที่ต้องการเพิ่มระดับพลังงานช้าๆ หรือเพิ่งฟื้นจากการแข่งขัน หรืออ่อนล้ากล้ามเนื้อ และ 20-30 กรัมต่อวัน สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว เช่น ขณะแข่งขันยกน้ำหนัก หรือแข่งว่ายน้ำ กรีฑา