Posted on

ขัดผิวอย่างไร ให้ผิวเนียนสวย จำเป็นมั้ย บ่อยแค่ไหน จึงจะปลอดภัย ได้ผลตามต้องการ

ในปัจจุบันนี้ ใครๆก็อยากมีผิวสวย การปรนนิบัติผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดีนั้น นอกจากการทำความสะอาดและบำรุงผิวตามขั้นตอนแล้ว การขัดผิว ก็เป็นอีกกรรมวิธีหนึ่งที่สาวๆ หลายท่านนิยมกัน โดยเฉพาะกลุ่มนางงามทั้งหลาย

การขัดผิว มิใช่เรื่องซีเรียส หรือเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำมากนัก เพราะปกติผิวหนังของคนเรา โดยธรรมชาติ จะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทุกอาทิตย์หรือ ทุกเดือนอยู่แล้ว ในรูปของขี้ไคล ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-4 อาทิตย์ แต่เมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่าง อาจทำให้การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ทำได้ช้าลง ทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมองไม่สดใส และอาจทำให้ครีมบำรุงไม่อาจซึมซับเข้าไปใต้ผิวหนังกำพร้า

บางคนจึงอยากทำการขัดผิว วิธีการในการขัดผิว นั้นมักจะใช้ฟองน้ำ ใยบวบ หรือผ้าขนหนู เป็นการช่วยขจัดผลัดเซลล์ที่ตายแล้ว ออกจากผิวหนังชั้นบนสุด การถูช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นด้วย จึงทำให้ผิวเรียบเนียนและสดใส

ในบางคนอาจใช้ครีมสครับช่วยด้วย การเลือกครีมสครับนั้น ควรพิจารณาที่ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ ควรมีลักษณะเล็กละเอียด กลมกลึงและนุ่นนวล เพื่อป้องกันการทำลายผิวถ้ามีการขัดมากเกินไป จึงคิดว่าควรเลือกครีมสครับที่มนุษย์ผลิตขึ้น มากกว่า เม็ดสครับจากธรรมชาติเช่น เม็ดแอปริคอต เพราะมีลักษณะที่คม เป็นฟันเลื่อยและลักษณะเม็ดไม่สม่ำเสมอ
การเลือกครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ( AHAs) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาขัดผิว เพราะไม่ต้องกังวลถึง ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ และความเข้มข้นของ AHAs ก็ไม่มากประมาณ 5-8 % AHAs ทำให้การขัดผิวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำลายผิวหนังมากนัก แต่ก็มีราคาแพงเอาการอยู่ทีเดียว ถ้าต้องขัดทั้งตัว แต่ก็ไม่แนะนำให้ขัดผิว ด้วยครีมสครับ ควบคู่กับครีมที่ผสมกรดผลไม้ ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

การขัดผิวถ้าอายุไม่มาก แนะนำให้ทำเพียงเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าอายุมากกว่า 40 ปี ควรทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ เพราะถ้าขัดมากเกินไป อาจทำให้ผิวหนังบาง อ่อนแอ และไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้

หลังการขัดผิว อย่าลืมทาครีมบำรุงผิว และทากันแดดก่อนออกจากบ้าน หรือสถานความงามที่ไปการขัดผิว มิฉะนั้นการลงทุน ทั้งเวลาและกำลังทรัพย์ อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไร

Posted on

เปียกฝน ตากฝน จะดูแลสุขภาพเส้นผม-ผิวพรรณ อย่างไร ให้ปลอดโรคที่มากับหน้าฝน

เมื่อย่างหน้าฝนปีนี้ ปัญหาใหญ่คือ ผมเปียก ตัวเปียก และถ้าน้ำท่วม บางท่านอาจจะต้องลุยน้ำด้วย ทำให้ถุงเท้าและรองเท้าก็จะเปียกชื้นได้ ดังนั้นจึงจะรวบรวมปัญหาด้านผิวพรรณและเส้นผมที่พบได้บ่อยๆ พร้อมแนวทางป้องกัน ในช่วงหน้าฝนดังนี้
เส้นผม  เมื่อเส้นผมเปียกฝน การเช็ดผมให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งแล้วไม่เพียงพอ ควรทำความสะอาดผมด้วยน้ำสะอาด และแชมพูด้วย เพราะฝนที่ตกมาจะนำพาเอาเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะ เชื้อไวรัสมาด้วย
การเลือกแชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา หรือเชื้อ P.ovale( เช่น Ketoconazole sahmpoo,Selsun) ก็เป็นการป้องกันรังแค และการติดเชื้อรา ที่หนังศีรษะได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะชื้นและเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะได้
ลำตัวและเสื้อผ้าเปียกฝน ควรทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยเร็ว ถ้าสามารถถอดออก เปลี่ยนใหม่ได้เลยจะยิ่งดี เพราะเสื้อผ้าที่เปียกฝนจะมีไวรัสปะปนอยู่ด้วยทำให้เป็นไข้หวัดได้เช่นกัน เสื้อผ้าเปียกชื้นถ้าเราใส่หมักหมมนานๆ จะเป็นบ่อเกิดให้เชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อเกลื้อนมาเกาะที่ผิวหนัง ซึ่งเมื่อติดเชื้อเกลื้อนแล้วจะหายได้ช้าเป็นเดือนๆ และสามารถเป็นซ้ำได้อีกถ้าไม่ป้องกัน
จึงควรระวังรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรงและสะอาดเสมอ โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งสะอาด สำหรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนานๆ ควรนำไปผึ่งแดดให้ร้อนจัดหรือรีดด้วยเตารีดร้อนๆ จะเป็นการฆ่าเชื้อที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ดีมาก

สวมถุงเท้าและรองเท้าที่เปียกฝน ควรถอดถุงเท้าและรองเท้าออกทันทีเมื่อมีโอกาส และทำให้แห้งโดยเร็ว เพราะถ้าเท้าเปียกชื้นนานๆ เมื่อถอดรองเท้าออกจะพบว่าผิวเท้าซีด เหี่ยวย่น และถ้าอบไว้นานมากๆ ผิวเท้าอาจจะลอกเป็นขุยบางๆ ทำให้ผิวมีความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำลง ซึ่งพบว่าจะติดเชื้อราได้บ่อย
กรณีที่กลับถึงที่พักแล้ว ควรจะทำความสะอาดเท้า ด้วยการฟอกสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง ถ้ามีแป้งฝุ่นให้ทาบางๆ ตามซอกเท้าและฝ่าเท้าสักเล็กน้อย แล้วปล่อยให้เท้าโล่งสัก 2 ชั่วโมง จึงจะสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าใหม่ (ซึ่งมิใช่คู่ที่เปียกชื้น)
รองเท้าที่เราใช้ในขณะที่เปียกฝน หรือย่ำน้ำท่วม ได้มีเชื้อราแทรกซึมในเนื้อผ้าหมดแล้ว ต้องทำการกำจัดออกโดยการนำไปตากแดดให้แห้งและร้อนหรือเช็ดด้วยน้ำยาฟอรมาลินเพื่อทำลายเชื้อรา และถุงเท้าควรต้มหรือรีดด้วยความร้อนสูง เพราะเชื้อราจะถูกฆ่าได้ในกรณีที่มีความร้อนใกล้ 100 องศาเซลเซียส หรือโดยน้ำยาฟอร์มาลินจึงจะนำมาใช้ใหม่
ฮ่องกงฟุต(Tinea Pedis) เป็นโรคที่พบได้บ่อย ในคนที่เท้าแฉะเป็นประจำ และเป็นเวลานานๆ พบเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าตรงที่ถูกบีบรัดโดยรองเท้ามากๆ ซึ่งได้แก่ซอกนิ้วเท้า ตั้งแต่นิ้วกลางคนถึงนิ้วก้อย โดยอาการเริ่มแรกจะมองเห็นเป็นผิวซีดขาวและเปื่อยยุ่ยออกมาจากซอกนิ้วเท้าและมีกลิ่นเหม็น
ดังนั้นการพบแพทย์เมื่อตรวจรอยโรค และขูดเชื้อมา ตรวจดูว่าการเป็นเชื้อชนิดใด การทายาครีมแก้เชื้อราจะได้ผลใน 4-6 สัปดาห์

Posted on

ฉีดเมโส (Mesotherapy) : โชว์หน้าเข้ม หน้าใส หน้าเล็ก ด้วยสูตรยาผสม (Cocktails ) เข้าสู่ผิวหนัง

Mesotherapy คืออะไร

Mesotherapy เป็นการรักษารูปแบบหนึ่งในการฉีดสารที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ ( เช่น สารอาหาร กลุ่มวิตามิน โคเอนไซม์ กรดอะมิโน) เป็นคอกเทล เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งชั้นนี้จะประกอบไปด้วย ไขมัน(fat) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues) เพื่อจุดมุ่งหมายในการรักษาในหลากหลายรูปแบบต่างๆ โดยอุปกรณ์ที่ได้ฉีดอาจจะเป็นเข็มกับไซริงค์ธรรมดา หรือเข็มที่มาพร้อมกับปืนดิจิตอลที่ปรับโดสยาและความลึกตื้นได้แม่นยำขึ้น
คิดค้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1952 โดย Dr. Michel Pistor ซึ่งเป็นแพทย์ชาวฝรั่งเศส โดยได้มีการ นำเทคนิคนี้มาใช้กับการรักษา ความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ความผิดปกติของประสาทข้อมือ ช่วยเรื่องอาการเครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะไมเกรน การคลายกล้ามเนื้อ ต่อมาประมาณปี 1987 เทคนิดนี้ได้มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นทั้งในกลุ่มแพทย์ทางยุโรปและอเมริกา โดยนำมาฉีดเพื่อแนวทางการรักษาด้านอื่นๆ มากขึ้น

ฉีดเมโส มีกี่แบบ

1. เมโสแฟต (Mesofat): ฉีดลดไขมันส่วนเกิน เป็นที่นิยมกันมากสุด มีการพัฒนาด้วยสูตรคอกเทลในการสลายไขมัน ทั้งเป็นแบบตัวยา ( เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ หรือสารสกัดธรรมชาติ เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ  เข้าไปยังบริเวณที่มีการสะสมของไขมัน ทำให้เกิดการขัดขวางการสะสมของไขมัน และสลายเป็นไขมันเหลว ผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ บริเวณที่นิยมฉีดได้แต่บริเวณที่ไขมันไม่มากนัก เช่น แก้ม จมูก ท้องแขน ใต้คางหรือเหนียง เพราะถ้าบริเวณที่ไขมันสะสมมาก อาจจะเจ็บมาก รอยช้ำเยอะ และมีผลข้างเคียงจากยาได้มาก

2. เมโสหน้าใส ( Mesobright) เพื่อให้ผิวขาวใส มีน้ำมีนวล และคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น โดยการฉีดสารไวเทนนิ่ง เช่น วิตามินซี Albutin เข้าไปที่ผิวหน้าในปริมาณน้อยๆ หลายๆ จุดทั่วใบหน้า และทำซ้ำกันทุกอาทิตย์ต่อครั้ง เพื่อไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ให้ทำงานลดลง
3. เมโสปลูกผม หนวด เครา (Mesohair) โดยได้มีการฉีดสารอาหาร และวิตามินสำหรับเส้นผม เข้าไปในหนังศีรษะด้วย และเทคนิคนี้ ได้มีการดัดแปลงโดยนำตัวยา Finasteride,Minoxidil.Biotin ฯลฯ ที่เดิมใช้เฉพาะในรูปของยาทา ยารับประทาน มาพัฒนาในรูปของยาฉีด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น และได้ผลเร็วขึ้น บางที่นำมาดัดแปลงให้ในการปลูกขนคิ้ว หนวดเครา ให้ได้ผลมากขึ้นด้วยเสริมการทายาและรับประทานยาปลูกคิ้ว หนวดเครา

ข้อห้าม และข้อควรระวัง

ข้อห้ามในการทำ Mesotherapy  มีกำหนดไว้ดังนี้

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ผลข้างเคียง ที่พบได้ในการทำ Mesotherapy

  1. อาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 2-3 ชั่วโมง
  2. พบเกิดอาการคันบริเวณที่ฉีดได้ ประมาณ 15-20 นาทีหลังฉีด แต่ถ้านานกว่านั้น แนะนำให้พบแพทย์ เพราะอาจจะแพ้ยาได้
  3. อาจจะบวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีด หรือรอยช้ำ ได้ ประมาณ 1-2 อาทิตย์
  4. อาจจะเกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้ ถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ ในบริเวณที่ฉีดต่างๆ
Posted on

สารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ส่วนผสมใน ครีมทาหน้าขาว รักษาฝ้า ใช้นานๆ อันตราย !

สารไฮโดรควิโนน คืออะไร

ไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีซึ่งเป็นที่นิยมในการนำมาเตรียมครีมที่ทำให้หน้าขาวในอดีต เนื่องจากเห็นผลได้เร็ว ออกฤทธิ์โดยการการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ
สารตัวนี้ มักจะผสมดเป็ฯส่วนประกอบยารักษาฝ้า ครีมทาหน้าขาว ครีมลบรอยดำตามบริเวณต่างๆ เช่น ครีมทารักแร้ดำ ง่ามขาดำ ฯลฯ ที่มีวางขายตามท้องตลาดและสินค้าออนไลน์
ปกติจะผสมความเข้มข้นมากกว่า 3-5 % ซึ่งจัดว่าเป็นยา ต้องใช้ในความควบคุมของแพทย์ เพราะซึ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ปัจจุบัน อ.ย. ได้กำหนดให้ผสมสารดังกล่าวในการรักษาฝ้า ไม่เกิน 2 %
ผลข้างเคียงที่พบได้
1. การระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่หน้าแบบถาวรได้
2. เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ รักษาไม่หาย
3. มีตุ่มนูนสีดำ บริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อยๆ หรือเรียกว่า ภาวะ Onchonosis and colloid milium 
ขอเตือน : ไม่ซื้อยาทาฝ้าตามท้องตลาดใช้เอง เพราะยาอาจไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจผสมสาร Hydroquinone เกินกว่าที่อ.ย. กำหนด ภาวะนี้มักทายาให้หายได้ยาก นอกจากการทำเลเซอร์